นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สาม ปี 2558 มีรายได้จากการขาย 110,898 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามราคาแนฟทาและราคาน้ำมันที่ลดลง มีกำไร 9,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามส่วนต่างราคาของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (stock loss) ถึง 2,160 ล้านบาทก็ตาม สำหรับ ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 333,992 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 33,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ซึ่งรวมรายได้จากฐานการผลิตและการส่งออกไปอาเซียน เอสซีจีมีรายได้ในไตรมาสที่สามของปี 2558 เท่ากับ 24,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจีมีรายได้จากฐานการผลิตและการส่งออกไปอาเซียน เท่ากับ 74,791 ล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์จะปรับลดลงค่อนข้างมากก็ตาม ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 102,009 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 20 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2558 มีมูลค่า 507,266 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สาม ปี 2558 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 43,570 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน จากความต้องการของตลาดภายในประเทศลดลง มีกำไร 2,073 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 มีรายได้จากการขาย 136,314 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการฟื้นตัวช้าของตลาดภายในประเทศ มีกำไร 8,527 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 51,591 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงอย่างมากตามราคาน้ำมันดิบ มีกำไร 6,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อน จากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือดังกล่าว สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 มีรายได้จากการขาย 153,183 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไร 20,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 135 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 18,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 645 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน จากค่าเสื่อมราคาและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น สำหรับ 9 เดือนของ ปี 2558 มีรายได้จากการขาย 52,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ มีกำไร 2,287 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจีได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์สินค้าจาก “ตราช้าง” เป็น “เอสซีจี” ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสินค้ากับองค์กร ทำให้แบรนด์เอสซีจีมีพลังและแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่ผ่านมา “ตราช้าง” เป็นแบรนด์ที่ใช้ในประเทศไทยและประเทศลาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนจะใช้ชื่อ “เอสซีจี” เป็นแบรนด์หลักในการทำตลาด ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างดีทั้งในเรื่องความน่าเชื่อถือและคุณภาพสินค้าระดับ พรีเมี่ยม การเปลี่ยนชื่อจาก “ตราช้าง” เป็น “เอสซีจี” จะเป็นอีกกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ผู้นำทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง
สำหรับโครงการลงทุนของเอสซีจีในอาเซียนคืบหน้าด้วยดีตามแผนที่วางไว้ อาทิ โรงงานปูนซีเมนต์ในกัมพูชาเดินเครื่องในสายการผลิตที่สองแล้ว และโรงงานปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียจะเริ่มผลิตในปลายปีนี้ ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมาและสปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ
เอสซีจีมุ่งพัฒนานวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services : HVA) ด้วยความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง สำหรับ 9 เดือนของปี 2558 เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 124,072 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34 ของช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้ตราสินค้า SCG eco value มียอดขาย 87,954 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ของยอดขายรวม โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2558 เอสซีจีใช้งบประมาณ R&D 2,354 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.7 ของยอดขายรวม โดยงบประมาณที่จัดสรรไว้ทั้งปีอยู่ที่ 4,800 ล้านบาท และในปี 2559 – 2560 เอสซีจีตั้งงบประมาณ R&D ไว้ 6,700 ล้านบาท และ 8,300 ล้านบาท ตามลำดับ
เอสซีจียังสร้างเครือข่ายพัฒนาสินค้าและบริการกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สินค้าและบริการของเอสซีจี สามารถตอบโจทย์ความแตกต่างของลูกค้า และมีสินค้าโซลูชั่นใหม่ๆ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น อาทิ นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ (SCG Eldercare Solution) เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีชีวิตที่สะดวกสบายและปลอดภัยโดยไม่ต้องมีความกังวล ซึ่งหากภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันผลักดันให้งานวิจัยและพัฒนาเกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง เชื่อมั่นว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศได้
นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจีจะจัดงาน SCG Innovative Exposition 2015 นำเสนอนวัตกรรมที่สร้างสรรค์บนพื้นฐานของความใส่ใจ ในแนวคิด Innovation that Cares “นวัตกรรมใส่ใจและสร้างสรรค์ เพื่อทุกวันที่ยั่งยืน” โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ผ่านการจำลองการใช้ชีวิตท่ามกลางนวัตกรรมสินค้าและบริการที่พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ พร้อมเทคโนโลยีการนำเสนอสร้างความตื่นตาตื่นใจ ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 พฤศจิกายน 2558 ณ เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ (เลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา) เอสซีจียังเตรียมจัดเวทีระดับสากล ‘Innovation for Sustainability’ ภายใต้แนวคิด The Power of Collaboration สำหรับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรที่มีบทบาทในการกำหนดกลยุทธ์ ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะได้รับฟังมุมมอง แนวคิดของการนำหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาผสมผสานกับการใช้นวัตกรรมจากผู้บริหารระดับโลก ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558 ณ คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้ออกและเสนอหุ้นกู้ชุดใหม่ ครั้งที่ 2/2558 (SCC19NA) จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.40 โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ จะนำไปไถ่ถอนหุ้นกู้ SCC15NA จำนวน 10,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของเอสซีจีเมื่อรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่จะออกแล้ว จะมีวงเงินหุ้นกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 166,500 ล้านบาท