บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดเผยตัวเลขเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมประกาศเพิ่มเป้าหมายการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสสอง สูงถึง 267% จากเดิมที่ 6,025 ล้านบาท เป็น 22,676 ล้านบาท และปรับเพิ่มเป้ายอดขายในไตรมาสสองอีก 25% พร้อมปรับเพิ่มเป้าการเปิดโครงการใหม่ทั้งปีเป็น 42,823 ล้านบาท และเป้ายอดขายทั้งปีเป็น 31,030 ล้านบาท พร้อมคงเป้าหมายยอดโอนทั้งปีอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท โดยมียอดโอนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 58% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน” โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดโอนจะเติบโต จาก 9,598 ล้านบาท ในปี 2558 เป็น 58,187 ล้านบาท ในปี 2563

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ เปิดเผยยอดโอนในไตรมาสแรก 2,238 ล้านบาท  ซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลกำไรสุทธิที่ 140 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิของบริษัทที่ 6% เช่นเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการตามเป้าหมาย ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,500 ล้านบาท ประกอบด้วย ยูนิโอ รามคำแหง-เสรีไทย มูลค่าโครงการ 934 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสถานีศรีบูรพา ยูนิโอ เอช ติวานนท์ มูลค่าโครงการ 941 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี MRT ติวานนท์ และโครงการแนวราบอาร์เทล พัฒนาการ-ทองหล่อ ซึ่งเป็นโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ห่างจากทองหล่อเพียง 3.5 กิโลเมตร สำหรับไตรมาสแรกปี 2560 บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า จำนวน 4,436 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2559 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 42,461 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

บริษัทฯ จะเปิดโครงการใหม่เร็วกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการซื้อเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เปิดโครงการใหม่ในไตรมาสแรก 3 โครงการ และจะเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการในไตรมาสสอง สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ  ปรับเพิ่มเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสสอง สูงถึง 267% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากเดิมที่ 6,025 ล้านบาท เป็น 22,676 ล้านบาท ซึ่งการเปิดตัวโครงการใหม่นี้ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 21,163 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่า 1,513 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับเพิ่มเป้ายอดขาย (presales) ในไตรมาสสอง อีก 25% จากเป้าหมายก่อนหน้า นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ และเป้ายอดขายทั้งปีอีก 2% จากเป้าก่อนหน้าจากการเพิ่มมูลค่าโครงการบางส่วน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “ระยะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทน” ซึ่งจะเห็นได้จากยอดโอนที่เติบโตขึ้นสามเท่าตัว ระหว่างปี 2558 จนถึง 2561 รวมการเติบโต 58% จากปี 2559 สำหรับการโอนในปี 2560 อยู่ที่ 25,000 ล้านบาท  ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2560 มูลค่ากว่า 16,300 ล้านบาท คิดเป็น 73% ของเป้ายอดโอนในช่วงเก้าเดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของ อนันดา และมิตซุย ฟูโดซัง มาจากคอนโดมิเนียม 10 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนในปี 2560 โดยเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมใหม่  5 โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2559 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมยังคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.69 :1 เท่านั้น ” นายชานนท์ กล่าว

นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 3,276 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ โดยในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังคงรักษาความมีวินัยทางการเงินโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในเดือนเมษายน ปี 2560 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้ เพียง 3.95% ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 5.40% ที่ออกหุ้นกู้เมื่อ 3 ปีก่อน” นายชานนท์ กล่าว

ทั้งนี้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.5 สตางค์ เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท