เมื่อช่วงกลางปี 56 ทางพฤกษาฯ ได้เปิดตัว Privacy คอนโด Low Rise แบรนด์ใหม่ โครงการขนาดเล็ก เน้นความเป็นส่วนตัว ทำเลหลักๆ จะอยู่ในซอยที่ค่อนข้างสะดวกต่อการเดินทาง วันนี้ทาง Think of Living มีนัดกับที่โครงการ The Privacy งามวงศ์วาน โดยได้มีการแลกเปลี่ยนภาพรวมวงการอสังหาฯ และทิศทางของ The Privacy ที่วางไว้ พร้อมกับอัพเดทความคืบหน้าของโครงการ ที่ล่าสุดเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ครบในตึก A
– จากแรกเริ่มจนถึงปีนี้ คอนเซ็ปต์ Privacy มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างคะ?
เราเริ่มจับที่ดินในเมืองมากขึ้น แต่โครงการยังเป็นแปลงเล็กๆ อยู่ คอนเซ็ปต์หลักๆ คือ คอนโดขนาดเล็กในซอย แต่ตัวโครงการจะเป็น 7 หรือ 8 ชั้น ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ถ้าเข้าไปในเมือง ราคาที่ดินแพง ก็ต้องใช้พื้นที่ให้คุ้ม กลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็อาจพอรับได้ ส่วนกลุ่มที่อยู่ connecting จะได้เพดานที่ค่อนข้างสูง ดูแล้วโปร่ง ซึ่งถ้าเข้าไปในเมือง มีคอนโดที่เพดานเตี้ยอยู่เยอะ แต่คนก็อยู่ๆ กัน เราก็พยายามทำสภาพแวดล้อมของสินค้าให้คงแนวคิดเดิมอยู่
– ปัจจุบัน ทำเลของโครงการจะเข้าไปในเมืองมากขึ้น?
คือเราก็ยังยึดคอนเซ็ปต์เดิม แต่พอเข้าไปในเมือง ก็มีบางจุดที่ต้องปรับ จริงๆ แล้ว Privacy ตีได้หลายมิติ ซึ่งทีมเราตีว่าเป็นมิติของ securities คือการอยู่อาศัยของคน ต้องการ securities ค่อนข้างสูง เราก็มองว่าจะให้จุดนี้เพิ่มเข้าไป เช่น Video Door Phone และ Digital Door Lock น่าจะเป็นของมาตราฐานที่เราให้ สำหรับโครงการที่อยู่ในเมือง
– ช่วงปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว The Privacy งามวงศ์วาน ผลตอบรับของโครงการเป็นอย่างไร?
งามวงศ์วานกับเรวดี ค่อนข้างผลตอบรับดี ขายเกือบหมดแล้ว ตัวโครงการก็เสร็จประมาณ 80-90% น่าจะปิดได้ภายใน 2-3 เดือน ส่วนติวานนท์ จะ re-launch ใหม่ และก็จะมี sale office ใหม่ติดถนน กำลังตกแต่งอยู่ เดิมที่อยู่ในซอย เราเช่าอาคารพาณิชย์ 3 คูหาหน้าติดถนน แล้วมาตกแต่งใหม่ เดิม sale office เก่าอยู่หน้าโครงการ ซึ่งเป็นซอยตัน ที่ค่อนข้างดีในแง่การอยู่อาศัย แต่ในแง่ของการขาย ยังไม่ค่อยดีนัก เหมือนเรวดี งามวงศ์วาน สุทธิสาร ซึ่งทางเข้า-ออกเยอะ อะไรที่เป็นซอยลัด มันก็จะเวิร์กในแง่ของการขาย
– Privacy มีแผนในการรับมืออย่างไร มีกลยุทธ์ทางการตลาดอย่างไร?
ตอนนี้มีเรื่องของการปู marketing นอกจาก 5 โครงการที่รันอยู่ ในอนาคตที่วางแผนไว้ ก็จะขึ้นที่เดียว 2 โครงการ 2 ทำเล โครงการล่าสุดคือ The Privacy สุทธิสาร-ประชาอุทิศ ปลายปีก็วางไว้อีก 2 โครงการตาม business plan ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาที่ดิน เราก็มองโซนที่ supply มันไปได้ดี เกาะห้างและแนวรถไฟฟ้า เพราะว่าแนวรถไฟฟ้า ถึงแม้อยู่ในซอยก็ขายได้ บางคนไม่ได้ใช้รถไฟฟ้า แต่ก็มีไว้อุ่นใจ คาดว่าอีก 2 โครงการน่าจะประกาศได้ช่วงปลาย Q3
– กลุ่มลูกค้าหลักของ Privacy จะเป็นแนวไหน
ส่วนใหญ่ก็เป็นคนทำงานแถวนี้ อยู่อาศัยจริง ปล่อยเช่ามีบ้าง ก็มีคนมาสอบถาม ทั้งฝั่ง demand และ supply ก็มาถามว่าถ้าปล่อยเช่าจะได้ตัวเลข เท่าไหร่ ตอนนี้ฝั่งตลาดก็กำลังทำตัวเลขให้อยู่ ปัจจุบันในทีมก็มีการคุยกันว่าจะตั้ง resale หรือ broker เข้ามา แต่ว่าจะอยู่ในนิติบุคคลรึเปล่า ก็อาจต้องดูโครงสร้างอีกที
– ทำเลที่วางไว้คือกรุงเทพฯ
กทม และปริมณฑล ตรอกซอกซอยปริมณฑล กลุ่มเป้าหมายคือคนที่อาศัยอยู่ในทำเลนั้นๆ ทำงานในทำเลนั้นๆ อยากมีที่อยู่อาศัยแต่ไม่มีโครงการที่ตรงกับความต้องการ เขาอาจไม่ต้องการอยู่ติดถนนใหญ่ หรือว่าติดรถไฟฟ้า แล้วราคาก็ไม่แพงเท่าบ้านเดียว Privacy ก็จะเป็นตัวที่มาแทน บ้านกับทาวน์เฮ้าส์ เหมือนเป็น product ทดแทน
– อัตราการเติบโตต่อปีวางไว้เท่าไหร่ และปีหนึ่งจะเปิดประมาณกี่โครงการ
5% เติบโต แต่ละปีวางไว้ 4 ตัว
– มาถึงคำถามสุดท้าย มองว่าอะไรคือ “จุดแข็ง” ของ The Privacy?
ชุมชนขนาดเล็กที่อยู่แบบ Co-living แต่ละยูนิต มีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางพอสมควร ไว้แชร์กัน อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก คอนโดของ privacy มีลักษณะคล้ายบ้านแต่ราคาย่อมเยากวา การออแบบแต่ละยูนิตจะตอบรับกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่ใช้สอยต่างๆ หรือการระบายอากาศที่เราพยายามเพิ่มเข้าไปในโครงการ อย่างบ้าน สังเกตได้ว่าการระบายอากาศรอบตัวบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ก็หน้าบ้านหลังบ้าน แต่คอนโด คือระเบียงด้านเดียว เราก็พยายามจะเพิ่มในด้าน design ใช้แนวคิด green design เข้าไป เพื่อให้ได้การระบายอากาศและแสงธรรมชาติ ดูภายนอกอาจเหมือนคอนโดทั่วไป แต่ถ้าเข้าไปอยู่ก็จะรู้สึกว่าอากาศมันถ่ายเทหมุนเวียนได้
สำหรับใครที่สนใจโครงการนี้ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ รีวิวฉบับที่ 397