ศุภาลัย เผยตัวเลขผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 ชูสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง กวาดยอดขาย 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% โกยรายได้รวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60 % กำไรสุทธิ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% เตรียมแผนรุกตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 22 โครงการ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในรอบครึ่งปีแรก 2564 บริษัทฯ ได้ก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญที่เกิดขึ้นและมีความท้าทายเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 อันยาวนาน ซึ่งบริษัทฯ มีการวางแผนและปรับตัวอย่างรวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ควบคู่การมีมาตรการความปลอดภัยด้านชีวอนามัยให้ลูกค้าและดูแลคนงานด้วยมาตรการควบคุมโรคในแคมป์คนงานอย่างเข้มงวด แม้กระทั่งการงดเว้นหรือลดค่าเช่าให้ผู้เช่าของศุภาลัยที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือลูกค้าโครงการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานระเบิด ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ดังกล่าวถือเป็นสิ่งท้าทายของบริษัทฯ จึงมีการปรับแผนการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายด้านยอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี 2564 เช่นเดิม

โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 9 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูมิภาค รวมเป็นมูลค่า 9,180 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯ สามารถทำยอดขายอยู่ที่ 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จ พร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในส่วนโครงการแนวราบ 10,080 ล้านบาท คิดเป็น 78% โครงการคอนโดมิเนียม 2,925 ล้านบาท คิดเป็น 22% และคิดเป็น 48% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท อีกทั้งสามารถสร้างรายได้รวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 57% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 43% ถึงแม้ว่าตลาดกลุ่มคอนโดมิเนียมจะยังคงชะลอตัว

บริษัทฯ สามารถทำผลงานด้านกำไรสุทธิ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 58% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 1.80 % ต่อปี ณ 30 มิ.ย. 2564 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 36,002 ล้านบาท ณ 30 มิ.ย. 2564 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2564 จำนวน 14,202 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 21,800 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนในทำเลใหม่ๆ ที่จะขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 24 ส.ค.2564 และจ่ายปันผล วันที่ 8 ก.ย. 2564

สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ จำนวน 18 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้ทันสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบ Virtual Tour รับชมโครงการเสมือนจริง และ Online Booking จองยูนิตที่สนใจ เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัย และรูปแบบ Supalai Private Tours เป็นการสื่อสารและชมโครงการได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อลดการสัมผัสให้เหมาะสมกับเหตุการณ์โควิด -19

รวมถึงกระบวนการก่อสร้าง โดยเน้น Waste Management เพื่อมีส่วนร่วมในการลดขยะให้สังคม และมีการปรับเปลี่ยนระบบด้านการบริการลูกค้าในรูปแบบออนไลน์ ทั้งใบเสร็จออนไลน์ และนิตยสารขององค์กรในรูปแบบ E-Magazine เพื่อเชิญชวนครอบครัวศุภาลัย รักษ์โลก ลดการใช้กระดาษ ลดการสัมผัส สอดรับกับโครงการ Supalai Care The Bear ผนึกพลังร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ทั้งทรู เฮลท์ จากบริษัท ทรู ดิจิทัล เพื่อพบหมอออนไลน์ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด เพื่อผลิตซีรีส์ อีกทั้งบ้านและสวน เพื่อแชร์ไอเดียใหม่ๆ สำหรับลูกค้าที่จะนำไปตกแต่งสวนสวยงามให้ที่อยู่อาศัย

บริษัทฯ มั่นใจว่าปี 2564 จะเป็นปีที่บริษัทฯ มีการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องด้วยความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง การตลาดและการขาย การบริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมช่วยเหลือเพื่อสังคม ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก โดยมองว่า ภาพรวมการเติบโตของบริษัทฯจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายต่อไป