ดร.นวณัฐ1

ดร.นวณัฐ  สุขะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์บ้านมารวยเปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ แม้มีปัญหาเศรษฐกิจจากทั่วโลกที่ส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมธุรกิจดูชะงักลงไปบ้าง แต่มาตราการภาครัฐที่ออกมาช่วยกระตุ้นในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องถึงเมษายน 2559 นั้น ทำให้เห็นตัวเลขยอดโอนมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน จึงมั่นใจว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าหลังหมดมาตรการรัฐแล้วอาจชะลอตัวไปบ้างเพราะกำลังซื้อมาอยู่ช่วงต้นปี แต่ผู้ประกอบการก็ต่างงัดโปรโมชั่นช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อช่วงนี้ให้กลับมาอีกครั้งและยังมีการเปิดโครงการต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้น

สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีโครงการของบริษัทฯอยู่ อาทิ ฉะเชิงเทรา สระแก้ว และชลบุรีนั้น บริษัทฯมั่นใจว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงและมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยเฉพาะฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดแรกที่บริษัทฯริเริ่มโครงการมารวย เพราะเล็งเห็นว่าจังหวัดนี้เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญอีกจังหวัดหนึ่ง เป็นพื้นที่รองรับการขยายตัวของเมืองหลวง และการขยายตัวของธุรกิจภาคอุตสาหกรรม  ซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 1,600 แห่ง อีกทั้งเป็นประตูในการเดินทางจากกรุงเทพไปสู่ภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ เส้นทางการคมนาคมสัญจรจึงสะดวกสบายด้วยทางหลวงสายสำคัญ ฉะเชิงเทรามีโครงการรอขายประมาณ   3,000-4,000 หน่วย ราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาท ส่วนชลบุรีนั้นเป็นเมืองเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเป็นทำเลของนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ และเขตประกอบการอุตสาหกรรมกว่า 15 แห่ง ชลบุรีมีโครงการรอขายประมาณ 20,000 หน่วย  ราคาบ้านเดี่ยว และบ้านแฝดราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาทเช่นกันดร.นวณัฐกล่าว

เศรษฐีสยาม

บ้านมารวยแบรนด์น้องใหม่ของกลุ่มวิจิตรากรุ๊ปมีประสบการณ์พัฒนาอสังหาฯมากกว่า 10 ปี พัฒนาโครงการที่ผ่านมาและเปิดขายขณะนี้ทั้งหมด 10 โครงการ   ซึ่งมี 2 โครงการที่จะปิดการขายปีนี้ คือ มารวย แหลมฉบังจำนวน 175 ยูนิต เริ่ม 2.6 ล้านบาท ขายแล้ว 80%  และบ้านมารวย โสธร 3 เริ่มต้น 3.5 ล้านบาท เหลือเพียง 15 ยูนิต  สำหรับโครงการพรีเมี่ยม คือ โครงการวิจิตราธานี บางนากม.36 ตั้งบนพื้นที่มากกว่า 800 ไร่และมีทะเลสาบ 70 ไร่แห่งเดียวในบางนา ขณะนี้ได้พัฒนาเฟสใหม่เป็นสไตล์ทอสคาน่า เพียง 15 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท และอีกโครงการคือ เดอะรอยัล สามมุข บ้านระดับพรีเมี่ยมที่คัดสังคมคุณภาพ ในทัศนียภาพที่สวยงามบนเขาสามมุข ระดับราคาบ้าน 10-12 ล้านบาท เปิดเฟสใหม่ล่าสุดสไตล์โมเดิร์น คอนเทมโพลารี่เหลือเพียง 8 ยูนิตสุดท้าย

มารวย เรียลเอสเตท ผู้นำอสังหาฯภาคตะวันออกที่มีโครงการรอพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปีนี้และปี 2560  วางแผนเปิด 6 โครงการ ทั้งในชลบุรี ฉะเชิงเทรา อรัญฯ และสระแก้ว ได้แก่ บ้านมารวย ริเวอร์ไซต์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง บ้านเดี่ยว 2 เฟส มูลค่าโครงการ 1,550 ล้านบาท เปิดขายเฟสแรกจำนวน 173 ยูนิต , บ้านมารวย อรัญฯ จำนวน 110 ยูนิต และมารวย สระแก้ว จำนวน 114 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 550 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 เตรียมเปิดบ้านมารวย ฉะเชิงเทรา 2 มูลค่าโครงการ 480 ล้านบาท , บ้านมารวย อ่อนนุชลาดกระบัง 700 ล้านบาท และบ้านมารวย บางพลี มูลค่าโครงการ 590 ล้านบาท มูลค่ารวมกว่า 3,800 ล้านบาท

ราชาวดี

ดร.นวณัฐกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการใหม่ที่จะเปิดปีนี้และในอนาคต มารวยจะนำเทคโนโลยีการใช้ระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจาก SCG และพันธมิตรมาใช้มากขึ้น แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยงานก่อสร้างนานแล้ว แต่บริษัทฯได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วน รวมถึงเดินทางไปดูโรงงานผู้ผลิตด้วยตัวเอง เพื่อประโยชน์ของลูกค้าที่มากที่สุดจนมั่นใจได้จริงๆ ซึ่งเทคโนโลยีนี้นอกจากสามารถช่วยร่นระยะเวลาการก่อสร้าง ลดปัญหาแรงงานได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังทำให้ลูกค้าได้บ้านที่มีคุณภาพสูง

จากตัวเลขการเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯเชื่อมั่นว่ามาจากการที่ลูกค้าเชื่อถือในแบรนด์บ้านมารวย ทั้งการคัดสรรทำเลคุณภาพ ใกล้แหล่งชุมชน และสถานที่สำคัญ นอกจากนี้บริษัทฯยังดำเนินกิจกรรม    ซีเอสอาร์เพื่อสังคมควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อปลูกฝังให้พนักงานมีคุณธรรมและจริยธรรม และการบริหารงานยังเน้นหลัก Happy Team  Happy Home  Happy Society เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าคือ Happy Customer ทำให้บริษัทก้าวเดินไปอย่างมั่นคงท่ามกลางการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในพื้นที่ และลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมารวย

ปาริชาติ

ทั้งนี้ในปี 2559 บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 100% สำหรับกลยุทธ์การตลาด บริษัทฯมีทั้งแผนเชิงรุกและเชิงรับ โดยวางแผนจัดงานอีเว้นท์ที่สำนักงานขายทุกโครงการในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อกระตุ้นยอดขาย มีโปรโมชั่นฟรีจอง ฟรีทำสัญญา ฟรีโอน รวมถึงมีแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์โปรโมชั่นต่างๆผ่านทางป้ายโฆษณา อิเล็กทรอนิกส์ไดเร็คเมล์ สื่อสังคมออนไลน์ E-Newsletter เป็นต้น โดยตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้ประมาณ 1-1.5% ของมูลค่าแต่ละโครงการ