สวัสดีค่ะ วันนี้จะขออาสาพาทุกคนไปชมภาพบรรยากาศให้หายคิดถึงกับ Siam Discovery – The Exploratorium ที่มีการปรับโฉมใหม่หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน ซึ่งพร้อมแล้วที่จะเปิดห้างให้ทุกคนไปสัมผัสกับบรรยากาศใหม่ที่มาพร้อมกับแนวคิด The Biggest Arena of Lifestyle Experiments จากสตูดิโอออกแบบชื่อดังอย่าง Nendo ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ค่ะ บรรยากาศจะเป็นอย่างไรนั้น เราตามไปชมกันค่ะ 🙂

ในวันพฤหัสบดีที่ 26 นี้ทางบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด มีงานแถลงข่าวเปิดตัว Siam Discovery – The Exploratorium โดยคุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด และคุณโอกิ ซาโตะ หัวหน้านักออกแบบและผู้ก่อตั้ง Nendo โดยเป็นการเปิดตัวแนวคิดค้าปลีกรูปแบบใหม่คือรูปแบบไฮบริดดีเทลแห่งแรกในประเทศไทย โดยผู้มาเยี่ยมเยือนสยามดิสคัฟเวอรี่นั้นจะได้พบกับสิ่งที่ไม่เคยพบและได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นที่ไหน ในขณะที่ได้สนุกไปกับการค้นหาและค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ด้วยเงินลงทุน 4,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 40,000 ตร.ม.

เข้ามาในส่วนของ Hall ชั้น G กันค่ะ หรือเรียกว่าชั้น Her Lab จากชื่อคงรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเป็นชั้นเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์สำหรับสาวๆ นั่นเอง ซึ่งบริเวณโถงนี้ก็ไม่ธรรมดานะคะ เห็นแชนเดอร์เลียร์ขนาดใหญ่ด้านบนนั้นไหมคะ นั่นคือส่วนนึงของ Art Installation ค่ะ โดยชาแชนเดอร์เลียร์ที่ทุกคนเห็นนั้นทำมาจากคริสตัลและกระจกดีไซน์พิเศษโดยเฉพาะจากแบรนด์ Lasvit ผู้ออกแบบเครื่องแก้วและกระจกชั้นนำจากสาธารณรัฐเช็กค่ะ

เรามาดูผังแปลนกันบ้างก่อนจะเข้าไปชมบรรยากาศห้างกันนะคะ สำหรับชั้น Her Lab นี้จากทางเข้าที่เจอส่วน Information มา จะเป็นทางเดินหลักอยู่ตรงกลางแบ่งโซนเสื้อผ้าเป็น 2 ฝั่ง เห็นเป็นโซนๆ ได้ครบและเดินสะดวกดีค่ะ ไม่มีทางยึกยักมากมายให้หา Shop ต่างๆ ส่วนตรงกลางทางเดินนั้นเป็นพื้นที่ Discovery Atrium ซึ่งจะมีนิทรรศการหมุนเวียนอยู่เรื่อยๆ

นี่คือหน้าตาส่วน Exhibition ค่ะ จะเห็นหุ่นที่มีหัวเป็นกล่องๆ เปิดอ้าและนั่งอยู่บนกล่องที่เป็นฐานแปะคำว่า Siam Discovery นั้นคือหุ่นที่ชื่อว่า Discovery Man ถือเป็นตัวแทนของในการนำทุกคนเข้ามาค้นหาและทดลอง, สร้างสรรค์ และพัฒนา โดยจากภาพกล่องที่เปิดอ้านั้นคือการพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในห้างนี้ ซึ่ง Discovery Man นั้นมีทั้งหมด 25 ตัว ถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินดังทั่วเอเชีย ซึ่งมีเพียง 25 ชิ้นในโลก

ด้านข้าง Exhibition คือร้านแบรนด์ดังจากญี่ปุ่นอย่าง ISSEY MIYAKE ที่มาเปิดในที่นี่ซึ่งมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับทั้งหญิงและชาย โดยออกแบบมาภายใต้แนวคิด World of Issey Miyake มีทั้งหมด 2 ชั้นโดยชั้นล่างจะเป็นส่วนของผู้หญิงและชั้นบนเป็นเสื้อผ้าสำหรับคุณผู้ชายค่ะ เชื่อว่าสาวๆและหนุ่มๆหลายท่านคงจะร้องกรี๊ดกันแน่ๆ 🙂

เดินเข้ามาอีกหน่อยจะเห็นพี่ Discovery Man รุ่นใหญ่ยืนต้อนรับก่อนจะถึงโซน Her Lab

เดินมาอีกหน่อยก็จะเห็นพื้นที่ Open Space ตรงกลางของห้าง ซึ่งด้านข้างตกแต่งด้วยโครงสีดำรูปกล่องแบบ 3 มิติ เป็นหนึ่งเดียวกับจอ LED ที่ฉายภาพมีลวดลายทันสมัย ซึ่งล้อไปกับการออกแบบ Facade ด้านนอกที่ใช้ความเป็นกล่อง 3 มิติด้วยเช่นกัน ดูแล้วค่อนข้างหวือหวาทีเดียวค่ะ

เข้ามาที่โซน Her Lab ที่นำแบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นและแบรนด์ดีไซน์เนอร์ต่างๆ มารวมกัน และด้านหลังมี Shop จากแบรนด์ Marimekko ที่ฮอตฮิตในลายดอกไม้สีสดสวย (แอบอยากได้จัง 🙂 )

สำหรับ Her Lab นี้ไม่ได้มีเพียงเสื้อผ้าชั้นนำที่เป็นจุดดึงดูดลูกค้าเพียงอย่างเดียวนะคะ อีกหนึ่งจุดเด่นอยู่นี่ค่ะ คือ Interactive Dressing Dress by แพรว พื้นที่ลองชุดเสื้อผ้าของคุณสาวๆ ที่ดีไซน์ออกมาได้ทันสมัยมากๆ และยังไม่หมดแค่นี้นะคะ ยังมีส่วนด้านในที่ลูกค้าจะต้องจองพื้นที่กันก่อนค่ะ โดยภายในจะทำเหมือนบ้านในส่วน Walk in Closet แบบ Private ซึ่งลูกค้าสามารถนำเสื้อผ้าที่ตัวเองอยากลองขนเข้ามาเลยค่ะในส่วน Walk in Closet ลองให้หนำใจได้เลย ถูกใจไม่ถูกใจตัวไหนค่อยซื้อกันอีกทีค่ะ

มาชั้น M หรือ ชั้น His Lab เป็นชั้นสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะค่ะ รูปแบบผังจะมีความแตกต่างจากชั้น G ที่เป็นชั้นของคุณผู้หญิงอยู่หน่อย คือมีส่วนกิจกรรม หรือ Exhibition ที่กระจายอยู่ตามโซน ไม่ได้โชว์อยู่บริเวณทางเดินเหมือนชั้น G ส่วนจุดเด่นๆ ของชั้นนี้ที่พลาดไม่ได้คือ Social Discovery และส่วน Skin Lab มีการจัดที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวค่ะ เราขึ้นไปดูชั้นนี้กัน

เริ่มต้นที่ส่วน His Lab โซนเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายสำหรับคุณผู้ชาย ดูที่การดีไซน์ค่อนข้างหวือหวาน่าสนใจทีเดียวค่ะ จะเห็นว่าการจัดวางและการออกแบบค่อนข้างเน้น Movement ให้มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดจากเส้นสายนำสายตาของขาโต๊ะโชว์ต่างๆ

มาที่โซน Skin Lab กันค่ะ เห็นดวงโคมเล็กๆ ส่องระยิบระยับสะท้อนกับพื้นแกรนิตโต้สีดำนั่นไหมคะ น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียวเลยค่ะ

สำหรับฟังก์ชันที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่ Skin Lab นี้เพื่อตอบสนองลักษณะนิสัยของคุณผู้ชายโดยเฉพาะค่ะ อย่างที่รู้กันว่าส่วนใหญ่หนุ่มๆ นั้นมีความใส่ใจในเรื่องผิวพรรณน้อยกว่าสาวๆ อย่างเราอยู่แล้ว และยิ่งการนำเครื่องประทินผิวของหนุ่มๆ ไปรวมกับส่วนเครื่องประทินผิวของสาวๆ อย่างที่เห็นๆ กันในห้างทั่วไปที่จะวาง Shop เครื่องสำอางค์ หรือครีมบำรุงอยู่ในชั้นล่างของห้างแล้วนำเครื่องสำอางค์ต่างๆของทั้งชายหญิงมาขายในพื้นที่เดียวกันนั้นก็ยิ่งส่งผลให้คุณผู้ชายเข้าถึงได้ยากขึ้น ทำให้สยามดิสคัฟเวอรี่เกิดแนวคิดใหม่ในการสร้างความสะดวกให้คุณผู้ชายมากขึ้น คือการจัดพื้นที่นี้โดยวางเป็นโต๊ะสแตนเลสเหมือนในห้องแล็บ แล้ววางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าสำหรับคุณผู้ชายที่มีขายอยู่ทั้งหมดในห้างมาให้คุณผู้ชายได้ทดลองกันไปเลยว่าผลิตภัณฑ์ไหนที่คุณชื่นชอบหรือเหมาะกับคุณค่ะ ส่วนด้านหลังของ Skin Lab นั้นก็จะเป็นส่วน Barberford Noir เป็นร้านตัดผมเล็กๆ ประมาณ 3-5 ที่นั่งไว้สำหรับให้คุณผู้ชายตัดผมรอสาวๆ ช็อปปิ้งได้โดยไม่เสียเวลาและยังหล่ออีกด้วยนะ 🙂

เดินถัดมาจะเป็นส่วนโซนร้านค้าเล็กๆ วางเป็นโต๊ะเป็น Shelf ต่างๆ ไม่กั้นเป็นสัดส่วนมากนัก ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเข้าถึงได้มากขึ้น หยิบจับได้ง่ายขึ้น

และมี Shop อย่าง Galerie Adler ส่งตรงมาจาก Paris

มาต่อที่ส่วนโซนงานศิลปะ อารต์ตัวแม่ไม่ควรพลาด โดยส่วนนี้จะคล้ายๆกับงานนิทรรศการที่รวบรวมผลงานของศิลปินเอาไว้ ซึ่งจะสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แบบนิทรรศการหมุนเวียน

ปิดท้ายชั้นนี้กันด้วยโซนที่เกริ่นไว้ตอนผังชั้น M คือโซน Social Discovery โดยเกิดจากการร่วมมือระหว่างสยามดิสคัฟเวอรี่และ Black Egg ทีมนักออกแบบและครีเอทีฟระดับโลก นำแนวคิด Storytelling มาผสมผสานกับดิจิตอลเทคโนโลยีในธีม “When Obsession Become Identity” โดยการเจาะความน่าวนใจเบื้องลึกของแต่ละคนผ่าน Social Application อย่าง Instagram เพียง log in เข้า Instagram ของตัวเองและอย่าลืมปลดล็อก Privacy ด้วยนะคะจากนั้นก็เข้าไปในห้องของ Social Discovery กันเลย

ภายในห้องจะเป็นห้องมืดใช้ไฟทางพื้นและฝ้าเพดานเป็นแสงนำสายตาไปยังจอภาพ LED

จากนั้นหลังจากที่ Log in ใน Instagram ด้านนอกไม่ถึงนาทีเครื่องก็จะประมวลผลและเผยแพร่รูปใน Instagram ของเราขึ้นมาทำให้รู้ว่าตลอดที่ผ่านมาของเรา Lifestyle ของเราเป็นยังไง มีใครที่ร่วมประสบการณ์ในชีวิตเราด้วย

ขึ้นมาต่อกับชั้น 1 หรือชั้น Street Lab กันค่ะ สำหรับชั้นนี้จะเน้นสินค้าแนวแฟชั่นสตรีท และแฟชั่นเสื้อผ้ากีฬาต่างๆ ไปดูกันค่ะ

บนชั้นนี้ก็จะมีแบรนด์รองเท้าชั้นนำที่นำคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดอย่างสนีกเกอร์ แบรนด์ดัง Vans, Palladium, Converse และ Asics

มาดูที่งาน Interior กันบ้าง ถือว่าค่อนข้างจัดเต็มกันเลยทีเดียว

และอีก shop อย่างแบรนด์แว่นตา Komono ที่จัด display ออกมาได้หวือหวาทีเดียว

มาเจอโซนนี้กันบ้างค่ะ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนนะคะ คือ

  • Street Lab x ElleMen หรือการทำกิจกรรม The Taste Experiment เพื่อค้นหารองเท้าที่เหมาะกับ Lifestyle ของคุณ ทำให้คุณได้พบคำตอบของสไตล์ในแบบ Street หรือแบบ Sport โดยหลังจากที่ตอบคำถามจากหน้าจอเสร็จเรียบร้อยเครื่องจะประมวลผลออกมาแล้วปริ้นหน้าตารองเท้าที่เหมาะกับคุณมาให้คุณเดินไปหยิบในห้างนี้ได้เลยเรียบร้อยค่ะ
  • Run for Another Life คืออีกกิจกรรมนึงที่ทางสยามดิสคัฟเวอรี่ได้จัดขึ้น เห็นตรงลู่วิ่งไหมคะ การเล่นกิจกรรมคือการวิ่งนั่นเองค่ะ โดยทุกๆการวิ่งของคุณในระยะทุกๆ 500 ม. ทางสยามดิสคัฟเวอรี่จะร่วมบริจาคเงิน 10 บาท เพื่อเพิ่มอ็อกซิเจนให้กับสวนลุมพินีที่ถือว่าเป็นปอดของคนกรุงเทพค่ะ

ถัดมามีอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจทีเดียวอย่างร้าน Cazh เป็นร้านยีนส์ Made to Order

โดยลูกค้าสามารถเลือกยีนส์ที่ถูกใจตัวคุณมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นผ้ายีนส์ รอยตะเข็บ ไปจนถึงเม็ดกระดุม ในราคาเริ่มต้นที่ 6,900 บาท โดยหลังจากที่สั่งเรียบร้อยลูกค้าจะได้รับสินค้าภายใน 7 วัน

และรองเท้าก็เช่นกันนะคะ สามารถ Made to Order ได้ ในราคาเริ่มต้น 3,900 บาท โดยงานดีไซน์จะมาจากดีไซน์เนอร์ของไทยเรานี่เองค่ะ

มาที่ shop Alpha Runner กันบ้างดูซิว่ารองเท้าแบรนด์นี้นำอะไรมากระตุ้นต่อมอยากซื้อกันบ้าง

นอกจากรองเท้าสีสันสะดุดตาและเรื่องของคุณภาพแล้ว

อีกสิ่งนึงที่น่าสนใจคือการใส่ใจลูกค้า โดยทำลู่วิ่งขึ้นมาให้ลูกค้าถอดรองเท้าวิ่งดูเพื่อดูว่าลักษณะการวิ่ง การลงเท้า นั้นเป็นอย่างไร หลังจากวิเคราะห์เรียบร้อยแล้วก็จะสามารถบอกได้ว่าลูกค้าเหมาะกับรองเท้าวิ่งแบบไหน เน้น Support ส่วนไหน เพื่อให้การวิ่งหรือการออกกำลังกายของคุณนั้นมีคุณภาพและสุขภาพที่ดี

Shop Addidas ก็ไม่น้อยหน้านะคะ นอกจากเป็น Shop ใหญ่มีสินค้าสำหรับคุณผู้หญิง เด็ก และคุณผู้ชายแล้วก็ยังมีสินค้าสำหรับคนรักกีฬาฟุตบอลอีกด้วย

และสิ่งที่น่าใจนอกเหนือจากสินค้าของ Addidas นั้นก็คือห้องแต่งตัวของ Addidas ที่ออกแบบมาในแนวคิดห้อง Team Room ซึ่งเหมือนการจำลองห้องนั่งเล่นห้องแต่งตัวรวมของเหล่านักกีฬาฟุตบอล

แต่ละห้องก็จะตกแต่งเป็นสยามชื่อดังต่างๆ และมีป้ายของนักกีฬาชื่อดังด้วยค่ะ

และในชั้นนี้นอกจากจะเป็นแบรนด์สินค้าและเสื้อผ้าแฟชั่นสตรีทและสปร์ตนั้น อีกสิ่งนึงที่ดูจะแตกต่างออกไปจากที่อื่นๆ คือร้านน้ำปั่นสุขภาพสำหรับคนรักสุขภาพอีกด้วยค่ะ

ขึ้นมาที่ชั้น 2 หรือชั้น Digital Lab จะมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจอีกบ้างไปดูกันค่ะ

เริ่มกันที่ร้าน Loft ร้านที่อยู่คู่กับสยามดิสคัฟเวอรี่มานาน กลับมาใหม่ในรูปโฉมที่ทันสมัยมากขึ้น และไม่เพียงเท่านั้นในเรื่องสินค้าก็มีมาให้เห็นแปลกหน้าแปลกตามากขึ้นด้วยนะคะ

มาที่โซน Digital Lab ซึ่งออกแบบมาอย่างหวือหวา ดูล้ำสมัย เหมาะกับเป็นพื้นที่ขายของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอล

มาที่โซน Social Discovery 2 จะเป็น Exhibition ขนาดไม่ใหญ่มากมีแผ่นรูปต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล

เหลือบไปด้านข้างเห็นผนังนี้สวยดีค่ะ

และอีกโซนนึงคือโครงการ Personalise : I create my own dream Bangkok คือการร่วมกันต่อ 3D Puzzle สร้างเมืองจำลองแห่งความฝันและมอบเป็นของเล่นให้น้องๆ ที่ห้องสมุดของเล่น โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสินค้า Nano Block and Black Smith 3D Puzzle จากร้าน Loft มอบให้มูลนิธิ มีชัย วีระไวทยะ ในการสร้างจิตสาธารณะมอบของเล่นให้แก่ห้องสมุดของเล่นประจำหมู่บ้านค่ะ

Shop Yamaha ก็ไม่น้อยหน้าจัดพื้นที่สำหรับคนรักการขับขี่มอเตอร์ไซต์ โดยการขี่มอเตอร์ไซต์แบบ Simulator ด้วยค่ะ

โซน Shop เล็ก Shop น้อยก็มี Display ในการจัดหวือหวาสวยงาม โดยใช้เส้นสายสีดำนี้นำสายตาไปยังสินค้าต่างๆ ที่ตั้งโชว์อยู่

สำหรับชั้นนี้นั้นก็มีพี่ Starbucks Coffee มาเปิดให้บริการเอาใจคอกาแฟกันด้วยค่ะ ซึ่งทางสยามดิสคัฟเวอรี่เค้าเคลมมาว่าพิเศษกว่าทุกสาขาที่เคยมีมาในประเทศไทยเพราะใช้แนวคิดการใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยการนำเอากากกาแฟมารีไซเคิลเป็นเฟอร์นิเจอร์ภายในร้าน

ถัดมาที่ Shop เอาใจสาวใสหัวใจประดิดประดอยกันบ้างค่ะ กับ Shop ของ Pinn ที่มาในแนวน่ารักมุ้งมิ้งและมีสินค้าให้เลือกมากมายเลยค่ะ

มาต่อกันค่ะ อย่าพึ่งเหนื่อยกันนะ กับชั้น 3 หรือชั้น Creative Lab เป็นชั้นที่รวบรวม Shop ที่เกี่ยวกับ Home & Living

ขึ้นมาถึงยังไม่ทันไรก็เจอส่วนที่เรียกว่า Creative Lab x Wallpaper* ที่ร่วมสร้างสรรค์เทคโนโยลีในกิจกรรมที่ชื่อว่า Pick & Place หรือการหยิบและวางสินค้าที่สนใจเพื่อค้นหาข้อมูลสินค้า 10 อย่างที่นำมาจัดวางไว้ว่ามีประวัติความเป็นมายังไง

อย่างสินค้าที่เป็นตัวอักษรจีนนี้ ถ้าเราอยากรู้ว่าคืออะไร ใครเป็นผู้ออกแบบ มีแนวคิดอย่างไร ก็แค่วางสินค้าบนสติ้กเกอร์ที่พิมว่า Place Here

จากนั้นคำอธิบายต่างๆของสินค้านี้ก็จะปรากฎขึ้นมาที่หน้าจอให้เราได้อ่านและรู้จักสินค้านี้ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

และชั้นนี้ก็มีร้านภูฟ้าด้วยนะคะ อย่าลืมไปอุดหนุนกันนะ

เดินมาอีกไม่เท่าไหร่ก็เจอโซนกิจกรรมอีกโซนชื่อว่า Eco Select: Save Our Planet โดยการประดิษฐ์พวงกุญแจจากวัสดุรีไซเคิลเป็น Eco Gift Set โดยรายได้จากการจำหน่าย Eco Gift Set นั้นจะนำไปสมทบทุนการปลูกป่ากับมูลนิธิประเทศสีเขียวค่ะ

มาดู Shop Room Conceptstore กันต่อค่ะ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าสำหรับการประดับตกแต่งบ้าน

ส่วนชุดชานี้ก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าจาก Room Conceptstore ค่ะ น่ารักมากๆ

ในส่วนของ Home & Living นั้นจัดพื้นที่เป็นโต๊ะขนาดใหญ่หลายโต๊ะ แล้ววางสินค้าบนโต๊ะเลย ไม่มีกรอบอะคลิลิกครอบ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าลูกค้าน่าจะเข้าถึงตัวสินค้าได้มากขึ้นค่ะ

และมีส่วน Decoration ในส่วนพื้นที่ Outdoor ด้วยนะคะ

มาที่ Shop Habitat ที่อยู่คู่กับสยามดิสคัฟเวอรี่มาเช่นเดียวกันกับร้าน Loft ก็มาเปิดโฉมใหม่พร้อมสินค้าอัพเดตใหม่ให้ได้เลือกซื้อกันค่ะ

ขึ้นไปชั้น 4 กันที่บันไดนี้เลยค่ะ ดีไซน์ได้โดดเด่นมากๆ โดยบันไดนี้ไม่เพียงแต่ใช้ขึ้น-ลงปกติเท่านั้นนะ แต่ด้านข้างขวาในรูปทำเป็น step สำหรับใช้นั่งเล่นได้ด้วย

บริเวณบันไดที่ใช้นั่งเล่นได้ก็มีการจัดเบาะนั่งนุ่มๆ ให้ด้วยนะ

มาที่ชั้น 4 หรือ Play Lab เน้นไปที่กิจกรรมต่างๆ ของคนในเมืองที่มีไลฟ์สไตล์และความชอบแตกต่างกันไป

เริ่มต้นด้วยร้าน Play Station ซึ่งมาจากความร่วมมือระหว่าง Toys Station และ Sony ค่ะ

ภายในมีการจัด Display เป็นโมเดลของเหล่าฮีโร่, Starwars และอื่นๆ อีกมากมาย เอาใจสาวกเกมเมอร์

มีหุ่นยักษ์คุณโยดา จาก Starwars และพี่ Iron Man จาก The Adventures ด้วยนะ

ในชั้นนี้มีพืนที่โซน Co-Food Lab ด้วยค่ะ ส่วนร้านนี้คือว่า Outback Steakhouse ใครกินแล้วอร่อยมาแนะนำกันบ้างนะคะ 🙂

และฝั่งข้างๆ เป็นพื้นที่คล้าย Canteen แต่ดูดีกว่า คือมีร้านอาหารเล็กๆ จัดเป็นบูทน่ารักๆ คอยบริการอยู่ และมีพื้นที่ให้นั่งรับประทานอาหารให้เรียบร้อย

สำหรับสาวกหัวใจนักปั่นก็มี Shop ดังอย่าง Tokyo Bike มาเปิดด้วยนะคะ

ส่วนสุดท้ายและท้ายสุดคือ Discovery Hubba ที่อยู่บนชั้น 4 นี้

เป็น Co-Working Space ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ร่วมมือกับ Hubba เพื่อเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนไอเดียและความฝันในการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก เป็น Retails Start Up ให้แก่คนรุ่นใหม่ค่ะ โดยค่าใช้จ่ายในการให้บริการเริ่มต้นอยู่ที่ 399 ต่อครั้ง มีอายุใช้งาน 1 เดือน แอบบอกว่านอกจากจะเป็นพื้นที่ Co-Working Space แล้วก็มีส่วนขนมกรุบกริบเป็นของว่างให้รับประทานกันด้วยนะคะ 🙂

 

จบแล้วค่ะสำหรับการพาชมบรรยากาศของห้าง Siam Discovery – The Exploratorium เรียกได้ว่าสมกับการรอคอยจริงๆนะคะ ทั้งการตกแต่งภายในและภายนอก แนวความคิดจากการออกแบบของ Nendo รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ทางสยามดิสคัฟเวอรี่ได้จัดขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมและสามารถนำไปสร้างสรรค์อย่างการนำไปสมทบทุนช่วยเหลือต่างๆ สำหรับใครที่อยากไปสัมผัสบรรยากาศจริงๆ ของห้างนี้นั้นพร้อมจะเปิดตัวแล้วในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ค่ะ หากเพื่อนๆ คนไหนไปมาแล้ว มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมสามารถมาคอมเม้นท์พูดคุยกันได้นะคะ 🙂