%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99-3-5-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99_w-991_r

นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักติดต่อกันในหลายๆ พื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ส่งผลให้บ้านเรือนถูกน้ำท่วมขังและประชาชนต่างได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ถนนหนทางทั้งในเมืองและชนบทก็ถูกน้ำท่วม เส้นทางสัญจรหลายแห่งถูกตัดขาด ทำให้การขนส่งและเดินทางยากลำบากเป็นอุปสรรคต่อการค้าและบริการ คาดว่าจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของภาคใต้ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้พอสมควร

ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านภาคใต้และยอดขายบ้านของบริษัทฯ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ถือว่ามีการฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ยังชะลอตัวหรือแค่ทรงตัว เหตุผลสำคัญเป็นเพราะผู้บริโภคในภาคใต้ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ บริการ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าเรื่องราคา ธุรกิจรับสร้างบ้านจึงมีการแข่งขันไม่รุนแรงนัก และในช่วงท้ายปีนี้ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อผู้บริโภคบางส่วนสะดุดลงด้วยเพราะการลงทุนบ้านหรือที่อยู่อาศัยชะลอตัวประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้น จึงจะทำให้ยอดขายบ้านของบริษัทฯ ในภาคใต้ลดลงพอสมควร และอาจฉุดให้ตัวเลขยอดขายบ้านทั่วประเทศของบริษัทฯ มีโอกาสต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.2 พันล้านบาท

“สำหรับ กลยุทธ์และการปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทฯ ได้หันมาเน้นควบคุมต้นทุนค่าบริหารและใช้จ่ายต่างๆ เช่น ใช้แอพพลิเคชั่นนำเสนอแบบบ้านแทนโบชัวร์หรือสิ่งพิมพ์ ปรับแบบบ้านและลดวัสดุฟุ่มเฟือยที่ใช้สร้างบ้าน (Re-Product) เพื่อลดต้นทุนก่อสร้างบ้านให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภค ใช้ระบบบ้านโครงสร้างเหล็กเพื่อสามารถก่อสร้างได้เร็ว จากการปรับตัวและดำเนินการดังกล่าวทำให้ราคาค่าก่อสร้างบ้านลดลงจากเดิมเฉลี่ย 3-7% หรือราคาบ้านเริ่มต้นที่ 15,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของบริษัทฯ ที่จะเข้าถึงกำลังซื้อกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มราคาบ้าน 1.5-3 ล้านบาท ที่ผู้บริโภคมีความต้องการมากที่สุด และกลุ่มราคาบ้าน 3 ล้านบาทขึ้นไป-5 ล้านบาท ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภครองลงมา คิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่า 60% ของมูลค่ารวมตลาดบ้านสร้างเอง”

นายพิศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทฯ มีแผนขยายสาขา 1-2 แห่ง แต่ด้วยเพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคหรือต่างจังหวัดยังไม่ฟื้นตัวดังที่คาดไว้ ดังนั้นจึงได้ชะลอการขยายสาขาใหม่ออกไปก่อน เพราะไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงเกินไป สำหรับแผนการขยายสาขาในปีหน้า คงต้องรอดูแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศและเศรษฐกิจโลกอีกครั้งว่าจะเป็นไปในทิศทางใด โดยส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจปี 2560 น่าจะไม่ขยายตัวหรือแค่ทรงตัว