นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผย ถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณหมอชิตเก่า บนเนื้อที่ 63 ไร่ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ว่า ที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับทางบริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด หรือ BKT ในฐานะผู้รับสัมปทานโครงการเกี่ยวกับค่าฐานรากที่กรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณจ่ายไปก่อน และการขยายระยะเวลาบริหารสัญญาแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่างรอทางบางกอกเทอร์มินอลพิจารณาปรับตัวเลขผลตอบแทนโครงการเสนอใหม่อีกครั้งซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปในสัปดาห์นี้หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนเสนอคณะกรรมการชุดที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และเสนอกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามลำดับต่อไป
สำหรับค่าฐานรากทางบางกอกเทอร์มินอลตกลงรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนระยะเวลาการบริหารโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างเจรจาเพิ่มเติมว่า หากเป็น 30 ปีแล้วขยายได้อีกคราวละ 10 ปี จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งรวมระยะเวลา 50 ปีแล้ว ตัวเลขผลตอบแทนจะออกมาอย่างไร หรือถ้าคิดรวมเป็นเวลา 50 ปี ตัวเลขผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร
“ตัวเลขผลตอบแทนจะมีเป็นออปชั่น ถ้าเลือกแนวทางที่ 1 จะเป็นอย่างไร หรือเลือกแนวทางที่ 2 จะเป็นอย่างไร โดยยืนยันว่า ผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐจะได้รับจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน” นายจักรกฤศฏิ์กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 มาตรา 72 ได้ดำเนินการประชุมและมีมติรับทราบผลศึกษาของบริษัทเทสโก้ ที่กรมธนารักษ์ว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาแล้ว ทางคณะกรรมการได้มีมติให้กรมธนารักษ์เจรจากับทาง BKT เพิ่ม 2 ประเด็น คือ ค่าชดเชยค่าก่อสร้างฐานราก และระยะเวลาการบริหารโครงการ
“ทางกรมธนารักษ์ได้เจรจากับทาง BKT เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยทางบางกอกเทอร์มินอลบอกว่า ยินดีที่จะรับภาระจ่ายค่าฐานราก วงเงิน 1,119.27 ล้านบาท ตามที่กรมธนารักษ์ได้จ่ายให้บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพไปก่อนหน้านี้ พร้อมกับดอกเบี้ยอีก 7.5% เริ่มตั้งแต่วันที่จ่าย กระทั่งถึงปี 2559 ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,494.76 ล้านบาท ส่วนประเด็นระยะเวลาบริหารโครงการที่จะขยายให้นั้น ยังเจรจาไม่ลงตัว ตอนนี้อยู่ระหว่างให้ทางบางกอกเทอร์มินอลพิจารณาและทำตัวเลขผลตอบแทนเสนอมาอีกครั้ง” แหล่งข่าวกล่าว
ที่มาข่าว: ประชาชาติ