DSC_0233

ดร.ดลพิวัฒน์ ปรีดาวิภาต ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ TNP เปิดเผยว่าจากการที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจอสังหาฯหันไปร่วมทุนกับชาวต่างชาติหรือผู้ประกอบการคนไทยรายใหญ่ด้วยกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า ณ วันนี้เป็นโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ล้วนมีต้นทุนทางด้านการเงิน TNP ในฐานะผู้ประกอบการรายกลาง มองว่าพันธมิตรในการร่วมทุนมีหลายรูปแบบ ซึ่งข้อดีของผู้ประกอบการรายกลางคือ สามารถเลือกผู้ร่วมทุนได้ และยืดหยุ่นในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นได้ เะราะการเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วร่วมทุนกับต่างชาติ หรือรายใหญ่ด้วยกันเอง ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการเสมอไป หากจะให้การร่วมทุนมีความสมดุลย์ควรเป็นการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลางหรือรายเล็กจะดีกว่า ซึ่งมีหลายรายที่ประสบความสำเร็จ

DSC_0278
ในส่วนของTNP เองนั้นก็พร้อมที่จะเปิดรับพันธมิตรที่จะมาร่วมทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับฟันด์จากประเทศในอาเซียน อยู่ 2 ราย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในปีนี้  ทั้งนี้การที่บริษัทฯสนใจร่วมทุนกับต่างชาตินั้นเพื่อต้องการเสริมความแกร่งด้านเม็ดเงินลงทุน ในขณะที่TNP มีโนฮาวอยู่แล้ว หากการเจรจาประสบผลสำเร็จ ก็จะทำให้บริษัทฯมีการพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 6 โครงการ จากแผนการพัฒนาเองในปีนี้มี 4 โครงการ รวมมูลค่า 1,800 ล้านบาท

DSC_0245
สำหรับ 4 โครงการใหม่ที่บริษัทฯจะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ในทำเลใหม่ย่านลาดพร้าว ซอย 101 ขนาดตั้งแต่ 50 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 6 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนอีก 3 โครงการ เป็นทาวน์เฮาส์ ย่านสุขสวัสดิ์และประชาอุทิศ ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนอาคารสูงในปีนี้บริษัทฯคงชะลอแผนการพัฒนาออกไปก่อน เพราะมองว่าเป็นตลาดฯของผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า ที่ส่วนใหญ่มีแลนด์แบงก์ในมืออยู่แล้ว โดยภาพรวมตลาดปีนี้คอนโดฯจะอยู่ในสัดส่วน 50% ซึ่งเหมาะกับผู้ประกอบการที่แบรนด์เป็นที่ยอมรับ มีฐานลูกค้าที่มาก และมีพันธมิตรที่ดี ขณะเดียวกันการที่หันมาพัฒนาโครงการแนวราบถือว่าดีเพราะสามารถปรับแผนได้เร็ว
และจากการที่มีการเสนอให้ภาครัฐแก้ไขพ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 จาก 30 ปี เป็น 99 ปี ตนมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯสนใจที่จะเช่าที่ดินแบบลีสโฮลด์ เพื่อพัฒนาโครงการมากขึ้น แต่เชื่อว่าหากอนุมัติ น่าจะขยายระยะเวลาได้ 50 ปีหรือไม่เกิน 70 ปี เพราะหากไม่ขยายระยะเวลาการเช่าที่ดิน ก็ไม่มีสิ่งจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนแต่อย่างใด หรือหากขยายไป 99 ปี คนไทยส่วนใหญ่ก็อาจจะรับไม่ได้ ที่ให้ชาวต่างชาติมาถือครองที่ดินได้นาน เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวคงไม่ได้ข้อยุติโดยง่าย
อีกเรื่องคือกรณีที่กระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นผู้ศึกษาโครงการ กรมธนารักษ์ เป็นผู้จัดหาที่ดินราชพัสดุแปลงที่มีศักยภาพมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยนั้น หากมีการสรุปแผนการพัฒนาออกมาอย่างชัดเจนก็จะเป็นเรื่องดี เพราะบริษัทฯเองก็มีที่ดินซึ่งเช่าจากวัดช่างเหล็ก จำนวน 40 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี ปัจจุบันเหลืออีก25 ปี มีแผนที่นำมาพัฒนาที่อยู่อาศัยราคา 600,000 บาท/หน่วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้านต้นทุน

DSC_0240
ล่าสุดได้ร่วมมือกับ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ในการติดตั้งโซล่าร์รูฟในทุกโครงการของ ธนาพัฒน์ฯ โดยจะเริ่มใน 4 โครงการใหม่ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมไปถึงที่โครงการ Jade Praise Private Zone ซึ่งเป็นทาวน์โฮมหรูบนถนนพระราม 3 โดยจะติดตั้งขนาด M ให้แก่ลูกค้าฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งจะติดตั้งในสัดส่วน 30-50% ต่อโครงการ โดยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่นำมาใช้ เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก เคียวเซร่า คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้วันละ 3.87 kWp หรือประมาณ 7,062 หน่วยต่อปี รับประกันอายุการใช้งานยาวนานถึง 25 ปี โดยใช้งบประมาณในการลงทุน 350,000 บาทต่อหลัง หากคำนวณการประหยัดค่าไฟฟ้าตลอดระยะเวลา 25 ปี จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 1,223,351 บาท หรืออาจกล่าวได้ว่า การติดตั้งโซล่าร์รูฟนี้ จะคืนทุนตั้งแต่ปีที่ 8 ส่วนระยะเวลาที่เหลือคือกำไรของการใช้นวัตกรรมโซล่าร์รูฟ ซึ่งบริษัทฯคาดว่า ลูกค้าในโครงการที่ปิดการขายไปแล้ว จะให้ความสนใจที่จะติดตั้งโซล่าร์รูฟดังกล่าว บริษัทฯ จึงเตรียมพร้อมที่จะส่งต่อความคุ้มค่านี้ในอนาคต

DSC_0253

อย่างไรก็ตามในปี 2559 ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,300 ล้านบาท และรับรู้รายได้กว่า 2,000 ล้านบาท และมีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) 500 ล้านบาท โตจากปี 2558 ที่มีรายได้ 1,700 ล้านบาท หรือโตประมาณ20%