Singha Estate เกิดจากการควบรวมธุรกิจของบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “RASA” (ชื่อเดิม) เข้ากับกิจการทั้งหมดของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือหุ้นโดยของถือหุ้นหลักของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
การรับโอนกิจการทั้งหมดแล้วเสร็จตามแผนงานที่วางไว้ โดย Singha Estate มีสินทรัพย์หลักภายหลังการรับโอนกิจการ ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพฯ โครงการ “Intro” และ “Maxx Ville” โรงแรม 5 ดาว สไตล์รีสอร์ท “โรงแรมสันติบุรี บีช แอนด์ สปา” บนเกาะสมุย และที่ดินเปล่าในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา
นริศ เชยกลิ่น CEO คนใหม่แห่ง Singha Estate อดีตขุนคลังแห่ง CPN ถูกวางตัวดูแลงานด้านการเงิน เพื่อเตรียมตัวจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ในอนาคต
วันนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคุณนริศ เพื่อซักถามถึงภาพรวมและแนวทางของ Singha Estate ส่วนรายละเอียดลึกๆ จะเป็นยังไง ตามอ่านในบทสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ
– สวัสดีค่ะ ขอให้คุณนริศช่วยเล่าประวัติคร่าวๆ ให้ฟังหน่อยนะคะ
ผมเรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มต้นทำงานในสายบัญชีและไฟแนนซ์ แล้วมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัท ธนายง จำกัด หรือ BTS Group Holding, ไทยวากรุ๊ป, ธนาคารนครหลวงไทย และ CPN ประมาณ 16 ปี ส่วนมากงานของผมจะไม่พ้นแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผมเชื่อว่ามันคือ Destiny เพราะสุดท้ายผมก็มาอยู่ที่ Singha Estate
– บทบาทที่ได้รับใน Singha Estate
ผมทำหน้าที่ ดูแลจัดการในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของบุญรอดฯ ทั้ง โรงแรม คอนโด และออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีที่ดินเตรียมพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประกอบด้วย
- ที่ดินย่านอโศกมนตรี-ถนนเพชรบุรี เนื้อที่กว่า 11-2-24 ไร่ (สถานทูตญี่ปุ่นเดิม) ซึ่งจะถูกพัฒนาทำโครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA Complex) ออฟฟิศ
- ที่ดินเปล่าย่านประดิษฐ์มนูธรรมกว่า 30-40 ไร่ คาดว่าจะทำโครงการบ้านเดี่ยว
โดยในแต่ละส่วนก็จะมีคนที่เป็นมืออาชีพร่วมกันบริหารในแต่ละส่วน โดยจะมีผมคอยดูภาพรวมทั้งหมด
– ภาพรวมของ Singha Estate และวางแนวทางการพัฒนาบริษัทฯ ช่วง 2-3 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร
Singha Estate ถือเป็นน้องใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความหลากหลายทางธุรกิจ เนื่องจากเรามีทั้ง บ้าน คอนโด และโรงแรม ซึ่งเราจะไม่เน้นการเติบโตของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่โครงการของเราจะอยู่ในระดับ “Best Class” ในทุกกลุ่มอสังหา เราอยากเป็นส่วนที่ดีที่สุด ในทุกโครงการที่เราทำ
ในความเป็นจริง ทุกๆคน ที่มีบ้าน เวลาผ่านไป 10 ปี ทุกๆคน ก็เริ่มอยากเปลี่ยนบ้านให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรืออยากให้บ้านดูสวยขึ้น เราจึงอยากเป็น Hide Deal ในอุดมคติของคนที่ต้องการเปลี่ยนบ้านให้ดีขึ้น โครงการในเครือ Singha Estate จะต้องดีที่สุดในตลาด ซึ่งอาจไม่ได้ถูกมาก แต่ยุติธรรมกับราคา ความพอใจ และความสบายใจของผู้อยู่อาศัย
– เนื่องจากอสังหาฯค่อนข้างมาแรงมาก คุณนริศมองว่าวิกฤตปี 40 จะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกรึเปล่า
วันนี้ผู้บริหารทุกคนค่อนข้างระมัดระวังตัว ไม่กู้เยอะ และรักษาระดับอัตราส่วนการกู้ต่อทุน ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นฟองสบู่มากๆนั้นไม่มี ปัจจัยทางด้านต้นทุนหลายด้านค่อนข้างลดราคาลงมา เช่น น้ำมัน ระบบเศรษฐกิจของประเทศก็ค่อนข้างดีขึ้น ค่าเงินไม่ผันผวนเยอะ
ส่วนตัวผมมองว่า อสังหาฯ น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญ เรามี demand จากต่างประเทศที่มากขึ้น และนักลงทุนใหม่ๆ ก็ค่อนข้างเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีครับ
– มาถึงคำถามสุดท้ายนะคะ เราควรใช้อะไรเป็นหลักในการเลือกซื้อบ้าน
การเลือกซื้ออสังหานั้น อย่าดูที่ราคาเป็นหลัก ต้องดูทั้งองค์ประกอบที่ตอบโจทย์ของชีวิตเราได้มากกว่า ทั้งเรื่องความสะดวก, ทำเล, เวลา และค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทาง รวมถึงความคุ้มค่า ผมมองว่า ที่อยู่อาศัยที่ดี เมื่อวันเวลาผ่านไป จะมีมูลค่าขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องพิจารณาทุกองค์ประกอบ ให้ถี่ถ้วน สิ่งที่เราซื้อมาคือ เงินที่เราสะสมมา หากไม่ดี แทนที่จะเป็นทรัพย์สิน กลับกลายเป็น ทรัพย์สินที่ด้อยค่า
ก้าวแรกของ Singha Estate เพิ่งเริ่มต้น แต่ด้วยฝีมือและประสบการณ์ของ “คุณนริศ เชยกลิ่น” จะทำให้บริษัทไปได้ไกลอย่างแน่นอน