กลุ่ม พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ แกรนด์ แอสเซทฯ คาดรายได้ปีนี้ 19,010 ล้าน เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ มั่นใจจากผลงานที่โดดเด่นในครึ่งปีหลัง คาดไตรมาส 4 จะมียอดโอนสูงสุดของปี ทั้งยอดขายฟื้นตัวชัดเจน ยอดโอน Backlog คอนโดโครงการใหม่ จัดตั้ง REIT ของ GRAND และรับรู้รายได้เพิ่มจากการขายที่ดิน เผยแผนร่วมทุนคืบหน้า กับผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปีหลังของ 2560 ว่า เนื่องจากครึ่งปีหลัง ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก  ทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค    ซึ่งส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การเติบโตในส่วนของแนวราบปรับฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่คอนโดยังมี      ซัพพลายล้นในบางทำเล จากการที่ผู้ประกอบการหันมาทำคอนโดมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 

เมื่อต้นปี กลุ่มบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 18,300 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 22,260 ล้านบาท แต่เนื่องจากครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้  จึงได้ปรับลดเป้าขายเป็น 15,100 ล้านบาท และปรับตัวเลขรายได้รวมเป็น 19,010 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ดีขึ้นอย่างเด่นชัดในครึ่งปีหลัง โดยดูจากผลการดำเนินงาน ณ สิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ  จึงคาดว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้

ในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ครึ่งปีแรกของปี 2560  กลุ่มบริษัททำยอดขายได้ 35% และรายได้รวมเพียง 32% ของเป้าที่วางไว้ โดยรายได้หลักยังคงมาจากโครงการแนวราบ  ขณะที่ครึ่งปีหลังของปี 2560 ยอดขายและยอดโอนทั้งโครงการแนวราบและคอนโด ส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก คาดไตรมาส 4 กลุ่มบริษัทจะมียอดโอนสูงสุดของปี เพราะนอกเหนือจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้น ยังจะมียอดโอนคอนโดโครงการใหม่ โดยปลายไตรมาส 3 จะมีการบันทึกรายได้จากโครงการเมโทรลักซ์ รัชดาเป็น Backlog มูลค่า 600 ล้านบาทเพิ่มเข้ามา  โดย Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3 มีจำนวน 3,620 ล้านบาท   ส่วนไตรมาส 4 นอกจากยอดโอนเมโทรลักซ์ รัชดา ส่วนที่เหลือแล้ว จะมียอดโอนจาก Backlog โครงการเดอะไฮด์ สุขุมวิท 11” อีก 2,200 ล้านบาท  ยังมีการจัดตั้งกองทรัสต์ ของ GRAND ขนาดกองทุน 1,750 ล้านบาท รวมทั้งจะมีรายได้จากการขายที่ดินประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่รับรู้รายได้ในไตรมาส 4  ทั้งนี้การรับรู้รายได้เพิ่มจากการขายที่ดินและเงินลงทุนถือเป็นจุดแข็งและข้อได้เปรียบคู่แข่งเนื่องจากบริษัทมีแลนด์แบงก์จำนวนมาก

จากนโยบายการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและลดภาระหนี้สินจะเริ่มสัมฤทธิ์ผลในไตรมาส 4  จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น และจากการขายที่ดินและเงินลงทุน ส่งผลให้กำไรของกลุ่มบริษัทจะปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานะการเงิน คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิ (Net IBD/E) จะลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6 เท่าในปี 2560 และปรับลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3 เท่าในปี 2561  โดยแผนในเรื่องการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรและลดภาระหนี้สิน ยังคงมีการดำเนินการต่อเนื่องไปในปี 2561 ซึ่งตั้งเป้ารายได้จากการขายที่ดินที่ 3,000 ล้านบาท โดยมีที่ดินและทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการเจรจามูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท 

แผนการดำเนินงานในปีหน้า 2561 ว่า คาดรายได้รวมจะเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 24% จากการเติบโตของทุกธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรม ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 21% โดยแนวราบจะเติบโต 25% และคอนโดเติบโตขึ้น 16% ในปี 2561 มีแผนเปิดโครงการใหม่ รวม 25 โครงการ มูลค่ารวม 31,413 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 21 โครงการ มูลค่า 26,513 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 4,900 ล้านบาท  สำหรับการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ทั้งกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศและต่างประเทศ ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างมาก  ไม่ว่าจะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น การร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในประเทศอีก 2 ราย เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการของ บมจ.วีรีเทล ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตลอดจนการเจรจาต่อยอดความร่วมมือกับผู้ร่วมทุนต่างประเทศเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มเติม

ในส่วนธุรกิจโรงแรม นายไพสิฐ แก่นจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า คาดว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจโรงแรมจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้ในปี 2560 จะโตขึ้น 16% และโตขึ้น 22% ในปี 2561 จากการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยว การจัดประชุมสัมมนาขององค์กร ซึ่งมีการใช้ห้องพักในวันธรรมดามากขึ้น กำไรจากการจัดตั้งกองทรัสต์ แกรนด์ โฮสพีทาลิตี้ (GAHREIT) โรงแรมเชอราตัน หัวหิน   การเปิดตัวโรงแรมใหม่ “ไฮแอท     รีเจนซี่ สุขุมวิท กรุงเทพ” ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 บริเวณสุขุมวิทซอย 13 เพียง 80 เมตร จากสถานีบีทีเอส นานา จำนวนห้องพัก 273 ห้อง  ตลอดจนการเปิดตัว “ไฮแอท รีเจนซี่ ระยอง” โครงการแบบมิกซ์ยูส เป็นรีสอร์ทและเรสซิเดนซ์บริเวณหาดแม่พิมพ์ ในช่วงกลางปี 2561