สวัสดีค่ะผู้อ่าน Thinkofliving ทุกคน วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับ Wellness Lifestyle Real Estate มาให้อ่านกัน

Wellness Lifestyle Real Estate หมายถึงที่อยู่อาศัยที่สร้างขึ้นเพื่อเน้นความเป็นอยู่ทางด้านสุขภาพโดยรวม ให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งกายและใจนั่นเอง แล้วเจ้า Wellness Lifestyle Real Estate นี้มันมีที่มาอย่างไร ในประเทศไทยมีโครงการแบบนี้หรือไม่ เหมาะสมกับใคร เราลองไปอ่านกันดูเลยค่ะ

<span style="color: #000000">Credit : Global Wellness Institute</span>

Wellness Lifestyle Real Estate ตามความหมายของ Global wellness institute ได้นิยามคำ ๆ นี้ไว้ว่า “Wellness lifestyle real estate is defined as homes that are proactively designed and built to support the holistic health of their residents.” หรือ ที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันและสนับสนุนเกี่ยวสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมของผู้ที่อยู่อาศัยในสถานที่นั้น ๆค่ะ

<span style="color: #000000">Credit : Global Wellness Institute</span>

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพถือว่าเป็นอีกหนึ่ง industry ที่มีการเติบโตสูงมาก อยู่ที่ประมาณ 6.4% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกโตอยู่ที่ 3.6%  โดยเฉพาะ Wellness Lifestyle Real Estate ถือว่าเป็น sector หนึ่งที่มีการเติบโตสูงมาก มีมูลค่าอยู่ที่ $134 billion เลยทีเดียว ซึ่งจากเดิมที่คนเรามักจะใช้จ่ายให้กับเรื่องของที่อยู่อาศัยประมาณ 20% ของรายได้อยู่แล้ว

<span style="color: #000000">Credit : Global Wellness Institute</span>

แต่สำหรับโครงการประเภท Wellness Lifestyle Real Estate นี้ จากที่พบเห็นจากต่างประเทศ สามารถขึ้นราคาได้เพิ่มขึ้นอีก 10-25% เลยทีเดียว

<span style="color: #000000">Credit : Global Wellness Institute</span>

เราคงคุ้นเคยกับเทรนเกี่ยวกับสุขภาพ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทยของเรากันมาซักพักแล้วนะคะ เราจะเห็นได้ตั้งแต่การเปิดให้บริการของฟิตเนสในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่เป็น Fitness Center , Sport Club หรือจะเป็น Studio ต่าง ๆ ก็มีมากมายหลากหลายเลย แต่อันที่จริงแล้ว สุขภาพไม่ได้หมายถึงเรื่องการออกกำลังกายเท่านั้น ยังหมายถึงอาหารการกิน การใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราเองล้วนสัมพันธ์กับสุขภาพกันแทบทั้งสิ้น ดังนั้นเทรนที่เกี่ยวกับสุขภาพ จึงมีทั้งทางด้านอาหาร การท่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งเทรนรักโลก ผลิตภัณฑ์ Organic ต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพราะมีความเชื่อว่าการใช้ของจากธรรมชาติจะทำให้ร่างกายเราได้รับสิ่งดี ๆ ไม่มีสารเคมีปนเปื้อนมายังสิ่งที่เรากิน ใช้ หรือสัมผัสในชีวิตประจำวันนั่นเอง ดังนั้นหลายๆคนจึงเริ่มที่จะหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ และลงทุนเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดสำหรับเราอย่างที่อยู่อาศัย ก็เลยกลายมาเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนมองว่าสำคัญเหมือนกัน ดังนั้นที่อยู่อาศัยสมัยใหม่จึงไม่ใช่ที่อยู่อาศัยอย่างเดียวแล้ว แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเราได้ด้วย เราจะเห็นได้จากคอนโดมิเนียมเมื่อ 10 ปีก่อนที่หน้าตาและฟังก์ชันไม่ต่างจากหอพักทั่ว ๆ ไป แต่ปัจจุบันกลับมีฟังก์ชันหลากหลายเพิ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งจุดขายของโครงการด้วยซ้ำ

ดังนั้น Wellness Lifestyle Real Estate ที่เรานำมาเล่าให้ฟังกันก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2000 จากปัจจัยเรื่องสุขภาพ ชีวิต ความเป็นอยู่ของคนนั่นเองค่ะ 

นอกจากความต้องการทางด้านสุขภาพที่มากขึ้นแล้ว การมาถึงของสังคมผู้สูงวัย Aging society ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เทรน Wellness Lifestyle Real Estate โตขึ้นมากด้วย จากปี 2006 ที่มีตัวเลขว่ามีผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีอยู่ประมาณ 11% ของคนทั้งโลก คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22% ในปี 2050 (Global Age-Friendly Cities: A Guide, Geneva, 2007) สาเหตุหลักๆของการที่โลกเราค่อยๆกลายมาเป็นสังคมผู้สูงอายุก็เช่น

  • อัตราการเกิดที่ลดลง จากการที่คนได้รับการศึกษามากขึ้น รายได้มากขึ้น แต่งงานช้าลง
  • Baby Boomer (หรือคนที่เกิดช่วง 1940-1960) ได้กลายมาเป็นผู้สูงวัยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นจำนวนคนประมาณ 19% ของคนทั้งโลก
  • ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการแพทย์ที่ทำให้คนเรามีอายุขัยยาวนานมากขึ้น

ในประเทศไทยเองก็เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นกันค่ะ จากปัจจุบันที่ 17.13% ของประชากรทั้งประเทศเป็นผู้สูงอายุ และคาดว่าผู้สูงอายุอาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศในปี 2040 เลย ((NESDB), 2017) ดูเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอยู่นะคะ ในขณะที่เรากำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ แต่ว่าสาธารณูปโภคหลายๆอย่างยังไม่ได้สร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้สูงอายุกันเลย ส่วนตัวเลือกทางด้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่เราคุ้นเคยกันมีอะไรกันบ้าง?

  • ส่งไปอยู่บ้านพักคนชรา หรือ nursing home แต่ก็จะถูกสังคมรอบ ๆ ข้างมองว่าลูกอกตัญญูบ้าง ไม่ดูแลพ่อแม่บ้าง
  • จ้างผู้ดูแลมาช่วยดูแลที่บ้าน ซึ่งตัวเลือกนี้คุณก็ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมมาอีกมากมาย เนื่องจากบ้านที่อยู่เดิม ไม่ได้มีความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัยของผู้สูงวัยขนาดนั้น

ดูๆไปแล้วตัวเลือกในปัจจุบันไม่ค่อยน่าดึงดูดใจและสะดวกเลยทั้งสำหรับลูกๆเองและพ่อแม่ด้วย

ซึ่ง..เมื่อเราลองค้นหาข้อมูลวิจัยเพิ่มเติม เรากลับประหลาดใจมากขึ้นนะคะ เพราะมีตัวเลขวิจัยบอกมาว่า จากปี 1986 มายังปี 2004 ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับลูกหลานลดลงจาก 77% เป็น 55% ค่ะ คืออาจจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว อยู่ใกล้ๆกันแทนบ้าง แล้วสิ่งนี้บอกอะไรเรา? มันหมายความว่า Demand หรือความต้องการเรื่องที่อยู่อาศัยหรือการให้บริการสำหรับผู้สูงอายุมันมีมากขึ้นค่ะ นอกจากนี้ความรู้สึกผิดของลูกหลานก็ลดน้อยลง ถ้าเกิดว่าสถานพยาบาลที่พ่อแม่ไปอยู่เป็นสถานพยาบาลที่อยู่ในระดับ Luxury มากขึ้น พ่อแม่ไปอยู่สบายมากขึ้น ทีนี้ก็จะ Happy ทั้งสองฝ่ายเลย

<span style="color: #000000">Credit : EIC analysis based on EIC’s survey in March 2018</span>

และด้วยความที่สังคม Modern หรือทันสมัยมากขึ้น กลุ่มคนยุค Baby Boomer ที่กำลังกลายเป็นผู้สูงวัยที่เรากล่าวไว้ในตอนต้น คนกลุ่มนี้น่าสนใจนะคะ ตรงที่เป็นกลุ่มคนที่ทำงานหนักมานาน มีเงินเก็บ มีความพร้อม และบางคนยังเป็นกลุ่มคนที่เริ่มมีการวางแผนการเกษียณของตนเองไว้แล้วด้วย แบบไม่ง้อครอบครัว ฉันก็อยู่ได้ อะไรแบบนี้เลย ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความสนใจที่จะซื้อหรือลงทุนในคอนโดมากกว่าคนรุ่นเด็กกว่าด้วยนะคะ (EIC, 2018) จากการวิจัยพอว่า 20% ของคนที่อายุมากกว่า 60 สนใจซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็นคอนโด เพราะปล่อยเช่าได้ เป็นบ้านหลังที่ 2 ก็ได้ และยังเป็นทรัพย์สินให้ลูกหลานได้อีกด้วย โดยคนกลุ่มนี้มีความสนใจคอนโดประเภท low rise มากกว่า high rise และก็ชอบโครงการ Mixed-use อย่างมีร้านค้า หรือ บริการทางด้านสุขภาพรวมอยู่ในโครงการด้วย

แล้วตลาดในเมืองไทย มีโครงการที่เป็น Wellness Lifestyle Real Estate กันบ้างรึเปล่า?

ถ้าเราลองมองคอนโดมิเนียมเเละโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่เกิดขึ้นมาในประเทศเราในช่วงหลังๆ แทบจะทุกโครงการมักจะมี Facility ต่างๆ เช่นฟิตเนส สวนสาธารณะ ที่ช่วยสนับสนุนการสร้างสุขภาพที่ดีอยู่เเล้ว ซึ่งการที่จะสร้างโครงการให้เป็น Wellness Lifestyle Real Estate ได้นั้นหลายโครงการจึงต้องเพิ่มเติมการให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพที่มากขึ้น เช่นการมีคลินิคหรือโรงพยายาลภายในโครงการ มีบริการตรวจสุขภาพเพิ่มเติม หรือว่ามีการออกแบบที่อิงหลักการ Universal Design มาใช้ภายในโครงการด้วย ซึ่งพอเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก็กลายเป็นว่าโครงการเหล่านี้ดูจะสร้างมาเพื่อผู้สูงอายุไปเลยด้วยซ้ำ

ในช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มจะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่มีกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงอย่างกลุ่มผู้สูงอายุกันมากขึ้น เราจะเห็นได้จาก 2 โครงการของ THG หรือ Thonburi Healthcare Group จากธุรกิจโรงพยาบาล ลงมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองเลย โดยภายในโครงการประเภทคอนโดมิเนียมที่ทาง THG สร้างมานั้น จะมีโรงพยาบาลตั้งอยู่พื้นที่เดียวกัน มี Facility สามารถทำกิจกรรมต่างๆที่เหมาะสมกับช่วงวัยได้ มีสังคมที่ดี สนุกสนาน เข้าใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีการนำเอาหลักการออกแบบ Universal Design มาใช้ภายในโครงการด้วย

<span style="color: #000000">Credit: The Center for Universal Design</span>

Universal Design หรือการออกแบบเพื่อทุกคน ไม่ใช้เเค่ผู้สูงอายุ แต่รวมไปถึงผู้พิการ เด็ก หรือใครก็ได้ที่เกี่ยวข้องเเละมาใช้งานสิ่งของหรือสถานที่นั้นๆ การนำเอาหลักการ Universal Design มาออกแบบภายในโครงการประเภท Wellness Lifestyle Real Estate นี่ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว ที่เมื่อเราแก่ตัวลงเราคงจะเดินเหินยากขึ้น อยากใกล้มือหมอมากขึ้น ไม่อยากมีพื้นต่างระดับให้เดินสะดุด มีการติดตั้งราวจับตามที่ต่างๆ และขนาดพื้นที่ภายในห้องที่สามารถใช้งานรถเข็นได้สะดวก ซึ่งโปรเจคที่ปล่อยออกมาจาก THG ในตอนนี้นั้น มีอยู่ 2 โครงการ เริ่มจากโครงการ Jin Wellbeing County และ Thonburi Health Village เราลองไปดูรายละเอียดทั้ง 2 โครงการนี้แบบคร่าวๆกันดีกว่าค่ะ

Jin Wellbeing County ถือว่าเป็นโครงการเเรกๆที่ทำออกมาโดยมีโรงพยาบาลรวมอยู่ในโครงการ เป็นโครงการที่สร้างมาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะเลย ไม่ใช่เเค่ว่าการออกแบบห้องพักที่ใช้หลักการ Universal Design แต่ยังมีการสร้างพื้นที่ภายในโครงการให้กลายเป็น Community สำหรับผู้อยู่อาศัย ได้มาใช้เวลาเเละทำกิจกรรมร่วมกัน รวมไปถึงการให้บริการทางการเเพทย์อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

Fact @ 07 June 2018

  • Jin Wellbeing County (จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้)
  • บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป
  • MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนน พหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี
  • คอนโด Low Rise 7 ชั้น 5 อาคาร 494 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด n/a ยูนิตที่อาคาร n/a
  • ที่จอดรถประมาณ 30% รวมจอดซ้อนคัน
  • ที่ดินประมาณ 140 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : กุมภาพันธ์ 2561
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ธันวาคม 2561 (Cluster 2)
  • ห้องพักอาศัย
    • 1 Bedroom 43-46 ตร..
    • 1 Bedroom Plus 63-66 ตร..

  • ราคาห้องเริ่มต้นล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 94,890 บาท/ตร..
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุดสูงสุด 94,000-96,000 บาท/ตร..
  • เวปไซต์โครงการคลิกที่นี่
  • โทร  : 062-802-9999, 02-147-5758-9

ตัวอย่างภายในห้องพักที่มีการนำเอาหลักการแบบ Universal Design มาใช้ เช่นขนาดทางเดินที่กว้างสำหรับรถเข็นผ่านได้ ตัวพื้นไม่มีระดับ เพื่อรองรับการใช้งานรถเข็นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ประตูภายในห้องพักเลือกใช้เป็นประตูบานเลื่อน โดยในโครงการจะมี Wellness Center และโรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพ ที่คอยดูแลด้านสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างมาเพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุจริงๆนะคะ

โครงการนี้ทาง Thinkofliving ของเราเคยทำรายการ “คิด เรื่อง อยู่” เอาไว้สามารถเข้าไปชมได้ที่ >> คลิกที่นี่

Thonburi Health Village Pracha Uthit เป็นอีกหนึ่งโครงการที่สร้างมาบนทำเลที่ใกล้เมืองเข้ามาหน่อย ในราคาที่ลดลงมา เเต่ยังคงเเนวคิดการออกแบบที่อิงมาจาก Wellness Lifestyle Real Estate เช่นกัน 

สามารถเข้าไปอ่านรีวิวโครงการนี้ฉบับเต็มได้ >> คลิกที่นี่

Fact @ 21 November 2018

  • Thonburi Health Village Pracha Uthit (ธนบุรี เฮลท์ วิลเลจ ประชาอุทิศ )
  • บริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์ แคร์ จำกัด ภายใต้การดูแลโดย บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด
  • ECONOMY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ถนนประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ
  • คอนโด Mid Rise 11 ชั้น 2 อาคาร 412 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 21 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 160 คันคิดเป็น 38%
  • ที่ดินประมาณ 4-0-48 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : .. 2561
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : มี.. 2562
  • Studio 32 ตร.. ราคาเริ่มต้น 2.04 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 64 ตร.. ราคาเริ่มต้น 4.04 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.4 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้นประมาณ 2.04 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 67,000 บาท/ตร..
  • เวปไซต์โครงการคลิกที่นี่
  • โทร  : 02-409-2640-1 , 087 514 1999

บรรยากาศภายในห้องที่ออกแบบโดยอิงแนวคิดของ Universal Design พื้นไม่มีระดับ เลือกใช้ประตูบานเลื่อน ขนาดทางเดินที่สามารถเข็นรถเข็นได้ ภายในห้องน้ำมีราวจับ เป็นต้นค่ะ 

สำหรับการให้บริการทางด้านสุขภาพของโครงการนี้จะมี Wellness Center เป็นศูนย์สุขภาพ ที่มีการดูแลและส่งเสริมสุขภาพ เช่นมีบริการแพทย์ทางเลือกมาให้ควบคู่กับแพทย์ปัจจุบัน มีส่วนกลางหลากหลาย ได้แก่ สระว่ายน้ำระบบเกลือพร้อมคลาสออกกำลังกาย, ฟิตเนส พร้อม Personal Trainer, บริการนวดและสปา ที่เรีกว่า Medical Spa , คลินิกฟื้นฟูสุขภาพ และร้านอาหารเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ

นอกจากโครงการของ Thonburi Healthcare Group แล้ว ยังได้ข่าวเเว่วๆมาว่าในปีนี้จะมีโครงการจาก Sansiri ที่ร่วมมือกับ Tokyu และโรงพยาบาลสมิติเวช เตรียมปล่อยโปรเจคอิงเทรน Wellness Lifestyle Real Estate นี้บนถนนกรุงเทพกรีฑาอีกด้วย แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเปิดตัวออกมาจับกลุ่มคนรักสุขภาพ หรือผู้สูงอายุกันเเน่นะคะ คงต้องรอดูต่อไป

ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าความท้าทายของทาง Developer ที่จะเข้ามาทำโครงการแนว Wellness Lifestyle Real Estate ในไทยอยู่ที่

  • จะต้องมีองค์ความรู้ที่นอกเหนือจากการทำอสังหาริมทรัพย์ คือต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการให้บริการทางด้านสุขภาพ และการบริหารจัดการอีกด้วย (ดังนั้นเราอาจจะเห็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัทอสังหาริมทรัพย์กับโรงพยาบาลกันมากขึ้น)
  • ในแง่การสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งตัวโครงการและภาพลักษณ์ว่าจะสร้างให้เป็นโครงการเพื่อสุขภาพ หรือเป็นโครงการที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (ซึ่งผู้สูงอายุหลายๆท่านก็ไม่ได้อยากรู้สึกว่าตัวเองแก่ และคนที่ไม่คิดว่าตัวเองแก่ คงไม่อยากซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับคนแก่ใช่ไหมคะ?)

แล้วคุณผู้อ่านละคะ คิดเห็นกับโครงการแบบนี้อย่างไร แล้วมีการวางแผนเรื่องที่อยู่อาศัยในช่วงบั้นปลายของชีวิตไว้บ้างหรือไม่คะ ลองเข้ามาพูดคุยกันได้

เเละสุดท้ายนี้ ก็ใกล้จะถึงงาน Event ของเราอีกครั้งเเล้ว เเน่นอนค่ะว่าเรามีหนังสือดีๆมาให้ผู้อ่านอีกเช่นเคย สามารถลงทะเบียนรับหนังสือฟรีได้ที่ >> https://bit.ly/2Fqs3FZ


  1. (EIC), E. I. (2018). Build smart real estate: strategies to capture the modern consumers. Bangkok.
  2. (NESDB), T. O. (2017). official report on Thailand’s social development in Q3/2017. Bangkok.
  3. Global Age-Friendly Cities: A Guide, Geneva. (2007).
  4. Global Wellness Institute. (2018). Global Wellness Economy Monitor October 2018. Miami,USA: Global Wellness Institute.
  5. Institute, I. W. (2017). International WELL Building Institute. Retrieved from Explore the Standard: https://www.wellcertified.com/en/explore-standard
  6. Institute, t. G. (2018). Build Well to Live Well WELLNESS LIFESTYLE REAL ESTATE AND COMMUNITIES.
  7. JLL. (2017, July 11). Retrieved from JLL Web site: http://www.jll.co.th/thailand/en- gb/news/585/strong-potential-for-luxury-senior-housing-market-in-thailand
  8. Praima Israsena Na Ayudhya, P. N. (2007). CAREGIVING FOR THE ELDERLY IN THAILAND . Bangkok: Department of Industrial Design School of Architecture Chulalongkorn University .
  9. Steinfeld, E. (1994). UD E-world. Retrieved from http://www.udeworld.com/dissemination/publications/56-reprints-short-articles-and- papers/110-the-concept-of-universal-design.html
  10. Teerawichitchainan, K. a. (2017). Family Support for Older Persons in Thailand: Challenges and Opportunities. Bangkok: University of Michigan Population Studies Center Research.
  11. United Nations, D. o. (2015). World Population Prospects: The 2015 Revision, Key Findings and Advance Tables.