24 พฤษภาคม 2662 – กรุงเทพฯ, กระทรวงการคลัง และ ยู ซิตี้ ได้ลงนามโครงการพัฒนาที่แปลงโรงภาษีร้อยชักสาม หลังบรรลุข้อตกลงร่วมกัน โดย ยู ซิตี้ พร้อมทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท ผุดโรงแรมระดับลักชัวรี่ส์ ในแลนด์มาร์กเก่าแก่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชูจุดขายด้านอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ สร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยวให้กับชุมชนท้องถิ่นย่านบางรัก คาดเปิดดำเนินการได้ ปี 2568
บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนกิจการร่วมค้า ซึ่งร่วมมือกับ บริษัท อามัน รีสอร์ท เซอร์วิสเซส ลิมิเต็ด และบริษัท ซิลเวอร์ลิงค์ รีสอร์ทส์ ลิมิเต็ด จัดพิธีลงนามข้อตกลงโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสามกับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง โดยมี นางสาวอมรรัตน์ กล่ำพลบ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กรมธนารักษ์ เป็นผู้ลงนามร่วมกับ นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน)
สำหรับการลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ครอบคลุมสัญญาการเช่าพื้นที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสามพร้อมอาคารโรงแรมและสิ่งปลูกสร้างเป็นระยะเวลา 30 ปี โดยทางกิจการร่วมค้าฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญา จะชำระค่าตอบแทนเป็นค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่กรมธนารักษ์ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,660 ล้านบาท และมีบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการบูรณะอาคารหลังเก่าและก่อสร้างอาคารหลังใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการโรงแรมที่พัก
นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการพัฒนาโรงแรมในพื้นที่ดังกล่าว เน้นจุดขายด้านการอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์อายุ 130 ปี เพื่อสะท้อนถึงความสมบูรณ์งดงามของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม และก่อสร้างอาคารหลังใหม่ โดยจะพัฒนาเป็นโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,600 ตร.ม. ประกอบด้วยห้องพัก พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แบบครบครัน รวมไปถึงร้านอาหาร ห้องจัดเลี้ยง และห้องประชุมสัมมนา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านบางรักและริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยทางบริษัทฯ จะใช้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า โรงแรมจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ. 2568
สำหรับตัวอาคารโรงภาษีร้อยชักสาม เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2431 ซึ่งในอดีตใช้เป็นอาคารที่ทำการของศุลกสถาน โดยเป็นอาคารสูง 3 ชั้น มีมุขกลางสูง 4 ชั้น ทรงนีโอคลาสสิก ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญซึ่งอยู่คู่กับชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาเป็นระยะเวลายาวนานและบอกเล่าเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์การค้าขาย รวมถึงสถาปัตยกรรม วิถีชีวิต และการผสมผสานของวัฒนธรรมที่หลากหลายในพื้นที่ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2502 สถานที่แห่งนี้ ถูกปรับเป็นที่ทำการสถานีตำรวจดับเพลิงบางรัก อยู่เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนจะย้ายออกไป
ทั้งนี้ หลังจากได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทยู ซิตี้ จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากร ในการเข้าสำรวจพื้นที่อาคารเพื่อการบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ก่อนดำเนินการเข้าบูรณะตัวอาคารเก่า โดยคาดว่าการสำรวจขุดค้นทางประวัติศาสตร์รวมถึงการบูรณะซ่อมแซมอาคารและการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมดจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 6 ปี ก่อนเปิดให้บริการ
“ ยู ซิตี้ ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าประวัติศาสตร์และทางมรดกวัฒนธรรมที่ตกทอดมากับโรงภาษีร้อยชักสาม จึงพร้อมเข้าบูรณะปรับปรุงอาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้รวมถึงพัฒนาพื้นที่ใช้สอยโดยรอบ ด้วยแนวคิดที่มุ่งเน้นด้านการอนุรักษ์ ควบคู่ไปกับการนำเสนอในมิติด้านพลวัตรแห่งการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตชุมชนในท้องถิ่นในแบบร่วมสมัย เพื่อเป็นการฟื้นฟูให้อาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการท่องเที่ยว ให้กับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย” นางสาวปิยพร กล่าว
เกี่ยวกับ ยู ซิตี้
บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี และจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 53,000 ล้านบาท (ณ สิ้นไตรมาสที่1ปี2562) โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของ ยู ซิตี้ คือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศทั่วโลก เช่น โรงแรมในยุโรป ภายใต้แบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ จำนวน 49 แห่ง และโรงแรมในประเทศไทยอีก 5 แห่ง เช่น โรงแรมอีสตินแกรนด์ สาทร โรงแรมยูสาทร และโรงแรมยู เชียงใหม่ ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ กลายเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีจำนวนห้องพักภายใต้การบริหารจัดการที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ. 2568 รวมสูงถึงประมาณ 26,300 ห้อง ซึ่งรวมถึง โรงแรมที่รับบริหารภายใต้แบรนด์ “เวียนนา เฮ้าส์” “ยู โฮเต็ล” “อีสติน” และ “เทรฟลอดจ์” ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว เป็นไปตามกลไกตลาด
นอกเหนือจากธุรกิจโรงแรมแล้ว ยู ซิตี้ ยังได้มีการลงทุนในโครงการอื่นๆอีกหลายโครงการ เช่น โรงเรียนนานาชาติบริเวณถนนบางนา-ตราด มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท โครงการก่อสร้างอาคารประเภทใช้สอยรวม (mixed-use) ซึ่งมีโรงแรมและพื้นที่อาคารสำนักงานอยู่ด้วยกันที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าพญาไท มูลค่า 9,500 ล้านบาท และยังร่วมมือกับพันธมิตรอย่างแสนสิริในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบนแนวรถไฟฟ้า 26 โครงการ เช่น เดอะไลน์จตุจักร โมนูเมนต์ทองหล่อ รวมมูลค่าโครงการกว่า70,000 ล้านบาท โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัทฯ เท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยง จากความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศด้วย