12274687_498448890332468_4744035502494269786_n

Singha Estate แย้มงบครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก เหตุทุกธุรกิจฟื้นตัว ธุรกิจโรงแรมเข้าช่วงไฮซีซั่น ส่วนธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายยังมียอดขายเข้ามาต่อเนื่อง ล่าสุดตั้งบริษัทย่อย S36 Property เพื่อลุยพัฒนาคอนโดมิเนียม

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังคาดจะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ เนื่องจากทุกธุรกิจที่มีในมือดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องลุ้นรายได้รวมในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกรายได้รวมพลาดเป้าทำได้ 1,528 ล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถพลิกมีกำไรสุทธิ 162 ล้านบาท จากปี 2558 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 260 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะประกาศแจ้งงบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้

ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4/59 ยอดขายจากโครงการ เนอวานา ยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจโรงแรม ก็จะดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4/59 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับได้เปิดให้บริการโรงแรม Phi Phi Island Village Beach Resort หลังปิดปรับปรุงในช่วงไตรมาส 3/59

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เอส36 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยแห่งใหม่ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท เป็นทุนชำระแล้ว 250,000 บาท ทั้งนี้ S ถือหุ้นจำนวน 9,996 หุ้น หรือคิดเป็น 99.99% ของทุนจดทะเบียน

ก่อนหน้านี้นายเมธี วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน S เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2559 อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท จากปี 2558 ที่มีรายได้รวม 2,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากปี 2558 ที่มีขาดทุนสุทธิ 260.84 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการซื้อกิจการเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงแรมและเรสซิเดนซ์ เพราะล่าสุดบริษัทมีสินทรัพย์สร้างรายได้อยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท

อีกทั้งในปี 2559 บริษัทตั้งงบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท โดยจะใช้เข้าซื้อกิจการต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งบริษัทจะเน้นซื้อกิจการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งการซื้อดีลขนาดใหญ่จะทำให้บริษัทลดขั้นตอนการจัดการ และคุ้มกว่าการซื้อดีลเล็กๆ รวมทั้งยังสามารถรับรู้เป็นผลประกอบได้ทันที

โดยล่าสุดบริษัทได้เจรจากับธุรกิจโรงแรม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่ต้องการขายกิจการ และยังกำลังศึกษาตลาด โรงแรมในมัลดีฟส์ ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2558 บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับบริษัท FICO UK เข้าซื้อโรงแรมในอังกฤษ 26 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรการร่วมทุนในอังกฤษในช่วงไตรมาส 3/59

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น