Sansiri โชว์ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนองค์กร Made for Life…Made for Everyone
วางพันธกิจเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” ตอบรับเป้าหมายปี 63 ด้วยเป้ายอดขาย 29,000 ล้านบาท เติบโต 40%  พร้อมเสริมพอร์ตธุรกิจด้วย ”LIV-24” มุ่งสร้างรายได้ในอนาคต

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยย้ำภาพแบรนด์ที่ลูกค้าเชื่อมั่น ประกาศความสำเร็จปี 62 ด้วยยอดรับรู้รายได้ 26,300 ล้านบาทกำไร 2,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% พร้อม เดินเกมส์รุกตลาดปี 63 ด้วยยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone”

โดยวางพันธกิจเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” ส่ง 5 แบรนด์คุณภาพเซกเมนต์ Medium และ Affordable ตอบรับ Real Demand อาทิ ‘ดีคอนโด’ – ‘เดอะเบส’ – ‘สิริ เพลส’ – ‘อณาสิริ’ – ‘สราญสิริ’ ด้วย 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในตลาดพรีเมี่ยม ด้วยโครงการพร้อมอยู่ระดับลักซ์ชัวรี่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection ทั้งนี้ วางเป้าพรีเซลปี 63 สอดรับพันธกิจ 29,000 ล้านบาท เติบโต 40% และเป้าหมาย ยอดโอน 33,000 ล้านบาท ระบุเตรียมขยายแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการขยายฐานลูกค้า ”LIV-24” ระบบรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ ออกสู่โครงการที่บริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ทั่วประเทศ

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา แสนสิริมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความไว้วางใจ และความเชื่อมั่น จากลูกค้า หรือ “TRUST” ในด้านดีไซน์ คุณภาพ บริการ และแบรนด์ ควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ภาพรวม ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อปรับแผนธุรกิจให้สอดรับ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ จากภาพรวมความต้องการที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา มีดีมานด์ในตลาด Real Demand โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ แสนสิริจึงได้รุกตลาดโดยการวางเป้าหมายสำคัญในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบ ส่งผลให้ แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดขาย 21,000 ล้านบาท ยอดโอน 31,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ที่ 26,300 ล้านบาท และกำไร 2,400
ล้านบาท เติบโตขึ้น 20%

สำหรับในปี 2563 แสนสิริได้วางเป้าหมายพัฒนาโครงการใหม่ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท
  • บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท
  • ทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท

ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และAffordable เป็นหลัก เพื่อให้ แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย ขณะเดียวกันก็ ขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury และ Super Luxury ด้วยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้านแสนสิริ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 29,000 ล้านบาทในปี 2563 เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 33,000 ล้านบาท นอกจากนี้ แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี อีกถึง
47,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยความเข้าใจ Customer Insights และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอดระยะเวลากว่า 36 ปี ในปีนี้ แสนสิริได้เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้วยการวางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone” เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” รวมทั้งมุ่งมั่นมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่มากกว่าภายใต้แนวคิดบ้านที่ได้มากกว่าบ้าน

โดยได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย โฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ ‘ดีคอนโด’ – ‘เดอะเบส’ – ‘สิริ เพลส’ – ‘อณาสิริ’ – ‘สราญสิริ’ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่าน Community ใกล้เมืองในราคาเข้าถึงง่าย

อาทิ แผนเตรียมเปิดตัว dCondo รามคำแหง 40 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ในเดือนพฤษภาคมนี้ ตลอดจนจะรุกพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ๆ ที่ แสนสิริยังไม่เคยพัฒนาโครงการมาก่อน อาทิ การบุกทำเลย่านสุวรรณภูมิด้วยสราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ ขณะที่ในส่วนคอนโดมิเนียม แสนสิริมีการเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ถึง 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซ ศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน” โดยคอนโดมีเนียมที่พร้อมโอนในปีนี้
ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี ยังเป็นเป้าหมายที่แสนสิริยึดมั่น โดยมีกลยุทธ์ใหม่ในการสร้าง ความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเตรียมเปิดตัว Signature Function ในแบรนด์บ้านเดี่ยว เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดีไซน์ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาจาก Customer Centric เช่น การเปิดสราญสิริ ศรีวารี ที่นับว่าเป็นครั้งแรกบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาทที่มี Double Volume Living Space และนวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่น New Concept เน้นการพัฒนาและสร้างมูลค่าให้กับ Affordable brand ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง โดยเตรียมเปิดตัวแนวคิดใหม่ในการอยู่อาศัยที่สะท้อนการออกแบบที่ครอบคลุมไปทั้งโครงการตั้งแต่ตัวบ้าน พื้นที่ส่วนกลาง ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกัน ไปจนถึงการสร้างชุมชนที่มีแนวคิดร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่

โดยเตรียมรุกเปิดตัวโครงการใหม่ในแบรนด์ ‘อณาสิริ’ มิกซ์โปรดักส์ ที่รวมสังคมดีๆ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมเอาไว้ด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ในโครงการเดียวกันเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังรุกในด้าน WELL-BEING ผ่านดีไซน์ฟังก์ชั่นการใช้งานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ อาทิ Healthy Home นวัตกรรมบ้านปลอดฝุ่นที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา และใช้พัฒนาในหลายโครงการ

นอกจากนี้ ยังวางแผนมองหา Innovation ที่ยกระดับขึ้นอีกเพื่อต่อยอด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ “อากาศสะอาด” รวมถึง Elderly Care Solution ตอบรับ Aging Society ผ่านฟังก์ชั่นการใช้งาน โดยพัฒนาแปลนบ้านที่มี ห้องนอนล่าง หรือ ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างในทุกแบบบ้าน พร้อม Universal Design ในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ โดยมีแผนในนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วย “Prevent & Alert” เป็นตัวช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย “Smart & Convenient Home” ต่อยอดความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นจาก Home Automation ด้วยการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ภายใต้คอนเซปต์ “Convenience at One Click” พร้อมใส่ Solution ที่จำเป็น ในการอยู่อาศัย เช่น Master switch ที่ควบคุมไฟทั้งบ้านได้ในสวิตช์เดียว เป็นต้น

บริษัทฯ ยังมีแผนเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ ด้วย “แหล่งรายได้ใหม่” ได้แก่ แผนการนำ LIV-24 ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ ขยายการให้บริการสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแผนต่อยอด และขยายขอบเขตการบริการของ Home Service Application หลังประสบความสำเร็จจากประสบการณ์ให้บริการในลูกบ้านแสนสิริกว่า
40,000 ราย ใน 300 โครงการสู่โครงการอื่นๆ ที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารทั่วประเทศ

โดยวางแผนเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจระดับโลกก็ประสบความสำเร็จและมีมูลค่าการเติบโตเพิ่มขึ้น เช่น มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของแบรนด์ The Standard โรงแรมจากสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนธุรกิจโรงแรมทั่วโลกที่แสนสิริเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หลังจากประกาศแผนเปิดโรงแรมแห่งใหม่ 25 แห่งทั่วโลกภายใน 5 ปี และเปิดตัว The Standard London และ The Standard Maldives เมื่อปีที่ผ่านมา รวมทั้ง JustCo Co-Working Space ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 150% ในแต่ละปี และปัจจุบันมี 42 สาขา ใน 8 เมืองใหญ่ทั่วโลก

นายอุทัย กล่าวต่อว่า “แสนสิริมีแผนขยายกำลังการผลิตในโรงงานพรีคาสต์ (Precast) เพื่อรองรับการพัฒนา ที่อยู่อาศัย โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจาก โรงงานที่ 1 และ 2 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 700,000 ตารางเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร เมื่อเต็มกำลังการผลิต รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ได้ในอนาคต”

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คือ “คน” โดยการวางกลยุทธ์ “People Strategy” ต่อยอดวิธีคิดแบบ Agile เพื่อยกระดับความสุขของพนักงานเป็น Made for Us ขับเคลื่อนด้วย 2 แนวคิด คือ New way of Work เน้นการดีไซน์พื้นที่เพื่อตอบโจทย์การทำงานของพนักงานมากขึ้น ทำให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และได้คุณภาพงานที่ดีที่สุด และอีกส่วนคือ New way of Life สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงาน ในการทำงานร่วมกันที่ สิริ แคมปัส และเน้นประสบการณ์การทำงาน ผ่านเรื่องราวของสุขโภชนาการ การออกแบบพื้นที่สีเขียวภายในสำนักงาน เพิ่มพื้นที่สันทนาการ หรือพื้นที่ทำงานแบบ Creativity Workplace เป็นต้น

“แสนสิริยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโดยมีแผนยกระดับโมเดลธุรกิจเปลี่ยนโลก Sansiri Green สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน Sansiri Sustainability Mission ในปีนี้ เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนสู่สังคมและประเทศไทยในด้าน Waste Management และ Green Space อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” นายอุทัย กล่าวสรุป