หลังจากที่มีข่าวลือกันหนาหู เรื่องดีลระหว่าง King Power และ Pace Developmenะ ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 21.56 น. เมื่อคืนที่ผ่านมาก็ได้มีการแจ้งตลาดออกมาแล้วว่า
Pace Development ได้ขายส่วนของจุดชมวิว โรงแรม และพื้นที่ รีเทลด้านหน้าจำนวน 3 ชั้น ให้กับ King Power ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 14,000 ลบ. โดยแบ่งเป็น
- จุดชมวิว โรงแรม ห้องอาหาร 6,715 ลบ.
- Mahanakhon cube 5,220 ลบ.
- Success Fee 1,200 ลบ.
และได้มีการกันค่าก่อสร้างไว้ อีก 800 ลบ.
ก่อนหน้านี้ King Power ได้มีการก่อตั้ง “บริษัท คิง เพาเวอร์ มหานคร จำกัด” ที่มีทุนจดทะเบียน 1 ลบ. และมีกรรมการบริษัทคือ นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
เบื้องต้นมีการเปิดเผยกับ Bangkok Insight ว่าบริษัทเห็นศักยภาพในการลงทุน และคาดว่าน่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 ปี โดยวางแผนคร่าวๆ ว่าบริเวณจุดชมวิว ที่มีพื้นที่รีเทลกว่า 2,000 ตร.ม. จะเปิดเป็นร้านของ King Powerพร้อมเตรียมเปลี่ยนชื่อตึกเป็น “King Power Mahanakhon” (คิงก์ พาวเวอร์ มหานคร”)
สำหรับ Pace Development จะนำกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกรรมในครั้งนี้ รวมกับกระแสเงินสดจากการขายหุ้นเพิ่มทุนที่สำเร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 มูลค่า 3,894 ล้านบาท มาเพื่อลดหนี้ โดยจะมีผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีสภาพคล่องที่จะนำมาต่อยอดพัฒนาธุรกิจที่มีอยู่ให้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาวต่อไป
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังได้อนุมัติให้เพซเข้าซื้อหุ้นคืนจาก บริษัท อพอลโล เอเชีย สปริ้นท์ โฮลดิ้ง คอมปานี ลิมิเต็ด (อพอลโล) และโกลด์แมน แซคส์ อินเวสเมนท์ส โฮลดิ้งส์ (เอเชีย) ลิมิเต็ด (โกลด์แมน) ที่ถืออยู่ใน PP1 และ PP3 จำนวน 49% และ 48.7% ตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 10,000 ล้านบาท (320 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งทำให้เพซหมดภาระผูกพันต่อกันกับอพอลโลฯและ โกลด์แมนฯ
Pace Development มีแผนที่จะนำกระแสเงินสดส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนในโครงการมหานครมาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของบริษัทอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการทั้งหมดรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยสองโครงการแรกมีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้ว สามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2561 ได้แก่
- The Ritz-Carlton Residence Bangkok มียอดแบ็คล็อค 3,280 ล้านบาท และห้องชุดที่รอขายอีกมูลค่าประมาณ 4,281 ล้านบาท
- โครงการมหาสมุทร วิลล่า มียอดแบ็คล็อค 816 ล้านบาท และมีวิลล่ารอขายมูลค่าประมาณ 3,088 ล้านบาท
- โครงการนิมิต หลังสวน มียอดขายแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นยอดแบ็คล็อคคิดเป็นมูลค่า 6,709 ล้านบาท และห้องชุดรอขายมูลค่าประมาณ 1,291 ล้านบาท
- Windshell นราธิวาส มียอดแบ็คล็อค 792 ล้านบาท และมีห้องชุดรอขายอีกมูลค่าประมาณ 2,208 ล้านบาท
โดยทั้งโครงการนิมิต หลังสวน และ โครงการวินด์เชลล์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถโอนและรับรู้รายได้ภายในปี 2562
สำหรับโครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ หัวหิน บริษัทฯ มีแผนที่จะหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมลงทุนและปรับรูปแบบ พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้กับโครงการด้วยการเพิ่มจำนวนห้องพักเพื่อทำเป็นโรงแรมเพื่อสุขภาพแบบครบวงจรระดับไฮเอนด์ในคลับเฮ้าส์ (Health & Wellness) โดยปัจจุบัน โครงการมหาสมุทร คันทรี่ คลับ มีสมาชิกกว่า 200 สมาชิก
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ “ดีน แอนด์ เดลูก้า” เพซจะนำกระแสเงินสดอีกส่วนหนึ่งมาใช้ลงทุนขยายสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกา ในคอนเซ็ปต์ใหม่ภายใต้ชื่อ DEAN & DELUCA xp ส่วนสาขาในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เน้นขยายในรูปแบบคาเฟ่ โดยทั้งสองคอนเซ็ปต์นี้เป็นการลงทุนในรูปแบบร้านขนาดเล็ก ที่เน้นการลงทุนน้อยแต่ได้ประสิทธิผลมากขึ้น และเป็นรูปแบบที่ถูกออกแบบไว้ให้พร้อมขยายได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดียวกันหากมีดีมานด์ โดยคอนเซ็ปต์ DEAN & DELUCA xp จะเริ่มที่มหานครนิวยอร์คเป็นแห่งแรก นอกเหนือจากนั้น ยังเน้นการขายสิทธิบัตรหรือแฟรนไชส์ ให้กับผู้ประกอบการในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ จำนวน 30 สาขา ใน 9 ประเทศ โดยเพซ เป็นเจ้าของกิจการในสหรัฐอเมริกา จำนวน 10 สาขา ในประเทศไทยจำนวน 11 สาขา และถือหุ้นร้อยละ 50 ในดีน แอนด์ เดลูก้าแบบคาเฟ่ที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวน 17 สาขา ซึ่งในปี 2560 ดีน แอนด์ เดลูก้า สามารถทำรายได้ที่ 3,142 ล้านบาท และตั้งเป้าที่จะมีกำไรจากกระแสเงินสดภายในปี 2561