หลังจากที่รัฐบาลปรับค่าแรงเป็น 300 บาท รวมไปถึงปัจจัยเรื่องน้ำมัน ค่าขนส่ง และวัสดุต่างๆทยอยกันปรับขึ้นไปเรื่อยๆ ทาง Index Living Mall เองก็ปรับราคาขึ้นไป 5% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และมีแผนที่จะปรับขึ้นไปถึง 10% ตามที่ทางคุณกฤษชนก กรรมการผู้จัดการของ Index ให้สัมภาษณ์ไว้ครับ
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
น.ส.กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เปิดเผยว่า จากนโยบายของรัฐบาลในการปรับ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ซึ่งมี ผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 ส่งผลให้ต้นทุน ด้านค่าแรงของบริษัทปรับขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีจำนวนพนักงานถึง 3,500 คน ในขณะที่ต้นทุนด้านราคาน้ำมัน ค่าขนส่ง วัสดุและวัตถุดิบต่างๆ ก็มีการปรับสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในช่วงไตรมาส 3 นี้บริษัทจึงมีแผนที่จะปรับราคาสินค้าในประเทศ ขึ้น 5-10% ส่วนสินค้าที่ส่งออกไปทำตลาดยังต่างประเทศได้มีการปรับราคาขึ้นไปแล้วประมาณ 5% เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ส่วนภาพรวมด้านกำลังซื้อของบริษัทในขณะนี้เริ่มที่จะทรงตัว หลังจากในไตรมาสแรกได้มีการปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายจากน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 แต่จากความกังวลว่าอาจจะเกิดน้ำท่วมซ้ำในปี 2555 จึงทำให้ ผู้บริโภคยังไม่กล้าที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เพื่อตกแต่งบ้านแบบเต็มที่ เพราะต้องการรอดูสถานการณ์ก่อนว่าน้ำจะท่วมอีกหรือไม่ แต่ถ้าปลายปี 2555 น้ำไม่ท่วมหนักเหมือนปี 2554 ก็เชื่อว่าผู้บริโภคจะกลับมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ในช่วงปลายปี 2555
“พฤติกรรมการซื้อเฟอร์นิเจอร์ของผู้บริโภคในขณะนี้ ยังคงเน้นการซื้อแบบพออยู่ได้ ไม่ซื้อแบบเต็มที่ เพราะกลัวน้ำท่วมซ้ำ ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็ต้องออกมาทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งกลยุทธ์ที่นำมาใช้นอกจาก จะเป็นการจัดโปรโมชั่นแล้ว การผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ๆ และการบริการก็ต้องหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง” น.ส.กฤษชนก กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2555 นี้ จะขยาย สาขาใหม่ในประเทศ 2 สาขา ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เปิดสาขาไปแล้วที่ศูนย์การค้าราชพฤกษ์ และล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ที่ย่านเกษตร-นวมินทร์ บนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าในย่านดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีสาขาเปิดให้บริการทั้งสิ้น 19 สาขา โดยในปีแรกของการเปิดสาขาเกษตร-นวมินทร์ คาดว่าจะมีรายได้กว่า 350 ล้านบาท
ในขณะที่ภาพรวมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2555 อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 8,600 ล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2554 และเป้าหมายระยะสั้นภายใน 3 ปีนี้ บริษัทได้เตรียมงบลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่มอีกประมาณ 5 สาขา เล็งพื้นที่ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ ใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะพยายามให้ครอบคลุมในทุกภาคของประเทศ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น และจะใช้งบในการทำการตลาดปีละไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท