Habitat Group ชี้ตลาดอสังหาเพื่อการพักผ่อนและลงทุนในพัทยา รับอานิสงส์มาตรการรัฐหนุนกระแสท่องเที่ยวต่อเนื่องจากการลงทุนภาครัฐ ภาคเอกชน และการขยายอายุวีซ่าในไทย 10 ปี หรือ LTR Visa เปิดทางต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่มเข้ามาลงทุนและพำนักในไทยระยะยาว ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การลงทุน และการจ้างงาน เชื่อมั่นกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด เร่งเดินหน้าแผนเปิดโครงการใหม่ “เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท” รับดีมานด์ช่วงขาขึ้นจากชาวไทยและต่างชาติ
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในรูปแบบ Lifestyle Investment ในจังหวัดท่องเที่ยวโดยเฉพาะในพัทยาเริ่มมีทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้นจากหลายปัจจัยสนับสนุนในช่วงที่ผ่านมา และอานิสงส์ในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลต่อตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 และต่อเนื่องถึงปี 2566
โดยปัจจัยที่กล่าวถึงมาจากนโยบายการลงทุนของภาครัฐในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ช่วง 5 ปีต่อจากนี้ (2566-2570) โดยมีเป้าหมายการลงทุนอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท ดึงดูดให้เอกชนหลายอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจเอสเอ็มอี รวมทั้งภาคธุรกิจอสังหาฯ จากผู้ประกอบการในพื้นที่ และจากกรุงเทพฯ เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อนและลงทุนเริ่มเห็นสัญญาณเป็นบวกมาตั้งแต่ต้นปี 2565 จากมาตรการเปิดประเทศพร้อมกับยกเลิกการลงทะเบียนผ่านระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ซึ่งข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการดังกล่าวส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม 2565) กว่า 4 ล้านคน เฉลี่ยกว่า 40,000 คน
นอกจากนี้ สัญญาณบวกด้านการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ เพื่อการพักผ่อนและการลงทุนยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกับมาตรการขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยด้วยการเปิดทางให้ขอวีซ่าระยะยาว 10 ปีประเภท Long – Term Resident Visa หรือ LTR Visa ใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มคนวัยเกษียณอายุ กลุ่มที่ต้องการเข้ามาทำงาน และกลุ่มทักษะความเชี่ยวชาญ นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนให้คึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น
“จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ผ่านมา ส่งผลให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมืองพัทยา มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น โรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการแล้วราว 70% และเชื่อว่าถ้ามาตรการ LTR Visa ที่ต่างชาติสามารถอยู่ในไทยได้นานขึ้นเป็น 10 ปี จะส่งผลดีกับตลาดอสังหาฯ และเศรษฐกิจในพื้นที่ที่รองรับการท่องเที่ยว” นายชนินทร์ กล่าว
ในส่วนของ ฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการในพัทยาอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา ที่ SOLD OUT และเปิดให้บริการมาแล้ว 1 ปี ปัจจุบันอัตราการเข้าพัก (occupancy) อยู่ที่ประมาณ 50 % ซึ่งก็นำมาสู่การต่อยอดโครงการใหม่ติดกับทำเลเดิม “เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท” (Bayphere Premier Suites) ที่ยังคงคุณภาพของทำเล และการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการพักผ่อนและการลงทุนของคนรุ่นใหม่
“เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท” มีมูลค่าโครงการ 845 ล้านบาท โดดเด่นในทำเลคุณภาพติดชายหาดนาจอมเทียน ในคอนเซ็ปต์คอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ (Low Rise) สูง 8 ชั้น 1 อาคาร บนเนื้อที่ 3 งาน 99 ตารางวา จำนวนห้อง 119 ยูนิต ขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 30 – 120 ตารางเมตร แบบสตูดิโอ, แบบ 1 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาท มาพร้อมพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ (Facilities) และการบริหารจัดการโดยโรงแรมระดับ 5 ดาว ด้วยบริการมาตรฐานพรีเมียม
ผู้ที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการได้ทุกวัน ดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th
โทร. 061-754-8222 ติดตามข่าวสารอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก www.facebook.com/HabitatGroupProperties,
ไลน์: @habitatgroup, อินสตาแกรม: habitatgroup_official, ยูทูบ: Habitat Group