นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2558 ว่า บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,358.30 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,227.97 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น ประมาณ 10.61% และมีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม 70.17 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.42% ในขณะที่งบการเงินเฉพาะกิจการมีกำไรสุทธิ 80.59 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.54% โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิจากงบการเงินรวมต่ำกว่างบการเงินเฉพาะกิจการในส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากการดำเนินงานของบริษัทย่อยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้รายได้ที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในช่วงแรกได้ทัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทพิจารณาว่า โดยภาพรวมผลประกอบการปี 2558 ยังคงเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากปีที่ผ่านมาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ที่ภาพรวมการส่งออกของประเทศติดลบ แต่บริษัทยังสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ โดยภายในประเทศเติบโตประมาณ 17% และต่างประเทศเติบโตประมาณ 6% ส่วนผลกำไรจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เติบโต 13.54% ทั้งนี้ในส่วนการดำเนินของบริษัทย่อยในธุรกิจค้าปลีกร้าน Can Do และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่งเริ่มมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ดังนั้นจะต้องพิจารณาโดยภาพรวมผลการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในรอบปี 2559 ต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.0586 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 32.24 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.45% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย โดยมีกำหนดขึ้น XD วันที่ 19 เม.ย. 59 และ กำหนดจ่ายปันผล 6 พ.ค. 59 นี้
นายอารักษ์ กล่าวต่อไปถึงการขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติให้บริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด ในฐานะบริษัทย่อย ที่บริษัทฯ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 75% เป็นผู้เข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล (Biomass Power Plant) โดยการเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ที่จะจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นรวม 5 บริษัท และต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 8/2558 เมื่อวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2558 ได้มีมติพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนของบริษัทร่วมทุนจากบริษัทละ 2.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนบริษัทละ 20.00 ล้านบาท ปัจจุบันทางบริษัทร่วมทุนจำนวน 4 บริษัท ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับทิศทางธุรกิจในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 12% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวยังไม่นับรวมรายได้จากธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามา โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เบื้องต้นวางแผนขยายตลาดในประเทศโดยขยายสาขาภายใต้แบรนด์ ELEGA จำนวน 7 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 16 สาขา และวางแผนเปิดสาขา ร้าน FINNA HOUSE จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้น 3 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขา ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโอกาสสร้างการเติบโตของยอดขายจากออร์เดอร์ที่มากขึ้นตามการขยายสาขาของลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซี โลตัส โฮมโปร เมกาโฮม และดูโฮม
ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศมีสัญญาณการเติบโตที่ดี บริษัทได้รับออเดอร์จากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกันนี้บริษัทจะขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างยอดการขายเฟอร์นิเจอร์ให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 59% ภายในประเทศ 41%
ส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน “Can Do” จากประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้เปิดสาขาแล้วจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ และ เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 10 สาขาเน้นการเปิดในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเขตกรุงเทพปริมณฑลและหัวเมืองขนาดใหญ่เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายของร้านได้อย่างหลากหลาย
“บริษัทฯมั่นใจว่า รายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน ทั้งรายได้จากธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ประกอบกับรายได้ต่าง ๆ ที่จะทยอยรับรู้ในปีนี้จากบริษัทย่อย ECFH ประกอบด้วย ธุรกิจค้าปลีก 100 เยน และธุรกิจพลังงานทดแทน จะเป็นปัจจัยช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นายอารักษ์ กล่าว