บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI วางเป้าหมายเป็นผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ วางแผนเปิด 9 โครงการใหม่ในปี 2565 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท รุกขยายโครงการครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น ชลบุรี ระยอง อุดรธานี มุ่งสร้างความแตกต่างด้วยบริการหลังการขายตลอดอายุของการพักอาศัย ประกาศช่วงราคาเสนอขาย IPO เบื้องต้นหุ้นละ 10.00 – 10.50 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 7 – 9 และ 13 – 15 ธันวาคมนี้ เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ เพื่อยกระดับเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ โดยในช่วง 5 ปีข้างหน้าได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ตลอดจนมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในจังหวัด
หัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ เน้นทำเลใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมและจังหวัดที่ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (ECC) เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่

“เรามีเป้าหมายเป็นผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบของประเทศ โดยใช้จุดแข็งที่หลากหลาย ทั้งความเชี่ยวชาญการพัฒนาโครงการ โดยยึดความต้องการของผู้อาศัยเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อออกแบบบ้านและการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการภายใต้แนวคิด Human Centric และนโยบายให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าตลอดช่วงอายุของการพักอาศัยหรือ Long-Life Living After Sale Service โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการนัดหมายการแจ้งซ่อมและติดตามสถานะการซ่อมแซมผ่านโมบายแอปพลิเคชัน ตลอดจนความเชี่ยวชาญการบริหารต้นทุน รวมถึงการสนับสนุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเป็นบริษัทแม่”

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1) แบรนด์ “ไบรตัน” เป็นโครงการบ้านแฝด และทาวน์โฮม ในพื้นที่ปริมณฑล และต่างจังหวัด จับกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยทำงาน (First Jobber) 2) แบรนด์ “บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว พนักงานบริษัทและเจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก 3) แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับพรีเมียม จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 4) แบรนด์ “เบลกราเวีย” เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ เน้นฟังก์ชันอยู่อาศัยแบบสมัยใหม่ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว

โดยในปี 2565 บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 10,800 ล้านบาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และขยายในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยจากการขยายตัวของเมือง การขยายโครงข่ายคมนาคมและแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว อาทิ โครงการบริทาเนีย ราชพฤกษ์ – นครอินทร์ เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อมตะ-พานทอง จังหวัดชลบุรี เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย อุดร-ดุษฎี เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท, โครงการบริทาเนีย ระยอง เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท เป็นต้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่ปิดการขายแล้ว 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 17,550 ล้านบาท รวมถึงมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 6 โครงการ ที่กำหนดเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2564 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4,300 ล้านบาท

นางสาวพนิตาภรณ์ วงษ์ประกอบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2561 – 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 113.16% และมีกำไรสุทธิ 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและความต้องการบ้านจัดสรรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ตามการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง รวมถึงการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ในช่วงที่ผ่านมา โดยมีรายได้รวม 2,808.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 452.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเปิดโครงการใหม่และโครงการในปัจจุบันได้รับการตอบรับที่ดี รวมถึงการบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2564 ยังทำสถิติสูงสุดรายไตรมาสทั้งในด้านรายได้รวมและกำไรสุทธิอีกด้วย โดยทำรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,045.98 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 164.59 ล้านบาท

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะ ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า BRI เป็นผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 1 โครงการในปี 2560 เป็น 21 โครงการในปี 2564 และใช้ระยะเวลาปิดการขายต่อโครงการเฉลี่ย 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นในการพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชันให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปจากการศึกษาความต้องการ และปัญหาต่างๆ (Customer Pain Point) ของผู้บริโภค รวมทั้งมุ่งเน้นการนำเสนอบริการก่อนและหลังการขายที่แตกต่าง ตลอดจนความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการต้นทุนพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หลังจากที่ BRI ยื่นแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ปัจจุบันได้รับอนุมัติแบบคำขอเสนอขายหลักทรัพย์และไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว

นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ได้กำหนดช่วงราคาเสนอขาย IPO เบื้องต้นที่หุ้นละ 10.00 – 10.50 บาท โดยจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หรือ ORI ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BRI (Pre-emptive Rights) จองซื้อในวันที่ 7 – 9 ธันวาคมนี้ ได้ 3 วิธี ได้แก่ 1) จองซื้อผ่านระบบ Electronic Rights Offering (“E-RO”) บนเว็บไซต์ www.yuanta.co.th 2) ยื่นใบจองซื้อ ณ สำนักงานใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหุ้นในส่วน Pre-emptive Rights และ (3) การจองซื้อผ่านทางโทรศัพท์บันทึกเทป (สำหรับผู้ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น) โดยสามารถจองซื้อเกินกว่าสิทธิ (ไม่กำหนดอัตราสูงสุดการจองซื้อเกินกว่าสิทธิ) อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้น ORI จะได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิ ต่อเมื่อมีหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น ORI ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นที่จองซื้อตามสิทธิครบถ้วนแล้วเท่านั้น โดยหลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินกว่าสิทธิให้เป็นไปตามที่ระบุในแบบไฟลิ่งและหนังสือชี้ชวน

ส่วนนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ จองซื้อในวันที่ 13 – 15 ธันวาคมนี้ โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ คาดว่าจะประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ได้ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ (ภายในเวลา 17.00 น.) ทางเว็บไซต์ของ บมจ.บริทาเนีย (www.britania.co.th) และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จะแจ้งข่าวดังกล่าวทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) โดยคาดว่าจะนำหุ้น BRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2564 ทั้งนี้ BRI จะนำเงินจากการะดมทุนไปใช้พัฒนาโครงการ ชำระคืนเงินกู้ยืมและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ