โบรกเกอร์ตลาดบ้านมือสอง Art of Living มุ่งมั่นสร้างการเติบโต คาดสิ้นปี 2563 ตัวเลขบริหารการขายอสังหาฯทะลุ 5,000 หน่วย พร้อมปรับตัวรับการแข่งขัน รับมือพิษโควิด-19 ขยายบริการสู่การเป็นมืออาชีพร่วมบริหารโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมมือหนึ่ง (Project Sale) เผยล่าสุดคว้าบริหารโครงการได้แล้ว 4 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ตั้งเป้าโค้งสุดท้ายสิ้นปีนี้มีโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการย่านเกษตรฯ พัฒนาแบบมิกซ์ยูส รวมมูลค่า 3,000-4,000 ล้านบาท พร้อมชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยีดึงมืออาชีพพัฒนาด้าน IT ใช้ Big Data และ AI เพื่อสร้างความแม่นยำ ใหักับดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก-หน้าใหม่ ให้ประสบความสำเร็จการขาย มากกว่ารักษาไข้ภายหลัง
นายสรังสี นันทพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่ง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการดำเนินธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มือสองเป็นหลัก (โบรกเกอร์) ของคนไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.2557 และดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบันรวมเป็นเวลากว่า 7 ปี มีทรัพย์อสังหาริมทรัพย์มือสองที่บริหารอยู่ในพอร์ตในปีที่ผ่านมา ประมาณ 4,000 ยูนิต มูลค่าการขายประมาณ(รวม) 12,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2563 จะมีการเพิ่มขึ้นของทรัพย์อสังหาริมทรัพย์มือสองหมุนเวียนอยู่ในพอร์ตประมาณ 5,000 ยูนิต มูลค่าการขายประมาณ15,000ล้านบาท โดยรูปแบบการขาย จะมีทั้งลูกค้าฝากขาย 70% ฝากเช่า30% แต่มีแนวโน้มที่เจ้าของทรัพย์จะประกาศขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องความกังวลของการบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและโควิท- 19 ในปัจจุบัน เฉลี่ยที่เข้ามาใช้บริการกับบริษัท อาร์ต ออฟ ลิฟวิ่งฯ ประมาณ500 ยูนิต ต่อเดือน
“ก่อนที่จะมาตั้งบริษัทฯ ตนเองมีประสบการณ์ในด้านงานขายในบริษัทขนาดใหญ่ในหลายแห่ง ทั้งในบริษัทไฟแนนซ์ด้านสินเชื่อรายย่อย รวมถึงทำงานในบริษัทที่ปรึกษาด้านข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสิงคโปร์ ก่อนที่จะพลิกมาจัดตั้งบริษัทธุรกิจโบรกเกอร์ขึ้นมา โดยรูปแบบการขยายเอเจนท์นั้น ในระยะ 3-4 ปีแรกของการก่อตั้งบริษัท จะเปิดโอกาสให้นักศึกษาจบใหม่และผู้ที่ต้องการมีงานทำ ที่มีความสนใจในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เข้ามาร่วมงานกับบริษัทฯ ซึ่งในปี 2562 บริษัทฯได้ปรับแผนการตลาด โดยเปิดเพื่อรับเอเจนท์พาร์ทไทม์เข้ามา เพื่อเป็นทางเลือกที่สอง เป็นกระเป๋าที่สองให้กับผู้ที่สนใจจะนำอสังหาริมทรัพย์มาขาย โดยเป็นการแบ่งรายได้แบบ Profit Sharing กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯมีทีมงานที่มีประสบการณ์ที่มีความรู้และความชำนาญในการขายอสังหาริมทรัพย์คอยดูแล เนื่องจากตลาดบ้านมือสอง ผู้เล่น ผู้ขาย เข้าและออกง่าย อีกทั้งกฎหมายของการเป็นนายหน้าบ้านมือสองยังไม่มีการรองรับ” นายสรังสี กล่าว
จากสถานการณ์ตลาดบ้านมือสองที่มีการเปลี่ยนแปลง การแข่งขันที่รุนแรง ประกอบกับผลจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจ แผนที่จะไปขยายยังตลาดต่างประเทศในช่วงนี้ ต้องหยุดลง รวมถึงนโยบายของบริษัทฯที่มีเป้าหมายการสร้างการเติบโต ทำให้บริษัทฯต้องขยายขอบข่ายเพิ่มไลน์ธุรกิจใหม่ โดยเข้าไปรับงานขายโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรร และโครงการคอนโดมิเนียมมือหนึ่งเพิ่มเติม (Project Sale) มีโครงการที่ดูแลแล้ว 4 โครงการ
ผนึกกำลัง Data Tech Academy บริการลูกค้าอสังหาฯตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ทั้งนี้ การเข้ารับบริหารงานโครงการนั้นจะมีความแตกต่างกับการขายบ้านมือสอง ตรงที่การบริหารโครงการใหม่ จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่อง การวิจัย (Research) และการศึกษาความเป็นไปได้ของทั้งโครงการ (feasibility) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน เช่นการใช้ Big Data เพื่อให้เกิดความถูกต้องและแม่นยำในการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการที่บริษัทเข้าไปมีส่วนรวมในการบริหาร ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการค่าการตลาด ต้นทุนบริหารและระยะเวลาในการปิดโครงการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารนำมาใช้งานได้ตั้งแต่เริ่มแนวคิดการพัฒนาโครงการ ,กลุ่มของผู้ซื้อโครงการ ทั้งนี้บริษัทได้มีความร่วมมือกับ Data Tech Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารข้อมูลในการพัฒนาระบบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของการสร้างความได้เปรียบในธุรกิจโบรกเกอร์ คือ เรื่องของความลึกของข้อมูล (Data) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ความได้เปรียบของเราคือ เรายืดหยุ่นและคล่องตัวมากกว่า ทำให้สามารถแทรกเข้าไปตลาดการบริหารการสำหรับลูกค้าโครงการที่มีขนาดกลางและเล็กหรือมีงบประมาณจำกัดได้ ซึ่งกลุ่มอินเตอร์แบรนด์ จะไม่เข้ามาจับกลุ่มลูกค้ารายใหม่มากนัก เนื่องมาจาก Budget และ Scale ของลูกค้าไม่ได้ใหญ่มากพอ” นายสรังสี กล่าว
นายสรังสี กล่าวย้ำถึงความร่วมมือ กับ Datatech Academyว่าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล เป็น Data-driven Business โดยที่ ลูกค้าของเรา ซึ่งเป็นทั้งบริษัทที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และลูกค้าปลีกทั่วไป จะได้ยกระดับการบริการ โดยมีการนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) และการทำเหมืองข้อมูลรวมถึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่างๆ เช่น เทคโนโลยี AI มาช่วยสนับสนุนการบริการ และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ การนำข้อมูลเข้ามาขับเคลื่อนองค์กรนั้น จะนำมาใช้ตั้งแต่ต้นน้ำของกระบวนการทำงานทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ช่วย ผู้พัฒนาฯ กำหนด และนิยาม กลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น และเข้าใจพฤติกรรมผู้จะซื้อได้เป็นอย่างดี รวมถึงขั้นตอนในกระบวนการต่อๆ มาไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อ เช่น มี AI มาช่วยในการสร้าง Chatbot เพื่อตอบคำถาม แก่ลูกค้าอย่างรวดเร็ว และอาจจะรวมถึงการสร้าง Solution ใน life style สมัยใหม่ ที่ทำให้ลูกค้าเกิด Customer Experience อีกระดับหนึ่ง
“การผลักดันด้วยข้อมูลครั้งนี้ นับเป็นมิติใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ฉีกกฎ จากเดิมแค่การทำการสำรวจและวิจัย แต่เรานำตัวข้อมูลมาเป็นตัวขับเคลื่อน และสร้างการตัดสินใจที่ดีขึ้นและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการช่วย ผู้ขายสามารถปรับกลยุทธ์ต่างๆ ในการขายได้อย่างเหมาะสม และรวดเร็ว โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้”นายสรังสี
ตั้งเป้าปี 2564 บริหารโครงการเพิ่มให้ได้อีก 10 โครงการ
สำหรับการขยายเข้าไปรับบริหารโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมมือหนึ่ง ที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบันของปีนี้ มีประมาณ 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ 1 คือ โครงการ ซันทูมูน เรสซิเดนท์ (Sun to Moon Residence) ตั้งอยู่หลังบิ๊กซี จังหวัดอยุธยา บนเนื้อที่รวม 11 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 7 อาคาร รวมทั้งสิ้น 553 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โครงการที่ 2 คือ โครงการ โกรว รัตนาธิเบศร์ (Grow Rattatibate) ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT ไทรม้า รูปแบบโครงการคอนโดมิเนียม สูง 34ชั้น บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ จำนวน 364 ยูนิต ซึ่งเป็นคอนโดที่ยังมียูนิตเหลือขายมูลค่าโครงการกว่า 1,400ล้านบาท
นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังได้ทำการรับงานบริหารโครงการขนาดเล็กให้แก่ผู้ประกอบการเช่น โครงการบ้านแฝดขนาดเล็กในซอยรามคำแหง 118 ประมาณ 30 ยูนิต และโครงการคอนโดยูนิตเหลือขายติดรถไฟฟ้าBTS ปุณวิถี ประมาณ 30 ยูนิต ซึ่งโครงการเหล่านี้ เป็นโครงการทีมีงบประมาณในการทำตลาดที่ค่อนข้างจำกัด จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเพื่อให้งบประมาณที่ใช้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนโครงการสุดท้ายที่บริษัทกำลังรอเซ็นสัญญา เป็นโครงการใหม่ที่บริษัทฯได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานแบบครบวงจร (Full-Service) โดยจะมีการใช้เทคโนโลยี่ ด้านทั้งด้านการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การวางแผนงานด้านการตลาดและการขาย เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณเกษตร นวมินทร์ มูลค่าโครงการถึง มากว่า 4,000 ล้านบาท เป็นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส (Mixed Use Development) คาดจะเริ่มโครงการได้ปลายปี 2564 ส่วนเป้าหมายปีหน้าบริษัทฯ ตั้งเป้าที่ จะเข้าไปบริหารโครงการเพิ่มให้ได้อีก 10 โครงการ โดยเน้นในพื้นที่รอบนอกเมือง
“โครงการที่เรารับบริหาร โดยมากไม่ใช่โครงการใหม่ๆเป็นโครงการที่เคยใช้บริการ Agency เจ้าอื่นมาแล้ว แต่ด้วยติดขัดปัญหาในหลายๆด้าน ทั้งการขาย การตลาด และการบริการ ทางเจ้าของโครงการจึงเปลี่ยนมาใช้เราแทน ซึ่งจะมีลูกค้าประเภทนี้เข้ามาให้เราเข้าไปแก้ปัญหาให้ ตลาดตรงนี้ ยังมีช่องว่างให้เล่นเพียงแต่ต้องหาตลาดที่ให้เจอ และต้องเป็นตลาดคู่แข่งทำไม่ได้” นายสรังสี กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจด้านตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมมือสองนั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวย้ำว่า บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดจะมีการแข่งขันกันสูงมากๆ แต่พร้อมที่จะขยายงานเพิ่ม ทั้งในการหาทีมเข้ามาเสริมทัพ โดยในปัจจุบันบริษัทมีทม รวมทั้งหาสินค้าเข้ามาเพิ่มในพอร์ตให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าทั้งสองฝั่งคือ ฝั่งผู้ซื้อ และฝั่งผู้ขาย รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับทีมงาน