LPN vs PG1

สวัสดีครับ เปรียบเทียบโครงการพร้อมอยู่ บทความนี้สืบเนื่องมาจาก หลังจากเราทำรีวิวไปแล้ว พบว่า มีเพื่อนๆผู้อ่านมากมาย ก็ยังตัดใจเลือกโครงการไม่ได้ เพราะเปรียบเทียบกันไม่ถูก ตัดใจไม่ลง เราเลยลองทำการเปรียบเทียบโครงการให้ดู เป็น Guide Line เพื่อจะช่วยในการเปรียบเทียบกันเองได้ง่ายขึ้นนะครับ ซึ่งขอยกโครงการเสร็จพร้อมอยู่ ที่เห็นหน้าตาและพักอาศัยได้แล้ว มาเป็นตัวเปรียบเทียบกัน เริ่มจาก LPN vs PG1 กันก่อนเลยครับ อยู่แทบจะตรงข้ามกันพอดี 🙂

ข้อมูลเปรียบเทียบทั้ง 2 โครงการ 30/08/2012

  • ลุมพินี เพลส พระราม9-รัชดา VS PG1 พระราม9
  • LPN Development VS บริษัท ปรีชากรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  • Main Class VS Main Class
  • หมู่ตึก High Rise  4 อาคาร 24-30 ชั้น VS อาคาร  2 อาคาร 8 และ 15 ชั้น
  • 2,365 Units VS 550 Units
  • ที่ดินประมาณ 15 ไร่ VS ที่ดิน 2-2-60 ไร่
  • ห้องแบบ 1-2 Bedroom VS ห้องแบบ stuido/ 1-2 Bedroom
  • ขนาด 33.5 -70 ตรม VS ขนาด 29 – 72 ตรม
  • ราคา 2.35-3.00 ล้านบาท VSาคาห้อง 1.80-4.1 ล้านบาท
  • ราคาต่อ ตรม 70,000 บาท VS ราคาต่อ ตรม 62,000 – 72,000 บาท
  • ดูรีวิว LPN Place กดตรงนี้ VS ดูรีวิว PG1 กดตรงนี้

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

เปรียบเทียบทำเล แต่ละโครงการ

 

ทำเลของทั้งสอง เมื่อเทียบกันจะเห็นว่าใกล้กันมากทีเดียวครับ โดยอยู่กันคนละฝั่งบนถนนพระรามเก้า หากจะเทียบระยะห่างโดยวัดจาก แยกพระรามเก้าที่มี เซ็นทรัลพระรามเก้าเป็นจุดศูนย์กลาง โครงการ PG1 มีความได้เปรียบ เพราะอยู่ใกล้กว่า การเดินทางเข้าถึง และออกจากโครงการก็สะดวกสบาย หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถเดินทาง เข้า-ออกเมืองได้สะดวก และสามารถขึ้นทางด่วนได้ง่าย สำหรับคนที่ต้องการเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน ตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ก็อยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ แต่ต้องข้ามถนน และไม่เหมาะหากมีสัมภาระเยอะ

สำหรับโครงการของ LPN นั้นถึงแม้จะตั้งอยู่ไกลกว่า และไม่อยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ถึงรถไฟฟ้า แต่ก็มีข้อดีนะครับ ตรงที่มีทางเข้าออก จากโครงการได้ 2 ทาง (โดยทางด้านหลัง ซึ่งออกถนนวัฒนธรรมนั้น เป็นการเปิดทางโดยเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย) ทำให้สามารถเดินทางเข้าเมือง และออกเมืองสะดวกกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ การเดินทางไปรถไฟใต้ดิน ก็สามารถใช้บริการรถตู้ของโครงการ ซึ่งมีตารางการเข้า-ออกเป็นเวลา เสียค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี สามารถชดเชยเรื่องระยะห่างจากรถไฟฟ้าได้ดีทีเดียวครับ

ภาพรวมของทำเลที่ตั้ง ผมให้ความเห็นส่วนตัวว่า ทำเลของโครงการ PG1 ได้เปรียบกว่าเนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้กับรถไฟฟ้า และศูนย์กลางทำเลของย่าน ซึ่งได้แก่เซ็นทรัลพระรามเก้า และ โครงการเมกะโปรเจกต์ G-Land ที่กำลังก่อสร้าง และจะเป็นแหล่งรวมของสำนักงานชั้นนำในอนาคต หากเทียบกับราคาที่ดินในปัจจุบันก็เช่นเดียวกันครับ ราคาที่ดินของโครงการใหม่ๆในบริเวณใกล้เคียงกับ โครงการ PG1 ก็ขยับสูงขึ้นมาก ช่วยยืนยันว่า โครงการใหม่ที่จะขึ้นมาในทำเลใกล้เคียงกันนี้ จะขายราคาสูงขึ้นๆไปอีกแน่นอนครับ

ในเรื่่องของสภาพแวดล้อมใกล้เคียง โครงการ LPN ได้เปรียบกว่าพอสมควรครับ บริเวณรอบข้างของโครงการ เป็นเต็นท์ขายรถยนต์มือสองขนาดใหญ่ และสำนักงานขนาดเล็ก นอกจากนี้ การอยู่ติดถนน 2 ด้าน ทำให้สภาพแวดล้อมค่อนข้างคึกคักครับ เนื่องจากมีคนผ่านไปมาตลอดเวลา

โครงการ PG1 ทางเข้าไม่ค่อยโอ่โถงครับ เนื่องจากเป็นถนนทางเข้าก่อนจะถึงโครงการ นอกจากนี้ ก่อนจะเข้าโครงการปัจจุบัน ยังเป็นที่พักคนงานของไซท์ก่อสร้างข้างเคียง ด้านหน้าโครงการ ก็มีส่วนที่เป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้นบังไว้ทำให้คนที่ไม่รู้จักอาจจะเลยได้ครับ

ด้านหน้าโครงการเป็นตึกแถว ตามรูปนี้เลยครับ หากขับรถมาเร็วๆ อาจจะเลยได้นะครับ

ส่วนด้านหลังโครงการ เป็นคลองสาธารณะครับ สำหรับคนที่อยู่ชั้นล่างๆ ของคอนโด อาจได้รับผลกระทบจากกลิ่นของคลองเช่นเดียวกันครับ แต่สำหรับคนที่อยู่ชั้นสูง นอกจากจะได้วิวที่เป็นคลองขนาดใหญ่ แล้ว วิวเมืองทางทิศใต้ก็สวยทีเดียวครับ

 

ว่าด้วยเรื่องของการออกแบบ และลักษณะโครงการ

โครงการของลุมพินี ไม่ได้มีรูปแบบโครงการที่โดดเด่นแต่อย่างใดครับ บางคนถึงกับบอกว่าเชยเสียด้วยซ้ำ เพราะทุกๆที่ล้วนดูเหมือนกันไปหมด อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบเดิมๆ ที่เหมือนๆกันนี้เอง ที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของบริษัท ที่ทำให้ลูกค้ารับรู้ และจดจำได้ ในแง่ของการตลาดไปแล้ว ลุมพินี่ มีจุดยื่นของตัวเองที่ชัดเจนครับ ว่าสิ่งที่บริษัท หรือโครงการที่บริษัทส่งมอบให้กับลูกค้านั้น ไม่ใช่เรื่องของการออกแบบที่ ทันสมัย โฉบเฉี่ยว หวือหวา ใส่โน่นใส่นี่ไปบนอาคารให้มากมาย ซึ่่งล้วนแต่ทำให้ค่าก่อสร้างอาคารแพงขึ้น แต่ส่งมอบสิ่งเล็กๆน้อยที่จับต้องได้ยากกว่า แต่เป็นคุณค่าต่อชุมชนในโครงการ ทั้งเรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องของพื้นที่สีเขียว การจัดบริการรับส่ง ลูกบ้านไปยังรถไฟฟ้า เป็นต้น

เรื่่องของรูปแบบห้อง ก็มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับตลาดในขณะนั้นครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดห้องที่เล็กลง เพื่อให้ภาระของเจ้าของห้องที่ต้องดูแลเองน้อยลง รวมถึงราคาของห้องที่ลดลงเนื่องจากพื้นที่น้อย ตัวอย่างของโครงการพระรามเก้า ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดครับ ว่าจากเฟสแรกที่ทำห้องขนาด 37.00 ตารางเมตรเป็นหลัก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นห้อง 33.50 ตารางเมตร ในเฟสที่2 ก็ทำให้โครงการได้รับการตอบรับที่ดีของลูกค้าเช่นเดียวกัน

นี่เป็นรูปแบบเดิมของโครงการในเฟสที่ 1 ครับ

ก่อนจะปรับเปลี่ยนให้เล็กลงเป็น 33.5

 

ส่วนโครงการ พีจีพระราม9 นั้น อย่างที่ทราบกันครับว่าเป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทปรีชาเค้า การออกแบบ ตัวโครงการจึงยังไม่ค่อยลงตัวเท่าที่ควร ทำให้โครงการดูอึดอัดและคับแคบ อาจเป็นเพราะขาดประสบการณ์ ในการพัฒนาออกแบบอาคาร และรูปร่างที่ดินทำให้วางอาคารค่อนข้างลำบาก นอกจากนี้การใช้สีอาคาร ก็ทำให้ดูแปลกยิ่งขึ้นไปอีก เพราะใช้สีส้มซึ่งเป็นสีที่เด่นมาก หากไม่ระมัดระวังในการใช้แล้ว อาจทำให้เป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์โครงการ มากกว่าผลดีครับ

การออกแบบภายในตัวห้อง ก็ค่อนข้างแปลกนะครับ ภายในห้องรับแขกจะไม่มีหน้าต่าง ซึ่งทำให้ภายในห้องมืดมาก และรู้สึกอึดอัดเมื่อเข้าห้องครับ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ประกอบการ ขาดประสบการณ์ในการออกแบบ ในส่วนที่จำเป็นที่สุด ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกบ้านจะต้องใช้อยู่อาศัยไปอีกหลายสิบปี

เนื่องจากเป็นโครงการที่สร้างเสร็จนานแล้วนะครับ จึงหาแปลนห้องที่ขยายได้ยาก หากดูห้องที่เป็นสีชมพูซึ่งเป็นแบบ 1 ห้องนอนส่วนใหญ่ของโครงการ ขนาด 35 ตารางเมตร จะเห็นได้ว่า จะกั้นห้องรับแขกกับห้องนอนด้วยผนังทึบ และประตูบานเปิด (จริงๆภาพรวม Plan ห้องจะคล้ายกับ LPN นะครับ แต่ของ LPN จะเอาห้องน้ำสลับกับห้องครัว และกั้นห้องด้วยประตูบานเลื่อนเต็มบาน) ผลที่ได้คือ ห้องรับแขกจะมืดมากครับ เนื่องจากแสงไม่สามารถผ่านผนังทึบเข้ามาได้ ถึงแม้จะเปิดประตูห้องนอนเอาไว้ แต่ด้วยประตูบานเปิดเอง ขนาดจะเล็กกว่าประตูบานเลื่อนมาก ทำให้แสงเข้ามาได้น้อยอยู่ดี ทำให้ห้องดูอึดอัดเวลาอยู่อาศัยจริงๆครับ

อย่างไรก็ตาม มองในแง่ดีกันบ้าง การวางห้องแบบนี้ ก็มีผลดีก็คือ ห้องน้ำของโครงการ จะได้รับแสงแดดเต็มที่นะครับ สำหรับคนที่่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาความสะอาดในห้องน้ำ ก็จะชอบครับ เนื่องจากห้องน้ำจะติดอยู่กับระเบียงครับ ทำให้ได้รับแสง และระบายอากาศได้ดีกว่า นอกจากนี้ด้วยการกั้นห้องที่จริงจังขนาดนี้ ทำให้ห้องนอนค่อนข้างเป็นส่วนตัวนะครับ เรียกได้ว่าสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ในห้องรับแขกก็ตาม

ภาพรวมของการออกแบบอาคาร โครงการ LPN ทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจนครับ ทั้งในเรื่องของรูปแบบของการจัดวางห้อง การวางผังบริเวณในชั้น 1 ซึ่งมีการแบ่งส่วนทางวิ่งของรถยนต์ และส่วนที่เป็นสวนพักผ่อน หรือลานสันทนาการได้อย่างดี และสีที่่ใช้ในอาคารก็ดูดีกว่าครับ ไม่เกี่ยวกันกับขนาดโครงการที่ใหญ่กว่านะครับ เพราะ LPN เองก็มีจำนวนห้อง และคนที่อยู่ในโครงการเยอะกว่าเป็นสัดส่วนกับที่ดิน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในการพัฒนาโครงการที่เห็นได้ชัดเจนคือ LPN ทำอาคารสูงกว่า ทำให้เอาพื้นที่ในอากาศมาใช้ได้มากกว่าครับ ส่วนพื้นที่ดินที่เหลือ จึงนำมาจัดสรรปันส่วนเป็น พื้นที่สวน พื้นที่ทางวิ่งรถ และร้านค้าได้มาขึ้นครับ ผมเชื่อว่าในที่ดินของโครงการ PG1 เอง หากพัฒนาอาคารให้สูงขึ้นกว่า 15 ชั้น และทำเป็น 1 อาคาร ก็จะสามารถจัดพื้นที่ด้านล่างได้สวยและดีขึ้นไม่แพ้กันครับ

ภาพรวมของรูปแบบห้องมาตรฐาน 1 ห้องนอน ก็ถือว่า LPN ดีกว่าครับ ประสบการณ์ในการพัฒนาสินค้าของ LPN ตอบโจทย์ส่วนใหญ่ของลูกค้าได้เป็นอย่างดีในเรื่องของการใช้สอย และมีมาตรฐานที่ชัดเจนครับ เพียงแต่อาจจะต้องพัฒนารูปแบบให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่โครงการให้ ผมคิดว่าใกล้เคียงกัน คือเป็นวัสดุทั่วไป และเป็นวัสดุมาตรฐาน เช่น พื้นไม้ลามิเนต, ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสี, หน้าต่างบานเลื่อนกระจกเขียวใส, ชุดสุขภัณฑ์ครบ ตามมาตรฐานของผู้ประกอบการพึงให้ ที่แตกต่าง ก็คือทาง LPN จะให้ชุดครัวชุดเล็กๆแถมมาด้วย และให้แอร์เป็นโปรโมชั่น สำหรับคนที่จองวันแรกเท่านั้น ส่วนโครงการของ PG1 เป็นห้องเปล่าๆครับ

สรุปเปรียบเทียบตัวโครงการและสาธารณูปโภค

  • LPN  2 อาคาร 4 Tower 2,365 units/ ส่วน PG1  2 อาคาร 550 units
  • LPN วางอาคารหันทิศตะวันออก – ตก / PG1 วางอาคารหันทิศตะวันออก – ตก เช่นเดียวกัน
  • LPN วางอาคารเรียงตัว ตามแนวยาว ทำให้ห้องส่วนใหญ่ไม่บังกันเอง / PG1 วางอาคารเป็นตัว U ด้วยขนาดพื้นที่จำกัด ทำให้บังวิวกันเอง โดยเฉพาะอาคาร A และ อาคาร B
  • สัดส่วนลิฟท์ต่อห้อง LPN 1 ต่อ 200 / PG 1 ต่อ 100 (เทียบรวมทั้ง 2 อาคาร)
  • สิ่งอำนวยความสะดวกของ LPN  มีร้านค้า + สระว่ายน้ำ + Fitness + สนามเด็กเล่น + สวน / PG  มีร้านแฟมิลี่มาร์ท + สระว่ายน้ำ + Fitness
  • สระว่ายน้ำ และ ฟิตเนส LPN Park มี 2 แห่ง ต่อ 2,365 units / PG มี 1 แห่งต่อ 550 units แต่ต้องมาใช้ที่อาคาร B อาคารเดียว

การบริหาร หลังการขาย/ การเข้า – ออกจากโครงการ

  • การบริการหลังการขาย LPN มีความเป็นมืออาชีพมาก เนื่องจากมีประสบการณ์ในการบริหารนิติบุคคลอาคารชุดมาหลายโครงการ เป็นเวลายาวนาน / PG1 บริหารโดยบริษัท ปรีชาเองเช่นกัน
  • การเข้า – ออก โครงการ LPN มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ถึงแม้ว่ามีทางเข้า-ออก 2 จุด แต่จะมี รปภ. ประจำอยู่ทุกจุด คอยดูแล และจัดระเบียบการเดินรถ รวมถึงการจอดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการกำหนดป้ายจอดรถสำหรับผู้มาติดต่อ และระเบียบในการจอดรถอย่างชัดเจน หากใครฝ่าฝืน ก็มีการล๊อกล้อ และต้องติดต่อกสำนักนิติบุคคล เพื่อปลดตัวล๊อกด้วยทุกครั้ง / PG1 มีการรักษาความปลอดภัยที่่เป็นกันเอง เนื่องจากโครงการขนาดเล็ก รปภ จึงจำรถยนต์ส่วนใหญ่ที่เป็นของลูกบ้านได้ และให้บริการด้วยความเป็นมิตร อย่างไรก็ดี การแบ่ง 2 เฟสทำให้ต้องมีไม้กั้นที่ 2 ชุดทำให้เปลืองพื้นที่ และดูเกะกะ พอสมควร สำหรับผู้มาติดต่อ สามารถจอดรถบริเวณด้านหน้าก่อนเข้าถึงโครงการ ทำให้ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบ และทำให้ทางเข้าโครงการแคบลง
  • ในแง่ของความปลอดภัย LPN มีการตรวจตรา ของรปภ และการวางตำแหน่งประจำของรปภ เป็นอย่างดี การเข้าออก ต้องใช้ Key Card Access แยกทั้ง 4 Tower และมีการ Control โดยเจ้าหน้าที่ประจำ ในแต่ละ Tower / PG1 มีการตรวจตรา ของรปภ บริเวณด้านหน้าโครงการเช่นกัน และต้องใช้ Key Card Access ในการเข้าตัวอาคารเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ด้านหลังของโครงการ เป็นคลองสาธารณะ และมีทางเดินซึ่งมีการทำทางเดินลัดสาธารณะ ให้ประชาชนทั่วไปเดินผ่านไปมาได้ ถึงแม้มีการกั้นรั้วสูงไว้อย่างมิดชิด แต่ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าโครงการในปัจจุบัน มีแคมป์คนงานก่อสร้างมาตั้งพักอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยได้เช่นเดียวกัน

บทสรุปโดยรวม

โครงการของ PG1 เองมีจุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งทำเลเองก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามการพัฒนาตัวของสินค้า ทั้งในเรื่่องของรูปแบบ และการใช้สอย ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้โครงการอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่ง LPN เองได้ผ่านด่านเหล่านั้นมาทั้งหมดแล้ว และทำได้ดีกว่า

จึงไม่น่าแปลกใจที่ โครงการ LPN พระราม9-รัชดา ในปัจจุบันขายหมดแล้ว คงเหลือแต่ห้องที่เจ้าของประกาศขายกันเอง ถึงแม้จะมีจำนวนห้องเยอะกว่าโครงการ PG1 เกือบ 5 เท่า แต่ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า และการจัดการที่เป็นมืออาชีพมากกว่า ทำให้โครงการประสบความสำเร็จ สามารถปิดการขายได้ในวันที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จนั่นเอง

ทั้งนี้ เป็นการพูดถึงโครงการในภาพรวมๆนะครับ ส่วนการเลือกว่าเหมาะสมกับตัวเราหรือไม่ แนะนำให้ไปดูโครงการด้วยตัวเอง เพราะเป็นตึกที่เสร็จแล้วทั้งคู่ ได้เห็นและได้สัมผัสของจริงด้วยตัวเองจะดีที่สุดครับ บทวิเคราะห์เราเป็นเพีบง Guide Line ที่ทำเพื่อให้ผู้อ่าน จับประเด็นได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเองครับ