นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงกลางปีนี้จะสามารถใช้บัตรแมงมุม ซึ่งเป็นระบบตั๋วร่วมได้อย่างแน่นอน แม้จะไม่ครบทุกระบบก็ตาม ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการ 2 ราย คือ BTS และ BEM มีความพร้อมแล้ว เหลือที่ต้องพูดคุยในรายละเอียดเรื่องวิธีการหักล้างบัญชี ซึ่งจะต้องมีการลงทุนเพิ่มบ้าง
ส่วนรถเมล์นั้นจะมีการติดตั้งระบบทั้งในรถเมล์เก่าและรถเมล์ใหม่ แม้จะไม่มีรถใหม่เข้ามาก็ไม่มีปัญหา ส่วนธนาคารที่มีความสนใจจะเชื่อมต่อระบบกับตั๋วร่วมนั้นรอเพียงมีการใช้และเปิดระบบ ซึ่งเชื่อว่าความสะดวกที่เกิดขึ้นจะเพิ่มฐานลูกค้าของรถไฟฟ้ามากขึ้นอีก
ด้านนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเห็นด้วยในการหลักการตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อเป็นผู้บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (CTC) ซึ่งจะต้องตั้งก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบตั๋วร่วมกลางปีนี้ หรือคาดว่าอาจจะตั้งบริษัทร่วมทุนได้ในเดือน มี.ค.นี้ โดยสัดส่วนการถือหุ้น ฝ่ายรัฐจะถือไม่เกิน 40% โดยผู้ร่วมถือหุ้นได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และ ธนาคารกรุงไทย (KTB) ซึ่งมีระบบหักบัญชีอยู่แล้ว ส่วนอีก 60% จะให้เอกชนผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าเข้าร่วม คือ BTS และ BEM ระหว่างนี้กำลังเจรจาการร่วมลงทุน และในอนาคตที่ตั๋วแมงมุมใช้ได้กับระบบอื่นเช่น เรือด่วนเจ้าพระยา หรือใช้แทนเงินสด ก็จะมีเอกชนรายอื่นเข้ามาถือหุ้นร่วมด้วย
พร้อมทั้งให้ผู้ประกอบการแต่ละรายกลับไปคิดต้นทุนในส่วนที่จะต้องมีการปรับปรุงระบบ เช่น สายสีเขียว จะมีการเปิดเดินรถสายสีเขียวใต้เพิ่ม จากสถานีแบริ่ง–สำโรง และต่อไปถึงสมุทรปราการ จะต้องลงทุนติดตั้งระบบเพิ่ม ต้องมีตัวเลขออกมาซึ่งจะให้ได้ข้อสรุปในเดือน มี.ค.นี้ โดยจะเป็นการทำงานแบบคู่ขนาน ทั้งเรื่องการตั้งบริษัทร่วมทุนฯ และการปรับระบบของผู้ประกอบการแต่ละราย
สำหรับช่วงแรกนั้น บัตรแมงมุมจะเป็นการเชื่อมเดินทางด้วยบัตรใบเดียว ส่วนบัตรเดิมของแต่ละสาย ทั้งแรบบิท หรือ MTR Plus ยังใช้ได้เหมือนเดิม เพียงแต่ใช้ข้ามระบบไม่ได้เหมือนบัตรแมงมุม ต่อไปในอนาคต สนข.จะพิจารณาเรื่องอัตราค่าโดยสารร่วม หรือการใช้บัตรแมงมุมเดินทางข้ามระบบ จะไม่มีค่าแรกเข้าในการเข้าระบบครั้งที่ 2 ส่วนผู้มีรายได้น้อยจะต้องมีการลงทะเบียน ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนจะต้องได้ใช้ตั๋วร่วมบัตรแมงมุมด้วย โดยรัฐจะใส่เงินในบัตรเป็นค่าเดินทาง ตัวเลขเบื้องต้นประมาณ 500-600 บาทต่อเดือน
ที่มาข่าว: TNN