รีวิวฉบับที่ 692 … วันนี้ผม Mr.Boom จะพาไปดูคอนโดที่ชลบุรีบ้างครับ ซึ่งโปรเจคในวันนี้คือโครงการ “The Rise B” จาก Benyapha Properties เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 4 ตึก ตั้งอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล พลาซ่า ชลบุรีนั่นเอง โดยจะอยู่ในโครงการ Casalunar Avenue ติดกับ “The Bazaar” Shopping Arcade ครับ คอนโดนี้สร้างเสร็จพร้อมอยู่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง คือตึก 1-2 มีลูกบ้านเข้าอยู่แล้ว ส่วนตึก 3-4 เริ่มขายมาซักพักแล้วและกำลังก่อสร้างอยู่
Fact @ 24 September 2014
- The Rise B (เดอะ ไรส์ บี)
- Benyapha Properties
- SUPER ECONOMY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
- คอนโด Low Rise 8 ชั้น 4 อาคารละ 230 ยูนิต รวม 920 ยูนิต แยกนิติแต่ละอาคาร
- จอดรถภายนอกอาคารทั้งหมด จอดได้ประมาณ 40% ไม่รวมซ้อนคัน
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 29 ยูนิต
- ที่ดินประมาณ 3 ไร่ ต่อหนึ่งอาคาร โดยมีที่ดินรวมของโครงการ Casalunar Avenue ประมาณ 72 ไร่
- คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดประมาณปี 58
- 1 Bedroom 31 – 47 ตารางเมตร
- ฝ้าเพดานสูง 2.40 เมตร
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 1.116 ล้านบาท หรือประมาณ 36,300 บาทต่อตารางเมตร
- http://www.benyapha.com/th/our-project/the-rise-b/
- โทร. 038-467-909, 038-113-400
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.340253, 100.967570
แผนที่จากทางโครงการครับ
ที่ตั้งของคอนโด The Rise B จะอยู่บริเวณด้านหลังห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ชลบุรีครับ ซึ่งพอบอกแบบนี้ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะตัวเซ็นทรัลก็เป็นห้างที่รู้จักกันดีของคนในย่านนี้กันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นแหล่งรวมอารยธรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกของคนเมืองชลเลยก็ว่าได้ แม้แต่คนศรีราชา, แหลมฉบัง ก็ต้องขับรถมาซื้อของแถวนี้ เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับถนนเลื่ยงเมืองด้วย และมีทางเข้า-ออกของมอเตอร์เวย์พอดี
ตัวโครงการสามารถเข้า-ออกได้จากถนนหลัก 2 เส้น คือ ถนนสุขุมวิท และ ถนนพระยาสัจจา โดยถ้ามาจากสุขุมวิท จุดสังเกตก็คือตัวห้างเซ็นทรัล, โลตัส และ ตึกคอมนี่แหละครับ โดยคอนโด The Rise จะสามารถเข้าได้จากซอยที่อยู่ข้างๆเซ็นทรัล (เหมือนจะเลี้ยวอ้อมไปหลังห้าง) แต่จะอยู่ลึกเข้าไปทางด้านหลัง ในโครงการ Casalunar Avenue ครับ มีถนนสาธารณะตัดผ่าน (สีฟ้า)
ผมขับรถไปโครงการ ใช้ถนนสุขุมวิท มาจากตัวเมืองชลบุรี จุดสังเกตแรกคือห้าง ตึกคอม ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมสินค้าไอทีตามต่างจังหวัด เปรียบได้กับห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่าของคนกรุงเทพน่ะเอง
ติดกับตึกคอมจะเป็นห้าง Tesco Lotus โดยระหว่างสองห้างนี้จะคั่นด้วยซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ซึ่งซอยนี้แหละจะใช้เป็นทางเข้า-ออกของโครงการได้เหมือนกัน
ขับตรงไปอีกหน่อย มองเห็นเซ็นทรัลชลบุรีทางขวามือ ป้ายจราจรจะบอกว่าถ้าเราออกซ้ายตรงนี้จะวิ่งเส้นเลี่ยงเมืองไปออกมอเตอร์เวย์ได้ แต่ถ้าตรงไปก็จะไปศรีราชา เราต้องตรงไปหาที่กลับรถครับ
ตัวเซ็นทรัลนี้ก็เรียกว่ามีครบเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ร้านอาหาร, ศูนย์การค้า Robinson, Super Sports, Power Buy, B2S, ธนาคาร, Tops ซูเปอร์มาร์เก็ต, Big-C ฯลฯ ใครคิดไรไม่ออกก็มาที่นี่ก่อนแหละ อย่างน้อยก็เดินเล่นได้
ขับเลยเซ็นทรัลไปนิดนึง จะมีจุดกลับรถ ให้เรา U-Turn ตรงนี้
หลังจาก U-Turn ก็ขับตรงมาอีกหน่อย จะเจอกับป้าย The Bazaar ตรงนี้จะมีซอยเล็กๆอยู่ซอยหนึ่ง
เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปเลย เหมือนว่าจะอ้อมไปหลังห้างฯนั่นแหละ
บรรยากาศในซอยตอนเลี้ยวเข้ามา ทางขวาเป็นเซ็นทรัล แต่ทางซ้ายยังเป็นที่ดินโล่งๆอยู่เลย
เราจะขับผ่านทางเข้า#3ของเซ็นทรัลด้วย ใครอยากแวะก่อนถึงบ้านก็ทำได้
พอเข้ามาเกือบๆจะถึงทางโค้ง ตรงด้านซ้ายนี้ปัจจุบันทำเป็นลานจอดรถ Outdoor ของเซ็นทรัลอยู่ (แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นที่ดินของเซ็นทรัลรึเปล่านะ?) มีพวกร้านให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ เช่น ล้างรถ, เคลือบสี, ประดับยนต์ ฯลฯ
พอขับเข้ามาจนสุดก็จะเจอทางบังคับให้เลี้ยวขวา อ้อมไปด้านหลังห้าง
ทางขวามือเราจะยังคงเป็นเซ็นทรัลอยู่นะครับ แต่ทางซ้ายจะเป็นแนวตึกแถวที่เปิดร้านขายของต่างๆ เรียงกันเป็นแนวเลย ที่เห็นสีเหลืองๆทางซ้ายนี่แหละ มีร้านค้าหลากหลายมาก ตั้งแต่ร้านกาแฟ, เสริมความงาม, โรงเรียนกวดวิชา, อาคารสำนักงาน ฯลฯ
หลังจากเลี้ยวขวาเมื่อกี๊นี้ ตรงมาอีกนิดนึงจะเจอทางเข้าของ The Bazaar อยู่ตรงข้ามประตูทางเข้า#4 ของเซ็นทรัล แบบนี้ มีป้ายติดอยู่สังเกตง่าย เราจะเลือกเลี้ยวซ้ายเข้าโครงการ หรือเลี้ยวขวาเข้าห้างก็ได้
เดี๋ยวเราเข้าไปดูด้านในกันว่ามีอะไรบ้าง
ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกรายละเอียดของคอนโด The Rise B ผมอยากจะอธิบายถึงภาพรวมทั้งหมดของโครงการ “Casalunar Avenue” ก่อนครับ ซึ่งเป็นโปรเจคขนาดใหญ่ของ Benyapha Properties ที่ได้พัฒนาต่อเนื่องกันมาบนผืนที่ดินขนาดราวๆ 72 ไร่ บริเวณด้านหลังเซ็นทรัลชลบุรีแห่งนี้
Casalunar Avenue จะถูกแบ่งออกเป็นโครงการย่อยๆ หลายๆโครงการ มีทั้งอสังหาฯเพื่ออยู่อาศัย และ อสังหาฯเพื่อการพาณิชย์ อันได้แก่
- Casa Arcadia (สีเหลือง) เป็นหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ด้านหลังโครงการ โดยจะเป็นบ้านสั่งสร้าง มีพื้นที่เยอะที่สุด ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว มีลูกบ้านเข้าอยู่แล้ว
- Retails (สีเขียว) เป็นกลุ่มตึกแถวอาคารพาณิชย์ สำหรับทำการค้าขาย เปิดร้านขายของและบริการต่างๆ อันนี้ก็สร้างเสร็จแล้วเหมือนกัน
- The Bazaar (สีม่วง) เป็นส่วนที่เป็นตลาด กึ่งๆ Shopping Arcade พื้นที่ร่วม 20 ไร่ได้ (ไม่รวมที่จอดรถ) มีพื้นที่ให้เช่าเปิดร้านขายของ สำหรับทำการค้า โดยทางโครงการตั้งใจจะให้รองรับตลาดล่างที่รองลงมาจากพวกเซ็นทรัล, โลตัส ที่อยู่ทางด้านหน้า
- The Rise A (สีฟ้า) เป็นคอนโด Low Rise รวมทั้งหมด 4 อาคาร ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน ปัจจุบันถูกสร้างไปแค่ 2 ตึก (แต่ละตึกแยกโครงการกันอีกที) ขายหมดไปแล้ว มีลูกบ้านเข้าอยู่แล้ว ส่วนอีก 2 ตึกที่ยังไม่ได้สร้างก็ยังเก็บที่ดินไว้อยู่ อาจจะทำเป็นอย่างอื่นต่อไป
- The Rise B (สีส้ม) ก็เป็นคอนโด Low Rise เหมือนกัน มีอีก 4 อาคาร แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า The Rise A มีความหนาแน่นมากกว่า ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะไปดูกัน
- The Club (สีชมพู) คือ อาคารสโมสรส่วนกลาง ที่คนที่อยู่ในโครงการ Casalunar Avenue ทั้งหมดสามารถมาใช้ร่วมกันได้ โดยจะไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโครงการใดโครงการหนึ่ง แต่จะถูกยกให้เอกชนเป็นผู้บริหารและดูแลไป จะมีพวกคลับเฮาส์, ฟิตเนส และพื้นที่นั่งเล่น รวมถึงพื้นที่เช่าทำสำนักงานด้วย
เมื่อมองจากด้านบน เราก็จะเห็นผังโครงการทั้งหมดเป็นลักษณะนี้ ตัว Casalunar Avenue นี้ จะมีทางเข้า-ออก 2 ด้านอย่างที่บอกไปตอนแรก คือ ทั้งทางฝั่ง สุขุมวิท และ ฝั่ง พระยาสัจจา โดยภายในโครงการจะมีถนนสาธารณะตัดผ่าน (เส้นสีฟ้า) คนนอกสามารถผ่านเข้าออกได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับคนที่อยู่อาศัยในโครงการ
เมื่อเราขับรถเข้ามาจากทางเข้าฝั่งเซ็นทรัล ก็จะพบกับสภาพแวดล้อมประมาณนี้ ด้านในทำถนนไว้กว้างมาก รถวิ่งสวนกันไป-กลับ 4 เลนได้ แต่ปัจจุบันยังทำให้วิ่งได้แค่ 2 เลน ด้านขวาตั้งแต่ข้างหน้าเลยจะเป็นพื้นที่ของ The Bazaar
ด้านซ้ายมือจะเป็นเต๊นท์รถ มีทั้งรถอิมพอร์ทมือหนึ่ง และรถมือสอง รวมถึงบริการ Car Care ด้วย
โชว์รูมใหญ่ใช้ได้เลย วางอยู่ด้านหน้า
มองเข้าไปด้านใน ทางขวามือ จะเห็นตึกของ The Rise B อยู่ไกลๆ ด้านหลัง The Bazaar อีกที
The Bazaar จะเป็นพื้นที่เช่าสำหรับเปิดร้านขายของ ออกแนวตลาดติดแอร์ ดูวัยรุ่นทันสมัยหน่อย วางอยู่ด้านหน้าก่อนถึงโซนที่เป็นคอนโด
ภายในมีสวนสนุกสำหรับเด็กๆด้วย เป็นพื้นที่จัดงาน จัด Event หรือพวกคอนเสิร์ตได้
ตัวร้านค้าที่อยู่ใน The Bazaar ก็จะเป็นยูนิตหน้าตาแบบนี้ เป็นห้องตู้กระจกชั้นเดียว
ด้านในจะมีโซนที่มีหลังคา บังแดด กันฝน แบ่งเป็นซอยๆ แต่ผมไปตอนกลางวันร้านส่วนใหญ่ยังปิดอยู่ แล้วจะเปิดตอนเย็นๆไปถึงค่ำๆมากกว่า
ถัดออกมาจากโซนร้านขายของ จะมีโซนที่เป็นร้านอาหารด้วย มีที่จอดรถหน้าร้าน พื้นที่ใหญ่ใช้ได้เลย ซึ่งก็จะมีพวกร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขนม ดูทันสมัยวัยรุ่นหน่อย มาเปิดให้บริการอยู่ด้วย
และด้านในจะมีศูนย์อาหารแบบไม่ติดแอร์ อยู่ทางด้านหลัง เปิด 10.00-22.00น. สามารถขับรถเข้าไปกินได้
ในช่วงกลางวันของวันธรรมดา ก็ดูจะมีคนมาใช้บริการศูนย์อาหารอยู่บ้างเหมือนกัน
ถัดจาก The Bazaar เข้ามาข้างในต่อ
โซนนี้จะเป็นพวกตึกแถว อาคารพาณิชย์ ที่จะเรียงรายอยู่สองข้างทางเลย โดยจะเป็นแบบตึกแถวขายขาด สำหรับทำ Home Office, สำนักงาน หรือร้านขายของโน่นนี่นั่นได้ มีที่จอดรถตลอดแนว ซ้าย-ขวา ด้านหน้าอาคาร ตรงกลางเป็นถนนประมาณ 6 เลน มี เกาะกลาง (แต่เป็นที่จอดรถไปแล้ว 1 เลน)
สำนักงานขายของ The Rise B จะอยู่ทางขวามือของโซนอาคารพาณิชย์นี้
ด้านหน้าตรงนี้จะมี 7-Eleven ด้วย เปิดเป็นร้าน Stand-alone มีที่จอดจักรยานด้านหน้า ซึ่งอยู่ใกล้โครงการมาก เดินมา 200-300 เมตรก็ถึง ถ้าขี้เกียจก็ขับจักรยานมา สะดวกดี
ตัวตึกแถวด้านหน้าจะสร้างเสร็จหมดแล้ว มีร้านค้า และสำนักงานต่างๆมาทยอยเปิดให้บริการพอสมควร มีสถาบันกวดวิชา, ร้านขนม, ร้านกาแฟ, ร้านขายสินค้าส่ง, ร้านเสื้อผ้า มาเปิด
ทางเข้าคอนโด The Rise B จะอยู่ทางด้านข้างของตึกแถว บริเวณที่ต้องเว้นไว้เป็นจุดกลับรถพอดี แต่ทางโครงการได้เปิดช่องให้ใหญ่ขึ้น เพื่อทำทางเข้า อาจจะน่าเสียดายหน่อยตรงที่ไม่มีป้าย หรือสิ่งบ่งบอกชัดๆว่าตรงนี้เป็นทางเข้าคอนโด คนที่ไม่เคยมา อาจจะงงได้
พอขับรถต่อเข้ามาอีกหน่อย ด้านในเราจะเจอกับ วงเวียน ที่อยู่ในโครงการ ถ้าเราเลี้ยวซ้ายเราก็จะออกจากโครงการไปยังซอยด้านข้าง ที่ใช้ออกถนนพระยาสัจจาได้
ตรงวงเวียนนี้จะเป็นที่ตั้งของ “The Club” อาคารสโมสรของลูกบ้านที่อยู่ใน Casalunar Avenue ซึ่งก็หมายถึงลูกบ้านของ Casa Arcadia, The Rise A, The Rise B รวมถึงคนทีอาศัยอยู่ในตึกแถวด้านหน้าด้วย โดยตัว The Club นี้จะมีเอกชนคอยบริหารจัดการและดูแลอีกที ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของโครงการใดโครงการหนึ่ง รวมถึงทาง Benyapha ด้วย
ตัว Club House จะเป็นอาคาร 2 ชั้น ด้านหน้าเป็นพื้นที่ให้เช่า สำหรับทำสำนักงาน มีที่จอดรถด้านหน้า
ปัจจุบันมี สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เขต 8 (ชลบุรี) มาขอเช่าพื้นที่อยู่ในสโมสรด้วย มีออฟฟิศอยู่บริเวณชั้นสอง
ด้านในสโมสรจะมี Facilities ต่างๆที่ลูกบ้านมาใช้งานได้ โดยผู้ที่จะเข้ามาใช้ต้องเป็นสมาชิกของสโมสรก่อน โดยเก็บค่าสมาชิกแค่ 100 บาทต่อปีเท่านั้นเอง
ตัวสระว่ายน้ำภายในสโมสรก็มีขนาดใหญ่ใช้ได้ ความยาว 25 เมตร ก็คือ Half-Olympic Size สามารถว่ายออกกำลังกายจริงจังได้เลย
สระเด็กมีแยกไว้ต่างหาก เด็กๆก็มาใช้งานได้ มี Slider ให้ สนุกสนานกันไป
ตัวสโมสรนี้จะวางให้สระว่ายน้ำอยู่ตรงกลาง และมีตัวอาคารเป็นแนวยาว วางอยู่ล้อมรอบ ดูวิวคนกำลังว่ายน้ำได้ 😛
ห้องน้ำภายในสโมสร
มีล็อกเกอร์ และ ส่วนอาบน้ำให้ครบ
ทางเดินบนชั้นสองของอาคารสโมสร ลักษณะเป็นอาคารยาวๆ เชื่อมถึงกันหมด
ฟิตเนสจะอยู่บนห้องห้องหนึ่งบริเวณชั้นสองของสโมสร มีเครื่องเล่นมาให้พอสมควร ตามที่เห็น
ติดกับ The Club จะเป็นหมู่บ้าน Casa Arcadia ซึ่งจะเป็นหมู่บ้านจัดสรรชุดแรกที่อยู่ในโครงการ
ภายใน Casa Arcadia ก็จะเป็นลักษณะบ้านสั่งสร้าง มีบ้านแบบต่างๆให้เลือก ตอนนี้ขายไปหมดแล้ว มีคนเข้าอยู่แล้วส่วนใหญ่
บรรยากาศภายในหมู่บ้าน ต้นไม้ยังไม่ค่อยเขียวเท่าไหร่ แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี
กลับออกมาจากหมู่บ้าน Casa Arcadia เราวิ่งย้อนกลับมาทางตึกแถวด้านหน้าอีกทีหนึ่ง เพื่อจะไปยังโซนที่เป็นคอนโด The Rise B กัน
ตรงหัวมุมระหว่างตึกตรงนี้จะเป็นทางเข้าของคอนโด
ทางเข้าคอนโดเป็นแบบ Open เลย ไม่มีป้อม รปภ. ไม่มีซุ้มทางเข้า ไม่มีป้ายใดๆ ซึ่งตรงนี้จะเกิดผลเสียอย่างหนึ่งตรงที่อาจจะมีคนนอกเข้าไปง่าย ดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก อาจจะมีคนเข้าไปแย่งที่จอดรถลูกบ้านได้ ซึ่งอันนี้อาจจะต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยกันนิดนึง
มาถึงแล้วครับ คอนโด The Rise B เดี๋ยวเราจอดรถ ลงไปดูกันว่าในนี้มีอะไร
เจาะลึกตัวโครงการ The Rise B
โครงการ The Rise B จะประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 8 ชั้น ทั้งหมด 4 อาคารด้วยกัน แบ่งเป็นตึก B1, B2, B3, B4 แยกนิติบุคคลกัน ทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 12 ไร่ โดยเมื่อดูจากแผนผังด้านบนนี้ จะเห็นว่า ตัวคอนโดจะวางอยู่ด้านหลังแนวตึกแถวที่อยู่ข้างหน้า และจะมีทางเข้า-ออกอยู่ระหว่างอาคารตึกแถวทั้งหมด 4 จุดด้วยกัน การที่มีทางเข้า-ออกเยอะๆ มันก็สะดวกนะครับ แต่มันก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัยด้วย เนื่องจากมันจะคุมยากกว่าการที่มีทางเข้า-ออกทางเดียว
ตึกแรกที่เราเห็นอยู่นี้คือตึก B1 แต่ละตึกจะมีขนาดที่ดินประมาณ 3 ไร่ มีจำนวนยูนิต 230 ยูนิต รวมจำนวนทั้งหมด 920 ยูนิต เมื่อเทียบกับที่ดินขนาด 12 ไร่ จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ได้หนาแน่นมาก ยังไม่ถึง 100 ยูนิตต่อไร่เลย
ทางขวาคือตึก B1 ทางซ้ายคือตึก B2 ระยะห่างระหว่างตึกแต่ละตึก กว้างราวๆ 35 เมตร (จากการวัดด้วย Google Maps) แต่จะมีส่วนที่แคบสุดกว้างประมาณ 20 เมตร ซึ่งก็ถือว่าทำระยะห่างได้ค่อนข้างกว้างสำหรับคอนโดราคานี้ ไม่ต้องกังวลมากว่าจะมีคนแอบดูเราจากทางหน้าต่าง (แต่ก็ต้องระวังไว้บ้างนะ)
หน้าตาตึกเวลามองจากด้านหน้าเข้ามา ก็จะเป็นแบบนี้ ตัวตึกภายนอกดูเป็นกล่องๆไปหน่อย ไม่ค่อยร่วมสมัยเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะสีทีเลือกใช้
ระยะห่างระหว่างตัวตึกคอนโด ถึงแนวตึกแถวด้านหน้า เว้นไว้ประมาณ 20 เมตร เพื่อทำถนน มีฟุตบาทอยู่ด้านหลังแนวตึกแถวด้วย
เวลามองออกมาก็จะเห็นแนวถึงแถวแบบนี้ นี่ก็คือ “หลังบ้าน” ของยูนิตตึกแถวนั่นเอง อาจจะมีรถจอดบ้าง อย่างที่เห็น
ส่วนตึกนี้คือตึก B3 ที่กำลังก่อสร้างอยู่ โครงสร้างเสร็จเกือบหมดแล้ว ส่วนตึก B4 จะอยู่ด้านในสุด ไกลๆ
ด้านหลังตึก ทั้ง 1-4 จะมีแนวคลองที่อยู่ติดกับรั้วของที่ดินโครงการหน้าตาแบบนี้ ตัวคลองเท่าที่ผมลงไปสำรวจพื้นที่มา ก็ไม่ได้ส่งกลิ่นเหม็นอะไรนะครับ ไม่ได้เน่าเสีย ยังเป็นคลองใช้งานอยู่ปกติ แต่ไม่ได้ใช้สำหรับคมนาคมนะ เป็นคลองเล็ก
เดี๋ยวเราเริ่มดูจาก ตึก B1 ก่อน ที่สร้างเสร็จมาซักพักแล้ว และมีลูกบ้านเข้าอยู่แล้ว
ฝั่งที่เป็น “ด้านหน้า” ของตึก หมายถึงด้านที่มีทางเข้าหลัก จะมีที่จอดรถอยู่นอกตึกแบบนี้ ใช้จอดทั้งรถยนต์ และรถจักรยาน และเว้นทางไว้สำหรับให้รถวิ่งผ่านได้ประมาณ 1 เลน ดูเหมือนที่จอดรถจะหายากหน่อย เพราะเห็นว่ามีรถมาจอดขวางริมฟุตบาทเยอะเหมือนกัน
ชั้นล่างสุดของตึก จะเป็นยูนิตที่สามารถเปิดร้านขายของ หรือทำออฟฟิศเล็กๆได้ อย่างที่เห็นอยู่นี้ก็จะเป็นเอเจนซี่ทำทัวร์
มีร้านสะดวกซื้อแบบนี้มาเปิดใต้ตึกด้วย ซึ่งก็อาจจะดีก็ได้ เพราะสะดวก ไม่ต้องเดินไปถึงเซเว่นด้านหน้า
ด้านหน้าตึกทุกตึก จะแบ่งพื้นที่มาทำเป็นสวนแบบนี้ด้วย ให้ลูกบ้านสามารถมาเดินเล่น พักผ่อนได้ ปัจจุบันต้นไม้ยังโตไม่เต็มที่ อาจจะดูไม่ค่อยมีร่มเงาเท่าไหร่ แต่รออีกสักพักน่าจะดูดีกว่านี้ แต่สำหรับคอนโดราคาล้านต้นๆ ให้มาเท่านี้ก็ถือว่าดีใช้ได้เลย เพราะพื้นที่สวนก็ยาวตลอดแนวของตัวตึก
ที่จอดรถนอกจากหน้าตึก ก็จะมีที่วางอยู่ริมสวนอีก ซึ่งก็จะแบ่งเป็นของแต่ละตึก ตึกใครตึกมัน แต่ดูแล้วก็ยากที่จะตรวจสอบพอสมควรว่ารถคันไหนเป็นของตึกไหน เพราะไม่มีรั้วกันแยกแต่ละตึกออกจากกัน นอกจากจะใช้วิธีแปะสติกเกอร์ ซึ่งก็อาจจะช่วยได้บ้าง กรณีที่รถของลูกบ้านต้องแย่งที่จอดกัน
ถังขยะ ถูกวางเรียงอยู่ทางด้านหน้า ด้านนอกของตัวตึกแบบนี้เลย ไม่มีการเอาถังขยะไปไว้ด้านในอาคาร ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ เราก็จะค่อนข้างมั่นใจได้ว่าในสภาวะปกติโถงทางเดินจะไม่มีกลิ่นเหม็นโชยๆออกมาจากห้องขยะ และไม่มีการทิ้งขยะในอาคาร แต่ข้อเสียคือ เวลาจะทิ้งขยะแต่ละทีก็อาจจะต้องเดินไกลหน่อย ออกมาข้างนอกตึก ยิ่งถังขยะไม่มีหลังคาคลุม ก็จะโดนฝนโดนแดดได้
ส่วนต่อไปเราจะไปดูตึก B2 กัน เริ่มตั้งแต่ด้านล่าง
ที่ชั้นล่างสุดของตึก B2 ก็จะเหมือนกับตึก B1 ตรงที่จะเป็นยูนิตห้องกระจกที่สามารถเปิดร้านขายของได้ ตัวคอนโดทุกตึกจะมีห้องพักเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ไปถึงชั้น 8 ทำให้ไม่มีที่จอดรถใต้อาคารและต้องจอดด้านนอกทั้งหมด ซึ่งจะทำให้รถต้องจอดตากแดดตากฝน เวลาเราไปซื้อของมา หิ้วของเยอะๆ ก็อาจจะขนของลงจากรถลำบากถ้าฝนตก หรือถ้าแดดออกมันก็จะร้อน ส่วนที่จอดรถมีทั้งหมดประมาณ 40% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน
ยูนิตชั้นล่างจะมีประตูทางเข้า กั้นด้วยกระจกแบบนี้ แต่จะมีข้อเสียตรงที่ต้องวางคอมฯแอร์ไว้ด้านหน้าห้อง ถ้าจะให้ดีอาจจะต้องหาทางเข้าแขวนผนังจะดีกว่า
Unit Plan ของ ยูนิต Retail ชั้น 1 ไม่มีอะไรมาก มีแค่ห้องน้ำ พื้นที่ห้องโล่งๆ ไม่ได้กั้นผนัง กับทางเข้า ที่เปิดเข้าจากในตัวตึกก็ได้ จากด้านนอกก็ได้
ทางเข้า Lobby ของแต่ละตึกจะอยู่ทางด้านใน จอดรถเสร็จก็เดินมาเข้าทางนี้
บริเวณนี้จะมีทำทางลาดไว้ด้วย สำหรับ Wheel Chair หรือ รถเข็น
ภายใน Lobby ไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก แค่วางเฟอร์นิเจอร์เอาไว้สำหรับใช้นั่งรอเฉยๆ แล้วก็มีโต๊ะทำงานของ รปภ. ประจำตึก แค่นั้น ล็อบบี้นี้จะติดแอร์ด้วย วันไหนร้อนมากๆ หรือช่วงกลางคืนก็จะเปิดแอร์
ทางด้านซ้ายมือจะเป็นตู้จดหมาย และมีประตูสำหรับเปิดไปยังโถงลิฟท์
ตู้จดหมายเป็นตู้จดหมายรวม แบบใช้ร่วมกัน 6 ยูนิตใช้ตู้เดียวกัน เพื่อลดจำนวนตู้ลง แต่ผมคิดว่า แบบนี้ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะบางทีมันก็มีจดหมายสำคัญๆอยู่ในตู้ด้วย อาจจะไม่ปลอดภัย ไม่เป็นส่วนตัวนัก เกิดลูกบ้านที่ใช้ช่องเดียวกันอยากจะเปิดตู้จดหมายพร้อมกันขึ้นมา ก็จะดูไม่ดี ต้องรอกันอีก
ทางเข้าสู่โถงลิฟท์ ต้องใช้ Key Card แตะที่ประตู เพื่อปลดล็อค
เข้ามาแล้วก็จะเจอกับโถงลิฟท์อยู่ตรงนี้ ตัวโถงลิฟท์จะมีทางเข้าได้สองด้าน จากด้านหน้าและด้านหลังตึกที่ติดกับสวน
เมื่อเดินออกจากประตูอีกด้านหนึ่ง จะเจอกับพื้นที่สวนแบบนี้
สภาพสวนที่ตึก B2 ก็ดูดีเหมือนกัน มีต้นไม้เยอะ แต่ก็ต้องรอให้โตกว่านี้หน่อย
จากที่สวนก็จะสามารถเดินเข้าตึกได้ จากประตูนี้ ต้องแตะคีย์การ์ดเหมือนกัน
ต่อมาเรากดลิฟท์ขึ้นมาที่ชั้น 2
ลิฟท์ที่นี่มี 2 ตัวต่อหนึ่งอาคาร ไม่มีลิฟท์ดับเพลิง อัตราส่วนลิฟท์ประมาณ 115:1 ซึ่งก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้สำหรับคอนโดราคานี้ แต่อย่างไรก็ดีที่นี่ก็เป็นตึก Low Rise 8 ชั้น คงไม่ได้มีประเด็นเรื่องลิฟท์มาก ต่อให้เสีย เต็มที่ก็ขึ้นลงบันได 8 ชั้น ไม่เหมือนตึกสูงอยู่แล้ว
พื้นที่หน้าโถงลิฟท์ ถือว่าใหญ่มาก มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศในโถงทางเดินด้วย
ทางหนีไฟ จะอยู่ติดกับโถงลิฟท์เลย
บันไดในทางหนีไฟ ปูกระเบื้องไว้ด้วย ทำชานพักบันไดกว้าง
พื้นที่โถงบันไดหนีไฟของที่นี่ เรียกว่าเตรียมไว้ให้ลูกบ้านได้ใช้งานอย่างจริงจังเลย มีช่องแสง มีแสงสว่างเพียงพอ ทำขั้นบันไดไม่สูง และพื้นที่บันไดกว้าง เดินขึ้น-ลงสะดวก ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคอนโดลักษณะนี้
ตัวโถงทางเดินภายในอาคาร ขนาดความกว้างก็ 1.5 เมตรปกติ พื้น-ผนัง-ฝ้า-ประตู เป็นสีขาวหมดเลย เลยดูแล้วอาจจะโล่งๆไปหน่อย ติดหลอดไฟแบบซาลาเปาไว้ตามทางเป็นระยะ
ที่ปลายสุดของโถงทางเดินก็จะเป็นตำแหน่งช่องหน้าต่าง และช่องแสง ของแต่ละชั้น มีตู้ดับเพลิงวางอยู่ข้างๆ และมีทางหนีไฟด้วย
ช่องชาฟท์ของแต่ละห้อง จะอยู่นอกโถงทางเดิน ปิดด้วยหน้าบานสีขาวแบบนี้
มาถึงหน้าห้องตัวอย่างที่เราจะดู จะสังเกตว่าประตูห้องของห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน จะอยู่ตรงกันเป๊ะเลย แบบนี้ก็จะไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ เวลาเปิดประตูแล้วเจอหน้ากันพอดี และจะสามารถมองเข้าไปเห็นด้านในห้องของอีกฝ่ายได้
Floor Plan ของที่นี่จะหน้าตาเหมือนกันเกือบทุกชั้นเลย โดยหลักๆก็ไม่มีอะไรมาก เป็นห้องพักเกือบทั้งหมด เป็นรูปตัว L แบบนี้ มีแค่ชั้น 1 ที่แปลกหน่อย โดยจะมีห้องแบบที่เป็น Retails (สีส้มอ่อน) ที่เป็นยูนิตแบบเปิดร้านขายของได้
ส่วนชั้น 2-8 จะหน้าตาเหมือนกันหมด เป็นห้องพักล้วนๆ แต่ละชั้นมีห้อง 29 ห้อง จัดว่าหนาแน่นพอสมควรสำหรับชั้นหนึ่งชั้น ห้องเริ่มต้นที่ขนาด 31 ตารางเมตร คือสีเขียว ไปจนถึง 47 ตารางเมตร ที่เป็นห้องมุมสีเทา
ตัวตึกมีทางหนีไฟ 3 จุด คือปลายสุดของตัว L ทั้ง 2 ด้าน และบันไดหลักอยู่ตรงกลาง ที่จะมีขนาดใหญ่ที่สุด
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สวนสาธารณะประจำตึกแต่ละตึก
- Lobby แยกอาคาร
- ลิฟท์โดยสาร 2 ตัวต่อ/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟท์รวมทั้งโครงการ 115 : 1
- ที่จอดรถด้านนอกอาคารประมาณ 40% ไม่รวมจอดแบบซ้อนคัน
- ระบบ CCTV / Access Card
สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน Casalunar Avenue
- สโมสร “The Club” ประกอบด้วยสระว่ายน้ำและฟิตเนส (เสียค่าสมาชิก 100 บาท/ปี)
- ตลาด The Bazaar Shopping Arcade พร้อมศูนย์อาหารด้านใน
- 7-Eleven ด้านหน้าโครงการ
Layout ของห้องจัดมาเป็นแบบเอาพื้นที่นั่งเล่นกับส่วนรับประทานอาหารมาไว้ทางด้านหน้าห้อง, วางคู่กับห้องน้ำ ซึ่งอยู่หน้าห้องเหมือนกัน, ส่วนที่อยู่ติดหน้าต่างจะเป็นห้องนอน กับห้องครัว ซึ่งครัวจะอยู่ติดกับระเบียง เป็นครัวปิดมีประตูก้ันสองด้าน, ห้องนอนกับห้องนั่งเล่นเชื่อมกันด้วยประตูกระจกบานเลื่อน สามารถเปิดเพื่อเชื่อมพื้นที่รวมกันเป็นห้องเดียวได้
ประตูห้องเป็นประตูไม้สีขาวแบบมาตรฐาน หน้าตาแบบนี้
พื้นห้องยกระดับขึ้นมาประมาณ 4 ซม. เพื่อป้องกันฝุ่น หรือ น้ำ ที่มาจากโถงทางเดินไม่ให้เข้าห้อง
เข้ามาในห้องก็จะเป็นแบบนี้ ห้องนี้เป็นห้องมาตรฐาน แบบที่ไม่ได้ตกแต่งไว้ให้ดูนะครับ เลยอาจจะดูโล่งๆ ไม่มีสีสันเท่าไหร่ แต่ข้างในก็คือวางเฟอร์นิเจอร์ที่จะแถมไว้ให้ดู คือในห้องมีอะไร ก็คือได้ตามที่เห็นแบบนี้เลยครับ
มือจับประตูห้อง เป็นแบบลูกบิดธรรมดา และมีตัวล็อคเป็นโซ่เพิ่มเข้ามา ซึ่งแบบนี้ก็ไม่ค่อยแน่นหนาแข็งแรงเท่าไหร่ งัดแงะง่าย ถ้าเข้ามาอยู่จริง ผมก็อยากจะแนะนำให้ติดกลอนประตูแบบ Dead Bolt เพิ่มอีกซักตัว เพื่อให้ปลอดภัยมากขึ้น ส่วนของเดิมที่เขาให้มาก็ไม่ต้องไปเอาออกนะ
โคมไฟในห้องเป็นแบบซาลาเปาแบบนี้ ข้างๆกันติด Smoke Detector หรือเครื่องดักควันมาให้ด้วย
พื้นที่ในห้อง Living เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประตูจะเห็นเป็นแบบนี้ พื้นห้องเป็นพื้นลามิเนต วางโต๊ะรับประทานอาหารไว้ที่หน้าประตู ส่วนทางขวามือนั่นเป็นทาเข้าห้องน้ำ ซึ่งต้องเข้าจากห้องรับแขก
โต๊ะกินข้าวแบบ 2 ที่นั่ง พร้อมเก้าอี้ 2 ตัว มีแถมมาให้กับห้องมาตรฐาน หน้าตาแบบนี้ พื้นที่วางโต๊ะกินข้าวค่อนข้างโอเค มีการเผื่อระยะสำหรับให้ดึงเก้าอี้เข้า-ออกได้สะดวกหน่อย
โซฟาดูทีวีแบบ 2 ที่นั่ง พร้อมโต๊ะกลาง 1 ตัว ชุดนี้ก็แถมให้เหมือนกัน หน้าตาแบบนี้เลย ส่วนตัวผมคิดว่าโซฟาน่าจะตัวใหญ่กว่านี้หน่อย เพราะด้านข้างยังมีพื้นที่เหลือให้สามารถขยายขนาดโซฟาได้ หรือถ้าคิดว่าโซฟาขนาดนี้เพียงพอแล้ว ก็สามารถใช้พื้นที่ยังเหลืออยู่วางโต๊ะข้างโซฟาได้อีกตัว
ด้านหลังโซฟาจะติดตำแหน่งเสาพอดี ทำให้มีพื้นที่เหลือเป็นร่องแบบนี้ ถ้าอยากจะใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด แนะนำให้ก่อผนังขึ้นมาให้เสมอกับระยะเสาครับ ทำเป็นเคาน์เตอร์เล็กๆ สำหรับวางของจุกจิกได้ และป้องกันฝุ่นไม่ให้ไปหมกอยู่ด้านหลังโซฟาด้วย
ถ้าอยู่ที่โซฟาแล้วมองออกมาก็จะเห็นเป็นลักษณะนี้ ระยะดูทีวีค่อนข้างไกล เหมาะกับการติดทีวีขนาด 42 นิ้วขึ้นไป ถ้าทีวีขนาดเล็กกว่านั้นอาจจะต้องเพ่งดู
ส่วนประตูทางซ้ายเป็นทางเข้าห้องน้ำ ประตูทางขวาเป็นทางเข้าห้องครัว
ชั้นวางทีวีสีขาวตัวนี้แถมมาให้กับห้องด้วย ซึ่งด้านล่างจะมีลิ้นชักให้เก็บของได้ 2 จุด พื้นที่ผนังตรงนี้มันเว้าเป็นช่องเข้าไป ทำให้ขนาดทีวีที่จะเอามาติดที่ผนังตรงนี้มันอาจจะถูกจำกัด เพราะมันติดกำแพงสองด้าน แต่ยังไงก็น่าจะใส่ทีวีประมาณ 50 นิ้วได้ ซึ่งคิดว่าน่าจะเพียงพอกับการใช้งาน
ทางเข้าห้องน้ำอยู่ทางด้านนี้ ซ้ายมือจะมีตู้ Breaker ติดอยู่ข้างๆด้วย
พื้นที่ในห้องน้ำ เมื่อเปิดประตูเข้ามา จะพบกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าทางซ้าย ที่ติดกระจกเงาบานใหญ่มาให้ ส่วนตรงกลางจะเป็นโถสุขภัณฑ์
พื้นห้องน้ำ ลดระดับจากพื้นห้องลงไปประมาณ 3 ซม. ไม่มีธรณีประตู
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือหน้าตาแบบนี้ ตัวอ่างขนาดไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่ เป็นยี่ห้อ Kenza เหมือนกับตัวหัวก็อก ผนังด้านหลังจะติดโมเสกสีดำมาให้ด้วย และตัวเคาน์เตอร์จะปิดผิวด้วยหินแกรนิต มีพื้นที่ให้วางของได้
โถสุขภัณฑ์ของ Kenza เหมือนกัน ติดสายฉีดชำระ กับที่ใส่กระดาษชำระมาให้ ด้านหลังของโถสุขภัณฑ์มีเคาน์เตอร์ สำหรับวางของจุกจิก หนังสือ, แม็กกาซีน, มือถือ, iPad ฯลฯ
ส่วนด้านขวามือ จะเป็น Shower Box ไม่ได้ติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้ ซึ่งพื้นที่ขนาดนี้อาจจะต้องติดเป็นแบบฉากกั้นบานเลื่อน 3 ชิ้นแทน
ที่ด้านบนมีช่องหน้าต่างบานเลื่อนอยู่ สามารถเปิดเพื่อระบายกลิ่น ระบายอากาศในห้องน้ำ ออกไปทางห้องครัวได้ และหน้าต่างนี้จะทำหน้าที่ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องน้ำ ไม่ให้ห้องน้ำมืดเกินไปเวลาปิดไฟ
ตัวกระเบื้องโมเสกในห้องน้ำ ที่ใช้ติดผนัง จะเป็นแบบมีลวดลายลักษณะนี้
พื้นที่ส่วนของ Shower Box จะกั้นด้วยธรณีก่อเพื่อกั้นส่วนเปียกกับส่วนแห้ง … แต่จะตรงนี้จะมีการทำช่องเปิดเอาไว้บริเวณปลายสุด … อันนี้ทำไว้ทำไมผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน … แต่ผมคิดว่าถ้าก่อปิดไปน่าจะดีกว่า เนื่องจากจะได้กั้นส่วนเปียก-ส่วนแห้งให้แยกออกจากกันไปเลย ไม่งั้นการที่มีช่องแบบนี้ จะมีธรณีกั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ส่วนเปียกกับส่วนแห้งแยกจากกันอยู่ดี
หัวฝักบัวที่แถมมาให้กับห้อง และด้านข้างมีจุดสำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้
หัวก็อกสำหรับฝักบัว และ ที่วางสบู่ ด้านล่างเป็นก็อกน้ำสำหรับล้างพื้น หรือต่อกับสายยาง
ส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน แบบหน้าบาน 2 ชิ้น เป็นกระจกสีเขียวตัดแสง เมื่อเปิดออกก็จะได้พื้นที่ที่เชื่อมต่อกันแบบนี้ แต่ผมคิดว่าถ้าสามารถใส่ หน้าบานแบบ 3 ตอนได้ ก็จะดีกว่า เนื่องจากจะทำให้เปิดออกได้กว้างมากขึ้น
วัสดุบานประตูเป็นอลูมิเนียมแบบนี้ ประตูบานเลื่อนแบบนี้จะเป็นแบบวางรางด้านบน ไม่ได้วางรางประตูที่พื้น เวลาเดินก็จะไม่ต้องกลัวว่าจะเตะรางประตู แต่ว่าก็จะมีข้อเสียตรงที่ ตัวชุดประตูเวลาปิดเข้ามาแล้วมันจะไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ มันจะยังมีช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบ เพราะตัวหน้าบานมันไม่ได้สอดรับกับวงกบพอดี เป็นแค่เอามาชนกันเฉยๆ แล้วแมลงตัวเล็กๆพวกมด, ฝุ่น, เสียง ก็จะผ่านเข้ามาได้ จริงๆแล้วถ้าไม่ได้ซีเรียสก็ไม่เป็นไร เพราะก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขนาดต้องเปลี่ยนทั้งชุด
เข้ามาในห้องนอน ตัวห้องจะแถมเตียง 5 ฟุต พร้อมฟูกมาให้ วางได้พอดี ยังพอมีที่ว่างรอบๆเตียงเหลือนิดหน่อยให้เดินได้ ตัวห้องนอนจะอยู่ติดกับหน้าต่างบานเลื่อน ที่สามารถเลื่อนเปิดออกได้ตามรูป
ปลายเตียงเป็นพื้นที่วางตู้เสื้อผ้า กับโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมเก้าอี้ 1 ตัว บนผนังติดแอร์กับกระจกเงามาให้ 1 บาน
ตู้เสื้อผ้า เปิดกางออกมาแล้วก็เต็มพื้นที่เลย เพราะพื้นที่ปลายเตียงเหลืออยู่ไม่เยอะ แต่ว่าก็ยังใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้าใครคิดจะเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าอยู่แล้ว แนะนำให้หาเป็นแบบที่มีหน้าบานเป็นบานเลื่อนนะครับ จะได้ไม่เสียพื้นที่ในการเปิดประตูตู้มากนัก
แอร์ที่ให้ในห้องเป็นของ Panasonic หน้าตาแบบนี้เลย
พื้นที่ข้างเตียง เหลืออยู่นิดหน่อยสำหรับวางโต๊ะหัวเตียงตัวเล็กๆได้ เอาไว้วางโทรศัพท์, หนังสืออ่านก่อนนอน, นาฬิกาปลุก ฯลฯ
ในห้องติดผ้าม่านมาให้แบบนี้ด้วย มาพร้อมรางม่าน
วิวด้านนอกจากชั้น 2 ของตึก B2 เป็นวิวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านหลังรั้วสีขาวนั่นจะเป็นลำคลองครับ ซึ่งจากตำแหน่งที่ผมยืนก็ยังไม่ได้กลิ่น
ออกจากห้องนอนมาดูห้องครัวกันต่อ ประตูห้องครัวกั้นด้วยบานเลื่อนแบบนี้ และใส่หน้าบานเป็นกระจกฝ้า เดาว่าการที่ใส่เป็นกระจกฝ้า ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนข้างนอกมองทะลุผ่านระเบียงเข้ามาแล้วเห็นคนในห้องนั่งเล่น แต่จะให้ใส่เป็นประตูทึบไปเลยก็จะไม่ได้แสงธรรมชาติ เลยใส่เป็นกระจกขุ่นๆแบบนี้แทน
เลื่อนบานกระจกออกจะเจอกับครัว พื้นที่ประมาณนี้ไม่ได้ใหญ่มาก พื้นห้องครัวปูด้วยกระเบื้อง
เคาน์เตอร์ครัวที่ได้ จะเป็นเคาน์เตอร์รูปตัว L หน้าตาแบบนี้เลย มีท้อปเป็นหินแกรนิต หน้าบาน 2 สี ด้านล่างเป็นลามิเนตสีโอ้ค ข้างบนเป็นเมลามีนสีขาว และที่ผนังจะปูกระเบื้องมาให้ด้วยเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายๆ
ทางซ้ายบนเราจะเห็นช่องหน้าต่งา นั่นคือช่องระบายอากาศจากในห้องน้ำ
เคาน์เตอร์ครัว วางอ่างล้างจานแบบ Stainless มาให้แบบนี้ ไม่มีเตา ไม่มีเครื่องดูดควัน
ชุดตู้ครัวแขวนผนัง มีพื้นที่เก็บของประมาณนี้ ห้องมาตรฐานจะไม่มีที่ดูดควันติดมาให้ ถ้าอยากได้ก็ต้องไปติดเอง สำหรับคนที่ชอบทำอาหาร และอาจจะต้องเปลี่ยนชุดตู้อันนี้ด้วย เพราะมันติดเครื่องดูดควันค่อนข้างลำบาก ไม่มีพื้นที่ให้ติด
ด้านนี้เป็นประตูกระจก สำหรับออกไปยังระเบียง จะสังเกตว่าคอมฯแอร์ด้านนอกระเบียงจะแขวนอยู่บนผนัง ไม่มาวางเกะกะที่พื้น แต่ว่าคอมแอร์หันเข้าหาระเบียง และเป่าลมร้อนออกมาด้านใน แทนที่จะหันออกไปนอกตึกแล้วเป่าออกไปข้างนอก แบบนี้ระเบียงจะร้อนหน่อย
ข้างๆประตูทางออกตรงนี้จะมีพื้นที่สำหรับวางตู้เย็น ที่ค่อนข้างแคบ อาจจะใส่ตู้เย็นใหญ่ๆไม่ได้ ตอนเลือกตู้เย็นต้องวัดขนาดดีๆนะครับ
พื้นที่ระเบียงด้านนอก มีพอประมาณให้ใช้งานได้ กว้าง แต่ไม่ยาว อาจจะตากผ้าชิ้นยาวๆไม่ได้ แต่ยังดีที่เขาแขวนคอมแอร์ด้านบน ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ใช้งานของตัวระเบียงนัก
พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้อง 30×30 ซม.
มีการเดินท่อน้ำแอร์มาที่รู Floor Drain ทำแบบนี้หลายๆคนจะบอกว่าดูไม่ค่อยสวย ไม่เนี้ยบ แต่ว่ามันก็มีข้อดีเหมือนกัน คือทำให้น้ำแอร์มันไม่หยดๆ ไม่ไหลเป็นทาง เป็นคราบๆ
พื้นระเบียงลดระดับลงจากพื้นห้องอีกประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีธรณีก่อเหมือนกัน ซึ่งก็มีข้อดีตรงที่เราไม่ต้องกลัวว่าจะสะดุดเวลาวิ่งออกมาเก็บผ้าที่ระเบียงตอนรีบๆ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 24 September 2014
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S ชั้น 1 พื้นที่ 32 ตร.ม. ราคา 1.116 ล้านบาท หรือ 36,300 บาท/ตร.ม. (ราคาเริ่มต้น ณ วันที่ 3 ก.ย. 57)
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S Plus ชั้น 1 พื้นที่ 34 ตร.ม. ราคา 1.23 ล้านบาท หรือ 36,300 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S1 ชั้น 1 พื้นที่ 42 ตร.ม. ราคา 1.56 ล้านบาท หรือ 37,100 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S ชั้น 4 พื้นที่ 32 ตร.ม. ราคา 1.24 ล้านบาท หรือ 38,700 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S Plus ชั้น 4 พื้นที่ 34 ตร.ม. ราคา 1.315 ล้านบาท หรือ 38,700 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S3 ชั้น 4 พื้นที่ 47 ตร.ม. ราคา 1.856 ล้านบาท หรือ 39,500 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S ชั้น 8 พื้นที่ 32 ตร.ม. ราคา 1.34 ล้านบาท หรือ 41,900 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S Plus ชั้น 8 พื้นที่ 34 ตร.ม. ราคา 1.42 ล้านบาท หรือ 41,900 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S1 ชั้น 8 พื้นที่ 42 ตร.ม. ราคา 1.79 ล้านบาท หรือ 42,700 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B2 แบบ S3 ชั้น 8 พื้นที่ 7 ตร.ม. ราคา 2 ล้านบาท หรือ 42,700 บาท/ตร.ม.
- Fully Furnished
- ฝ้าเพดานสูง 2.4 เมตร
- จอง 5,000 บาท
- ทำสัญญา 20,000 บาท
- ดาวน์ 10%
- ค่ากองทุน 300 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 20 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
ทำเลของโครงการ The Rise B ตั้งอยู่ในตัวเมืองชลบุรี โดยอยู่ในจุดที่เป็นย่านชุมชนของเมืองชลบุรีเลย แต่จะขยับออกมาจากใจกลางเมืองนิดนึง โดยเอาตัวเอามาเกาะอยู่กับห้างเซ็นทรัลชลบุรี, โลตัส และ ตึกคอม ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้ “ใจกลางเมืองสุดๆ” แต่ว่าก็อยู่ในจุดที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เพราะห้างทั้งสามห้างนี้ก็จะเป็นแหล่งช้อปปิ้งประจำของคนชลบุรีเลย นอกจากนี้รอบๆโครงการยังมีตึกแถวร้านค้ามากมาย รวมถึงตัวตลาด The Bazaar ที่เป็นจุดช้อปปิ้งอีกจุดด้านหลังเซ็นทรัล เน้นของขายที่มีราคาถูกลงมาจากในห้าง เรียกว่าความอุดมสมบูรณ์ของทำเลโครงการถือว่าครบครันมาก ไม่ต้องออกไปไหนก็คงไม่อดตาย แต่จะมีข้อเสียตรงที่ตัวตึกของโครงการไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ แต่ต้องเข้าซอยไปลึกหน่อย
การเดินทางโดยใช้รถ ในโครงการมีทางเข้า-ออก 2 ด้านจากถนนสุขุมวิท และถนนพระยาสัจจา ทำให้เข้าออกได้ค่อนข้างสะดวก และถนนสองเส้นนี้ก็เป็นเส้นหลักที่คนแถวนี้ใช้ประจำอยู่แล้ว ความเจริญก็จะเกาะอยู่บนถนนสองเส้นนี้เป็นหลัก นอกจากนี้โครงการก็อยู่ไม่ไกลจากถนนบายพาสและเส้นมอเตอร์เวย์ ทำให้การวิ่งออกตัวเมือง วิ่งระหว่างจังหวัดใกล้เคียงหรือกลับกรุงเทพฯก็ทำได้ไม่ยาก ข้อเสียอย่างหนึ่งคือการเดินทางโดยส่วนใหญ่มักจะต้องมีรถยนต์ หรืออย่างน้อยๆก็มอเตอร์ไซค์ แต่ที่จอดรถที่โครงการเตรียมไว้ มีประมาณ 40% เท่านั้นซึ่งต่อไปในอนาคต ช่วงที่มีลูกบ้านเข้าอยู่พร้อมกันทั้ง 4 ตึก จำนวนเท่านี้ก็อาจจะไม่พอได้ถ้าบริหารจัดการไม่ดี
การเดินทางโดยไม่ใช้รถจัดว่าจะลำบากกว่าหน่อย ตรงที่รถประจำทางมีไม่เยอะ ส่วนใหญ่ก็จะมีพวกรถสองแถว, มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่มีวิ่งอยู่เรื่อยๆ พอใช้ได้ แต่ทำเลตรงนี้ถึงจะอยู่ในย่านชุมชน แต่ก็ยังไกลจากใจกลางเมืองในระยะเดินเท้า ดังนั้นใช้รถส่วนตัวจะเหมาะสมกว่า
ส่วนการออกแบบโครงการนี้ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า โครงการ The Rise B นี้เป็นคอนโดโครงการย่อย ที่อยู่ใน Casalunar Avenue อีกที ซึ่งทำให้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของมันคือ การที่ได้อยู่ในโครงการที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ร่วมๆ 70-80 ไร่ ทำให้การจัดผัง การวาง Layout มันง่าย เพราะมีพื้นที่เยอะ ตึกก็ใหญ่, ถนนก็กว้าง, พื้นที่วิ่งเล่นเพียบ, จัดสวนได้ใหญ่, ที่จอดรถถ้าไม่นับที่อยู่ในคอนโด ก็ยังมีด้านนอกด้วยที่(แอบ)ไปจอดได้ถ้าที่จอดรถในคอนโดมันเกิดเต็มขึ้นมาจริงๆ, นอกจากนี้ก็คือตัวโครงการมีความหลากหลาย มีทั้งที่อยู่อาศัยและทำการค้า ทำให้มันไม่แห้งแล้ง เพราะมีคนเข้าออก เกิดการใช้งานอยู่ตลอดเวลา แล้วชุมชนมันก็จะมีโอกาสที่จะพัฒนาเติบโตได้ แต่ข้อเสียของโครงการใหญ่ก็มีเหมือนกัน คือ มันมีความวุ่นวายเนื่องจากคนที่เข้ามาใช้งานมันมีจำนวนเยอะ ความเป็นส่วนตัวก็จะลดลงไป การบริหารจัดการชุมชนขนาดใหญ่ๆก็ย่อมทำได้ยากกว่าชุมชนเล็กๆ เพราะมีคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่า มีการขัดผลประโยชน์กันมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ของชุมชนใหญ่ๆ
ส่วนตัวโครงการ The Rise B ออกแบบมาคือเน้นฟังก์ชั่นพื้นฐาน ไม่ต้องฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งอะไรมาก แต่จัดมาได้ค่อนข้างโอเคสำหรับคอนโดราคานี้ ความหนาแน่นของโครงการอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ เพราะมี 920 ยูนิต บนที่ดินร่วมๆ 12 ไร่ หารออกมาแล้วเหลือไม่ถึง 100 ยูนิตต่อไร่ แต่ภายในตึกจะมีความหนาแน่นต่อชั้นเยอะหน่อย อยู่ที่ 29 ยูนิตต่อชั้น แต่ละตึกจัดให้ลิฟท์ตึกละ 2 ตัว ซึ่งก็น่าจะเพียงพอ, บันไดทางเดินในตึกทำได้ดี น่าใช้งาน
แต่โครงการจะมีข้อเสียตรงที่ ที่จอดรถ รวมถึง ที่ทิ้งขยะ เอาออกมาอยู่นอกตึกหมดเลย ทำให้ต้องตากแดดตากฝนไปขึ้นรถ หรือไปทิ้งขยะ อาจจะทำให้ไม่สะดวกได้ในบางครั้ง, ล็อบบี้และโถงทางเดินภายในตึกจัดมาดูแห้ง+โล่งไปหน่อย, ตู้จดหมายก็ควรจะเปลี่ยนเป็นแบบแยกแต่ละห้องไปเลย ไม่ต้องให้ใช้ร่วมกัน, และบางคนอาจจะบอกว่าหน้าตาตึกมันดูธรรมดาเกินไป ซึ่งอันนี้ก็คงจะขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนว่าซีเรียสรึเปล่านะครับ
และจะมีเรื่องความปลอดภัยที่อาจจะด้อยกว่ามาตรฐานไปหน่อย ตรงที่ไม่มีป้อมรปภ.คอยดูแลความเรียบร้อย ไม่ได้ตรวจสอบคนเข้า-ออกโครงการ มีแต่รปภ.ที่อยู่ใต้ตึกบริเวณล็อบบี้ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอ
ตัวห้องจัดมาเริ่มต้นที่ขนาด 32 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ค่อนข้างโอเค สามารถจัดฟังก์ชั่นได้ค่อนข้างลงตัว ทำห้องหน้ากว้างหน่อย จัดเฟอร์นิเจอร์ไม่ยาก และเฟอร์นิเจอร์ที่แถมให้ เมื่อเทียบกับพื้นที่และการจัดวางภายในห้องก็ถือว่าใช้ได้เลย อาจจะมีปรับเปลี่ยนนิดหน่อยตามแต่ผู้อยู่อาศัย อาจจะมีบางจุดที่เห็นแล้วแปลกๆ เช่น พื้นห้องน้ำส่วนอาบน้ำที่กั้นธรณีแปลกๆ, พื้นที่ห้องนอนอาจจะขยายกว้างกว่านี้ได้นิดนึงโดยลดพื้นที่ห้องนั่งเล่นลงอีกหน่อย แต่เท่านี้ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร, และคอมฯแอร์ที่ระเบียงที่อยากจะให้เป่าหันออกไปนอกระเบียงมากกว่า ส่วนวัสดุอุปกรณ์ในห้องเมื่อคิดว่าได้เป็นแบบ Fully Furnished ที่ราคาล้านต้นๆ ไม่ถึงล้านห้า ถือว่าโอเคเลย
สุดท้ายคือส่วนสาธารณูปโภคในโครงการ ถ้าเป็นตัวโครงการเองก็ไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากที่จอดรถรอบตึก กับพื้นที่สวนสาธารณะที่ค่อนข้างใหญ่ และล็อบบี้ที่อยู่แยกกันในแต่ละอาคาร ก็ถือว่ามาตรฐานสำหรับราคานี้ แต่ถ้ารวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในสโมสรด้วย ก็คือจะมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ กับฟิตเนสให้ใช้ได้ ในราคาสมาชิกแค่ 100 บาท/ปี (ราคานี้เฉพาะลูกบ้านของที่นี่) ต้องเดินไปใช้ไกลหน่อยแต่ถ้าได้ใช้ก็เรียกว่าคุ้มมาก อย่างไรก็ดีกรรมสิทธิ์ของสโมสรก็ไม่ได้เป็นของลูกบ้านนะครับ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคา 38,000 บาทต่อตารางเมตร, 30 September 2014
- ทำเล 8/10 – ทำเลในเมืองชลบุรี ไม่ติดถนนใหญ่ เข้าซอยลึก แต่สะดวกและอุดมสมบูรณ์มาก ใกล้ห้าง ใกล้ตลาด แบบเดินถึง
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – คมนาคมสะดวก เข้าออกได้สองด้าน ใกล้บายพาสและมอเตอร์เวย์
- ไม่ใช้รถ 6.5/10 – รถประจำทางมีน้อย, ต้องใช้สองแถว, แท็กซี่ หรือ มอไซค์รับจ้างเป็นหลัก นอกจากจะทำงานแถวเซ็นทรัล
- วัสดุ 8/10 – วัสดุส่วนใหญ่มาตรฐาน แต่ Fully Furnished ในราคานี้ จัดว่าดีใช้ได้
- แบบ 7/10 – จัดฟังก์ชั่นพื้นฐานและการวางผังตึกได้ค่อนข้างดี แต่หน้าตา, การตกแต่ง และเรื่องความปลอดภัยที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้
- สาธารณูปโภค 7.75/10 – ตัวโครงการไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนอกจากสวน แต่ด้วยความที่มีสโมสรด้านนอกอยู่ใกล้ๆ จึงเป็นเรื่องดี
- SUPER ECONOMY CLASS
- 7.65 / 10.00
BOTTOM LINE
คอนโด The Rise B เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านในชลบุรี ใช้ชีวิตประจำวันในชลบุรี อาจจะมีที่ทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ๆโครงการแบบเดินไปได้ หรือแบบที่อยู่ในเมืองแล้วขับรถเข้าไปได้ไม่ไกล มองหาโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ มีความอุดมสมบูรณ์รอบๆโครงการและเน้นความสะดวกจากตัวทำเลที่ตั้งเป็นหลัก มีเนื้อที่โครงการใหญ่ๆ พอจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้งานได้ และมองหาห้องที่แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ได้เลยในงบประมาณ 1-2 ล้านบาทครับ
ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ