รีวิวฉบับที่ 889 … สวัสดีครับ 😀 หลังจากวีดีโอรีวิวของโครงการ The Ozone ปัญญาอินทรา ได้ออกอากาศไปก่อนหน้านี้ ก็มีคนเข้ามาถามหาถึงรีวิวเจาะลึกของโครงการนี้เป็นจำนวนมากเลยนะฮะ วันนี้ผม Mr.Boom มาทำตามสัญญาแล้วหลังจากที่มัวแต่ไปถ่ายรายการมาหลายสัปดาห์ ^^” วันนี้จะพาไปรีวิวเจาะลึกโครงการนี้กัน ซึ่งสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูวีดีโอนะครัช The Ozone ปัญญาอินทรา นี้จะเป็นบ้านเดี่ยวที่อยู่ในหมู่บ้านปัญญาอินทรา เฟส 4 โซนใกล้ๆกับ Safari World ครับ โดยจะเป็นบ้านขนาดเริ่มต้นที่ 100 ตารางวา มีราคาเริ่มต้นอยู่ราวๆ 6.99 ล้านบาท และพัฒนาโครงการโดยบริษัท Asset Wise ครับ ไปดูกันเลยว่าที่นี่จะทำออกมาเป็นแบบไหน
Fact @ 10 July 2015
- The Ozone Panya Indra (ดิ โอโซน ปัญญาอินทรา)
- Asset Wise Co.,Ltd
- Segment : UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ใน : เขตคลองสามวา
- เนื้อที่โครงการ 10-2-46 ไร่ จำนวน 39 ยูนิต
- บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 3 แบบ
- Type A (Atmos) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดิน 157 ตร.วา ขนาดพื้นที่ใช้สอย 320 ตร.ม. 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ (จำนวน 1 ยูนิต)
- Type B (Breeze) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.วา ขนาดพื้นที่ใช้สอย 262 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ
- Type C (Cloud) ทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.วา ขนาดพื้นที่ใช้สอย 211 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ
NEW! เพื่อนๆสามารถเลือกอ่านตามหัวข้อได้โดยกดปุ่มไปยังหัวข้อที่สนใจได้นะครับ
พิกัด : 13.847283, 100.701037
แผนที่จากทางโครงการครับ
ที่ตั้งของโครงการ The Ozone จะอยู่ในหมู่บ้านปัญญาอินทราเฟส 4 ครับ ซึ่งแน่นอนว่าถนนที่ตั้งของโครงการก็คือถนนปัญญาอินทรานั่นเอง เป็นถนนที่เชื่อมต่อมาจากถนนรามอินทรา บริเวณใกล้ๆกับถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก วิ่งมาตัดถนนพระยาสุเรนทร์ แล้วก็ไปสิ้นสุดที่ถนนเลียบคลองสอง บริเวณทางเข้าสวนสัตว์ Safari World พอดีเลยครับ ซึ่งตัวโครงการ The Ozone นี้ก็จะอยู่บริเวณกลางๆถนนเส้นนี้นั่นเอง
การเข้าถึงตัวโครงการก็คงจะต้องขับรถหรือนั่งแท็กซี่ไปน่าจะสะดวกที่สุดนะครับ ซึ่งเส้นทางหลักๆก็จะมี 3 ทางที่เราคงจะได้ใช้บ่อยๆ ทางแรกก็คือ (1) เรามาจากรามอินทรา แล้วก็วิ่งตามเส้นปัญญาอินทรามาเรื่อยๆ ผ่านสนามกอล์ฟ นับเลขหมู่บ้านมาจนถึง เฟส 4 (หรือ P.4) ก็เลี้ยวเข้าโครงการตามปกติ ส่วนทางที่สอง (2) เรามาจากแถวสุวินทวงศ์/มีนบุรี เราก็วิ่งมาเข้าถนนพระยาสุเรนทร์ ซึ่งจะมาตัดกับถนนปัญญาอินทราช่วงกลางๆหน่อย เราก็มาเลี้ยวเข้าโครงการตรงนี้ได้ และทางสุดท้าย (3) คือเราอาจจะมาจากถนนหทัยราษฎร์ มาเลี้ยวเข้าถนนเลียบคลองสอง แล้วมาเข้าโครงการจากบริเวณฝั่ง Safari World แทน ก็ได้เช่นเดียวกันครับ
ถ้าเรามองภาพใหญ่ขึ้นมาหน่อย ทำเลตรงนี้ก็อยู่ไม่ได้ไกลจากถนนกาญจนาภิเษกเท่าไหร่นะครับ ซึ่งจะมีทางขึ้น-ลงอยู่ตรงถนนรามอินทรา ใกล้ๆกับห้าง Fashion Island/The Promenade ซึ่งถนนกาญจนาฯนี้ก็จะเพิ่มความสะดวกในการเดินทางในโซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกได้ โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวเมืองด้านใน สามารถขับลงใต้ไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์เพื่อไปสนามบินสุวรรณภูมิได้ หรือจะวิ่งขึ้นเหนือเพื่อออกต่างจังหวัด ไปรังสิต, ปทุมธานี, นครนายก, อยุธยา หรือจังหวัดอื่นๆทางเหนือของกรุงเทพก็ได้เช่นเดียวกัน
อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าที่ตั้งของโครงการนั้นจะอยู่ในหมู่บ้านปัญญาเฟส 4 เนื่องจากการพัฒนาโครงการนี้เป็นการซื้อที่ดินเปล่าบางส่วนที่อยู่ภายในหมู่บ้านเฟสนี้แล้วนำมาพัฒนาขึ้นเป็นโครงการใหม่อีกโครงการหนึ่งเลยครับ ตัวโครงการ The Ozone (สีเขียวฟ้าในภาพ) ก็จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหมู่บ้านปัญญาที่อยู่ด้านหน้า เพียงแต่ใช้ทางเข้า-ออกร่วมกันในลักษณะของถนนภาระจำยอมเท่านั้นเอง
ส่วนถ้าสังเกตในแผนที่ที่ผมทาสีแดงเอาไว้ บริเวณตรงนั้นจะเป็นพื้นที่ของโครงการบ้านเอื้ออาทรครับ ที่ลักษณะจะเป็นหมู่ตึกคอนโดมิเนียมจำนวนมาก สูงประมาณ 5 ชั้น ปลูกเรียงรายกันอยู่ด้านหลังของโครงการ The Ozone ซึ่งถึงแม้จะอยู่ติดกัน แต่ว่าไม่ได้อยู่ภายในรั้วเดียวกันนะครับ
คนส่วนใหญ่พอได้ยินว่าเป็นการสร้างหมู่บ้านใหม่ภายในหมู่บ้านเก่าอีกทีก็อาจจะแปลกใจหรือกังวลใจนะครับ อาจจะคิดว่ามันทำได้ด้วยหรอ? แล้วจะอยู่กันยังไง? ต้องขออธิบายว่าตัวหมู่บ้านปัญญาอินทรานี้ เดิมทีคือเค้าขายโครงการเป็นลักษณะที่ดินเปล่าจัดสรรที่ให้คนซื้อที่มาปลูกบ้านกันเองนะครับ ไม่ได้สร้างบ้านพร้อมขาย แล้วในเฟส 4 นี้แต่เดิมก็ยังมีบ้านอยู่ไม่กี่หลังเท่านั้นเอง แปลงที่ดินส่วนใหญ่ก็ยังถูกทิ้งร้างๆไว้อยู่เลย ทีนี้ทาง Asset Wise ก็เข้ามาซื้อที่ดินไปส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำอะไรนี่แหละ แล้วพัฒนาขึ้นมาใหม่เป็น The Ozone ครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Safari World
- วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการท่องเที่ยว
- สำนักงานเขตคลองสามวา
- สนามกอล์ฟปัญญาอินทรา
- Fashion Island
- The Promenade
- โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
จาก Master Plan เราจะเห็นว่าที่ดินของโครงการจะมีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ ตลอดแนวของหมู่บ้านปัญญาเลยนะครับ แบ่งแปลงออกมาเหมือนแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งเลย บ้านทุกหลังหันหน้าออกถนน ไปทางด้านหน้าของหมู่บ้าน ซึ่งภายในโครงการก็จะมีแต่ตัวบ้านขายล้วนๆ ไม่มีสโมสร ไม่มี Facilities ไม่มีสารพัดของกุ๊กกิ๊กใดๆให้วุ่นวาย มีพื้นที่ส่วนกลางแค่ถนน, ทางเดิน, รั้วรอบขอบชิด, เสาไฟส่องถนน อะไรพวกนี้นิดๆหน่อยให้ประกอบกันเป็นหมู่บ้านแค่นั้นเอง แต่ที่นี่คือจะเน้นตัวบ้านและที่ดินเป็นหลัก
ตัวบ้านจะอยู่เรียงกันเป็นแถวแบบนี้ จากภาพจะเห็นว่าถนนหลักในโครงการจะถูกแบ่งออกเเป็นสองฝั่งโดยจะมีคลองระบายน้ำคั่นเป็นเกาะกลางเอาไว้ตลอดแนว ไม่มีทางเชื่อมยกเว้นตรงกลางของหมู่บ้าน ดังนั้นก็จะทำให้โครงการมีทางเข้าออกทางเดียว ซึ่งแนวคลองระบายน้ำที่เราเห็นอยู่นี้ก็จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นรั้วของโครงการไปในตัว
มองย้อนกลับไปอีกด้านหนึ่งก็จะเห็นบ้านยาวไปตลอดแนวของหมู่บ้าน ด้านหลังของตัวบ้านที่เห็นเป็นอาคารสูงประมาณ 5~6 ชั้น ก็คือบ้านเอื้ออาทรนั่นเอง
ด้วยความที่ที่ดินของโครงการมีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ การแบ่งแปลนบ้านจึงออกมาเป็นแบบเรียงแถวหน้ากระดานแบบนี้
ดูภาพถ่ายทางอากาศไปแล้ว ต่อมาเรามาเดินดูสภาพโครงการกันบ้าง เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าโครงการเลย ซึ่งซุ้มประตูทางเข้าของโครงการจะใช้ร่วมกันกับหมู่บ้านปัญญาเลย หน้าตาก็ยังเป็นโครงเหล็กเขียวๆ โค้งๆ แบบดั้งเดิมนี่แหละ มีป้อมรปภ.อยู่ตรงกลางคอยดูแลความปลอดภัย
ด้านหน้าโครงการยังเป็นป้ายหมู่บ้านปัญญาอินทรา P.4 อยู่เลย ในอนาคตอาจจะมีป้าย The Ozone มาแปะตรงนี้รึเปล่านะ?
ทางเข้า-ทางออก กั้นด้วยรั้วกั้นไม้กระดก ไม่มีประตูเหล็ก ไม่มีระบบคีย์การ์ดใดๆ รถแต่ละคันที่เข้าออกจะใช้สติกเกอร์ที่แปะหน้ารถเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นลูกบ้านของโครงการ ซึ่งการรักษาความปลอดภัยแบบนี้ เทียบกับโครงการเปิดใหม่ในปัจจุบัน ก็ถือว่าค่อนข้างหละหลวมไปหน่อย เพราะสมัยนี้อย่างน้อยๆบริเวณทางเข้าโครงการก็เป็นระบบคีย์การ์ดกันหมดแล้ว บางแห่งถึงกับเป็น Video Door Phone มีกล้องวงจรปิดอีกต่างหาก แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของโครงการนี้หลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไป ทางหมู่บ้านปัญญาจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาในหมู่บ้านได้เลย นอกเสียจากว่าจะมีลูกบ้านพาเข้ามา หรือแจ้งเอาไว้ก่อน ส่วนการบริหารเรื่องความปลอดภัยนี้จะเป็นหน้าที่ของนิติบุคคลของทางหมู่บ้านปัญญาเค้า ซึ่งตัว Ozone นี้ก็จะใช้นิติบุคคลร่วมกันครับ
เข้ามาในโครงการก็จะเจอกับถนนที่มุ่งตรงเข้าสู่ด้านในสุดของหมู่บ้านเลย ซึ่ง The Ozone จะตั้งอยู่ด้านในครับ ความได้เปรียบอย่างหนึ่งของการซื้อโครงการที่มีอายุหน่อยคือเรามักจะได้หมู่บ้านที่มีถนนภายในที่กว้างครับ อย่างที่นี่ถนนเมนหลักรวมฟุตบาทก็กว้างราวๆ 20 เมตร เราให้ลูกหลานมาขี่จักรยาน วิ่งเล่นได้สบายเลย
บริเวณทางเท้าตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าไปจนถึงด้านในโครงการ เค้ามีการปรับปรุงใหม่ ทำความสะอาด ทาสีขอบทาง ลงต้นไม้เพิ่ม ใส่ไม้ดอกที่มีสีสันเพิ่มเข้าไป เพื่อต้อนรับลูกค้าที่จะเข้ามาชมโครงการ
ซอยย่อยเหล่านี้ก็จะเป็นพื้นที่ของหมู่บ้านปัญญาดั้งเดิม จะสังเกตว่าแปลงที่ดินส่วนใหญ่ก็ยังถูกทิ้งร้างๆ เป็นที่ดินเปล่าๆ ไม่ได้มีการพัฒนาอยู่หลายแปลงเลย บางแปลงมีล้อมรั้วบ้าง หลายแปลงหญ้าขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็นด้านในเลย
ซอยบางซอยที่มีบ้านคนอยู่ก็จะโอเคหน่อย ดูไม่เปลี่ยวมาก กลางคืนก็จะมีไฟเปิด ที่ดินบางแปลงก็มีร่องรอยการดูแลอยู่เรื่อยๆ สังเกตได้จากหญ้าที่ขึ้นไม่สูงมาก มีคนคอยตัด
ข้างๆฟุตบาทมีการใส่ต้นไม้เพิ่ม วางไม้พุ่มเพิ่ม เพื่อเพิ่มความร่มรื่นตามทาง
เดินเข้ามาถึงด้านในจะเจอกับวงเวียนของ The Ozone อยู่ตรงกลาง แยกหมู่บ้านออกไปทางซ้ายและขวา
บ้านฝั่งซ้ายส่วนใหญ่จะเป็นบ้าน Type B ที่เป็นขนาดกลาง
และฝั่งทางขวา บ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้าน Type C ขนาดเล็กสุด
จากภาพนี้เราจะสังเกตว่าบริเวณทางเท้าหน้าบ้านเค้าจะปูหญ้าและลงต้นไม้ใหญ่เอาไว้ให้เลย เพื่อการันตีให้หน้าบ้านทุกหลังอย่างน้อยๆจะมีไม้ยืนต้นประจำการอยู่ (ไม่ให้เอาออก เพราะทางเท้าหน้าบ้านจะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง) หากถึงวันที่ต้นไม้หน้าบ้านพวกนี้เติบโตเต็มที่ ก็จะช่วยให้ตัวโครงการโดยรวมมีความร่มรื่นมากขึ้น และเป็นร่มเงาให้กับลูกบ้านทุกๆคน
ส่วนบ้าน Type A จะอยู่ตรงกลางของโครงการพอดี มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีแค่หลังเดียวเท่านั้น (ซึ่งตอนที่ผมไปถึง เค้าก็ขายไปแล้ว)
ตรงกลางโครงการ อย่างทีบอกไปตอนต้นว่าจะมีคลองระบายน้ำพาดตรงกลางของถนน และแบ่งถนนเป็นสองฝั่ง ตัวคลองนี้ตอนที่ผมไปสำรวจก็ไม่ได้ส่งกลิ่นเหม็นใดๆนะครับ แต่ว่าก็อาจจะไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เพราะมันเก่าแล้ว แล้วก็ถูกทิ้งไว้ไม่ได้รับการดูแลเป็นเวลานาน ทางโครงการเค้าก็เลยทำการใส่ไม้พุ่ม ไม้กระถาง ลงไปรอบๆตัวแนวกั้นคลองตรงนี้ เพื่อบังสายตาไป
มีการทำที่กั้นให้กับแนวคลองนี้ขึ้นใหม่ วางต้นไม้คั่นเป็นระยะๆ
ทำไปตลอดจนถึงปลายสุดของหมู่บ้านเลย ตัวหมู่บ้านไม่มีอะไรมากครับ มีพื้นที่ส่วนกลางเท่าที่เห็นแค่นี้แหละ
ส่วน Facilities อื่นๆ พวกสระว่ายน้ำ / ห้องออกกำลังกาย อะไรพวกนี้ในโครงการจะไม่ได้มีให้นะครับ แต่ทางหมู่บ้านปัญญาเค้าจะมี Sport Club ของเค้าที่เราสามารถไปสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานพวกสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้ได้ ใครอยากใช้ก็ไปจ่ายเงินเพิ่มเอา
สิ่งอำนวยความสะดวก
- รั้วรอบโครงการสูง 3 เมตรและรั้วโปร่งต่อเพิ่ม 1 เมตร
- ประตูรั้วของโครงการแบบรั้วกั้นไม้กระดก (ใช้ร่วมกับหมู่บ้านปัญญาฯ)
- ถนนหลักกว้าง 20 ม. และถนนภายในกว้าง 9 ม.
โครงสร้าง: อิฐมวลเบา
แบบบ้านของโครงการ The Ozone ปัญญาอินทรา จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แบบด้วยกันนะครับ: A, B และ C ไล่จากใหญ่สุดไปเล็กสุด บ้านของที่นี่จะมีขนาดที่เดินเริ่มต้นที่ 100 ตารางวานะครับ ซึ่งในปัจจุบันโครงการที่ราคาระดับเดียวกัน ในทำเลใกล้ๆกัน ให้ที่ดินขนาดนี้ก็ถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว
เราจะมาเริ่มจากแบบ C ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กสุดก่อน
เรามาดูแปลนที่ดินกันก่อน ขนาดของแปลงที่ดินมาตรฐานจะอยู่ที่ 100 ตารางวาครับ จะสังเกตว่าแปลงที่ดินของบ้าน Type C จะเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งแบบนี้ ลักษณะเป็นที่ดินแนวลึก ตัวบ้านจะปลูกชิดกับขอบที่ดินด้านหลัง และกินพื้นที่ราวๆครึ่งหนึ่งของตัวที่ดิน ส่วนลานจอดรถจะถูกนำมาวางไว้ด้านหน้า
บริเวณระหว่างตัวบ้านและลานจอดรถจะมีพื้นที่ว่างๆเหลืออยู่ที่โครงการระบุไว้ว่าเป็น Future Area แต่ปัจจุบันยังเป็นสนามหญ้าอยู่ พื้นที่ตรงนี้เค้าตั้งใจจะให้เจ้าของบ้านสามารถปรับปรุง+เปลี่ยนแปลง หรือต่อเติมเป็นฟังก์ชั่นอื่นๆได้ในอนาคต เช่น เราอยู่ไปนานๆ สมาชิกในบ้านเริ่มโตขึ้น, มีจำนวนมากขึ้น, มีงานอดิเรกเพิ่มขึ้น ก็สามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ต่อเติมทำอย่างอื่นที่อยากทำได้ และการที่เค้านำเอาที่จอดรถมาไว้หน้าสุดของบ้าน แปลว่า ถ้าในอนาคตมีการต่อเติมเกิดขึ้น เราจะได้ไม่ต้องย้ายตำแหน่งของลานจอดรถยังไงล่ะครับ เพราะมันอยู่หน้าสุดอยู่แล้ว
บ้าน Type C นี้จะมีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 211 ตร.ม. ได้ฟังก์ชั่นเป็น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บริเวณชั้นล่างหลักๆก็คือ “LDK” หรือ Living+Dingin+Kitchen นั่นเอง
เปิดเข้ามาด้านหน้าจะเป็นส่วนของห้องรับแขกก่อนอยู่ติดกับประตูเข้าบ้าน ซึ่งจะรวมฟังก์ชั่นโซฟานั่งดูทีวีตรงนี้เข้าไปด้วย, ถัดเข้ามาตรงกลางบ้านจะเป็นส่วนรับประทานอาหาร ซึ่งจะวางอยู่ติดกับครัวด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งติดกับส่วนที่เปิดออกไปยังเฉลียงหน้าบ้านได้, พื้นที่ครัวเป็นครัวปิดที่กั้นด้วยประตูกระจก วางอยู่มุมด้านหนึ่งของบ้าน จากครัวเราสามารถเปิดออกไปยังลานซักล้างด้านหลังบ้านได้ ซึ่งบริเวณก่อนถึงลานซักล้างจะมีพื้นที่สำหรับวางเตาแก๊สแบบ Semi-Outdoor คืออยู่ใต้ชายคา แต่อยู่นอกตัวบ้าน ให้ใช้ประกอบอาหารได้
ที่บริเวณชั้นล่างนี้จะมีห้องนอน 1 ห้อง ซึ่งมีห้องน้ำในตัว ถ้าเราไม่ได้ใช้นอน เราสามารถปรับห้องนี้เป็นห้องเอนกประสงค์อื่นๆได้ และส่วนอื่นๆภายนอกห้องนอนก็จะมีห้องน้ำอีกหนึ่งห้อง ที่จะรองรับการใช้งานจากส่วนห้องรับแขก, ส่วนรับประทานอาหาร และห้องครัว
ขึ้นมาที่ชั้นสองของบ้านแบบ C ฟังก์ชั่นของชั้นสองจะแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน ที่มี 3 ขนาดแตกต่างกัน, ถ้าดูจากแปลน “ห้องนอน 3” จะมีขนาดเล็กสุด อยู่ฝั่งด้านหลังบ้าน, “ห้องนอน 4” จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย วางอยู่ตำแหน่งด้านหน้าสุดของบ้าน และห้องนี้จะวางอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น (หรือห้อง Family Room) ของชั้น 2 ด้วย เรียกว่าแทบจะยึดห้องนั่งเล่นนี้ไปเป็นของตัวเองได้เลย, และสุดท้ายคือ “ห้องนอน 2” ที่จะเป็น Master Bedroom ของบ้าน มีขนาดใหญ่ที่สุด มีฟังก์ชั่น Walk-in Closet ภายในตัว และเป็นห้องเดียวที่มีระเบียงส่วนตัวให้เปิดออกมายืนรับลมชมสวนได้
เรามาดูบ้านตัวอย่างของบ้าน Type C กันก่อน เริ่มตั้งแต่รั้วบ้านเลย
พื้นด้านหน้าทางเข้าบ้านจะปรับ Slope แบบนี้มาให้
รั้วหน้าบ้านเป็นคอนกรีตสีขาวสูง 1.50m แบบนี้ (รั้วบริเวณด้านข้างและด้านหลังจะสูง 1.80m) มีบางส่วนใช้เป็นโครงเหล็กสีดำอย่างที่เห็นในภาพ
หน้าบ้านติดกล่องจดหมาย, ป้ายบ้านเลขที่ และสวิตช์กริ่ง มาให้เรียบร้อยแล้ว
รั้วหน้าบ้านอีกฝั่งหนึ่งก็จะเป็นแบบเดียวกัน บริเวณทางเท้าหน้าบ้าน ปูหญ้า และลงต้นไม้ใหญ่ให้
ภายในบ้านจะมีถังขยะที่อยู่ติดกับรั้ว มีช่องเปิดได้จากด้านนอก สำหรับคนเก็บขยะให้สามารถเปิดเอาถุงขยะออกไปทิ้งได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้าน ตัวถังขยะจะเป็นของยี่ห้อ DOS มีฝาปิดมิดชิด ไม่ให้หนูหรือแมลงเข้าไปง่ายๆ และป้องกันกลิ่นด้วย
และรั้วบ้านจะเป็นประตูเหล็กบานเลื่อนสีดำหน้าตาแบบนี้ที่จะสไลด์เข้าไปเก็บด้านหลังรั้ว เป็นประตูแบบอัตโนมือ (คือเอามือดึงนั่นเอง) ไม่ได้เป็นประตูไฟฟ้า แต่ถ้าใครขี้เกียจ ผมก็แนะนำให้ไปติดชุดมอเตอร์สำหรับเปิดประตูอัตโนมัตินะครับ จะได้เป็นแบบ Auto ควบคุมจาก Remote ได้ ไม่ต้องลงจากรถมาเปิดประตูเอง
ผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามาก็จะเจอกับพื้นที่ที่เค้าเตรียมไว้ทำเป็นลานจอดรถ ในบ้านตัวอย่างเค้าจะใส่หลังคากันสาดขนาดใหญ่มาให้ดูนะครับ แต่ของจริงนี่ สำหรับบ้าน Type C เค้าจะไม่ได้แถมให้ แถมให้เฉพาะบ้าน Type B ครับ หน้าตาแบบนี้เลย ส่วน Type C เค้าจะลงรากฐาน วางเสาเข็มเอาไว้ให้ เราสามารถไปทำเองได้เลย
ลานจอดรถของบ้านตัวอย่างเค้าทำเป็นพื้นแบบแสตมป์คอนกรีตเอาไว้ให้ดู แต่ของจริงจะเป็นพื้นคอนกรีตธรรมดาแบบที่ไม่ได้พิมพ์ลายนะครับ
บริเวณเสาของลานจอดรถ เค้าทำเป็นห้องเก็บของเล็กๆไว้ด้วย ใครจะทำแบบนี้ก็ได้นะ เอาไว้เก็บอุปกรณ์ต่างๆสำหรับใช้งาน Outdoor จะได้ไม่ต้องไปเก็บในบ้าน
สังเกตบริเวณรั้วด้านข้างของบ้านนะครับ ในบ้านตัวอย่างเค้าจะปลูกต้นไม้เป็นรั้วบังสายตาเอาไว้ ของจริงเค้าไม่ได้ให้แบบนี้นะ แต่ผมคิดว่าเป็นไอเดียที่ดีในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวบ้าน เพราะมันไม่เปลืองพื้นที่บ้าน ยังไงๆรั้วบ้านก็ต้องเว้นระยะห่างจากตัวบ้านอยู่แล้ว จะปล่อยไว้เฉยๆก็เสียดายพื้นที่ แล้วทำแบบนี้ยังได้ Privacy ไปพร้อมกันด้วย
สำหรับบ้านแบบ C นี้ พื้นที่ดินส่วนที่เหลือจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาว ดังนั้นเราสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นสระว่ายน้ำส่วนตัวได้ แบบที่บ้านตัวอย่างเค้าทำให้ดูเป็นไอเดีย ใครจะทำแบบนี้ก็ได้นะครับ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มประมาณ 1 ล้านบาท ก็จะได้สระว่ายน้ำขนาดประมาณ 3×10 เมตร อย่างที่เห็นนี้
ตัวสระว่ายน้ำเค้าก็ไม่ได้วางอยู่โดดๆนะครับ เค้าจะมีการทำพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงกับพื้นที่ของบ้าน ให้ Flow การใช้งานมันดีขึ้น เช่น การทำพื้นใหม่เพื่อเชื่อมพื้นบ้านกับพื้นรอบๆสระ ไม่ได้ทิ้งไว้เป็นสนามหญ้า เวลาเราเดินออกจากตัวบ้าน ก็สามารถกระโดดลงสระน้ำได้เลย ไม่ต้องคอยใส่รองเท้า ถอดรองเท้า เป็นต้น
หน้าตาของบ้าน Type C มองจากด้านนอกก็จะเป็นแบบนี้ เส้นสายออกแนวโมเดิร์น ใช้โทนสีเทาเข้มตัดกับสีขาวเพื่อสร้าง Contrast
ก่อนถึงทางเข้าบ้าน จะมาการปูแผ่นหินเอาไว้ เชื่อมตัวบ้านกับที่จอดรถ ให้เดินมาได้สะดวก ไม่ต้องเหยียบพื้นหญ้า เพราะอาจจะมีเศษดินติดเท้าขึ้นมาได้
ทางเข้าบ้านจะยกระดับจากพื้นดินขึ้นมาประมาณ 2 ขั้น
หน้าบ้านมีเฉลียงสำหรับถอด-ใส่รองเท้า ปูกระเบื้องแบบกันลื่นเอาไว้ แยกจากส่วนที่เป็นพื้นด้านนอกที่จะปูด้วยกรวดล้าง
ประตูทางเข้าเป็นประตูไม้บานทึบสีดำ พร้อมมือจับประตูสเตนเลสแบบก้านโยก หน้าตาแบบที่เห็นนี้เลย ข้างๆประตูใส่เป็นผนังกระจก เพื่อดึงแสงธรรมชาติให้ส่องเข้าไปจากหน้าบ้านได้
เปิดประตูบ้านออกมาปุ๊บจะเห็นว่าตัวบ้านยกระดับจากพื้นภายนอกขึ้นมาอีกประมาณ 7 cm เพื่อป้องกันฝุ่นละออง และน้ำ จากภายนอก ไม่ให้ไหลเข้าตัวบ้าน
เข้ามาในบ้านปุ๊บ ส่วนแรกที่เจอก็จะเป็นห้องรับแขก และโซฟาสำหรับนั่งดูทีวี พื้นชั้นล่างจะปูด้วยกระเบื้องแกรนิโต้สีขาว ขนาด 60×60 ซม.
พื้นที่ห้องรับแขก มีเหลือพอให้สามารถวางโซฟาขนาด 3-4 ที่นั่ง และโต๊ะกลางขนาดใหญ่อีกตัวได้สบายๆ ผนังด้านหลังโซฟาเจาะเป็นช่องแสงสองด้าน เพื่อเพิ่มปริมาณแสงธรรมชาติให้กับส่วนรับแขก
บนเพดานของบ้านตัวอย่าง จะมีการดรอปฝ้าเพื่อซ่อนไฟหลืบ พร้อมกับติดพัดลมเพดานไว้ให้ดูเป็นไอเดียด้วย การมีพัดลมเพดาน ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว แต่จริงๆก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้เราประหยัดแอร์ได้วิธีหนึ่งนะครับ เพราะบางทีเราอยู่บ้านกันเอง เราก็อาจจะไม่ได้เปิดแอร์ตลอดเวลา การใช้พัดลมก็ช่วยลดความร้อนได้ระดับหนึ่ง แล้วการที่มันแขวนบนเพดาน จะกระจายความเย็นได้ทั่วถึงกว่า และไม่เปลืองพื้นที่ในการที่จะต้องวางพัดลมอีกตัวด้วยนะ
ผนังด้านข้างโซฟาตรงนี้มีพื้นที่เหลือนิดหน่อย สามารถทำเป็นตู้โชว์ หรือ ตู้เก็บของตรงนี้ได้
พื้นที่โดยรวมของห้องรับแขกจากอีกมุมหนึ่ง
บริเวณด้านหน้าบ้าน ส่วนที่อยู่ติดกับทางเข้าบ้าน จะมีพื้นที่ที่เว้าออกไปแบบนี้ ซึ่งไอเดียของมันคือ เราสามารถเอาโต๊ะมาตั้ง หรือ Built-in โต๊ะติดผนังเข้าไปแบบในห้องตัวอย่าง แล้วใช้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับนั่งทำงานเล็กๆน้อยๆ หรือนั่งเล่นคอมตรงนี้ก็ได้ โดยที่จะยังอยู่ใกล้ชิดกับส่วนโซฟาดูทีวี เวลาที่สมาชิกในบ้านหลายๆคนลงมาใช้งานพื้นที่ตรงนี้พร้อมๆกัน แต่ละคนก็จะมีมุมส่วนตัวแยกๆกันไป แต่ยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้
ส่วนรับแขก เมื่อมองจากโซฟาออกไป จะสามารถมองไปเห็นถึงพื้นที่ครัวที่อยู่ด้านหลังได้ ทำให้ไม่รู้สึกทึบ อึดอัด และบริเวณผนังด้านหลังชั้นวางทีวี ก็จะมีการเจาะช่องทำเป็นผนังกระจกเช่นเดียวกัน
เดินต่อเข้ามาในส่วนของพื้นที่ตรงกลางบ้าน จะเจอกับส่วนรับประทานอาหาร ที่วางเป็นโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 8 ที่นั่งเอาไว้ ด้านหลังโต๊ะจะติดกับส่วนครัว และห้องน้ำ
ส่วนอีกด้านของโต๊ะรับประทานอาหาร จะอยู่ติดกับประตูกระจก ที่สามารถเลื่อนเปิดออกไปเชื่อมกับพื้นที่นอกบ้านได้
พอเปิดออกมาจะเจอกับเฉลียงหน้าบ้าน และส่วนสระว่ายน้ำ ที่ยกพื้นขึ้นมาให้มีระดับเท่ากับตัวเฉลียงเลย ถ้าเป็นบ้านมาตรฐาน พื้นที่ตรงนี้ก็จะเป็นสนามหญ้า เป็นสวนไปตามปกติ ซึ่งก็แล้วแต่เจ้าของบ้านว่า จะอยากต่อเติมพื้นที่ตรงนี้ต่อไปอย่างไรในอนาคต
ต่อมาเราไปดูพื้นที่ในครัวกันบ้าง ตัวครัวจะมีลักษณะเป็นครัวปิดแยกส่วนกับพื้นที่อื่นของบ้าน ด้วยความที่พื้นที่ครัวนั้นไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าจะใส่ผนังทึบเข้าไป อาจจะยิ่งทำให้ดูอึดอัดคับแคบ ที่นี่เค้าก็เลยใช้ผนังกระจกกับประตูบานเลื่อนแทน เพื่อให้ห้องครัวดูโปร่งขึ้น มีแสงธรรมชาติส่องเข้าไปได้มากขึ้น แต่ผมว่าประตูบานเลื่อนของครัวมันเปิดออกได้ไม่ค่อยกว้างเท่าไหร่ ยิ่งพื้นที่ครัวเป็นพื้นที่ที่เราจะต้องคอยยกของเข้าๆออกๆบ่อย ถ้าจะให้ดี น่าจะใส่บานประตูสไลด์ที่ขนาดใหญ่กว่านี้จะดีกว่า ซึ่งเราจะไปเปลี่ยนเองก็ได้นะครับ เพราะยังมีพื้นที่เหลืออยู่บ้าง
ภายในครัว มีพื้นที่พอให้สามารถวางเคาน์เตอร์รูปตัว L แบบนี้ได้
วางเตาไฟฟ้าสี่หัว, ที่ดูดควันขนาดใหญ่ และใส่เตาอบด้านล่างได้พร้อมกันแบบนี้ บนผนังแขวนตู้เก็บของเพิ่มได้อีก
ตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัว มีพื้นที่สำหรับวางตู้เย็นขนาดใหญ่ และตู้กับข้าวได้อีกชุดสบายๆ หรือใครอยากจะเพิ่มชุด Built-in ฝั่งนี้อีกก็สามารถทำได้ไม่ยาก
ด้านหลังครัวมีทางให้เดินออกไปยังลานซักล้างด้านหลังบ้านได้แบบนี้
ตรงนี้จะมีห้องที่ใช้สำหรับวางเครื่องซักผ้า และ/หรือ เครื่องอบผ้าได้ ซึ่งทำให้เราสามารถวางเครื่องซักผ้าไว้ภายในตัวบ้านได้ ไม่จำเป็นจะต้องเดินออกไปซักผ้านอกบ้าน
พื้นตรงนี้เค้าปูกระเบื้องไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าพื้นจะเปียกจากการซักผ้า เดินท่อไว้ให้แล้วด้วย แต่ตัวเต้าเสียบปลั๊กไฟน่าจะเปลี่ยนเป็นแบบที่มีฝาปิดกันน้ำซะหน่อยนะครับ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นประตูบานสไลด์ที่เปิดออกไปยังส่วนลานซักล้างหลังบ้าน
ก่อนจะเจอลานซักล้าง ตรงนี้จะมีเคาน์เตอร์ปูนก่อเอาไว้ให้สำหรับวางเตาแก๊สนอกบ้านได้ สำหรับบ้านไหนที่ชอบต้มผัดแกงทอด แบบที่มีกลิ่นแรงๆ ก็สามารถมาจัดหนักกันตรงนี้ได้เลย เพราะพื้นที่ครัวหลังบ้านตรงนี้ก็ยังอยู่ใต้ชายคาอยู่ แต่ไม่ได้อยู่รวมกับตัวบ้าน ระบายอากาศได้สะดวก แต่ไม่ต้องกลัวเปียกฝน หรือแดดร้อนๆ พื้นที่ตรงนี้ก็ปูกระเบื้องรอบด้านอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวเลอะเทอะ ลุยได้เต็มที่
ด้านหลังบ้านตรงนี้ก็จะเป็นรั้วสูง 3 เมตร ที่ต่อระแนงกั้นไปอีก 1 เมตร รวมเป็น 4 เมตร ซึ่งนอกจากจะเป็นรั้วให้ตัวบ้านแล้ว ตรงนี้ยังเป็นรั้วของตัวโครงการด้วยนะครับ
ถังน้ำ DOS และปั๊มน้ำของ Mitsubishi ขนาด 300W แถมให้แล้วเป็นมาตรฐาน
ทางเดินด้านหลังบ้าน ก็ปูหญ้าให้ตามปกติ
กลับเข้ามาในบ้านกันต่อ เรามาดูพื้นที่ที่เหลือส่วนอื่นๆของชั้นหนึ่งกันบ้าง อย่างบริเวณผนังด้านหน้าห้องเก็บของตรงนี้ ยังเป็นพื้นที่โล่งๆอยู่ เราอาจจะหาตู้ หรือชั้นวางของ มาวางตรงนี้ก็ได้ เพื่อเพิ่มประโยชน์ใช้สอยให้กับพื้นที่ตรงนี้
ส่วนอันนี้เป็นห้องเก็บของใต้บันได ติดหลอดไฟให้แล้วเสร็จสรรพ
ด้านหลังกำแพงตรงนี้มีห้องน้ำที่ใช้ร่วมกันระหว่างห้องรับแขก, ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัว
ห้องน้ำรับแขกจะหน้าตาเป็นแบบนี้ ฟังก์ชั่นของห้องน้ำนี้ก็มีแค่อ่างล้างหน้า กับ โถสุขภัณฑ์เท่านั้น เอาไว้ทำธุระนิดๆหน่อยๆ
เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าแบบก่อปูน ท้อปหิน วางอ่างล้างหน้าของ American Standard พร้อมติดกระจกเงาบานใหญ่มาให้แล้ว
โถสุขภัณฑ์ของ American Standard พร้อมสายฉีดชำระมาตรฐาน
หน้าต่างบานกระทุ้งที่อยู่ภายในห้องน้ำ สำหรับเปิดถ่ายเทอากาศ และระบายกลิ่นจากห้องน้ำ พร้อมกับเพิ่มแสงธรรมชาติให้กับห้องน้ำด้วย
ส่วนด้านนี้จะเป็นทางเข้า “ห้องนอน 1” (ตาม Floor Plan ด้านบน) ซึ่งจะเป็นห้องนอนที่อยู่ชั้นล่าง
ห้องนอนห้องนี้ ภายในห้องตัวอย่างเค้าแต่งให้ดูเป็นห้องทำงาน เพราะถ้าเราไม่ได้ใช้ห้องนี้เป็นห้องนอน มันก็จะกลายเป็นห้องเอนกประสงค์ไป ซึ่งเราก็จะจัดยังไงก็ได้แล้วแต่เรานะครับ
พื้นที่ภายในห้องค่อนข้างยืดหยุ่น เนื่องจาก Layout เป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา
ถ้าใครใช้ห้องนี้เป็นห้องนอน ก็จะเป็นห้องที่มีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพเลย ไม่ต้องไปแย่งห้องน้ำกับห้องอื่นๆ
ต่อมาเราขึ้นไปดูชั้นสองกันบ้าง
ขั้นบันไดกว้าง 1.30 เมตร ปูขั้นบันไดด้วยไม้ยางพารา ราวบันไดเป็นเหล็กสีขาว
บริเวณโถงบันไดมีขนาดค่อนข้างกว้าง ผนังบ้านตรงนี้จะติดกระจกบานใหญ่มา 2 บาน เพื่อเพิ่มแสงสว่างจากธรรมชาติให้กับพื้นที่โถงบันได และพื้นที่บริเวณชั้นสอง
ด้านล่างของผนังจะติดหน้าต่างบานกระทุ้งมาให้สองบาน เพื่อให้สามารถเปิดให้อากาศถ่ายเทได้
จากบันได ขึ้นมาบริเวณโถงกลางชั้นสอง ที่จะเจอกับทางเข้าห้องนอนทั้ง 3 ห้อง
ตรงหัวบันไดจะมีพื้นที่เล็กๆที่เว้าเข้าไปนิดนึง ซึ่งทางโครงการเค้าวางเคาน์เตอร์แพนทรี่เล็กๆเอาไว้ ซึ่งใต้เคาน์เตอร์จะใส่ตู้เย็นขนาดเล็กเอาไว้ เวลาอยากจะแช่อะไรเล็กๆน้อยๆ เช่น เครื่องดื่ม, เครื่องสำอางค์, ขนม จะได้ไม่ต้องเดินลงไปถึงในครัวด้านล่าง หยิบเอาจากตรงนี้ได้เลย
ภายในบ้านหลังนี้ จะมีระบบควบคุมอุณหภูมิของบ้าน โดยใช้การไหลเวียนของอากาศด้วยนะครับ ซึ่งจะมีแผงควบคุมอยู่ที่บริเวณชั้นสอง
วิธีการทำงานของมันก็คือ เราจะทำการตั้งอุณหภูมิของบ้านเอาไว้ แล้วตัวบ้านก็จะมีช่องเปิดให้อากาศสามารถถ่ายเท มีลมเข้าลมออกได้ เพื่อให้อากาศภายในบ้านถูกปรับให้ได้ตามอุณหภูมิที่กำหนไว้
แล้วอันนี้ก็จะเป็นช่องให้สำหรับอากาศสามารถถ่ายเทปรับอุณหภูมิได้
ต่อจากโถงด้านหน้า ตรงนี้จะมีส่วนที่เป็นห้องรับแขกชั้นสอง หรือห้อง Family Room ด้วย พื้นที่ตรงนี้จะเป็นจุดที่คนบนชั้นสองมาใช้งานร่วมกัน ซึ่งจะมีประตูกระจกบานเลื่อนที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดเพื่อกั้นส่วนการทำงานของแอร์ได้
พื้นที่ Family Area นี้เค้าจัดให้ดูเป็นส่วนโซฟานั่งดูทีวี ซึ่งในการใช้งานจริง มันอาจจะกลายเป็นที่ๆให้พี่น้องมานั่งกดเกมเล่นกันอยู่ตรงนี้ หรือจะติดชุดเครื่องเสียงให้พ่อแม่ลูกนั่งดูหนัง กินป๊อปคอร์นด้วยกัน หรืออาจจะทำเป็นห้องที่มีตู้หนังสือ มีโต๊ะอ่านหนังสือ ที่ให้ทุกคนมานั่งทำงาน, อ่าน, ขีดเขียน ร่วมกันตรงนี้ก็ได้ มันแล้วแต่ว่าเราจะจัดแบบไหน แต่ไอเดียมันคือเป็นพื้นที่ให้คนในครอบครัวได้ใช้งานพร้อมกัน และไม่ยุ่งเกี่ยวกับส่วนรับแขกของบ้าน
ต่อจากส่วน Family Area ตรงนี้จะเป็นทางเข้า “ห้องนอน 4” ที่จะเป็นห้องนอนที่อยู่ด้านหน้าบ้าน ซึ่งตรงนี้เวลาเราจะเดินเข้าห้องนอนห้องนี้จะต้องผ่านห้องนั่งเล่นก่อนเสมอครับ
ห้องนอนห้องนี้ขนาดโอเคเลย เค้าจัดวาง Layout ให้เปิดเข้ามาปุ๊บเจอเตียงขนาด 5 ฟุตวางอยู่กลางห้องแบบนี้ ไม่ได้ใส่เตียงขนาด 6 ฟุต เพื่อให้ด้านข้างเตียงมีพื้นที่เหลือเยอะหน่อย เดินผ่านไปมาได้สะดวก แต่ถ้าห้องนี้นอนสองคน จะใส่เตียง 6 ฟุตก็ทำได้, ด้านซ้ายของเตียงจะวางโต๊ะทำงานชิดผนัง ส่วนด้านขวาจะเป็นตู้เสื้อผ้า กับทางเดินเข้าห้องน้ำ
ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ตำแหน่งหัวเตียงของห้องนี้จะอยู่ติดกับหน้าต่าง ซึ่งจะทำให้ตอนเช้าๆ เวลาที่เรายังตื่นไม่เต็มตา มันจะมีแสงลอดเข้ามาได้ ดังนั้นอาจจะต้องติดม่าน หรือ มูลี่ เพื่อบังแสงบริเวณนี้ไว้ด้วย ถ้าจะให้ดีควรจะขยับหัวเตียงออกมาหน่อย เพื่อให้มีระยะสำหรับติดม่านได้สะดวก
ผนังด้านปลายเตียงของห้องนอนสามารถแขวนทีวีบนผนังได้ แต่ไม่สามารถวางตู้ Dashboard สำหรับใส่ทีวีได้แล้ว เพราะต้องเว้นไว้เป็นทางเดิน เวลาจะเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือไปที่ตู้เสื้อผ้า
ประตูห้องนอนเป็นประตูไม้ปิดผิวลามิเนตหน้าตาแบบนี้
ห้องนอนห้องนี้จะได้เป็นห้องที่มีกระจกเข้ามุมแบบ Bay Window ซึ่งจะช่วยทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาในห้องนอนได้เยอะ และเป็นแสงสองด้าน ทำให้ห้องดูมีมิติขึ้น
พื้นที่ด้านข้างเตียงฝั่งที่ชิดกับผนังด้านนี้เค้าเลยใส่โต๊ะทำงานลงไป ให้เรานั่งทำงานกับแสงธรรมชาติ และขณะทำงานก็สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อให้เห็นพื้นที่สวนที่ชั้นล่างได้ ตรงนี้ถ้าเราไม่ได้ใช้เป็นโต๊ะทำงาน เราก็อาจจะเปลี่ยนมันเป็นโต๊ะแต่งตัวก็ได้
พื้นที่ตู้เสื้อผ้า สามารถใส่ได้ประมาณนี้ อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ได้พื้นที่เต็มผนังเลย
ประตูทางเข้าห้องน้ำอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้าแบบนี้
ห้องน้ำที่ได้ก็จะเป็นห้องน้ำมาตรฐาน 3 ฟังก์ชั่น แยกส่วนเปียกส่วนแห้งชัดเจน พื้นที่แบบนี้
อ่างล้างหน้าของ Mogen แบบเป็นชุดสำเร็จรูปที่มีตู้เก็บของใต้อ่าง, โถสุขภัณฑ์เป็นของ American Standard
ผนังด้านนี้ติดกระจกเงามาให้แล้ว และมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้ง สำหรับเปิดระบายอากาศ
Shower Box เป็นแบบกระจกนิรภัย ติดประตูบาน Swing มาให้แล้ว
พื้นที่อาบน้ำไม่กว้างไม่แคบ ขนาดประมาณ 130 x 90 cm
กระเบื้องผนังขนาด 60×30 cm ติดเครื่องทำน้ำอุ่น และชุด Hand Shower มาให้เรียบร้อย
หัวก็อกหน้าตาแบบนี้
หัวฝักบัวสเตนเลส แบบปรับ Jet ได้
ที่ผนังด้านข้าง เว้าเข้าไปให้เป็นพื้นที่วางขวดสบู่และแชมพูได้ ถ้าแค่นี้ไม่พอ เราสามารถติดชั้นวางของที่เป็นกระจกเพิ่มเข้าไปได้อีก
ถัดมาดูห้องนอนอีกห้องกันบ้าง ห้องนี้จะเป็น “ห้องนอน 3” เป็นห้องที่ขนาดเล็กที่สุดของบ้าน
ห้องนอนห้องนี้จะเป็นแบบมีห้องน้ำในตัวเหมือนกัน พอเข้าห้องมาแล้วก็จะเจอกับทางเข้าห้องน้ำก่อนเลย แล้วก็จะเป็นทางเดินสั้นๆเข้าไปสู่ในห้อง
พื้นที่ของห้องน้ำก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่สามารถวางฟังก์ชั่นได้ครบ โดยเค้าใช้ Shower Box เป็นแบบสำเร็จรูปมาวางเข้ามุมแบบนี้ กั้นด้วยประตูสไลด์บานเลื่อนแบบเข้ามุมเช่นเดียวกัน ส่วนโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้าแยกกันไปอยู่คนละมุม ได้สเป็คของอุปกรณ์เหมือนกับห้องอื่นๆ
ห้องนอนห้องนี้มีพื้นที่ไม่ได้เยอะ แต่ทาง Interior Designer เค้ามองว่าห้องนี้เป็นห้องสำหรับเด็ก ที่อาจจะอายุยังไม่เยอะมาก ตัวยังไม่สูงมาก เค้าจึงทำการยกเตียงขึ้นไปอยู่ชั้นบน แล้วทำบันไดให้ปีนขึ้นไป เพื่อให้ชั้นล่างมีพื้นที่สำหรับทำอย่างอื่นได้เยอะขึ้น
บ้านหลังนี้ระยะพื้นถึงฝ้าสูงประมาณ 2.65 ซม. เค้าแบ่งสัดส่วนให้ชั้นสองสูงประมาณ 1 ม. แค่พอให้เด็กลุงๆนั่งๆได้โดยที่หัวไม่กระแทกเพดาน แล้วให้พื้นที่ชั้นล่างมีเหลือประมาณ 1.65 ม. ให้เด็กๆสามารถเดินไปเดินมาได้โดยที่ไม่ต้องก้มหัว
อย่างบริเวณใต้เตียงตรงนี้จะใส่โต๊ะทำงาน กับ Sofabed เอาไว้ มีตู้เก็บของอีกนิดหน่อย
ฝั่งตรงข้ามเตียงจะเป็นตำแหน่งวางตู้เสื้อผ้า อยู่คู่กับหน้าต่าง
บันไดสำหรับปีนขึ้นชั้นสอง จะเห็นว่าเค้าจะไม่ใส่เป็นบันไดลิงตั้งฉาก เพราะมันจะขึ้นลงลำบาก ด้วยความที่ห้องมันยังพอมีพื้นที่เหลือหน่อย เค้าจึงทำบันไดให้มันมี Slope หน่อย และใส่ขั้นบันไดเป็นขั้นสี่เหลี่ยมเต็มๆ ให้เหยียบได้เต็มๆเท้า
พื้นที่เตียงชั้นสอง วางแค่ที่นอนเอาไว้แบบนี้ เตียงจะได้ไม่สูงเกินไป มีราวกันตกอยู่ด้านข้าง ป้องกันเด็กกลิ้งตกเตียง ไอเดียแบบนี้บางคนก็อาจจะชอบ บางคนก็อาจจะไม่ชอบ แล้วแต่นะครับ จะเลียนแบบก็ได้
และสุดท้ายคือห้อง Master Bedroom หรือ “ห้องนอน 2” ตามตำแหน่งของ Floor Plans นะครับ ห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด
เปิดเข้าห้องมาปุ๊บจะเจอกับห้องที่เป็นลักษณะลึกๆ เค้าวางเตียงขนาด 6 ฟุตไว้ด้านใน และวางโซฟาที่ปลายเตียง สำหรับนั่งดูทีวี
ระยะดูทีวีตรงนี้ไม่ได้กว้างมาก ติดทีวีได้เต็มที่ประมาณ 46~50 นิ้ว เพราะถ้าใหญ่กว่านี้จะมาติดประตูเข้าห้อง ส่วนโซฟาก็ใส่ได้ขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะตรงนี้ไม่ได้เน้นให้นั่งดูนานๆ ถ้าจะดูนานๆให้ไปดูที่ห้อง Family Area แทน
โซฟาที่ปลายเตียงนี้เราเลือกให้มีขนาดพนักพิงที่ไม่ต้องสูงมากนะครับ จะได้ไม่บังเวลาเรานอนดูทีวีจากเตียง
ห้องนอนห้องนี้จะมีทางเปิดออกไปยังระเบียงส่วนตัวในห้อง กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน
ระเบียงได้เป็นระเบียงยาวๆ สามารถมาปลูกไม้กระถางตรงนี้ได้ เพราะไม่มี Compressor มาวางอยู่แล้ว, ตัวราวกันตกจะเป็นแบบกระจก ให้เราสามารถมองออกไปเห็นวิวสวนที่อยู่ด้านล่างได้
ถ้าบ้านไหนที่ใส่สระว่ายน้ำเข้าไป ก็จะทำให้ได้วิวเป็นแบบนี้เลย
ห้องแต่งตัวหน้าตาแบบนี้ สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้สองด้าน, ผนังด้านหนึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างเพื่อรับแสงธรรมชาติ และตัวห้องใหญ่พอที่จะวางเก้าอี้แบบ Island อยู่ตรงกลางได้ตัวนึง
ตู้เสื้อผ้าอีกด้านจะเป็นแบบนี้
เก้าอี้ Island ที่อยู่ตรงกลางนี้จะค่อนข้างมีประโยชน์ เวลาเราแต่งตัว ลุก นั่ง วางเสื้อผ้าเตรียมที่จะใส่ แล้วทำให้พื้นที่ตรงนี้ใช้งานสองคนพร้อมๆกันได้อย่างสะดวก
โต๊ะเครื่องแป้งวางอยู่ชิดผนังเพื่อให้รับแสงธรรมชาติได้ โดยเค้าจะติดกระจกเงาเป็นแบบเลื่อนไปมาได้ เพื่อไม่ให้ตัวกระจกมาบังแสงจากหน้าต่างไปจนหมด และปรับได้ตามการใช้งาน
ถ้าเราเลื่อนบานกระจกมาอีกด้านหนึ่ง ก็จะเป็นแบบนี้
ทางเข้าห้องน้ำจะอยู่อีกด้านหนึ่ง ผนังฝั่งนี้เค้าทิ้งไว้โล่งๆ เพื่อให้ติดแอร์เพิ่มได้ แล้วใต้แอร์ก็อาจจะวางกระจกเงาแบบเต็มตัวเพิ่มได้อีกบานหนึ่ง หรือถ้าใครรู้สึกเกะกะ ก็ให้เอากระจกแขวนผนังไปได้เลย
ห้องน้ำของ Master Bedroom ฟังก์ชั่นก็ยังคล้ายๆกับห้องน้ำห้องอื่นอยู่ แต่จะมีการอัพเกรดวัสดุ สุขภัณฑ์ให้ดูดีขึ้น
ผนังด้านหลังประตูห้องน้ำ จะติดกระเบื้องโมเสกไว้ให้แบบนี้ แล้วตัวผนังตรงนี้จะมีส่วนที่เว้าเข้าไปนิดหน่อย ทางดีไซเนอร์เค้าเลยติดราวแขวนผ้าเช็ดตัวสเตนเลสเอาไว้ให้ เป็นแบบที่สามารถถอดออกได้ ตรงนี้เป็นการใช้พื้นที่ให้คุ้ม เพราะปล่อยทิ้งไว้ก็ไม่ได้เอาไปทำอะไรอยู่แล้ว แถมราวผ้าเช็ดตัวถ้าเอามาวางไว้ตรงนี้ ก็ไม่เกะกะ แล้วไม่ต้องกลัวเปียกด้วย
โถสุขภัณฑ์ของ American Standard ที่หน้าตาดีกว่าห้องอื่นๆ
ด้านหลังติดตู้เก็บของ หน้าบานเป็นกระจกเงา
ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย แยกส่วนเปียก
ด้านหลังของ Shower Box จะเป็นประตูกระจกขุ่น บานเลื่อน เปิดออกไปด้านหลังได้ เพื่อการระบายอากาศ
ด้านนอกจะมีพื้นที่ระเบียงเล็กๆอีกหน่อยนึง
ส่วนหลังนี้จะเป็นบ้าน Type C มาตรฐาน ที่จะส่งมอบให้ลูกค้านะครับ พื้นที่หน้าบ้านจะโล่งๆ ไม่มีหลังคาโรงรถให้
พื้นของลานจอดรถก็จะเป็นพื้นคอนกรีตธรรมดา ไม่ได้พิมพ์ลาย
พื้นที่หน้าบ้าน จัดเป็นสนามหญ้าปกติ
ทางเดินเข้าบ้าน และตัวบ้านมาตรฐาน
ต่อมาเป็นบ้านตัวอย่าง Type B
บ้าน Type B นี้ขนาดที่ดินเริ่มต้น 100 ตร.วา เท่ากับ Type C เลยแต่ตัวบ้านจะมีขนาดใหญ่กว่า มีพื้นที่ใช้สอย 262 ตร.ม. มีฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถเหมือนเดิม ส่วนพื้นที่ภายนอกจะเล็กลง เหมาะกับคนที่อยากเพิ่มฟังก์ชั่นภายในบ้าน แต่ไม่ได้อยากจะได้พื้นที่นอกบ้านเยอะๆ หรือใครที่มีแผนจะทำสระว่ายน้ำ ก็เลือกเป็นแบบ C จะดีกว่า เพราะว่าถ้าเป็นแบบ B จะได้สระว่ายน้ำที่ไม่ค่อยยาวเท่าไหร่
หน้าตาของบ้าน Type B ที่เปลี่ยนไปคือ รูปร่างตัวบ้านจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมตรงๆแบบนี้ ฟังก์ชั่นบางอย่างจะถูกเปลี่ยนตำแหน่งกันไป เฉลียงหน้าบ้านจะมีขนาดใหญ่ขึ้น, เมื่อเข้ามาในบ้าน เราจะเจอกับฟังก์ชั่น 2 ส่วน คือ ส่วนรับประทานอาหาร วางอยู่ติดกับพื้นที่สวน และส่วนรับแขกจะอยู่มุมด้านหน้าอีกมุมหนึ่งของบ้าน, ส่วนครัวจะตั้งอยู่กลางบ้าน และได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น และจากครัว จะมีประตูที่เปิดออกไปด้านข้างของบ้าน ซึ่งตอนนี้จะมีเฉลียงด้านข้างที่ยาวตลอดแนวของตัวบ้าน เพื่อเชื่อมโยงการใช้งานส่วนหน้าบ้านไปจนถึงฟังก์ชั่นแม่บ้านที่อยู่ด้านหลังเลย ซึ่งด้านหลังจะมีห้องนอนและห้องน้ำของแม่บ้านเพิ่มเข้ามา พร้อมกับพื้นที่ซักรีดที่อยู่ภายในตัวบ้าน และอยู่ติดกับลานซักล้างด้านหลัง, และที่ชั้นล่างนี้ยังคงมีห้องนอนอยู่หนึ่งห้อง ที่มีห้องน้ำในตัวเหมือนเดิม
ถัดมาเป็นส่วนชั้นสอง ซึ่งฟังก์ชั่นหลักๆก็ยังเหมือนเดิม คือมีห้องนอนเล็ก 2 ห้อง, ห้อง Family Room 1 ห้อง และห้อง Master Bedroom อีก 1 ห้อง ซึ่ง Type B นี้จะให้น้ำหนักกับห้อง Master Bedroom มาก เพราะกินพื้นที่เกือบๆจะครึ่งหนึ่งของชั้นสองเลย
เราไปดูบ้านตัวอย่าง Type B กันก่อน เริ่มจากส่วนด้านหน้า ที่อันนี้เค้าทำเพิ่มมาให้ดูเป็นไอเดีย คือหลังนี้จะมีการใส่ห้อง Studio เป็นอาคารชั้นเดียวหลังเล็กๆ เหมือนเป็นเรือนรับรอง เอาไว้บริเวณพื้นที่ว่างที่อยู่ด้านหน้า และสร้างหลังคาของที่จอดรถให้เชื่อมกับอาคารหลังนี้ให้เป็นอันเดียวกันไปเลย ซึ่งก็จะทำให้ได้ฟังก์ชั่นการจอดรถที่สมบูรณ์มากขึ้น
พอลานจอดรถมีหลังคาเต็มๆแบบนี้ก็จะทำให้กันแดดกันฝนได้ดีกว่าเดิม ไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะมีฝนสาด พื้นที่จอดรถปกติที่จอดได้ 2 คัน ก็กลายเป็นจอดได้ 4 คันซ้อนกันสบายๆ อันนี้เค้าทำให้ดูเป็นไอเดียในบ้านตัวอย่างเฉยๆนะครับ
ส่วนหน้าตาของลานจอดรถของบ้านมาตรฐานที่เราจะได้จริงๆ จะเป็นเหมือนที่อยู่ในกรอบเล็กๆ คือเป็นเสาด้านเดียว แล้วเป็นหลังคากันสาดยื่นออกมาครับ การที่ทำเป็นเสาด้านเดียวคือเค้าตั้งใจจะให้อีกด้านเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่เชื่อมต่อกันหมด ไม่ต้องมีเสากลางมาให้เกะกะ
สำหรับบ้าน Type B นี้เราจะมาดูห้อง Studio อันนี้ก่อนที่จะเข้าไปในตัวบ้าน ที่ผนังของอาคารนี้เค้ามีไอเดียทำเป็นที่แขวนจักรยานด้วย ซึ่งถึงเวลาจริงๆเราก็อาจจะไม่ได้แขวนจักรยานอย่างเดียว อาจจะทำเป็นที่แขวนเครื่องมืออื่นๆ สำหรับคุณผู้ชายที่ชอบงาน Outdoor
ที่สนามหญ้า เค้าทำทางเดินเชื่อมไปถึงห้อง Studio นี้ได้
ตรงห้อง Studio นี้เค้าก็จะยก Step พื้นขึ้นมา ให้มีพื้นที่แบบ Semi-Outdoor ให้เราใช้ทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องอยู่ในที่เปิดได้ เช่น การจัดปาร์ตี้ ปิ้งบาร์บีคิว หรืออะไรอย่างอื่นก็แล้วแต่ ซึ่งเค้าจะทำพื้นเป็นพื้นกระเบื้อง ให้เราไม่ต้องเหยียบพื้นดิน เหยียบหญ้า แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายด้วย
พื้นที่ด้านข้างตรงนี้ก็เว้นเอาไว้ ใส่ม้านั่งลงไป ให้เป็นพื้นที่นั่งคุย Outdoor พักผ่อน ชมสวนได้
ภายในห้อง Studio เค้าก็จัดเป็นห้องนั่งเล่น มีเครื่องออกกำลังกายวางไว้ให้ดูเป็นไอเดีย ติดแอร์ได้ เราก็จะสามารถใช้ห้องนี้เป็นห้องเอนกประสงค์ ทำงานอดิเรกของเรา ที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับตัวบ้าน
พื้นที่ภายในห้องก็จะมีประมาณนี้ ติดบานกระจกเข้าไปรอบๆ เพื่อให้มีแสงธรรมชาติและให้มองวิวด้านนอกได้ ไม่ดูอึดอัด
ส่วนตัวบ้านก็จะหน้าตาแบบนี้ เราเข้าไปดูด้านในกัน
เฉลียงหน้าบ้านของ Type B จะมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งถ้าเป็นคนที่พาเพื่อนมาสังสรรค์ที่บ้านบ่อยๆจะเข้าใจว่า พื้นที่ตรงนี้ เวลามันใหญ่ๆจะมีประโยชน์อย่างไร เพราะมันยืนพร้อมๆกันได้หลายคน ไม่อึดอัด ถอดรองเท้า ใส่รองเท้าสะดวก
ประตูบ้านเป็นประตูบานคู่ที่เปิดออกได้กว้างกว่าปกตินิดหน่อย ให้สามารถเอาของชิ้นใหญ่ๆผ่านเข้าออกได้สะดวก หรือเปิดต้อนรับแขกที่มาบ้านได้กว้างขึ้น
เปิดเข้ามาในบ้านแล้วจะพบว่าพื้นที่บ้านชั้นหนึ่งนี้ ส่วน Living จะไม่ได้แยกออกเป็นห้องๆ แต่จะอยู่รวมกันเป็นโถงขนาดใหญ่ ที่จะมีผนังกั้นแบ่งสัดส่วนของแต่ละฟังก์ชั่นเฉยๆ แต่ไม่ได้เป็นห้องปิด เพื่อให้พื้นที่ส่วนต่างๆของชั้นล่างนี้เชื่อมโยงกันหมด ซึ่งจะเหมาะมากในการรองรับแขกหลายๆคนพร้อมกัน แต่ข้อเสียของมันก็คือ มันจะเปลืองแอร์พอสมควรเลย ดังนั้นเวลาเราติดแอร์อาจจะต้องดูให้มันพอดีกับพื้นที่ อาจจะต้องใช้แอร์หลายตัวช่วยๆกันกระจายความเย็นได้ทั่วถึงทั้งบ้าน
พื้นที่ส่วนแรกที่เข้ามาแล้วจะเจอก่อนเพื่อนเลยคือห้องรับแขก ซึ่งถ้าเทียบกับ Type C แล้ว จะดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น วางอยู่ติดกับหน้าบ้าน มีผนังกระจกล้อมรอบ
โซฟาขยายขนาดได้ใหญ่ขึ้น วางเป็นแบบตัว L ขนาด 4-5 ที่นั่งได้เลย สามารถเพิ่ม Armchair ได้อีกตัวด้วย
ระยะดูทีวีเพิ่มขึ้น สามารถวางทีวีขนาดใหญ่ 60-70 นิ้วได้สบายๆไม่อึดอัด หรือจะใส่ลำโพงเพิ่มก็ยังได้ ถ้าใครชอบพื้นที่เก็บของเยอะๆ ก็สามารถวางชั้น Dashboard ที่ Built-in ติดผนังไปได้เลย
อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน จะเป็นส่วนรับประทานอาหาร และส่วนครัวที่เชื่อมต่อกันแบบนี้
โต๊ะรับประทานอาหารใส่ได้ประมาณ 8~10 ที่นั่ง แล้วแต่ขนาดและรูปทรงของเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ พื้นที่ตรงนี้จะวางอยู่มุมด้านหน้าของบ้าน ฝั่งที่อยู่ติดกับสวน และในบ้านตัวอย่างจะมองเห็นห้อง Studio ที่อยู่ด้านนอก ถ้าเราจะคิดต่อซักหน่อย เราสามารถทำทางเดินเชื่อมจากตัวบ้านหลังนี้ ไปยังห้อง Studio ที่อยู่ด้านนอกได้ ทำเป็นพื้นที่เปิดเชื่อมเข้าหากัน ใช้งานต่อเนื่องกันได้
ห้องครัวจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ที่เปิดเข้าจากด้านข้าง ในบ้านมาตรฐานปกติครัวนี้จะเป็นครัวปิดนะครับ แต่ในบ้านตัวอย่างนี้เค้าเจาะผนังด้านหนึ่งของครัว เพื่อวางเคาน์เตอร์บาร์ ให้เชื่อมส่วนรับประทานอาหารกับส่วนครัวเข้าด้วยกัน
เคาน์เตอร์บาร์ตรงนี้ เอาเก้าอี้สตูลมาตั้ง เราสามารถใช้เป็นพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร, ชงกาแฟ, หรือนั่งทานอะไรเล็กๆน้อยๆตรงนี้ได้ ซึ่งคนที่ทำครัวอยู่ด้านใน ก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ข้างนอกได้
แต่การเจาะผนังตรงนี้ก็จะทำให้เสียฟังก์ชั่นของความเป็นครัวปิดไป ถ้าเรายังอยากได้ครัวที่สามารถกั้นผนังได้อยู่ ผมแนะนำว่า ผนังฝั่งที่เป็นเคาน์เตอร์บาร์นี้เราสามารถใส่ประตูบานเฟี้ยมเข้าไปตรงกลางเพื่อให้เปิด-ปิดได้เวลาที่จำเป็น
ส่วนพื้นที่ครัวนี้ก็ใหญ่ขึ้นจากครัวแบบ Type C มาก สามารถวางเคาน์เตอร์ได้ทั้งสองด้าน มีระยะให้ทำครัวได้เต็มที่ จริงจังมากขึ้น มีพื้นที่เก็บของมากขึ้น
เวลาเราอยู่ในครัวแล้วมองออกไปด้านนอก ก็จะเห็นเป็นลักษณะนี้ ซึ่งจะดีกว่าการที่เป็นผนังทึบๆมาก
บริเวณหน้าต่างด้านข้าง เป็นพื้นที่สำหรับติดอ่างล้างมือเพิ่มอีกตัวที่แยกจากอ่างล้างจานได้
ส่วนฝั่งนี้เป็นพื้นที่ทำครัวเพียวๆ มีเตาไฟฟ้า ที่ดูดควัน เตาอบ อ่างล้างจาน ตู้เย็น ครบ
ด้านหลังครัวมีทางเปิดออกไปยังเฉลียงด้านข้างของตัวบ้าน
เมื่อเปิดออกมาแล้ว จะเจอกับพื้นที่ที่เค้าก่อปูนเอาไว้สำหรับวางเตาแก๊ส เอาไว้ใช้ในกรณีที่ต้องทำอาหารที่จริงจังขึ้นมาอีกเสต็ปหนึ่ง แต่พอเอาออกมาไว้ข้างนอกแบบนี้มันดูโดดเดี่ยวไปหน่อย แถมยังต้องโดนแดดโดนฝนด้วย ควรจะทำหลังคา หรือกันสาด ให้มันซะหน่อยนะครับ จะได้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
ตัวเฉลียงที่อยู่ด้านข้างบ้านนี้จะยาวมาจนถึงส่วนของแม่บ้านที่อยู่ด้านหลังเลย ซึ่งตรงนี้จะเป็นฟังก์ชั่นหลักส่วนหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาให้กับบ้าน Type B ซึ่งทางโครงการมองว่า กลุ่มลูกค้าที่จะชอบ Type B จะเป็นครอบครัวที่มีแม่บ้านอยู่ด้วย ให้แม่บ้านมีพื้นที่ทำงานที่แยกต่างหากจากเจ้าของบ้าน ในขณะที่บ้าน Type C จะเน้นเป็นครอบครัวที่ไม่ได้จ้างแม่บ้าน ทำงานบ้านด้วยตัวเองเป็นหลัก จึงพยายามให้ฟังก์ชั่นทุกๆอย่างจบในตัวบ้าน
ฟังก์ชั่นของพื้นที่ด้านหลังตรงนี้จะเป็นส่วนซักรีดที่อยู่ภายในตัวบ้าน มีชายคา มีประตูปิดได้ ติดแอร์ได้ ไม่โดนแดดโดนฝน และให้อยู่รวมกับห้องแม่บ้าน มีห้องนอน, ห้องน้ำในตัวครบ ให้คุณแม่บ้านสามารถทำงานตรงนี้ ใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ได้สมบูรณ์เลย พื้นที่ส่วนนี้จะเป็นโครงสร้างเดียวกับตัวบ้าน ไม่ต้องกลัวว่าจะทรุด จะแตกหรือร้าว
ประตูกระจกบานเฟี้ยมอันนี้ มีไว้เพื่อกันฝนสาด และเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับพื้นที่หลังบ้านด้วย แต่ว่าทางโครงการเค้าจะไม่ได้ติดมาให้นะครับ ให้เราไปซื้อมาติดเอง เพราะไม่ใช่ทุกบ้านที่จะอยากได้แบบนี้ บางบ้านอยากให้พื้นที่ด้านหลังเป็นพื้นที่เปิดโล่งๆ ก็จะได้ไม่ต้องติดครับ
ส่วนซักรีดนี้จะมีพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า และ/หรือ เครื่องอบผ้าได้ โดยที่จะอยู่ในร่มเหมือนกัน
ด้านนี้เป็นห้องนอนของแม่บ้าน
ส่วนประตูอีกบานจะเปิดไปยังห้องน้ำแม่บ้าน มีฟังก์ชั่นครบ ใช้งานได้ตามปกติ
ส่วนประตูอีกด้านหนึ่งจะเปิดออกไปยังลานซักล้างที่อยู่หลังบ้าน
ลานซักล้างหลังบ้านจะอยู่เชื่อมกับส่วนซักรีดแบบนี้ ทางโครงการมีการเทพื้นปูน ปูกระเบื้องไว้ให้แล้ว แต่โครงสร้างตรงนี้จะแยกส่วนกับตัวบ้าน (เป็นแบบ On-Ground คือไม่ได้วางเสาเข็ม) ซึ่งพื้นที่ตรงนี้หลักๆก็คือเอาไว้ตากผ้า ซักผ้า วางถังเก็บน้ำ และปั๊มน้ำ ตามปกติ
กลับเข้ามาในบ้านกันต่อ ตรงกลางบ้านจะมีบันไดสำหรับขึ้นชั้นสอง แต่เราจะยังไม่ไปดู เราจะเดินเข้าไปดูห้องนอนชั้นล่างกันก่อน ซึ่งจะอยู่ตำแหน่งด้านในสุดของบ้าน
ฝั่งด้านหลังบ้านตรงนี้จะมีห้องอีกสองห้อง ประตูทางซ้ายนั่นคือห้องน้ำรับแขกของชั้นหนึ่ง และประตูทางขวาคือห้องนอนของชั้นล่าง
ห้องน้ำรับแขกก็ฟังก์ชั่นไม่ได้มีอะไรพิศดาร หลักๆก็คือมีโถสุขภัณฑ์กับอ่างล้างมือแค่นั้น แต่ห้องนี้จะได้วัสดุที่ดีกว่าห้องน้ำห้องอื่นๆนิดหน่อย เช่น ผนังห้องน้ำด้านหนึ่งจะปูกระเบื้องโมเสกให้, กระจกเงาจะได้เป็นบานใหญ่ตลอดแนวผนังห้องน้ำ และเคาน์เตอร์อ่างล้างมือก็จะได้เป็นเคาน์เตอร์ก่อปูนที่ปิดผิวด้วยหิน ที่ห้องนี้ได้เสป็คดีหน่อยเพราะว่าห้องน้ำห้องนี้จะใช้รับแขกด้วย เป็นส่วนที่เป็นหน้าเป็นตาของบ้าน เลยจะดูดีนิดนึง
ส่วนห้องนอนชั้นล่างจะอยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำห้องเมื่อสักครู่
ห้องนอนชั้นล่างนี้ฟังก์ชั่นของมันเป็นได้หลายแบบ คือจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่อยากจะเดินขึ้นชั้นบนก็ได้ หรือจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับแขกที่มาพักที่บ้านก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้เป็นห้องนอน เราก็สามารถดัดแปลงห้องนี้เป็นห้องเอนกประสงค์อื่นๆได้เช่นกัน
ขนาดพื้นที่ของห้องนี้สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้สบายๆ เมื่อใส่ตู้เสื้อผ้าเข้าไปแล้ว มีระยะให้เปิดตู้ได้พอดี
ผนังด้านข้างสามารถใส่ตู้เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าในบ้านตัวอย่างได้ แต่เราอาจจะเว้นพื้นที่ตรงนี้ไว้สำหรับวางโต๊ะเอนกประสงค์ซักตัว ที่จะใช้เป็นโต๊ะแต่งตัวหรือโต๊ะทำงานได้
ส่วนพื้นที่ปลายเตียงมีพอที่จะสามารถวางโต๊ะตัวเล็กๆแบบนี้ได้ หรือจะใส่เฟอร์นิเจอร์ Built-in ให้เป็นชั้นวางทีวี/ตู้เก็บของก็ได้เหมือนกัน
ภายในห้องนอนชั้นล่างจะมีห้องน้ำในตัวมาให้อยู่แล้ว มีฟังก์ชั่นครบตามมาตรฐาน อ่างล้างหน้า, โถสุขภัณฑ์ และพื้นที่อาบน้ำ แยกส่วนเปียกส่วนแห้ง พร้อมติดฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัยมาให้แล้ว และในห้องน้ำนี้ก็จะมีช่องเปิดสำหรับถ่ายเทอากาศได้
กลับมาที่บริเวณตรงกลางของบ้านที่เป็นโถงบันไดสำหรับขึ้นไปยังชั้นสอง
ใต้บันไดจะทำเป็นห้องเก็บของไว้แบบนี้ ขนาดใกล้เคียงกับบ้าน Type C เลย
ลักษณะของบันได และหน้าต่างบริเวณโถงบันไดก็จะเหมือนกับบ้านแบบแรกที่พาไปดูมาแล้ว มีช่องแสง มีช่องเปิดระบายอากาศ
พอขึ้นมาที่ชั้นสอง เราจะเจอกับส่วนที่แตกต่างจากบ้านแบบแรกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพื้นที่บริเวณโถงชั้นสอง
บริเวณโถงหน้าห้องนอนของชั้นสอง จะมีพื้นที่ค่อนข้างเยอะ ให้คนที่อยู่ข้างบน เดินไปเดินมาระหว่างแต่ละห้องได้สะดวก ตรงนี้ถ้าใครจะเอาเสื่อมาปูเล่นโยคะตรงนี้ก็ได้นะครับ
ส่วนที่แตกต่างอีกจุดหนึ่งเมื่อเทียบกับบ้าน Type C คือ Family Room ของชั้นสองครับ เพราะจะเป็นห้องที่แยกต่างหาก ไม่ได้ไปแปะรวมกับห้องนอนห้องใดห้องหนึ่งเหมือนบ้านหลังแรก ซึ่งก็จะทำให้พื้นที่ตรงนี้แยกออกมาเป็นสัดส่วนมากขึ้น ให้มีความรู้สึกเป็น “พื้นที่ส่วนกลาง” ของบ้านที่ทุกคนจะมาใช้ได้มากขึ้น
ภายใน Family Room ก็จะจัดเป็นโซฟาดูทีวีตามมาตรฐาน วางลำโพงเครื่องเสียงไว้ให้ดูด้วยว่าสามารถใส่แบบนี้ได้ แต่จริงๆแล้วพื้นที่ตรงนี้ใช้ทำอย่างอื่นได้นอกจากเป็นที่นั่งดูทีวีนะครับ
ภายในห้อง Family Room แห่งนี้จะมีระเบียงด้วย มีประตูกระจกให้เลื่อนเปิดออกได้
ตัวระเบียงอันนี้อาจจะไม่ได้เน้นใช้งานเท่าไหร่ เพราะเป็นระเบียงที่เอาไว้แขวนคอมฯแอร์ อาจจะออกมาทำอะไรไม่สะดวกเท่าไหร่เพราะระเบียงมันจะค่อนข้างร้อน ดังนั้นอาจจะต้องติด Grille ที่คอมฯแอร์เพื่อให้ดันลมร้อนออกไปด้านนอก หรือหาตำแหน่งสำหรับวางคอมฯแอร์ใหม่ครับ แต่ทำแบบนี้ก็จะสะดวกสำหรับการซ่อมบำรุงแอร์นะ
ชั้นสองนี้จะมีห้องนอนทั้งหมด 3 ห้อง มีห้องน้ำในตัวทั้งหมด ซึ่งสองห้องแรกที่จะพาไปดูเป็นห้องนอนเล็กที่ขนาดใกล้เคียงกันเลย เรามาดูทีละห้องเริ่มจากด้านซ้ายก่อน
เข้ามาในห้องนอนแรก คือ “ห้องนอน 3” ที่อยู่ใน Floor Plan ครับ เปิดเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องน้ำที่อยู่ด้านซ้ายก่อน
พื้นที่ของห้องน้ำจะลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมเกือบๆจัตุรัสแบบนี้ มีฉากกั้นอาบนำ้แบบเข้ามุมวางอยู่ตรงกลาง ติดกับหน้าต่างระบายอากาศ และมีโถสุขภัณฑ์ กับอ่างล้างหน้า แยกกันอยู่คนละมุม เสป็ควัสดุเหมือนกับห้องน้ำอื่นๆ
ห้องนอนห้องนี้จะจัดออกมาให้ดูเหมาะกับเด็กวัยรุ่นหน่อย ด้วยความที่ห้องไม่ได้ใหญ่มาก จึงจัดเฟอร์นิเจอร์ต่างๆในห้องให้เป็นแบบ Built-in ทั้งหมดเลย รวมถึงเตียง และโต๊ะทำงานที่วางอยู่ปลายเตียงด้วย โดยจะทำเป็นโต๊ะยาวๆชิดผนัง ให้พอจะวางโน้ตบุคได้ หรือนั่งทำการบ้านได้ ซึ่งโต๊ะตัวนี้ก็จะใช้เป็นโต๊ะแต่งตัวด้วยเลย
เตียงของห้องนี้จะไม่ได้ใช้ฐานเตียงทั่วๆไป แต่จะใช้วิธียก Step พื้นที่เตียงทั้งหมดขึ้นมา แล้ววางฟูกที่นอนขนาด 3.5 ฟุต เอาไว้ด้านบน เหมือนกับนอนอยู่บนพื้นที่ยกระดับขึ้นมาแทน แล้วด้านข้างก็จะมีพื้นที่สำหรับวางของรอบๆเตียงได้
ใต้ “ฐานเตียง” อันนี้ ก็จะมีการเจาะช่องเพื่อซ่อนไฟหลืบเข้าไปใต้เตียงด้วย และทำให้เว้าเข้าไปเพื่อไม่ให้เป็นกล่อง เราจะได้เตะโดนยากขึ้นหน่อย
ส่วนตู้เสื้อผ้า ก็รวมเข้าไปเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวกับฐานเตียงเลย โดยจะวางอยู่บนพื้นที่ยกระดับแทน พร้อมกับออกแบบให้มีช่องเก็บของด้านข้าง บริเวณที่เป็น “สัน” ของตู้เสื้อผ้า
ส่วนห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน จะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าห้องแรก ลักษณะการจัดเฟอร์นิเจอร์ก็จะเหมือนปกติทั่วไป ไม่มีการเล่น Step แบบห้องแรก
เตียงในห้องนอนห้องนี้ก็จะเป็นเตียง 5 ฟุตหน้าตาปกติแทน เพราะห้องนี้มีพื้นที่ให้จัดเฟอร์นิเจอร์ได้มากกว่า จึงไม่จำเป็นต้องใส่เฟอร์นิเจอร์ Built-in มากนัก แต่ห้องนี้ไม่ควรใส่เตียงเกิน 5 ฟุตนะครับ เพราะว่า ต้องเผื่อระยะให้สามารถเปิดตู้เสื้อผ้าได้ด้วย
ปลายเตียงจัดเป็นพื้นที่โต๊ะแนวยาวสำหรับนั่งทำงานเหมือนกัน ด้านบนติดตู้เก็บของเอาไว้ให้ดู
ส่วนตู้เสื้อผ้าของห้องนี้ได้ขนาดค่อนข้างเล็ก เพราะว่าพื้นที่วางตู้จะอยู่ติดกับประตูทางเข้าห้องน้ำ ทำให้ใส่ขนาดใหญ่มากไม่ได้
ห้องน้ำก็หน้าตาเหมือนๆกับห้องที่แล้ว มีฟังก์ชั่นอะไรเหมือนๆกัน
ส่วนสุดท้ายจะเป็นห้อง Master Bedroom ของบ้าน Type B ที่จะอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนสองห้องเมื่อกี๊
เมื่อเข้ามาในห้อง Master Bedroom จะรู้สึกได้ว่าบ้านนี้เค้าจัดออกมาโดยให้น้ำหนักกับห้องนี้เป็นพิเศษ เพราะนอกจากพื้นที่จะใหญ่กว่าห้องนอนสองห้องแรกรวมกันแล้ว ยังได้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ดีกว่าด้วย
พื้นที่ในห้องสามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตเอาไว้กลางห้องได้แบบนี้
ด้านข้างเตียงมีพื้นที่เหลือพอที่จะใส่โต๊ะหัวเตียงได้ทั้งสองด้าน และใส่โต๊ะทำงานอีกตัวทางด้านข้างเพิ่มได้อีก มีระยะให้วางเก้าอี้ทำงาน ถอยเข้า ถอยออก ลุก นั่ง นอน ได้สบายๆ
ปลายเตียงสามารถติดทีวีได้ จะแขวนผนังก็ได้ หรือจะวางบนชั้นวางก็ได้ และสามารถวางโซฟาตัวเล็กๆอีกตัวใช้สำหรับนั่งดูทีวีปลายเตียงได้
ผนังอีกด้านข้างๆเตียงเป็นผนังกระจกที่มีประตูบานเลื่อน เปิดออกไปยังระเบียงส่วนตัวที่อยู่ในห้องนอนห้องนี้ได้ ระเบียงด้านนอกจะเป็นระเบียงแนวยาว วางอยู่ตำแหน่งหน้าบ้าน เปิดออกไปชมสวนได้ และเป็นระเบียงที่ไม่มีคอมฯแอร์มาวางให้เกะกะ สามารถใช้งานได้เต็มที่เลย
ทางเข้าห้องแต่งตัวจะอยู่บริเวณปลายเตียง ซึ่งจะมีประตูบานเลื่อนกั้นอีกชุดหนึ่ง เพื่อแบ่งการทำงานของแอร์ออกเป็นสองส่วน
เข้ามาในห้องแต่งตัวแล้วจะเจอกับประตูทางเข้าห้องน้ำต่อเนื่องกันเลย
ผนังด้านข้างประตูห้องน้ำตรงนี้ลึกพอที่จะใส่ตู้เก็บของเข้าไปอีกชุดได้
ห้องแต่งตัวห้องนี้จะสามารถวางตูเสื้อผ้ารูปตัว L เข้ามุมแบบนี้ได้ ถ้าจัดวางดีๆ สามารถเพิ่มชั้นวางของเข้าไปรวมกับตู้เสื้อผ้าได้เลย
ผนังอีกด้านจะอยู่ติดกับหน้าต่างฝั่งหน้าบ้าน เค้าก็เลยวางเป็นโต๊ะเครื่องแป้งตามแนวผนังแบบนี้ มีเก้าอี้สองตัว ให้สามารถใช้งานพร้อมกันได้สองคน ส่วนกระจกเงาใช้เป็นแบบตั้งโต๊ะแทน หรือถ้าใครจะ Built-in แล้วใส่เป็นแบบที่เลื่อนไปเลื่อนมาแบบบ้าน Type C ก็สามารถทำได้
กระจกเงาแบบเต็มตัว สามารถเอามาแขวนไว้ที่ผนังด้านนี้ได้ หรือถ้าใครคิดว่าอยากหาโต๊ะมาวางของเพิ่มเติม ก็สามารถเอามาใส่ที่ผนังฝั่งนี้ได้เหมือนกัน
สุดท้ายคือห้องน้ำของ Master Bedroom ที่จะเป็นห้องน้ำที่ขนาดใหญ่ที่สุดของบ้านเช่นเดียวกัน เข้ามาแล้วจะเจอกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอยู่ด้านหนึ่ง และโถสุขภัณฑ์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วด้านในสุดที่อยู่ใกล้ๆกับหน้าต่าง จะเป็นพื้นที่สำหรับติด Shower Box
ในห้องนี้เค้าจะวางโถสุขภัณฑ์ และ ติดโถปัสสาวะชายมาให้ด้วย ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบแต่ละบ้านนะครับ บางคนชอบให้ผู้ชายใช้อีกโถหนึ่ง บางคนไม่ชอบใส่เพราะกลัวเรื่องกลิ่น และขี้เกียจทำความสะอาด
เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าของห้องนี้จะได้เป็นเคาน์เตอร์หินทรงยาวๆแบบนี้ มีพื้นที่วางของเพียบ และใต้อ่างมีพื้นที่สำหรับเก็บของได้อีก
กระจกเงาในห้องน้ำ เจาะรูเอาไว้สำหรับให้ติดทีวีจอเล็กๆในห้องน้ำได้ สำหรับคนที่ชอบดูทีวีไปด้วย และทำธุระส่วนตัวไปด้วย จะได้ฟินกันถ้วนหน้า
อ่างหน้าได้เป็นอ่างแบบฝังลงไปในเคาน์เตอร์
พื้นที่อาบน้ำติดฉากกั้นกระจกมาให้แล้ว พื้นที่ตรงนี้จริงๆแล้วใหญ่พอที่จะสามารถใส่อ่างอาบน้ำได้ แต่ว่าก็ต้องแลกกัน เพราะว่าเราจะเสียพื้นที่ยืนอาบน้ำไปเลย ต้องไปยืนอาบน้ำในอ่างแทน สำหรับคนที่ติดอ่างนะครับ
ใน Shower Box จะติดชุดฝักบัวอาบน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้แล้วเรียบร้อย
ด้านข้างของ Shower Box จะมีชั้นวางของที่ผนัง ให้สามารถวางขวดสบู่ แชมพู ฯลฯ ได้
ที่ปลายสุดของส่วนอาบน้ำ จะมีพื้นที่ที่เว้าเข้าไปแบบนี้ ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นพื้นที่ของส่วนอาบน้ำนี่แหละ แต่พื้นที่อาบน้ำมันค่อนข้างยาว จะปล่อยไว้เฉยๆก็คงไม่ได้ใช้ เพราะน้ำจากฝักบัวก็ฉีดมาไม่ถึง (ถ้าไม่ตั้งใจฉีดอ่ะนะ) ทางโครงการเค้าก็เลยติดราวแขวนผ้าเช็ดตัวมาให้ที่ปลายสุดของ Shower Box แทน ซึ่งตรงนี้จะใช้เป็นพื้นที่ตากชุดชั้นในก็ได้นะครับ
เวลาเปิดประตูฉากกั้นอาบน้ำเข้ามา มันก็จะสุดอยู่แค่นี้ ไม่ได้ไปชนด้านหลัง
ส่วนบ้านแบบ A ที่เป็นแบบสุดท้ายนี้จะเป็นแบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยหลังนี้มีแค่หลังเดียวแถมยังขายไปแล้วอีกต่างหาก เราเลยคงไม่ได้เข้าไปดูของจริงกัน แต่ผมจะขอเอาแปลนบ้านมาเล่าให้ฟังนะครับ
ที่ดินของบ้าน Type A จะมีขนาด 157 ตร.วา มีพื้นที่ใช้สอย 320 ตร.ม. ฟังก์ชั่น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 1 ห้องแม่บ้าน ซึ่งด้วยความที่ยังมีที่ดินเหลืออีกเยอะมาก บ้านหลังนี้เลยจะเหมาะมากกับการต่อเติมทำส่วนอื่นๆเพิ่มให้กับบ้าน
บ้านแบบ A นี้จะมีลักษณะเป็นบ้านหน้ากว้าง ทำให้ตัวบ้านมีส่วนที่สามารถมองออกมายังสวนที่อยู่หน้าบ้านของเราได้เยอะ ตัวบ้านจะเป็นรูปทรงแบบตัว L จัดออกมาให้มีพื้นที่รับแขกอยู่ติดกับส่วนหน้าสุดของบ้าน ที่อยู่ตรงกลางบ้านจะเป็นส่วนรับประทานอาหาร ที่จะเป็นจุดศูนย์กลางของตัวบ้าน อยู่ติดกับเฉลียงที่เปิดออกไปยังสวนหน้าบ้านได้, และมีครัวอยู่มุมด้านหลังของบ้านที่เชื่อมออกไปยังส่วนซักรีดและห้องแม่บ้านด้านหลังได้
ขึ้นมาที่ชั้นสองจะมีห้องนอนทั้งหมด 4 ห้อง มีสามห้องอยู่ด้วยกันทางซ้าย และอีกห้องเป็น Master Bedroom อยู่ทางขวาแยกออกไปต่างหาก ได้พื้นที่ไปประมาณ 1 ใน 3 ของชั้นสอง โดยจะมีฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามาคือมีห้องทำงานในตัว, และได้ห้องน้ำที่มีฟังก์ชั่นสมบูรณ์มากขึ้น, และบ้านหลังนี้จะมี “ห้องนอน 3” ที่ได้ขนาดค่อนข้างใหญ่ วางอยู่ติดกับหน้าบ้าน สามารถอยู่สองคนได้เลย กรณีที่บางบ้านอาจจะเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลายคน
ส่วนอื่นๆของชั้นสองที่เพิ่มเข้ามานี้ก็จะมีห้องนั่งเล่น Family Room ที่จะได้พื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น รองรับคนได้หลายคนมากขึ้น และในบ้าน Type A นี้จะมีห้องเล็กๆที่สามารถทำเป็นห้องพระได้ด้วยครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 10 July 2015
- Type A แปลง A1 พื้นที่ใช้สอย 320 ตร.ม. ที่ดิน 157 ตร.วา ราคา 10.86 ล้านบาท หรือ 69,172 บาท/ตร.วา
- Type B แปลง B2-B9 พื้นที่ใช้สอย 262 ตร.ม. ที่ดิน 100 ตร.วา ราคา 7.99 ล้านบาท หรือ 79,900 บาท/ตร.วา
- Type C แปลง C3-C6 พื้นที่ใช้สอย 211 ตร.ม. ที่ดิน 110 ตร.วา ราคา 7.29 ล้านบาท หรือ 66,272 บาท/ตร.วา
- Type C แปลง C7-C12 พื้นที่ใช้สอย 211 ตร.ม. ที่ดิน 100 ตร.วา ราคา 6.99 ล้านบาท หรือ 69,900 บาท/ตร.วา
- ระบบระบายความร้อนอัตโนมัติ, ถังเก็บน้ำสำรอง, ปั๊มน้ำ, ถังขยะริมรั้ว, จัดสวน
- จอง 20,000 บาท และทำสัญญา 100,000 บาท
- ดาวน์ 5%
- ที่ดินเพิ่มลด ราคาตร.วาละ 30,000 บาท
- ค่าส่วนกลาง 20 บาท/ตร.วา/เดือน จัดเก็บล่วงหน้า 2 ปี
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
ทำเลของโครงการ The Ozone นี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านปัญญาอินทรา P.4 ครับ ซึ่งก็จะอยู่ในย่านรามอินทรา ซึ่งก็คงจะเหมาะกับคนที่อยากจะอยู่ในทำเลโซนตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ แถวๆรามอินทรา/มีนบุรี/สุวินทวงศ์ อะไรแถวๆนี้ ซึ่งเมื่อก่อนสมัยที่หมู่บ้านปัญญาพึ่งจะสร้างใหม่ๆ เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าทำเลตรงนี้ค่อนข้างไกลทีเดียว เพราะอีกนิดเดียวก็ถึง Safari World แล้ว แต่ผ่านมาหลายปีความเจริญก็ค่อยๆขยายออกมาเรื่อยๆ ชนิดที่ว่าแถวๆมีนบุรีนี่เริ่มมีคอนโดมิเนียมมาสร้างแล้ว มีห้างสรรพสินค้าอย่าง The Promenade ที่ค่อนข้างจะพรีเมี่ยมหน่อย มีทางด่วน มีวงแหวนมาเชื่อม การเดินทางคมนาคมด้วยรถยนต์สะดวกมากขึ้น ก็กลายเป็นว่าบ้านเดี่ยวแถวๆนี้ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว
สภาพแวดล้อมของโครงการต้องบอกว่าด้วยความที่เป็นการซื้อที่ดินของหมู่บ้านปัญญามาพัฒนาเพิ่ม ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านใหม่เอี่ยม สภาพแวดล้อมบางส่วนก็ถูกทิ้งเอาไว้เก่าๆ เพราะเดิมทีมันก็เป็นหมู่บ้านที่มีบ้านอยู่ไม่กี่แปลง แถมด้านหลังโครงการยังมีบ้านเอื้ออาทรที่มาอยู่ติดกันด้านหลังอีก ซึ่งในแง่ของการใช้ชีวิต การอยู่อาศัย อาจจะไม่ได้มีประเด็นอะไรหรอก แต่บางคนก็อาจจะไม่สบายใจ เช่น อาจจะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวบ้าง หรือไม่ปลอดภัยบ้าง อันนี้ก็แล้วแต่คนนะครับ แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งในการอยู่ในหมู่บ้านเก่านะครับ เพราะเราจะรู้แน่นอนว่า รอบๆข้างเราเป็นอะไร เพราะเราเห็นแล้วว่ามีชุมชนอะไรเกิดขึ้นตรงนี้ สภาพแวดล้อมเป็นแบบไหน แล้วเราก็จะรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง เวลาจะมาอยู่ที่นี่
ลักษณะของโครงการ The Ozone นี้เรียกว่าเน้นบ้านล้วนๆ เพราะตัวโครงการทำออกมาเป็นบ้านขนาดที่ดิน 100 ตารางวา จำนวนทั้งหมดแค่ 39 ยูนิต ในราคาช่วง 7-8 ล้านบาท ซึ่งสมัยนี้จะหาบ้านในหมู่บ้านจัดสรรที่มีพื้นที่ดินขนาดนี้ ในราคานี้จะค่อนข้างยากแล้ว เน้นว่าที่เป็นบ้านในหมู่บ้านจัดสรรนะครับ ไม่รวมถึงการไปซื้อที่ดินเปล่ามาปลูกบ้านเอง
แต่ก็ต้องบอกว่าทีโครงการทำราคาแบบนี้ได้ ก็เป็นเพราะเค้าขายแต่บ้านล้วนๆก็ว่าได้ เพราะภายในโครงการแทบจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีสโมสร พื้นที่ส่วนกลางก็มีแต่พื้นที่สีเขียวนิดๆหน่อย เสาไฟฟ้า ทางเท้า แล้วก็ถนน ซึ่งก็เป็นของเดิมที่หมู่บ้านปัญญาเค้าทำไว้แล้ว ขนาดป้อมรปภ.ยังใช้ร่วมกับทางหมู่บ้านปัญญาเลย ซึ่งลักษณะแบบนี้มันก็จะเหมาะกับคนที่ไม่ได้อยากได้ Facilities พวกนี้อยู่แล้ว คือชอบให้ทุกอย่างจบในบ้าน ถ้าอยากได้สระว่ายน้ำก็ไปต่อเติมเอาเองในบ้าน ใครไม่ว่ายน้ำก็ไปใส่ฟิตเนสส่วนตัวในบ้านของตัวเองกันไป โดยไม่ต้องไปพึ่งพาส่วนกลาง และแต่ละบ้านก็ไม่ต้องรับภาระในการที่จะต้องจ่ายค่าส่วนกลางแพงๆด้วย แต่มันก็จะเป็นข้อเสียสำหรับคนที่อยากได้ส่วนกลางอลังๆ มีคลับเฮาส์ใหญ่ๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่แพงตามมา ส่วนใครที่อยากได้สิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้จริงๆ ก็สามารถไปใช้ได้ที่ Sports Complex ของหมู่บ้านปัญญา ที่จะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าสมาชิกประมาณ 20,000 บาท/ปี แยกไปต่างหากไปครับ
ส่วนในด้านการออกแบบตัวบ้าน ทำฟังก์ชั่นออกมาพอดีๆกับขนาดพื้นที่ของบ้านระดับ 200~300 ตารางเมตร เหมาะกับครอบครัวขนาดกลางๆที่มีสมาชิกประมาณ 4-6 คน มีการจัดฟังก์ชั่นแต่ละส่วนให้จบในตัวบ้าน ไม่ต้องไปเติมนอกบ้านเยอะ เช่น ห้องครัว, ส่วนซักรีด ที่อยู่ภายในตัวบ้านเลย สามารถใช้งานได้จริงๆจังๆ ห้องนอนทุกห้องมีห้องน้ำในตัวไม่ต้องแชร์ใช้กับส่วนอื่นๆ และจะสังเกตได้ว่าห้องเกือบทุกห้อง รวมถึงในห้องน้ำของทุกห้อง จะมีส่วนเปิดที่เชื่อมกับภายนอก ให้ตัวบ้านได้แสงธรรมชาติเยอะๆ และมีหน้าต่างให้สามารถเปิดอากาศหมุนเวียน ถ่ายเทได้
และด้วยความที่แต่ละยูนิตของที่นี่ให้ขนาดที่ดินมาใหญ่ ปลูกบ้านไม่ได้เต็มพื้นที่ ทำให้แต่ละบ้านมีที่ดินเหลือที่สามารถต่อเติมเพิ่มฟังก์ชั่นของตัวเองได้ และจะเหมาะกับคนที่ชอบให้มีพื้นที่รอบบ้าน มีพื้นที่สวนเยอะๆ ให้สามารถทำกิจกรรม Outdoor ได้ ลำพังที่ดินที่เหลือนี้ แค่เอามาทำที่จอดรถอย่างเดียวก็จอดเพิ่มได้หลายคันเลยนะครับ
ส่วนวัสดุอุปกรณ์ของตัวบ้านก็ให้มาตามมาตรฐานของระดับราคานี้ อาจจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ก็ถือว่าให้มาครบครันดี ในห้องน้ำติดฉากกั้นอาบน้ำ และใส่อุปกรณ์ต่างๆมาครบ วางงานระบบ ต่อท่อน้ำดีน้ำเสีย ของห้องครัว ส่วนซักรีด และลานซักล้าง ไว้ให้ครบแล้ว และส่วนของลานจอดรถและเฉลียงข้างบ้าน ก็ลงเสาเข็มไว้แล้ว สามารถต่อเติมเพิ่มโครงสร้างได้ตามต้องการ โดยรวมถือว่าโอเคเทียบกับราคา อ้อ แต่จะมีของแปลกอย่างหนึ่งก็คือระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติที่ติดมาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งก็ถือเป็นโบนัสไป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ควรจะคำนึงถึงในโครงการนี้นะครับ คือเรื่องของความปลอดภัย เพราะเนื่องจากทาง Ozone ก็ใช้นิติบุคคลของหมู่บ้านปัญญามาบริหาร เรื่องการบริหารความปลอดภัยก็จะเป็นหน้าที่ของทางนิติฯเค้า ทางโครงการเลยทำอะไรเพิ่มเติมมากมายไม่ได้ เมื่อเทียบกับโครงการสมัยใหม่แล้ว ที่นี่อาจจะไม่มี Security รูปแบบใหม่ๆ ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีระบบคีย์การ์ด ประตูรั้วก็ยังเป็นแบบรั้วกั้นไม้กระดกธรรมดา ไม่มีประตูเหล็กใดๆ เพราะเค้าก็จะใช้มาตรฐานเดิมที่ทางนิติทำให้กับหมู่บ้านปัญญาเฟสอื่นๆ ดังนั้นส่วนหนึ่งที่ควรจะให้ความสำคัญคือ แต่ละบ้านจะต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย อาจจะต้องติดสัญญาณกันขโมยเพิ่มเติม หรือติดกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมให้กับบ้านตัวเอง เพราะโครงการเค้าไม่ได้ให้มาด้วย และในบรรดาเพื่อนบ้านกันเองก็อาจจะต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยร่วมกันในโครงการครับ
Judgement
ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 40%, ความปลอดภัย 15%, การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 15%, วัสดุ 10%, พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 10%, และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับแพคเกจ 7-10 ล้านบาท, 10 July 2015
- ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 7.5/10 – ทำเลอยู่ในหมู่บ้านปัญญาอินทรา การเดินทางสะดวกในโซนกรุงเทพตอนเหนือและตะวันออก แต่ความเจริญโดยรอบมีน้อย ต้องออกไปแถวๆถนนใหญ่ แต่มีข้อดีคือได้ที่ดินใหญ่เมื่อเทียบกับราคา
- ความปลอดภัย 6.5/10 – รั้วกั้นไม้กระดก รปภ.หน้าหมู่บ้าน เทียบกับโครงการระดับเดียวกันถือว่าได้มาน้อยไป
- การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 10/10 – ตัวบ้านได้พื้นที่เยอะเมื่อเทียบกับราคา ออกแบบได้ดี ฟังก์ชั่นสมบูรณ์ ต่อเติมได้เยอะ
- วัสดุ 8/10 – เกรดวัสดุที่ได้ถือว่ามาตรฐานเทียบกับราคา แต่ให้ของมาครบครันดี วางงานระบบและโครงสร้างในส่วนต่างๆไว้เรียบร้อยแล้ว แถมได้ระบบหมุนเวียนอากาศในบ้านเพิ่มมาด้วย
- พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 7.75/10 – สภาพของหมู่บ้านปัญญาเดิมอาจจะไปปรับปรุงอะไรได้ไม่มาก แต่ส่วนที่ทาง Ozone ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ทำออกมาได้ดี
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – เทียบกับโครงการหมู่บ้านด้วยกันก็ถือว่าไม่ได้มีอะไรมาให้เท่าไหร่ แต่ค่าส่วนกลางก็ไม่ได้แพง แล้วถ้าใครอยากใช้งานจริงๆก็สามารถไปสมัครสมาชิก Sports Club ของหมู่บ้านปัญญาเพิ่มเติมได้
- 7.80 / 10.00
BOTTOM LINE
The Ozone เป็นโครงการย่านรามอินทรา-ปัญญาอินทรา ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากได้บ้านที่มีพื้นที่รอบบ้านเยอะๆ ระดับ 100 ตารางวาขึ้นไป มีพื้นที่เหลือให้สามารถต่อเติม หรือเพิ่มฟังก์ชั่นได้ในอนาคต มองหาโครงการที่ไม่ได้เน้นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง แต่ให้ฟังก์ชั่นต่างๆสามารถจบในตัวบ้านได้ รองรับความต้องการของครอบครัวขนาดปานกลาง สมาชิกประมาณ 4-6 คน ในงบประมาณ 7-10 ล้านบาท
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ
สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )