รีวิวฉบับที่ 478 … ผ่านไปเกือบ 2 ปีได้กับโครงการ SARI by Sansiri คอนโด Low Rise ตึกคู่ใกล้สถานี BTS ปุณณวิถี ที่ผมเคยเข้าไปรีวิวตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 จากวันนั้นถึงวันนี้โครงการก็ได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น ผมจึงตามมาอัพเดทรูปถ่ายสภาพโครงการและตัวห้องจริงๆ เทียบกับ รีวิวเมื่อครั้งยังเป็นสำนักงานขาย ว่าเป็นอย่างไรละครับ
Fact @ 17 November 2013
- SARI by Sansiri
- บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
- UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- คอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 192 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 15 ยูนิต
- ที่จอดรถ 47% ไม่รวมจอดซ้อนคัน รวมซ้อนคันประมาณ 60%
- ที่ดินประมาณ 2-0-30 ไร่
- สร้างเสร็จพร้อมอยู่ปี 2556
- Studio ไม่มี
- 1 Bedroom 33.5 – 48 ตารางเมตร
- 2 Bedrooms 57.5 – 77 ตารางเมตร
- 3 Bedrooms+ ไม่มี
- ราคา 3.29 – 6.39 ล้านบาท (พ.ย. 2556)
- ราคาต่อตารางเมตรประมาณ 89,000 – 100,000 บาท (พ.ย. 2556)
- เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS ปุณณวิถี ได้ที่: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS ปุณณวิถี
- http://www.sansiri.com
- โทร 1685
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง
เราจะพูดเรื่องทำเลกันไม่มากเท่าไรนะครับ เนื่องเพราะซอยสุขุมวิท 64 นี้เราเคยพูดไปแล้วในรีวิวฉบับที่แล้ว และ มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS ปุณณวิถี
ในครั้งนี้เราจะมาอัพเดทสภาพซอยกันว่าผ่านไปเกือบ 2 ปีแล้วสภาพซอยสุขุมวิท 64 พัฒนาไปอย่างไรบ้าง
แผนที่ของซอยสุขุมวิท 64 ที่จัดทำโดย Mr. Oe นะครับ โครงการ SARI จะเป็นโครงการแรกที่ติดถนนซอยหลัก
อัพเดทหน้าปากซอยไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเท่าไรครับ สิ่งที่ให้สังเกตก็คือสะพานลอยนี้สามารถเชื่อมเข้าหารถไฟฟ้าได้เลยตามภาพ
เข้ามาในซอยหน่อยก็จะเจอกับโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งหากเทียบกับรีวิวฉบับเก่าที่โรงเรียนนี้ยังไม่เปิด จะเห็นว่าสภาพต่างกันลิบลับเลยครับ
ถัดมาเรื่อยๆก็ยังเจอแปลงที่ดินเปล่าที่เจ้าของที่ปล่อยว่างไว้ไม่ได้ใช้งานอยู่นะครับ ทำให้มีบางส่วนช่วงสั้นๆดูไม่น่าเดินเท่าไร
ถัดเข้ามาเป็นโรงเรียนพิพัฒนา เตรียมอนุบาลถึงประถมปีที่ 6
ซอยย่อยซอยแรกเป็นทางลัดที่เชื่อมไปซอยข้างเคียงได้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ Whizdom นะครับ
ซอยนี้จะแคบกว่าซอยสุขุมวิท 64 และมักจะมีรถมาจอดมั่วซั่ว ทำให้เดินทางลำบากมาก โดยเฉพาะตอนที่มีรถใหญ่วิ่งเข้าออก
ถัดมาเป็นสำนักงานขายของ Mayfair Place ซึ่งปัจจุบันที่โครงการกำลังก่อสร้างอยู่ และสำนักงานของบริษัท Hafele Bangkok
ติดๆกับโครงการ SARI จะเป็น Service Apartment ชื่อ OLIVE Residence สร้างได้ล้ำๆดีนะครับ
ช่วงกลางซอยเราก็จะเจอกับ SARI อยู่ทางขวามือ
ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านเดี่ยวร่มรื่นเขียวขจี
เราเดินผ่านทางเข้า SARI ไปก่อนนะครับ เพื่อที่จะไปดูในซอยอีกหน่อย
ถัดไปอีกนิด ทางซ้ายจะเป็น The Link VANO 64 โครงการของธารารมณ์ Estate และทางขวาที่ล้อมรั้วก็คือ Mayfair Place สุขุมวิท 64
พอทั้งสองตึกนี้เสร็จก็จะสร้างความคึกคักให้กับซอยนี้อีกนะครับ
The Link VANO 64 ทำโครงสร้างไปได้ 5 ชั้นแล้ว ถ้าได้สปีดนี้ต้องเสร็จภายในปี 2557 แน่นอน
โครงการ Mayfair Place สุขุมวิท 64 พึ่งจะเริ่มก่อสร้าง น่าจะเห็นความคืบหน้าในปี 2557 และน่าจะเรียบร้อยช่วงต้นปี 2558 ละครับ
ถัดไปอีกนิดป็น The LINK โครงการแรก ที่สร้างเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว
The Room สุขุมวิท 64 โครงการเก่าอยู่ติดกับ The LINK เลย
ฝั่งตรงข้ามมีโครงการบ้านนำวงศ์ขึ้นเช่นกัน
และสุดท้ายช่วงปลายซอยที่กำลังจะวิ่งไปออกทางปั๊ม PTT นั้น โครงการ ELIO สุขุมวิท 64 สร้างรวดเร็วมาก ขึ้นโครงสร้างมาเกือบเสร็จแล้วครับ
เจาะลึกตัวโครงการ
เรื่องตัวโครงการที่เราจะมาอัพเดทกันในวันนี้เป็นสภาพโครงการของตึก A ที่อยู่ด้านหน้าและตึก B ที่อยู่ด้านหลัง ทั้งสองตึกมี Layout แตกต่างกันนะครับ
ตึก A อยู่ติดกับถนนใหญ่ ทางทิศใต้มีแปลงที่ดินว่างด้านข้างก่อนที่จะถึงแปลงที่ดินของ Mayfair Place ทำให้มีระยะห่าง ไม่ถูกบังวิวในระยะใกล้
ส่วนทางทิศเหนือนั้นจะติดกับโครงการเพื่อนบ้านอย่าง OLIVE Residence แต่ก็จะมีถนนซอยคั่นอยู่ เว้นช่องว่างเช่นกันครับ
ด้านหลังเป็นตึก B ที่จะหันหน้าบางส่วนในทิศตะวันออกเข้าหาตึก A และฝั่งทิศตะวันตกออกไปด้านนอก หลังโครงการครับ
ตึก A ด้านหน้า เล่นลายทั้งพื้น เสาและฝ้า พร้อมกับเปิดเพดานสูงทำให้ดูมีอะไรมากขึ้น มองแล้วแกรนด์ขึ้น และวัสดุที่เป็นไม้เทียมทำให้มองแล้วสบายตามากขึ้น
หน้าโครงการเป็นจุดรักษาความปลอดภัย โดยใช้ระบบ รปภ. และรางเหล็กล้อเลื่อนในการดักรถยนต์เข้าออก คนภายนอกที่จะเดินเข้าเดินออกก็ต้องแลกบัตรตามปกติ
Lobby ใหญ่จะอยู่ที่ตึก A เป็นส่วนที่ใช้รองรับลูกบ้านของทั้งโครงการ ทั้งตึก A และตึก B สามารถมาใช้ด้วยกันได้
มองทะลุไปด้านหน้าจากมุมนี้ได้เลย
ภายใน Lobby ตกแต่งเป็นแนวหิน โดยใช้สีเหลืองและสีทองเป็นหลัก
จุดเด่นที่สุดของ Lobby คือโคมไฟชิ้นนี้ แต่ห้อยลงมาจากเพดานของชั้น 2 ที่เปิดโล่งลงมา
ที่นั่งโดยรอบประดับด้วยชั้นวางของ โดยรวมแล้วไม่มีอะไรแต่พอวาง Prop ตกแต่งเข้าไปก็จะดูหรูขึ้นมาถนัดตา
ตัว Lobby นั้นมีสองชั้น โดยส่วนที่ขึ้นไปยังชั้นสองจะเป็นบันไดพับอยู่ด้านข้าง ส่วนนี้ไม่สามารถขึ้นลิฟท์ได้นะครับ เพราะจะแยกกันระหว่างที่อยู่อาศัยของลูกบ้านชั้น 2 และส่วนกลาง
โถงบันไดประดับด้วย Prop โทนสีเหลืองทองตามสีคอนเซปท์ของ SARI และมีการใช้แสงเงาเพิ่มประกายให้กับเหลี่ยมมุมต่างๆ
ชั้นสองจะดูสงบและเป็นกันเองมากกว่า Lobby ชั้นล่าง
เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย พาเพื่อนฝูงมานั่งคุยกันยามว่าง
มองออกไปจะเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านข้าง ซึ่งจะช่วยบังสายตานิดหนึ่งไม่ให้ปะทะกับตึก B มากเกินไป
ด้านในของชั้น 2 เป็นสำนักงานนิติบุคคล
ภาพนี้ถ่ายจากชั้น 2 ลงไปยัง Lobby ชั้นล่างครับ
ซึ่งด้านหลัง Lobby ตรงบริเวณ Shelf นั้นจะทำเป็นตู้จดหมายของลูกบ้านตึก A
โถงลิฟท์บริเวณชั้น G ตกแต่งเป็นแนวนี้ สวยงามแต่ความแกรนด์จะไม่มากเพราะเป็นส่วนที่ไม่ได้เปิดเพดานสูง
ด้านข้างลิฟท์มีระบบ Home Service – Update ข่าวสารสำหรับลูกบ้าน เป็นจอ Touch Screen สามารถใช้และเชื่อมต่อกับ Smart Phone ได้
ต่อมาเราจะพาไปดูชั้น 8 กันบ้างครับ ซึ่งเป็นส่วนของ Facility ของทั้งตึก A และตึก B โดยภาพนี้มองไปทางทิศเหนือทางถนนใหญ่สุขุมวิท จะเห็นตึก The Room สุขุมวิท 62 อยู่ไกลๆ
ส่วนกลางจัดแบ่งเป็นสองชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นห้องน้ำและฟิตเนส
ห้องน้ำจะมีตู้ Locker ให้ของลูกบ้านที่มาใช้บริการ
ภายในตกแต่งเรียบๆ
พร้อมกับห้องอาบน้ำให้ใช้หลังที่เล่นฟิตเนสเรียบร้อย
ห้องฟิตเนสเปิดโล่งด้วยผนังกระจก
ด้านนอกมีส่วนที่เป็นไม้เทียม ลดความกระด้างของพื้นผิวลง ให้มองออกไปได้สบายตามากขึ้น
ในห้องฟิตเนสมีเครื่องเล่นประมาณ 4-5 เครื่อง พร้อมกับชุดยก Weight อีก 1 ชุด
ด้านหลังของห้องฟิตเนสตกแต่งเป็นกริล ให้แสงลอดเข้ามาได้บางส่วน
เราเดินขึ้นไปดูชั้นดาดฟ้ากันบ้าง จะเป็น Sky Lobby ให้นั่งเล่นกันชิลๆ
มองย้อนไปทางหน้าปากซอย จะเห็นว่าตึก OLIVE Residence ด้านข้างสูงประมาณ 6 ชั้น ทำให้มองข้ามไปได้บางส่วน และเห็นสำนักงานขาย HAFELE เปิดโล่งอยู่
รอบๆที่นั่งจะมีธารน้ำเป็น Water Feature ล้อมรอบ ให้รู้สึกผ่อนคลาย
ซึ่งจะไปเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำ ความยาวพอสมควรว่ายออกกำลังกายได้ แต่ความกว้างนั้นมีไม่มาก
มองข้ามไปทางตึก B จะเห็นสวนใหญ่อยู่บนดาดฟ้า เดี๋ยวเราจะพาไปชมกันนะครับ
บริเวณริมสระตลอดทางจะเป็นที่เอาไว้สำหรับนั่งเล่นบน Deck ไม้
เก้าอี้ตัวนี้เนื้อดีมาก ผมชอบครับ
ถัดจากสระไปก็จะมีสวนบางส่วนบนพื้นคอนกรีต และจะเป็นพวกห้องเครื่องแต่ก็ทำกรอบล้อมเอาไว้ ไม่ให้ดูขัดตา
จุดอาบน้ำเป็นแบบนี้ วิวด้านหลังมองเข้าไปในซอยละ
นั่งมองวิวนี้ก็สวยดีนะ
เรามาดูในซอยกันดีกว่า ฝั่งนี้เป็น The Link VANO
ต่อมาจะเป็น Mayfair Place ซึ่งจะขึ้นมาบังวิวบางส่วนของตึก A แต่จะมีที่ดินอีกแปลงคั่นไว้ ทำให้ไม่บังเต็มๆนะครับ
ลิฟท์ที่นี่ใช้ของ Schindler มีระบบ Lock ชั้น
ตัวโถงลิฟท์ในแต่ละชั้นหน้าตาแบบนี้
ประตูห้องและกรอบวงกบจรดฝ้า
ตึก A จะมีส่วนที่เป็น Void ตั้งแต่ชั้น 2 จนถึงดาดฟ้า ปลูกต้นไม้ด้านล่างจนยื่นขึ้นมาบนชั้น 3
ผังตึกหน้าตาแบบนี้เลย
มองทะลุขึ้นไปจนชั้น 8 ช่วยเพิ่มความโปร่ง อากาศหมุนเวียนในตึกและลดความอับของแต่ละชั้น
มองลงไปด้านล่างก็จะเจอกระถางต้นไม้แบบนี้ ปลูกให้รอดได้นี่เก่งมากเลยนะ แสงอาทิตย์มันไม่ค่อยพอเท่าไร
ก่อนที่จะไปดูห้องตัวอย่าง เราก็จะไปดูตึก B กันก่อน
ตึก B ไม่มี Lobby สำหรับนั่งเล่น จะมีส่วนของ Mailbox และโถงลิฟท์เลย
หน้าตาของโถงลิฟท์ทั้งสองตึกเหมือนกันเด๊ะ
แต่พอกดขึ้นไปชั้นบนสุดแล้ว จะไม่ถึงชั้นดาดฟ้า ซึ่งจะต้องขึ้นบันไดไปนะครับ
สวนบน Roof Top นี้กินพื้นที่ทั้งอาคารเลย
มีมุมนั่งเล่นในแต่ละจุดที่จัดไว้
ต้นไม้ค่อนข้างงามแล้วนะครับ
มีส่วนที่เปิดโล่งให้มองไปที่ตึก A เห็นเป็นระนาบเดียวกัน
แต่พื้นที่ไม่เชื่อมต่อกันนะครับ
บรรยากาศด้านบนช่วง 4 โมงเย็น
เดินอ้อมห้องเครื่องไปยังดีกฝั่งของสวน
มีที่นั่งคล้ายๆกับ Sculpture ด้วย
จากมุมนี้ทำให้เห็นว่าตึก A และตึก B ก็มีบางส่วนที่หันหน้าเข้าหากันอยู่บ้าง
บนสุดก็ยังมีกล้องวงจรปิดนะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำ บนดาดฟ้าตึก A
- ห้องออกกำลังกาย บนดาดฟ้าตึก A
- สวนหย่อมรอบโครงการ และบนดาดฟ้าของตึก B
- ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว ต่อหนึ่งอาคาร อัตราส่วนลิฟท์ เฉลี่ย 48:1
- Service Lift ไม่มี
- ที่จอดรถประมาณ 60% รวมจอดซ้อนคัน
- ระบบ CCTV / Access Card
Product Walkthrough
ห้องตัวอย่างห้องแรกที่พาไปชมคือห้อง 19 ชั้น 3 ตึก A ตกแต่งแนว “Barista” พื้นที่ 47.11 ตารางเมตร ขายพร้อมตกแต่ง 4.75 ล้านบาท หรือ 100,872 บาทต่อตารางเมตร
ระหว่างโถงทางเดินกับทางเข้าห้องมีหินสังเคราะห์สีขาวกั้นไว้ ยกพื้นขึ้นสูงกว่าทางเดินนิดหน่อยป้องกันฝุ่นเข้าห้อง โดยพื้นห้องจะใช้เป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ขนาด 60 x 60 ซม.
ตัวห้องพักเป็นห้อง 1 Bedroom
ผนังห้องตกแต่งเป็น Wallpaper ลายอิฐ ตกแต่งโต๊ะรับประทานอาหารออกแนว Industrial หน่อยๆ
ภาพรวมภายในห้องขนาด 1 Bedroom นี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฟากหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่น เปิดประตูไปเชื่อมกับห้องนอนอีกฟากนึ่ง
ครัวเป็นครัวเปิดอยู่บริเวณหน้าห้อง เรายังหาที่วางไมโครเวฟไม่เจอนะ
ท๊อปครัวเป็นหินสังเคราะห์สีขาว พร้อมกับเตาไฟฟ้า 2 หัวและซิงก์สแตนเลสแบบสี่เหลี่ยม ตรงนี้ดูสวยงามแต่ขาดพื้นที่วางจานไปหน่อย
หน้าห้องวางตู้ได้อีกชุด ถ้าใครที่เก็บของไม่พอก็ควรจะทำ Built-in ขึ้นไปทั้งแผงเลย เป็นตู้รองเท้านะครับ
ข้างๆครัวเป็นที่วางตู้เย็นและเครื่องซักผ้า มีตำแหน่งให้วางผ้าเรียบร้อย
โซฟากับโต๊ะกลางมีพื้นที่ว่างพอสมควร ค่อนข้างสบาย พื้นห้องพอจบส่วนครัวก็จะปูพื้นด้วยลามิเนต
ระยะห่างกับทีวีก็วางได้ราวๆ 40 – 50″ เต็มที่แล้ว
ริมสุดของห้องนั่งเล่นมีระเบียงเป็นชิ้นยาวเท่ากับความกว้างของห้องนั่งเล่นและห้องนอน เปิดปิดด้วยบานเลื่อนกระจกที่ยาวจรดพื้น แต่สูงไม่ชิดเพดานนะ เหลือนิดนึง
คอมพ์แอร์สองตัวแขวนไว้ให้ มีกริลดันลมร้อนออกไปข้างนอกแล้ว … ดีมาก เราจะได้ ใช้ประโยชน์พื้นที่ระเบียงได้เต็มที่หน่อย
ความยาวระเบียงยื่นออกไปถึงห้องนอนเลย จัดว่าเป็นระเบียงที่ยาว เมื่อเทียบกับห้องสมัยนี้
ความกว้างโอเคมาก วางเก้าอี้ ชุดน้ำชา นั่งได้สบายๆ
ความสูงก็โอเค จะเห็นว่าเปิดเข้าออกได้จากทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น
มองไปทางโน้นจะเห็นตึก Mayfair Place กำลังก่อสร้างอยู่ … อนาคตห้องนี้คงจะโดนบังวิวโล่งๆไป แต่ก็ยังดีที่มีต้นไม้และบ้านหลังข้างๆมาคั่นกลางระหว่างสองตึก
มองย้อนกลับไปทางหน้าห้องนะครับ ด้านบนจะเห็นฝ้าเพดานด้วย ติดตั้งแอร์แบบแขวนผนัง
ไปดูห้องนอนกันบ้างดีกว่า
ห้องนอนไม่กว้างเท่าไร เนื่องจากต้องแบ่งพื้นที่บางส่วนให้กับห้องนั่งเล่นเมื่อครู่
แต่จะได้ความลึกและฟังก์ชั่นที่เกินจาดความลึกแทน
เช่นโต๊ะทำงาน / โต๊ะเครื่องแป้งด้านข้าง รวมไปถึงตู้เสื้อผ้าบานใหญ่
ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนะครับ
มีการดรอปพื้นลงไป ป้องกันน้ำเจิ่งนอง
ชุดซิงก์สวยงาม มีบานปิดเรียบร้อย อ่างทรงรีๆหน่อย
ชุดอาบน้ำเป็นแบบ Rain & Hand Shower ด้านหลังมีการจัดพื้นที่วางสบู่ไว้ให้พร้อม
เป็นของ SIRI/VRH ซึ่งดีไซน์ออกมาได้โอเค
ฟลอร์เดรนก็ออกมาโอเคนะครับ
มีฉากกั้นอาบน้ำเรียบร้อย ทำด้วย Tempered Glass บานเปลือย
แหม่ โถมันใกล้ห้องอาบน้ำเกินไปหรือเปล่า นั่งแล้วอาจจะมีเข่าติดได้บ้างนะ
แอร์ห้องนอนใหญ่ก็แขวนผนังตรงแถวๆประตูทางเข้าห้องนอน โดยตัวที่ห้องนั่งเล่นจะได้ตัวใหญ่กว่า
ฝ้าเพดานสูง 2.4 เมตร ติดตั้ง Down Light ตามภาพ
ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะครับ จะเป็นการพาไปดูห้องอื่นว่าตกแต่งอย่างไร เพราะ Layout ห้องนั้นเหมือนกันคงจะไม่ต้องพูดอะไรใหม่
ห้องนี้เป็นโทนหวานแหววๆหน่อย เหมาะกับหญิงสาว
เตียงก็มีการตกแต่งผนังหัวเตียง ใช้สีโทนชมพูขาว
ตู้เสื้อผ้าเยอะหน่อย ติดหน้าบานกระจก
ชุดนั่งรับประทานอาหารกับสีแนว Pastel
ชุดนั่งอ่านหนังสือตัวนี้เก๋ดีครับ
โคมไฟก็ยังต้องเข้า Theme
ตู้ตรงกลางช่วยคั่นสายตาเวลาเดินออกมาจากห้องนอนพอดี และใช้เป็นที่เก็บของหรือวางโชว์สิ่งที่เราชอบก็ได้
อ่อ เดี๋ยวผมจะลองเปิดให้ดูนะครับว่าชุดครัวนี้มีอะไรบ้าง
อีกห้องหนึ่งที่แต่งเป็นแนวสีสันหน่อย มีกีตาร์วางกับโซฟาที่เป็นที่นอนได้
ทิศนี้จะเห็นตึก Service Apartment ข้างเคียงด้วย
มุมนี้แต่งออกมาสวยเลย คู่กับพรมและภาพด้านหลังแล้วดู Relax
ห้องนอนสีสันสดใส
ใช้การทาสีที่ผนังแทนติด Wallpaper ก็จะให้ความรู้สึกอีกอย่าง … แต่เราต้องเลือกผ้าปูที่นอน โคมไฟ และหมอนให้เข้ากันด้วยนะ ไม่งั้นห้องจะดูเลอะเทอะมาก
มองไปทางห้องน้ำครับ ห้องนี้ใช้ตู้เสื้อผ้าแบบลอยตัว
โอเค ถัดไปมาดูห้องของตึก B กันบ้างนะครับ ซึ่งจะเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ห้องนี้ขนาดเล็กกว่า อยู่ที่ 45 ตารางเมตร เป็น Layout หน้าแคบหน่อย
ห้องชุดจะเป็นซองยาวๆเข้ามาแบบนี้หันหน้าไปทางทิศใต้
ทางขวามือที่เห็นในภาพคือประตูทางเข้าห้องนอนและห้องน้ำ วางอยู่ใกล้ๆกัน
สิ่งที่ห้องนี้ทำไว้เป็นฟังก์ชั่นพิเศษก็คือครัวปิดนะครับ
โดยจะมีฟิตติ้งเป็นอลูมิเนียมสีขาวแบบนี้
บานเลื่อน ใช้กั้นระหว่างพื้นห้องครัวและพื้นห้องนั่งเล่น
ครัวขนาดจะใหญ่กว่าเดิมนิดนึง
มีเครื่องดูดควันเรียบร้อย ดูดออกไปปล่อยด้านนอกไม่ใช่ระบบหมุนเวียน
ชุดติดตั้งเครื่องซักผ้าอยู่บริเวณนี้ด้วยกัน
ตำแหน่งวางตู้เย็น
ซึ่งโดยรวมห้องครัวจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก เดินได้คนเดียวนะครับ เข้าไปสองคนจะอึดอัดๆละ
เรามาดูระเบียงกันบ้าง
ตัวระเบียงกว้างกว่าห้องของตึก A แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
ยืนชิดผนังแล้วก็ยังเห็นแอร์ไดกิ้นอยู่ในระยะประชิด
โชคดีที่ห้องนี้มองหลบตึก A ได้พอดี ไม่อย่างนั้นจะต้องหันหน้าเข้าหาเพื่อนบ้านทุกวัน
มองเฉียงๆไปจะเห็นแนวของ Mayfair และ The Link VANO อยู่ไกลๆ
ส่วนห้องนอนไม่มีทางออกระเบียงแบบห้องที่แล้วนะครับ
สุดท้ายมาดูบริเวณโถงลิฟท์ของตึก B ให้ดูว่าระยะห่างระหว่างตึก A และ B นั้นเป็นอย่างไร
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 25/11/2013
- ห้อง 1 Bedroom ตกแต่ง Barista Decorate ชั้น 3 อาคาร A เนื้อที่ 47.11 ตารางเมตร ราคา 4.752 ล้านบาท หรือ 100,872 บาทต่อตารางเมตร (Fully Furnished)
- ห้อง 1 Bedroom ชั้น 6 อาคาร B เนื้อที่ 44.98 ตารางเมตร ราคา 4.031 ล้านบาท หรือ 89,620 บาทต่อตารางเมตร (Fully Fitted)
- ห้อง 2 Bedrooms ชั้น 8 อาคาร B เนื้อที่ 57.94 ตารางเมตร ราคา 5.538 ล้านบาท หรือ 95,582 บาทต่อตารางเมตร (Fully Fitted)
- Fully Fitted เป็นมาตรฐาน
- เพดานสูง 2.6 เมตร
- จอง 30,000 – 40,000 บาท
- ทำสัญญา 70,000 – 100,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 50 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
เจาะลึกรวบยอด
โครงการนี้เคยรีวิวไปแล้วให้คะแนนไปแล้วรอบหนึ่งคงจะไม่ต้องให้ใหม่แล้วนะครับ อยากจะสรุปสั้นๆว่าซอยสุขุมวิท 64 นี้มีพัฒนาการขึ้นมาก แตกต่างจากซอยสุขุมวิท 64 เมื่อเกือบ 2 ปีก่อนที่ผมเคยเข้าไปชมอย่างชัดเจน ทำให้ทำเลของโครงการนี้ดูดีขึ้นแยะอยู่ และจะดูดีขึ้นอีกเมื่อโครงการคอนโดมิเนียมที่กำลังสร้างอยู่ในซอยอีกหลายๆตึกนั้นเสร็จขึ้นมา ภายในซอยจะมีสังคมการอยู่อาศัยมากขึ้น มีกำลังจับจ่ายใช้สอย และในอนาคตก็มีโอกาสที่จะนำมาซึ่งร้านค้าในซอย ทำให้กลายเป็นชุมชนขนาดกลาง มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น แต่นั่นก็เป็นภาพใหญ่ที่ต้องดูกันในระยะยาว 5 – 10 ปีครับ
การเดินทางต่างๆผมก็พาไปดูมาแล้วมีทั้ง BTS และทางด่วนสุขุมวิท 62 ที่สามารถใช้เป็นเส้นทางหลักสำหรับคนใช้รถยนต์ได้ ในขณะที่สภาพโครงการทำออกมาได้สวยงาม สมกับราคาตั้งช่วงเปิดโครงการที่อยู่ราวๆ 2.5 – 3 ล้านบาท หรือประมาณ 80,000 บาทต่อตารางเมตร จนถึงปัจจุบันราคาก็ได้เพิ่มขึ้นไปแตะๆอยู่ที่ 90,000 – 95,000 บาทต่อตารางเมตร ในห้องที่ไม่ได้ตกแต่งนะครับ
งานก่อสร้างหลักๆก็แทบจะเสร็จหมดแล้ว แต่ยังมีการเก็บงานกันบ้าง ทั้งในส่วนกลางและห้องบางห้อง คาดว่าคงจะเสร็จสมบูรณ์ไม่เกินกลางปี 2557 ซึ่งส่วนกลางหลักๆ Lobby, สระว่ายน้ำ, สวนสาธารณะและฟิตเนส ก็ทำออกมาได้น่าใช้งาน เหมาะกับ 2 ตึกเล็กๆที่มีจำนวนยูนิต ไม่ถึง 200 ยูนิต แต่การจัดวางของส่วนกลางยังเน้นไปอยู่ที่ตึก A ที่มีทั้ง Lobby, ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ ทำให้ดูไม่ค่อยเท่าเทียมกันเท่าไร
ตัวตึกทั้งสองของ SARI มียูนิตรวมกันแค่ 192 ยูนิตเท่านั้นเอง ทำให้อัตราส่วนลิฟท์ทำออกมาได้ดีมาก อยู่ที่ 48:1 โดยเฉลี่ย และมีความหนาแน่นสูงสุดอยู่ที่ 15 ยูนิตต่อชั้น บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ จัดว่าเป็นคอนโดที่มีความหนาแน่นต่ำอีกโครงการหนึ่ง ที่จอดรถประมาณ 60% รวมจอดซ้อนคัน ก็ดูไม่น่าเกลียด สำหรับคอนโดในระดับนี้ครับ
จากผังห้องและความน่าอยู่ของ Layout ผมยังมองว่าห้องแบบระเบียงยาวๆของตึก A นั้นทำออกมาได้ลงตัวกว่าห้องหน้าแคบของตึก B มาก ซึ่งจะจัดวางออกมาได้เหมาะสมและเป็นสัดส่วนมากกว่า โดยจะบอกว่าโครงการ SARI นี้น่าจะเป็นโครงการท้ายๆของแสนสิริที่ขายในราคาไม่ถึง 100,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ทำห้อง 1 Bedroom ใหญ่ขนาด 35 – 45 ตารางเมตรขึ้นไปเสียเป็นส่วนมาก ล็อตหลังจากนี้ในระดับราคาเดียวกันก็จะเป็นพวกห้อง 30 ตารางเมตรหรือ 20 กว่าตารางเมตรกันหมดแล้ว และแทบจะกลายเป็นแบรนด์ The BASE ทั้งหมด ซึ่งในปี 2556 แบรนด์ที่มีชื่อต่างๆก็จะถูกดันให้ราคาเกิน 100,000 บาทต่อตารางเมตรไปหมด
BOTTOM LINE
SARI เหมาะกับคนที่ชอบตึก Low Rise แบบพร้อมอยู่ เป็นคอนโดที่เดินจากรถไฟฟ้าได้ในระยะที่ไม่เหนื่อย ในงบประมาณราวๆ 3-4 ล้านบาท หรือผ่อนประมาณ 21,000 – 28,000 บาทต่อเดือน
ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ