Update 22 Nov 2018
เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน โครงการนี้สร้างเสร็จเรียร้อยแล้ว ทางทีมงานอยากให้คุณผู้อ่านได้เห็นภาพของจริง จึงขออัพเดทด้วยภาพประกอบจากทางโครงการตามด้านล่างนี้ ส่วนรีวิวของเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2014 จะอยู่ต่อจากภาพชุดนี้ครับ
ตอนนี้ทั้ง 3 ตึกเสร็จหมดแล้ว หน้าตาของตัวอาคารยังคง Minimal ตามแนวถนัดของ Noble เค้านะครับ
ด้านหน้าโครงการเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของ Noble
พื้นที่ด้านในโครงการมีการออกแบบ Landscape ให้สอดคล้องตัวอาคารดูสวยแบบเรียบง่าย
พื้นที่ภายใน Lobby เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีเรียบง่ายขาว เทา ดำ
พื้นที่บริเวณสระว่ายน้ำภายในโครงการ
บรรยากาศภายพื้นที่ส่วนที่เป็น Semi-Outdoor ยังคงตกแต่งเน้นโทนสีเข้ม เพื่อให้บรรยากาศต่อเนื่องกับโถง Lobby
พื้นที่ภายในห้องออกกำลังกาย
พื้นที่ห้องประชุมขนาดใหญ่ พร้อมโต๊ะประชุมขนาด 28 ที่นั่ง
บรรยากาศในตอนกลางคืนก็สวยไม่แพ้กลางวันเลยครับ มีการจัดแสงในส่วนต่างๆ
พื้นที่นั่งชมวิวใจกลางเมือง Rooftop บนชั้น 41 ของอาคาร C
ต่อมาเป็นส่วนของห้องพักภายในโครงการแบบ 1 Bedroom นะครับ พื้นที่นี้เป็นส่วนห้องนั่งเล่น
ส่วนห้องรับประทานอาหารจะอยู่ติดกับส่วนเคาน์เตอร์ครัว
บรรยากาศภายในห้องนอนจะได้แสงธรรมชาติเยอะ เพราะได้กระจกสูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้าเพดาน
บรรยากาศภายในห้องน้ำ
ส่วนทางเข้าของห้องจะอยู่ติดกับ Private Lift ประตูลิฟต์เปิดมาก็เข้าห้องของเราเลยครับ
ภาพบรรยากาศในส่วนของห้องรับประทานอาหารแบบ 2 Bedroom
ภาพบรรยากาศในส่วนของห้องนั่งเล่น ที่ดูวิวได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
บรรยากาศในส่วนของห้องนอนได้หน้าต่างบานใหญ่เช่นกัน
ส่วนรีวิวเมื่อสมัยตึกยังสร้างไม่เสร็จ สามารถอ่านรีวิววิเคราะห์โครงการวันที่ 2 June 2014 ได้ตามเนื้อหาด้านล่างนี้เลยครับ
รีวิวฉบับที่ 612 … Noble Ploenchit (โนเบิล เพลินจิต) กลับมาอีกครั้งกับคอนโดใจกลางเมืองนะครับ ตึกนี้เคยมีกระแสแรงในช่วงปี 2011 ก่อนน้ำท่วมใหญ่ ที่ดินเพลินจิต อาร์เขตเก่า ที่เปลี่ยนมือกันไปหลายครั้งระหว่างมหาเศรษฐีในบ้านเรา สุดท้ายโนเบิลซื้อมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโปรเจคยักษ์ ก็สามารถสร้างความฮือฮาให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ได้แรงอยู่ … เวลาผ่านไป 3 ปีกระแสต่างๆก็เบาบางลงตามลำดับ จนกระทั่งศูนย์การค้า Central Embassy ได้เปิดทำการในเดือนพฤษภาคม 2014 ที่ผ่านมา ประกอบกับโครงการโนเบิลเพลินจิตก็ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วบางส่วน กระแสของตึกนี้จึงหวนกลับมาใหม่ … เรามาดูกันบ้างว่าเป็นอย่างไรครับ 🙂
Fact @ 2 June 2014
- Noble Ploenchit (โนเบิล เพลินจิต)
- Noble Development., Plc.
- LUXURY CLASS (2011) (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต ปทุมวัน
- คอนโด High Rise 14, 51, 46 ชั้น 3 อาคาร 110, 621, 713 ยูนิต รวม 1,444 ยูนิต (ตึก A, B, C)
- อาคารสำนักงาน 4 ชั้น 1 ตึก (ตึก D)
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 10, 14, 17 ยูนิตที่อาคาร A, B และ C ตามลำดับ
- ที่จอดรถชั้น 1B – 4B ทางโนเบิลเคลมว่าจอดได้ 70% รวมซ้อนคัน ประมาณ 1,000 คัน
- ที่จอดรถส่วนของออฟฟิศอีก 50 คัน ไม่รวมในส่วนที่พักอาศัย
- ขนาดที่ดิน 9-0-92.4 ไร่
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ม.ค. 2560 (2017)
- Studio ไม่มี
- 1 Bedroom 43 – 61 ตารางเมตร
- 2 Bedrooms 69 – 92 ตารางเมตร
- 3 Bedrooms+ 110-114 ตารางเมตร (Sold Out)
- Penthouse 139-178 ตารางเมตร (Sold Out)
- Duplex Penthouse 144-199 ตารางเมตร (Sold Out)
- ฝ้าเพดานสูง 2.65 เมตร
- ราคาเริ่มต้นปี 2014 ประมาณ 8.6 ล้านบาทหรือประมาณ 183,000 บาทต่อตารางเมตร
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรปี 2014 ประมาณ 225,000 – 230,000 บาท
- เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS เพลินจิต ได้ที่: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS เพลินจิต
- http://goo.gl/WlkwW1
- TEL: 02 108 1199
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
New ! เพื่อนๆสามารถเลือกอ่านตามหัวข้อได้โดยกดปุ่มไปยังหัวข้อที่สนใจได้ครับ
พิกัด 13.743398,100.548269
Noble เพลินจิต ชื่อก็บอกแล้วครับว่าตั้งอยู่บนถนนเพลินจิตโดยมีตึกอาคารสำนักงาน รวมถึงห้างสรรพสินค้าและโรงแรมต่างๆรายล้อมอยู่แทบทุกด้าน จัดเป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพียงโครงการเดียวที่อยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต นอกนั้นจะอยู่ในซอยหลักๆอย่างซอยนายเลิศ หรือซอยร่วมฤดี และไม่ใช่คอนโดติดรถไฟฟ้าครับ
ปัจจุบันหลายๆโครงการก็ชอบใช้คำว่า ใกล้รถไฟฟ้าบ้าง ติดรถไฟฟ้าบ้าง แต่จริงๆแล้วไม่ได้ติดอย่างที่โฆษณาไว้ … ถ้าจะให้ติดจริงๆมันต้องแบบนี้เป็นอย่างน้อย
โครงการ Noble เพลินจิตในอนาคตจะมีทางเชื่อมต่อเข้ามาที่ BTS นะครับ โดยจะต่อออกมาคล้ายๆกับทางเชื่อมเข้าตึก Wave Place ที่เห็นนี้ ทางเชื่อมจะไม่ได้เชื่อมเข้าตัวคอนโดที่เป็นสถานที่พักอาศัย แต่จะเชื่อมเข้าไปที่ตึกอาคารสำนักงาน 4 ชั้นด้านหน้า ที่เรียกว่า Tower D ครับ
อัพเดทงานก่อสร้างของ Noble เพลินจิต ปัจจุบันที่ได้เข้าไปเก็บข้อมูลคือปลายเดือนพฤษภาคม 2557 … อาคารทั้งหมด 4 ตึก ถูกขึ้นมาประมาณนี้แล้วครับ
ถัดมาเราจะมาดูเรื่องการจราจรกันบ้างนะครับ จริงอยู่ที่ Noble เพลินจิตอยู่ติดถนนใหญ่ แต่การเดินทางด้วยรถยนต์นั้นมันไม่ได้สะดวกเหมือนกับถนนเส้นอื่นๆ ปัญหาหลักเกิดจากการที่เกาะกลางของเพลินจิตนั้นไม่มีจุดกลับรถ ถนนเส้นเดียว จึงถูกแบ่งเป็นสองฝั่งคือเพลินจิต (เหนือ) และ เพลินจิต (ใต้) ทำให้ไม่สามารถเลี้ยวซ้ายตรงๆได้เลย แถมยังมีข้อจำกัดเรื่องถนนวันเวย์เพิ่มเข้าไปอีก การที่โครงการตั้งอยู่บนถนนเพลินจิต (เหนือ) ก็ต้องรู้จักทางหนีทีไล่และกฎกติกาการจราจรของแถวนี้ไว้ ดังนี้ครับ
- เวลาวิ่งออกจากทางเข้าหลักของ Noble เพลินจิต ไม่สามารถเลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิทยุ, ราชดำริ, อังรีดูนังต์ได้ – วิธีแก้คือใช้ทางลัดซอยสมคิดเข้าถนนชิดลม ข้ามแยกไปเข้าถนนหลังสวน
- เวลาวิ่งออกจากทางเข้าหลักของ Noble เพลินจิต ไม่สามารถวิ่งผ่านด่านเก็บเงินทางด่วนไปยังถนนสุขุมวิทได้ – วิธีแก้คือเลี้ยวขวาเข้าวิทยุไปออกเพชรบุรี แล้วเข้าสุขุมวิทจากทางถนนนานา
โครงการ Noble เพลินจิตนั้นมีทางเข้าสองทาง คือทางเข้าหลักที่ติดถนนเพลินจิต และทางเข้ารองจากทางซอยนายเลิศ
- ทางเข้าหลักสามารถรับรถที่มาจากทางด่วน, พระรามที่ 1 หรือถนนสุขุมวิทได้ แต่จะต้องเป็นรถที่วิ่งเข้าถนนเพลินจิต (เหนือ) เท่านั้น ถ้าวิ่งอยู่ฝั่งเพลินจิต (ใต้) จะไม่สามารถเข้าโครงการได้โดยตรง ต้องเลี้ยวซ้ายไปกลับรถที่ถนนวิทยุแล้วใช้ทางเข้ารองแทน
- ทางเข้ารองสามารถรับรถที่มาจากถนนวิทยุและถนนพระรามที่ 4 ได้ เนื่องจากบริเวณแยกเพลินจิต หากมาจากถนนวิทยุจะไม่สามารถเลี้ยวขวาได้ ทำให้ต้องวิ่งผ่านแยกไปใช้ซอยนายเลิศอ้อมมาเข้าด้านหลังนะครับ
ถนนเพลินจิตโดนเกาะกลางผ่านถนนออกเป็นสองซีกแบบนี้ คล้ายๆกับแบ่งเป็นสองถนนที่ไม่เชื่อมต่อกัน ไม่มีจุดกลับรถ จึงทำให้การจราจรโดยรวมไม่สะดวกเท่าที่ควร
ทางเข้าโครงการหลักอยู่บริเวณนี้ครับ
ต่อมาเป็นเรื่อง One Way เฉพาะเวลา โดยช่วง 5 โมงเย็น – 1 ทุ่มนั้น ถนนเพลินจิต (เหนือ) ก็จะถูกปรับเป็น One Way ตั้งแต่แยกวิทยุ ทำให้รถที่มาจากชิดลม, Central Embassy หรือ Siam Paragon นั้นต้องเลี้ยวซ้ายไปใช้ทางเข้ารองครับ
ทางเข้ารองจะต้องวิ่งตรงผ่านแยกเพลินจิต ใช้ถนนวิทยุไปเข้าซอยนายเลิศ
ลูกศรสีฟ้าเป็นตำแหน่งทางเข้านะครับ ซึ่งเราจะซูมเข้าไปดูกัน
นี่คือบริเวณพื้นที่โครงการที่ติดกับซอยนายเลิศ ซึ่งอนาคตจะเปิดช่องเป็นทางเข้าออกทางที่ 2 ครับ
พอออกจากซอยนายเลิศมาก็จะมีทางเลือกสองทาง คือ
- เลี้ยวซ้ายขึ้นทางด่วน
- เลี้ยวขวาไปแยกเพลินจิต ผ่านทางเข้าหลักของโครงการ
ใครเลี้ยวซ้ายมาแล้วเปรี้ยวฝ่า One way ไป ก็จะเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจโบกเรียก … เห็นบ่อยแล้วครับ โดนปรับไม่พอ ยังเป็นเหตุให้รถติดอีก อย่าลักไก่เลยนะ
ถัดจากเรื่องการจราจรเรามาดูสภาพแวดล้อมกันบ้าง … จากโครงการเพลินจิตซิตี้ ก็มีการทำสวนแนวดิ่ง ล้อมโคนเสาไฟฟ้าไว้เป็นระยะๆ ทำให้ดูเขียวมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก
แต่สำหรับบางเสานั้น ต้นไม้ที่ล้อมเสาถูกสถานีบังแดดเอาไว้ ผลออกมาเลยเป็นแบบนี้ ทางเราแนะนำว่าใช้ต้นไม้ปลอมเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้สถานีก็ดีครับ ไม่อย่างนั้นจะดูแลยากและจะทำให้ทัศนียภาพที่ดูดีนั้นหม่นลงไปมาก
ฝั่งตรงข้ามของโครงการ Noble คืออาคารสำนักงานขนาดใหญ่ Park Venture ซึ่งเป็นตึกอาคารเขียวที่ได้รับรางวัล Leed Platinum
ในตึกมี 7-11, ร้านกาแฟ Dean & Deluca นั่งได้สบายๆครับ
ถัดไปอีกนิดหนึ่งตึกสีส้มๆที่ดูเก่าหน่อยก็คือตึกมหาทุนพลาซ่า
ถัดมาเรามาดูการเดินเท้ากันบ้าง … จากฝั่งถนนเพลินจิตไปจนถึง Siam Paragon นั้น มีทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อกันตลอด (ยกเว้นบริเวณสถานีชิดลมต้องจ่ายสตางค์ถึงจะทะลุผ่านได้)
ทางเชื่อมนี้จึงนำมาซึ่งความสะดวกสบายให้กับคนในย่านนี้ ที่จะเดินจากออฟฟิศหนึ่งๆไปสถานีรถไฟฟ้าหรือจะไปห้างสรรพสินค้าก็ได้เช่นกัน
เช่นทางเข้าห้างสรรพสินค้า Central Embassy ที่เปิดตั้งแต่เวลา 10 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม และสามารถเดินลัดเข้าไปยัง Central ชิดลมได้ด้วย
Landscape ด้านหน้าทำออกมาสวยงาม สมกับเป็นห้างที่หรูที่สุดในเครือเซ็นทรัล แต่ Interior Design ด้านในนั้นยังต้องปรับปรุงให้สวยงามกว่านี้ โดยเฉพาะพื้นห้างฯละครับ
ถ้าใครอยากจะดูทำเลรอบๆเพลินจิตเพิ่มเติม สามารถอ่านได้ที่นี่นะครับ: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS เพลินจิต
เจาะลึกตัวโครงการ
เรามาดูภาพรวมของโครงการ Noble เพลินจิตกันก่อนนะครับ โดยตัวโครงการนั้นมีทั้งหมด 4 อาคาร แบ่งเป็น
- Tower A อยู่ด้านหลังสุด มี 14 ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของฟิตเนส สระว่ายน้ำและส่วนกลางหลักๆของที่นี่ มียูนิตพักอาศัย 110 ยูนิต
- Tower B อยู่ถัดมา เป็นตึกที่สูงที่สุดในโครงการ มี 51 ชั้น วางตัวในแนวนอนขนานกับถนนเพลินจิตและ Tower A มียูนิตพักอาศัย 621 ยูนิต
- Tower C อยู่ถัดมาด้านหน้าอีก สูง 46 ชั้น วางตัวในแนวตั้งฉากกับถนนเพลินจิตและมี Lobby เชื่อมกับ Tower B มียูนิตพักอาศัย 713 ยูนิต
- Tower D (Office) เป็นตึกเตี้ยที่อยู่ด้านหน้าสุด สูง 4 ชั้น จัดทำเป็นอาคารสำนักงาน (ไม่ทราบจำนวนยูนิตภายใน)
- รวมทั้งสิ้น 1,444 ยูนิต
ทั้งส่วนของอาคารสำนักงานและที่พักอาศัยนั้นอาศัยอยู่ในโครงการเดียวกัน มีนิติร่วมกัน โดยที่จอดรถของส่วนพักอาศัย ทางโนเบิลเคลมว่ามี 70% รวมจอดซ้อนคันรวมแล้วประมาณ 1,000 คัน และส่วนของอาคารสำนักงานจะมีอีก 50 คัน กันไว้ต่างหาก การจอดรถทั้งหมดจะจอดที่ชั้นใต้ดิน B1 – B4 ซึ่งจะต้องขึ้นลิฟท์มาที่ Lobby ก่อน เพื่อเปลี่ยนลิฟท์ส่วนตัวไปเข้าห้อง ตามตึก A, B และ C ตามลำดับ
แปลนใหญ่ของโครงการ Noble เพลินจิตนะครับ ส่วนกลางเด่นๆคือ
- สระว่ายน้ำขนาด 8 x 45 เมตร ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ว่างระหว่างตึก A และ B
- สระเด็กและจากุซซี่แยกต่างหาก
- สตีม
- สวนส่วนกลาง 2 ตำแหน่ง รวมพื้นที่กว่า 4 ไร่ บริเวณพื้นที่ด้านข้าง Tower C และด้านหลัง Tower B
- ทางเชื่อม Sky Walk เข้ากับตึก Tower D
- สนามบาสเก็ตบอลครึ่งคอร์ทข้าง Tower A
- ฟิตเนสและห้องอเนกประสงค์ส่วนกลางที่ชั้น 3F ของ Tower A
จากมุมนี้จะมองเป็นตึก D, C, B และ A เรียงไล่เข้าไปเลย โดยเราจะมองไม่เห็นตึก A จากทางด้านหน้านะครับ เพราะถูกตึก B บังไปเสียเกือบหมด
ทางเชื่อมรถไฟฟ้านั้นจะเชื่อมเข้ามาเฉพาะที่ตึก Office นะครับ ไม่เชื่อมเข้าไปในตัวที่พักอาศัย ลูกบ้านต้องเดินผ่านตึก D และสวนด้านหลังก่อนจึงจะสามารถเข้าไปที่ Lobby ของตึก B และ C ได้
ต่อไปเราจะมาดูตึกรอบๆ Noble เพลินจิตกันบ้าง จากโมเดลเมืองเพลินจิตจำลองที่อยู่ในสำนักงานขาย จะได้เห็นว่า วิวไหนโดนบัง ไม่โดนบังอย่างไร … เริ่มกันที่วิวทิศใต้ก่อนเลยครับ กับการโดนวางสนุ๊กไปครึ่งหนึ่งของตึก Park Venture
ตึก Park Venture เป็นอาคารสำนักงานที่มีความสูงไม่แพ้ Noble เพลินจิตเลย ตั้งอยู่คนละฝั่งของถนน ดังนั้นก็จะบังวิวของตึก B ไปเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีมุมบางส่วนที่เหลื่อมๆกันตามรูปด้านบนนะครับ
ต่อมาเป็นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในทิศที่โล่งที่สุดของโครงการนี้ วิวจาก Tower B และ Tower C มองข้ามทางด่วนไปยังถนนสุขุมวิท รับวิวเมืองแสงสีโซนสุขุมวิทได้ครับ
ทางกลับกัน ทิศตะวันตกกลับเป็นทิศที่ถูกบังค่อนข้างมาก จากทั้งตึก Wave Place ที่อยู่ติดกัน, Sivatel ที่เยื้องๆกัน และ Central Embassy ที่อยู่ถัดมา ทำให้ทิศตะวันตกของ Tower C โดนบังไปพอสมควร ตามภาพครับ
พอเอาโมเดลมาดูเทียบกับของจริง ก็จะเห็นว่าโดนบังเต็มๆจริงๆครับ ดีที่ตึก Wave Place ไม่สูงเท่าไร ชั้นบนๆของ Tower C นี้ยังมีบางส่วนรอดมาบ้าง
มองข้ามตึกกันแบบนี้เลย
สุดท้ายคือวิวทิศเหนือ ซึ่งโล่งพอกันกับทิศตะวันตก มองไปยังฝั่งถนนเพชรบุรีและคลองแสนแสบ … ตรงนี้มีวิวงามๆอย่างสถานทูต Swiss ให้ชมด้วย แต่น่าเสียดายที่ตึก A ทั้งหมดถูกออกแบบให้หันเข้าหาตึก B ทำให้มีแต่ตึก B เท่านั้นที่ได้รับวิวโล่งๆนี้ไปครับ
ที่หลังคาของ Tower B มีสวนส่วนกลางด้วย ทำให้ลูกบ้านสามารถขึ้นไปชมวิวบนยอดตึกชั้น 51 ซึ่งเปิดไปยังทิศเหนือได้
ส่วน Tower A นั้น ก็คงจะถูกบล็อควิวทั้งแถบ แต่โชคดีที่มีสระว่ายน้ำอยู่บริเวณชั้นล่าง ทำให้ได้วิวของสระว่ายน้ำและสวนส่วนกลาง Water Garden ไปครับ
เนื่องจากสำนักงานขายใหม่ของ Noble เพลินจิตนี้อยู่ที่ตึก Park Venture ก็จะสามารถมองภาพจากมุมสูง เทียบกันจะๆไปเลย ว่าตึกไหนเป็นอย่างไร วิวไหนโล่ง ไม่โล่ง
ส่วนเรื่องความคืบหน้าการก่อสร้าง ประเมินด้วยสายตาอย่างน้อยก็ต้องมีอีก 3 ปีกันล่ะ … แน่ละสิ กำหนดสร้างเสร็จ ม.ค. 2560 เลยนะครับ
เราเทียบความสูงของ Central Embassy กับ Wave Place จะพบว่า Embassy สูงขึ้นไปอีก
ส่วนวิวทิศตะวันออกและเหนือนั้นโล่งถึงโล่งมาก เลือกเอาตามใจชอบเลยครับใครอยากได้วิวไหน
Private Lift
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินคำว่า Private Lift หรือลิฟท์ส่วนตัวกันบ้างแล้ว … ซึ่งโครงการ Noble Ploenchit นั้นก็เป็นหนึ่งในโครงการจำนวนไม่กี่โครงการที่ใช้ลิฟท์ส่วนตัวทุกยูนิต โดยทุกห้องในโครงการจะมีลิฟท์ส่วนตัวยิงตรงเข้าไปในห้องตัวเองทั้งหมด … พูดแล้วก็คงจะงงๆใช่ไหมครับ เรามาดูกันว่าลิฟท์ส่วนตัวหรือ Private Lift นั้นเป็นอย่างไร?
จากภาพด้านบน ลิฟท์ที่มีตัวหนังสือกำกับสีเหลืองและลูกศรสีเหลืองคือทางเข้าออกของลิฟท์ส่วนตัว ซึ่งในโครงการนี้ทางโนเบิลเลือกให้ลิฟท์หนึ่งตัวสามารถเปิดได้ 2 ด้าน คือซ้ายและขวา เข้าไปยังห้องของลูกบ้านสองห้องต่อ 1 ชั้น ทำให้เราสามารถกดลิฟท์ได้จากห้องตัวเองได้เลย ตรงนี้เป็นความสะดวกและเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของลิฟท์ส่วนตัวครับ
ในกรณีที่ลิฟท์ส่วนตัวกดแล้วมาช้า หรือลิฟท์เสีย หรืออาจจะมีห้องตรงข้าม หรือห้องชั้นอื่นๆใช้บริการอยู่คับคั่ง เราก็สามารถเดินออกไปใช้ลิฟท์ส่วนกลาง ที่บริเวณ Common Area (ลูกศรสีส้ม) ได้ ลิฟท์ตัวนี้จะทำงานเหมือนกับลิฟท์ทั่วๆไปที่เราเห็นตามตึกทั้งหลาย เป็นตัวที่ใช้งานทดแทน Private Lift และใช้ในงานขนของต่างๆ ของตึกนั้นๆด้วยครับ
ดังนั้นวิธีคำนวนอัตราส่วนของ Private Lift จึงแตกต่างกับ Common Lift อย่างที่เราเคยคำนวนกันโดยสิ้นเชิงนะครับ
- อัตราส่วนห้องต่อ Lift ทั่วไป = จำนวนห้องทั้งหมด หารด้วย จำนวนลิฟท์ทั้งหมด
- อัตราส่วนห้องต่อ Private Lift = จำนวนชั้นของตึกนั้นๆที่มีห้องพักอาศัย คูณด้วย 2 หากใช้สองห้องร่วมกัน (ในกรณีที่ชั้นสูงๆของตึกมีพื้นที่ไม่เท่ากับชั้นล่างๆ เราจะคำนวณด้วยชั้นสูงสุด เพื่อใช้เป็นตัวเลขอ้างอิง)
*แต่* เรื่องที่ต้องคำนึงมีอีกเรื่องหนึ่งนะครับ นั่นก็คือ Private Lift จะทำการรับผู้โดยสารทีละชั้นเท่านั้นและไปส่งจุดหมายก่อนที่จะรับผู้โดยสารห้องถัดไป ทำให้ไม่มีการรับคนจนเต็มก่อนแล้วค่อยลงไปชั้นล่างรวดเดียวเหมือนกับลิฟท์ทั่วไป เช่น ถ้าเป็นลิฟท์ปกติหากมีคนกดลิฟท์ทั้งสิ้น 10 ชั้น ลิฟท์ก็จะขึ้นไปชั้นบนสุดค่อยๆรับทีละชั้นแล้วพาไปส่งจุดหมายพร้อมๆกัน แต่ถ้าเป็นลิฟท์ส่วนตัวนั้น จะต้องขึ้น-ลงตามคิวที่กดก่อน โดยไปรับและจะไปส่งทั้งสิ้น 10 รอบ ให้สามารถผู้โดยสารได้รับความเป็นส่วนตัวในการขึ้นลงลิฟท์แต่ละครั้ง ซึ่งตรงนี้จะทำให้ลิฟท์ส่วนตัวนั้นทำงานเยอะกว่าลิฟท์ปกติมาก และการรอคิวก็จะนานกว่าปกติเช่นกัน
ทั้งนี้ตึกที่มีจำนวนชั้นน้อยๆ อย่างตึก A ก็จะได้เปรียบเรื่องลิฟท์มากกว่าตึก B และตึก C มากๆครับ เพราะมีจำนวนยูนิตที่แชร์ลิฟท์แต่ละตัวน้อยกว่ากันมากๆ
- ตึก A มี 14 ชั้น ทุกห้องหันเข้าหาสระว่ายน้ำและตึก B ทั้งหมด
- ความหนาแน่นสูงสุด 10 ห้องต่อชั้น
- มีเฉพาะห้อง 1 Bedroom ถ้าจะเอา 2 Bedrooms ต้องทำ Combined
- ห้องทั้งหมดวางตัวแบบ Single Corridor คือจะไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามบนทางเดิน
- Private Lift ทั้งหมด 5 ชุด และมี Common Lift 1 ชุด
- อัตราส่วน Private Lift = 22:1
- อัตราส่วน Lift โดยรวม = 19:1
- ข้อดี: ตึก A จัดเป็นตึกที่มีอัตราส่วนยูนิตต่อลิฟท์ดีมาก มีความหนาแน่นต่ำมาก
- ข้อดี: มีส่วนกลางอยู่ใกล้ มีฟิตเนสภายในตึก และได้วิวสระว่ายน้ำหรือสวนสำหรับชั้นที่ไม่สูงจนเกินระดับสายตา
- ข้อเสีย: ถูกบล็อควิวในระยะกลางด้วยตึก B ทั้งหมด มีห้องให้เลือกทิศเดียวคือทิศใต้
- ข้อเสีย: ไกลจากถนนใหญ่และรถไฟฟ้ามากที่สุดในบรรดาทุกตึก
- ตึก B มี 51 ชั้น ห้องส่วนใหญ่หันไปทางทิศเหนือและใต้ โดยทิศเหนือวิวจะโล่ง ส่วนทิศใต้ส่วนใหญ่วิวจะติด Park Venture
- ความหนาแน่นสูงสุด 14 ห้องต่อชั้น
- ชั้นทั่วไปจะมีห้อง 1 Bedroom 10 ห้อง และ 2 Bedrooms 4 ห้องตามมุมตึกต่างๆ
- มีสวนเล็กๆบริเวณโถงลิฟท์ส่วนกลางทุกชั้น
- Private Lift ทั้งหมด 7 ชุด และมี Common Lift 2 ชุด
- อัตราส่วน Private Lift สูงสุด = 98:1 (เนื่องจากชั้น 50 และ 51 เป็น Duplex)
- อัตราส่วน Lift โดยรวม = 69:1
- ข้อดี: ทิศเหนือของตึก B จะได้วิวที่สวยมาก และเย็น ไม่โดนแดดแรงๆ
- ข้อเสีย: อัตราส่วน Private Lift สูง เพราะมีจำนวนชั้นมาก อาจจะต้องรอลิฟท์นาน
- ตึก C มี 46 ชั้น ห้องหันไปทางทิศตะวันตกและตะวันออกเป็นหลัก ยกเว้นห้อง A8 ที่หันไปทางทิศใต้
- ความหนาแน่นสูงสุด 17 ห้องต่อชั้น
- ชั้นทั่วไปจะมีห้อง 1 Bedroom 14 ห้อง และ 2 Bedrooms 3 ห้องตามมุมตึก
- Private Lift ทั้งหมด 9 ชุด และมี Common Lift 2 ชุด
- อัตราส่วน Private Lift สูงสุด = 86:1 (เนื่องจากชั้น 45-46 เป็น Duplex)
- อัตราส่วน Lift โดยรวม = 65:1
- ห้อง B9 (แนวขวาล่าง) จัดเป็นห้องพิเศษ ที่มี Private Lift เปิดประตูฝั่งเดียว ไม่ต้องใช้แบ่งกับห้องข้างๆ
- ข้อดี: ทิศตะวันออกวิวโล่งมาก มองไปทางสุขุมวิท เหมาะสำหรับคนชอบวิวเมือง
- ข้อดี: ตั้งอยู่ด้านหน้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับตึก A และ B
- ข้อเสีย: Layout โดยรวมของตึกค่อนข้างแออัด ไม่มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามาบริเวณลิฟท์และทางเดินส่วนกลาง
- ข้อเสีย: ตึกนี้โดนแดดทั้งสองด้าน ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ทำให้ร้อนกว่าปกติ (แต่ฝั่งตะวันตกจะมีอาคาร Wave Place และ Sivatel บังแดดให้อยู่บ้าง)
- ข้อเสีย: อัตราส่วน Private Lift สูง เพราะมีจำนวนชั้นมาก อาจจะต้องรอลิฟท์นาน
Update ภาพบรรยากาศโครงการ 15/11/2018
หลังจากเมื่อสามปีก่อน ที่ผมเคยพาไปดูห้องตัวอย่างมาแล้วในรีวิวฉบับที่ 20 วันนี้สำนักงานขายเดิมก็โดนรื้อทิ้งไป ทางโครงการก็ต้องมาสร้างสำนักงานขายและห้องตัวอย่างใหม่ โดยย้ายมาอยู่ที่ตึกฝั่งตรงข้าม Park Venture ที่สามปีก่อนยังไม่เปิดทำการ แต่ในปัจจุบันกลายเป็นตึกสำนักงานชั้นยอด ที่พวกเราพาไปเก็บภาพวิวงามๆมาแล้วละครับ
ห้องตัวอย่างที่เราจะพาไปดูนั้นคือห้อง A3 แบบ 1 Bedroom ขนาดประมาณ 58 ตารางเมตร
การเดินทางเข้าห้องนั้นส่วนใหญ่จะเข้าจากทางลิฟท์ส่วนตัวที่สามารถเปิดได้สองด้าน โดยจะโผล่เข้ามาที่โถงลิฟท์ในห้องตัวเองเลยครับ โดยพื้นที่ตั้งแต่ปากประตูลิฟท์เข้าไปก็จะนับเป็นพื้นที่ขายทั้งสิ้น ระบุอยู่ในกรรมสิทธิ์ของเจ้าของห้องครับ
บางคนก็บอกว่าพื้นที่ในส่วนโถงลิฟท์นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์เอาเสียเลย ตารางเมตรละ 2 แสน เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม แต่บางคนก็ชอบในความเป็นส่วนตัวของมัน จะกดลิฟท์แล้วมานั่งใส่รองเท้ารอก็ยังทำได้
เนื่องจากมี Private Lift แล้ว ประตูห้องจึงถูกลดความสำคัญลง เหลือเป็นบานขาวๆปกติ ซึ่งเราก็คงไม่ได้ใช้เป็นทางเข้า-ออกหลังของบ้าน
เปิดเข้าไปแล้วจะเป็นโถงลิฟท์ที่เราเห็นเมื่อครู่ โดยบริเวณสุดโถงลิฟท์นั้นก็จะมีประตูอีกบาน กั้นระหว่างโถงลิฟท์กับห้องตัวเองตรงรอยต่อของพื้นนะครับ
บริเวณด้านหน้าโถงลิฟท์จะมีตู้อยู่ด้วย สามารถเก็บเครื่องซักผ้าประเภทฝาหน้าได้ แต่จะใช้งานยากนิดนึง … แนะนำว่าถ้าจะวางเครื่องซักผ้าจริงๆไม่ต้องทำหน้าบานจะดีกว่าครับ
ต่อมาเป็นตู้มาตรฐานที่ให้มาทุกห้อง เป็นตู้สองตอน ด้านบนเป็นหน้าบาน Hi Gloss ส่วนด้านล่างเป็นหน้าบานผิวลามิเนตลายไม้ ตรงกลางคั่นด้วยชั้นวางของหินธรรมชาติ มีการซ่อนไว้เด๊ะๆแบบนี้เลยครับ
ด้านล่างวางรองเท้าที่ใช้บ่อยๆ ส่วนด้านบนก็วางรองเท้าแบบใส่กล่องเก็บขึ้นไปเป็นชั้นๆได้อีก
เปิดประตูอีกบานผ่านเข้ามาในห้องนะครับ ตรงนี้พื้นก็จะเปลี่ยนเป็น Engineering Wood สีนี้ลายนี้ โดยมีเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐาน ยี่ห้อ SMEG หรือ เทียบเท่า
การออกแบบของ Noble Ploenchit จะใช้พื้นที่มาต่อเชื่อมกัน เอาส่วนของครัว โต๊ะทานข้าว และห้องนั่งเล่นเข้ามารวมกัน ทำให้พื้นที่ห้อง 58 ตารางเมตรนั้น ดูใหญ่ขึ้น กว่าที่ควรจะเป็น
ระบบแอร์ของที่นี่จะเป็นระบบฝังฝ้าโดยมีคอยล์ร้อนไปรวมกันอยู่ที่ส่วนกลาง ไม่ได้ไปวางอยู่ตามระเบียงต่างๆ เพิ่มความสวยงามให้กับตัวตึกภายนอก
ผนังที่เห็นนี้ในห้องจริงๆไม่มีชั้นวางของนะครับ เป็นผนังทึบเรียบไปเลย ต่างจากห้องตัวอย่างที่สร้างจำลองขึ้นมาเป็นชั้นใสๆเพิ่มมิติให้ดูกว้างขึ้นกว่าปกติ
ส่วนขนาดของพื้นที่โต๊ะกินข้าวนี้ สามารถวางโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวสัก 1.5 – 1.8 เมตร นั่งรับประทานอาหาร 4 คนได้สบายๆครับ
มองดูครัวฝั่งตรงข้ามอาจจะเล็กไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราคิดว่าห้องนี้เป็นห้องแบบ 1 Bedroom อยู่อาศัยไม่เกิน 2 คน ครัวขนาดนี้ก็พอใช้ได้นะครับ เพียงแต่จะทำอาหารหนักๆไม่ได้ เนื่องจากครัวเป็นครัวเปิด อยู่กลางห้องเลย ไม่มีทางระบายอากาศอื่นๆนอกจากห้องนั่งเล่นและประตูหน้าบ้าน พื้นที่ครัวจึงไม่ได้จัดมาให้ใหญ่แบบเน้นการทำอาหารเป็นหลักครับ
ชุดครัวให้มาทั้งชุดแบบนี้เลยนะครับ วัสดุพอใช้ได้ หน้าบานตู้ด้านบนเป็น Hi Gloss, ชั้นวางของเป็นหิน และบานตู้ด้านล่างเป็นลามิเนตลายไม้ เน้นสีขาว อุปกรณ์ที่ให้มามีด้วยกัน 5 ชิ้น คือ
- เตาไฟฟ้าเซรามิค 2 หัว
- เครื่องดูดควันไฟฟ้า
- อ่างล้างจานฝังใต้ท๊อปพร้อมก๊อกน้ำ
- เตาอบไมโครเวฟฝังในตู้
- ตู้เย็น Smeg ขนาด 9.22 คิวบิกฟุต
อ่างล้างจานขนาดเล็กไปหน่อยและไม่มีที่พักจาน ทำให้เราต้องหาที่พักจานมาเสริมเองด้วยนะครับ ซึ่งจะทำให้ที่วางของลดลงไปข้างหนึ่ง
เครื่องดูดควันระบบท่อ ดูดออกไปด้านนอก
บานตู้ทั้งหมดเป็นระบบ Soft Close
ตู้ที่ไม่มีมือจับก็จะใช้ระบบกด เปิด-ปิด ครับ
หน้าบานทั้งหมดเปิดได้ประมาณนี้ … ระบบไฟส่องสว่างก็จะซ่อนอยู่ด้านหลัง เป็น Indirect Light ให้แสงได้ดี ไม่แสบตา
ชั้นวางของสามชั้น เอาไว้ใส่อุปกรณ์เครื่องครัวและช้อนส้อม
ตู้เย็นรุ่นนี้สวยดีครับ มีพื้นที่ให้วางตู้ด้านบนด้วย แต่ว่าตัวตู้เย็นเองนั้นขนาดไม่ใหญ่เท่าไร ถ้าเป็นคนที่ชอบซื้อวัตถุดิบมาเก็บไว้เยอะๆสำหรับทำอาหารแล้ว ผมว่าเล็กไปนิดนึงละครับ
ต่อมาเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งทางผู้ออกแบบให้น้ำหนักสูงเหมือนกัน จัดพื้นที่ให้เป็นสัดเป็นส่วน เพียงพอสำหรับการวางโซฟายาว 3 เมตร และ Arm Chair อีกสองตัว
ระยะดูทีวีก็เหมาะสม สามารถวางจอขนาดใหญ่ยักษ์ได้ตามใจชอบ (ไม่ควรเกิน 60-70 นิ้ว)
ระยะต่างๆระหว่างโซฟา โต๊ะกลาง และผนัง ก็ทำออกมาได้ดี ทำให้มีพื้นที่เหลือ ดูไม่อึดอัด
ส่วนประตูบานเลื่อนเปิดออกไปยังระเบียงห้อง
เนื่องจากตึก Noble เพลินจิตนี้ ถูกสร้างมาให้มีระเบียงเป็น Cell เล็กๆ เพื่อความสวยงามภายนอกของตึก ทำให้ไม่มีระเบียงที่จะใช้งานจริงๆจังๆ นอกเสียจากว่าจะเป็นห้อง 3 Bedrooms ขึ้นไป หรือห้อง 3 Bedroom Combined ที่ทางโครงการทำพื้นที่ระเบียงเอาไว้ให้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้พื้นที่ระเบียงเท่านี้ ซึ่งเปิดเข้าออกได้สูงสุดเท่าที่เห็น การนำผ้าไปแขวนหรือไปตากคงจะเป็นไปไม่ได้ ต้องพึ่งพาเครื่องอบผ้า หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องตากผ้าในห้อง ซึ่งพื้น Engineering Wood ที่อยู่ในห้องก็ไม่ทนน้ำนะครับ เวลาโดนน้ำหยด มีความชื้นมากๆก็จะขึ้นราได้ ต้องระวังให้ดี
อย่างที่บอกเนื่องจากผนังถูกแบ่งเป็น Cell กั้นด้วยส่วนของเสาโครงสร้าง ทำให้ไม่สามารถทุบ ยุบระเบียงรวมกันได้ ส่วนที่ยื่นออกไปเล็กๆนี้ก็ต้องปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น หาทางใช้ประโยชน์จากมันจะดีกว่า เช่นการใส่ชั้นวางของและแจกันดอกไม้เข้าไป ลดความกระด้างของตัวห้องลง
ต่อมาเราเดินไปดูห้องนอนกันบ้างครับ ห้องนอนนี้แคบกว่าห้องนั่งเล่นนิดเดียว ปูพื้นด้วย Engineering Wood สีเดียวกัน และมีระเบียงเป็น Cell เล็กๆ สองชิ้นเหมือนกัน
ในห้องตัวอย่างปลายเตียงถูก Built-in เต็มด้วยตู้บานโปร่งแสง ซึ่งระยะผนังจริงๆแล้วคือระยะที่แขวนทีวี … เนื่องจากห้องนอนนี้ได้มาเป็นห้องเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์ เราก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบนะครับ
ความกว้างของเตียงนั้นออกแบบมาได้ดี สามารถวางเตียงได้ทั้ง King และ Queen Size คือ 5-6 ฟุตตามใจชอบ โดยจะยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลือให้วางตู้หัวเตียงอยู่ ถ้าเป็นเตียงใหญ่ก็ต้องใช้ตู้เล็กลงไปตามลำดับครับ
กลับมาที่ระเบียงห้อง กรอบวงกบใช้เป็นอลูมิเนียมสีดำ มีตัวซีลกันเสียงกันฝุ่นเรียบร้อย
แต่ขนาดของระเบียงก็ยังเล็ก น่าหดหู่เหมือนเดิม ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพของ “ระเบียง” ที่ควรจะใช้งานในชีวิตประจำวันกันครับ
ถัดจากเตียงก็จะเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้า ที่จะมีให้ 1 ชุดสำหรับทุกห้องนอน เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ทางโครงการเตรียมไว้ให้ โดยจะมีไฟส่องสว่างภายในเรียบร้อยแล้ว
ประตูห้องน้ำเป็นบานเลื่อน แบบซ่อนเข้าไปในผนัง ทำให้เปิดปิดได้โดยหน้าบานไม่มากระแทกกับบานตู้เสื้อผ้า ข้อเสียคือบานแบบนี้เวลาปิดมันจะปิดไม่สนิทเท่ากับประตูบานสวิง ทำให้ความชื้นจากห้องน้ำเข้ามาในห้องนอนได้ ซึ่งนานๆเข้าจะส่งผลไม่ดีต่อพื้น Engineering Wood
ห้องน้ำของ Noble Ploenchit นี้ใช้การตกแต่งสีเทาและสีเข้มเป็นหลัก ตัดกับห้องนอนที่เน้นสีขาว โทนสว่าง
ทางฝั่งซ้ายนี้มี Counter ท๊อปหินแกรนิตทั้งแผง โดยจะมีอ่างล้างหน้าวางอยู่ด้านบน ซึ่งห้องจริงจะมีตู้ไม้ด้านล่าง Built-in มาไว้สำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อน/นำ้อุ่น ด้วยครับ
ของจริงติดตั้งตู้ไม้ตรงนี้ให้
หน้าตาสุขภัณฑ์ดูพอใช้ได้ เป็นแบรนด์ KOHLER แต่เป็นดีไซน์เก่าหน่อยแล้ว (ก็แน่ละ โครงการเริ่มขายตั้งแต่ปี 2011)
ขนาดห้องอาบน้ำเล็กไปนิดนึงนะครับ อาบได้พอดีๆตัว เวลาเปิดปิดบานกระจกจะต้องระวังหน่อย
อุปกรณ์อาบน้ำ ฝักบัวและ Rain Shower ทำออกมาใช้ได้
อีกจุดหนึ่งที่น่าสังเกต คือห้องน้ำนี้ถูก Built-in เข้าไปด้วยตู้เสื้อผ้า
สุดท้ายเป็นเรื่องของตู้กระจก ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีนะครับ เป็นแผ่นกระจกติดผนังไป ไม่มีการทำตู้ยื่นๆออกมาแบบนี้
ต่อมาเราจะมาดูห้องตัวอย่างอีกห้องหนึ่ง เป็นห้อง Combined 2 Bedrooms ซึ่งเอาห้อง 1 Bedroom 2 ห้องมาเชื่อมติดกัน
ข้อดี
- ทางโครงการจะออกแบบให้และดำเนินการ Combined ให้ตั้งแต่ต้น
- ลูกบ้านจะได้สิทธิจอดรถ 2 สิทธิ์ เพราะเป็นการซื้อ 2 โฉนด ไม่ได้ซื้อห้องเดียว
- สามารถเลือกที่จะไม่เอา Built-in ครัว และแพคเกจเฟอร์นิเจอร์ได้ เพราะ Layout ห้องเปลี่ยนไป
ข้อเสีย
- แบบห้องที่ Combined แล้วจะค่อนข้างประหลาด มีความลงตัวน้อยกว่าห้องที่ออกแบบมาให้เป็น 2 Bedrooms แท้ๆ
- เสียค่าใช้จ่ายในการ Combined เพิ่มอีก 1 แสนบาท
- ถ้าจะขายต่อต้องขายทั้งคู่เพราะโครงสร้างของห้องเปลี่ยนไปหมดแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปรับโครงสร้างภายในห้องให้กลับมาเป็น 1 Bedroom 2 ห้องก่อน ซึ่งจะเป็นการเสียค่าใช้จ่ายอีกรอบหนึ่ง
ห้อง 2 Bedrooms Combined นี้อยู่ที่ Tower C ซึ่งเป็นการเอาห้องขนาด 45 ตารางเมตร 2 ห้องมารวมกัน ได้เป็นห้องขนาด 90 ตารางเมตร (ว่าเป็นตัวเลขกลมๆนะครับ)
สองห้องนี้อยู่ติดกัน ใช้ Private Lift ตัวเดียวกัน ทำให้เราสามารถออกฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาก็ได้ เป็นห้องของเราทั้งหมด ซึ่งเป็นการออกแบบที่ค่อนข้างเสียเปล่า … ถ้าจะรวมห้องจริงๆแล้วเราควรจะเอาโถงลิฟท์ออกไปอันหนึ่ง ปิดลิฟท์ไปด้านหนึ่งเลยแล้วใช้พื้นที่ผนังให้เต็มที่จะดีกว่า
ที่นี่ออกแบบให้ฝั่งนี้เป็นห้องนั่งเล่นนะครับ ซึ่งตัวห้องนั้นค่อนข้างเล็กทีเดียว เล็กกว่าห้อง 1 Bedroom ขนาด 60 ตารางเมตรเสียอีก เพราะเป็นการนำห้องนั่งเล่นของห้อง 1 Bedroom ขนาด 45 ตารางเมตรมาใช้เป็นห้องโถงหลัก
พื้นที่รับประทานอาหารจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นห้อง 2 Bedrooms
รวมถึงพื้นที่ครัวและทางเดินด้วย
แต่ห้องนั่งเล่นนั้นยังคงสัดส่วนเอาไว้พอใช้งานได้สำหรับห้อง 2 Bedrooms
การ Combined จะทำให้เกิดพื้นที่แปลกๆที่ไม่จำเป็น เช่นทางเดินยาวๆเพื่อเชื่อม 2 ห้องเข้าด้วยกันแบบนี้ เป็นพื้นที่ที่เสียประโยชน์ไปโดยเปล่า
ห้องน้ำมีด้วยกันทั้งหมด 2 ห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก สำหรับห้องนั่งเล่นและห้องนอนเล็ก
ห้องนอนเล็กขนาดไม่กว้างเท่าไร เพราะถูกตัดพื้นที่ไปทำทางเดินเชื่อมระหว่างสองห้อง
พอโครงการแต่งแบบนี้เลยไม่มีพื้นที่วางตู้เสื้อผ้า ซึ่งจริงๆแล้วใช้ตู้ข้างทีวีทำเป็นตู้เสื้อผ้าได้นะครับ แต่ห้องนอนเล็กก็ยังอึดอัดเพราะใส่เตียงขนาดใหญ่เกินไป ห้องเท่านี้ควรจะวางเตียง 3.5 ฟุตก็พอครับ
พอเดินทะลุมาถึงห้องนอนใหญ่ ซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องอีกห้องที่นำมา Combined ไป
ห้องนอนใหญ่จึงมีพื้นที่เหลือเฟือ ต่างจากห้องนอนเล็กมาก
ห้องน้ำในห้องนอน ฟังก์ชั่นดี ใช้งานได้ตามปกติ
พอนำส่วนอาบน้ำไปวางชิดมุมแล้วก็ได้พื้นที่อาบน้ำที่ใหญ่ขึ้น เป็นสัดส่วนมากขึ้น ดีกว่าห้องอาบน้ำของห้อง 58 ตารางเมตรเสียอีก
พื้นที่ของห้องนอนใหญ่เหลือเยอะมาก เลยใส่ตู้รวมๆกันเข้าไปได้ 4 บาน
วางตู้เรียงราย ซื้อเสื้อผ้ามาใส่ได้จุใจละครับ
แต่ทั้งนี้ผมว่าห้อง Combined Layout แบบที่เห็นนี้ไม่ Work เท่าไร … ซึ่งทาง Noble Development ก็คงจะรู้ตัว เลยออกแบบห้อง Combined ขึ้นมาใหม่เป็นแปลนด้านล่างครับ
ห้องนี้ถูกออกแบบให้ดีกว่าเดิมมาก อย่างน้อยๆก็ 6 ประเด็น ดังนี้
- ใช้โถงลิฟท์เพียงด้านเดียว ปิดอีกด้านไปทำให้ใช้งานพื้นที่ได้ดีขึ้น
- โต๊ะทานข้าววางอยู่ในจุดที่เหมาะสมขึ้น ไม่ต้องไปวางชิดผนัง
- ได้ครัวตัว L ที่ใหญ่ขึ้น
- ห้องนั่งเล่นวางอยู่ตรงกลาง เชื่อมระหว่างห้องนอนเล็กและห้องนอนใหญ่
- ห้องน้ำและห้องนอนเล็กอยู่เป็นสัดส่วนมากขึ้น
- ไม่เสียพื้นที่ทางเดินมากเหมือน Layout เดิม
สุดท้ายถ้าใครต้องการพื้นที่ระเบียง ก็ต้องดูห้อง 3 Bedrooms Combined นะครับ ซึ่งเป็นห้องทางเลือกใหม่ที่ทางโครงการจะสามารถจัดพื้นที่ระเบียงกว้างๆให้เราได้ โดยพื้นที่ระเบียงเอามาจากการร่นพื้นที่ห้องนั่งเล่นและห้องอาหารเข้ามาด้านใน สร้าง Outdoor Space ให้มากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใหญ่ๆ แบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เป็นสัดเป็นส่วน ใช้งานแทนบ้านหลังหนึ่งได้เลย … แต่ราคาก็พุ่งสูงขึ้นไปด้วยละครับ อย่างห้องนี้ขนาดราวๆ 144 ตารางเมตร หากคิดที่ตารางเมตรละ 2 แสนบาท ก็ต้องมีเฉียดๆ 30 ล้านล่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 2 June 2014
- 1 Bedroom เริ่มต้นที่ 183,000 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 225,000 บาทต่อตารางเมตร
- เฉลี่ยประมาณ 10.125 ล้านบาท สำหรับห้องขนาด 45 ตารางเมตร
- 2 Bedrooms เริ่มต้นที่ 189,000 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 231,000 บาทต่อตารางเมตร
- เฉลี่ยประมาณ 16.1 ล้านบาท สำหรับห้องขนาด 70 ตารางเมตร
- 2 Bedrooms Combined เริ่มต้นที่ 196,000 บาทต่อตารางเมตร เฉลี่ย 226,000 บาทต่อตารางเมตร
- เฉลี่ยประมาณ 20.34 ล้านบาท สำหรับห้อง 2 Bedrooms Combined ขนาด 90 ตารางเมตร
- Fully Fitted / Standard Room (Combined)
- เพดานสูง 2.65 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- ค่ากองทุน 600 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 60 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
จัดงานวันที่ 4-6 ก.ค. นี้ ณ สยามพารากอน ชั้น 1 Fashion Gallery รับข้อเสนอพิเศษสูงสุด 1 ล้านบาท และผ่อนดาวน์เริ่มต่ำกว่า 1 แสนบาท *เฉพาะในงานนี้ ราคาเริ่ม 8.6 ล้านบาท
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตครับ
เจาะลึกรวบยอด
เริ่มกันด้วยเรื่องราคาก่อนเลยนะครับ โครงการ Noble เพลินจิต ปรับราคาจากเมื่อปี 2011 พอสมควร สำหรับห้อง 1 Bedroom ได้ปรับราคาเริ่มต้นจากที่ 169,000 บาทต่อตารางเมตร มาเป็น 183,000 บาทต่อตารางเมตร และมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 225,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นคอนโดมิเนียม Mass Product ที่มีราคาสูงเป็นอันดับต้นๆของประเทศเราเลย
ทำเลของ Noble เพลินจิตนั้นอยู่ใจกลางเมือง เรียกว่าเป็นบริเวณแก่นของกรุงเทพมหานครเลยก็ว่าได้ ถนนเพลินจิตเชื่อมศูนย์กลางการ Shopping บริเวณราชประสงค์เข้ามาสู่ถนนสุขุมวิทซึ่งเป็นเขตธุรกิจที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยรอบโครงการล้วนเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม และห้างสรรพสินค้าทั้งสิ้น ไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมโครงการไหนที่ติดถนนใหญ่เพลินจิตเหมือนกับ Noble เพลินจิตอีก จะมีติดถนนใหญ่อีกทีก็เป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงอย่างถนนวิทยุเพียงไม่กี่โครงการ ดังนั้นด้วยตัวเนื้อทำเลจริงๆจัดว่าเหมาะสมแล้วที่ทางโนเบิลนำมาพัฒนาเป็นโครงการ High End ระดับราคา 2 แสนบาทต่อตารางเมตร
สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์นั้น เรามองว่าเป็นจุดบกพร่องทางทำเลของ Noble เพลินจิต ไม่ใช่เพราะที่ดินตั้งอยู่ในตำแหน่งไม่ดี แต่เป็นเพราะกฎการจราจรเฉพาะตัวในบริเวณนี้ ที่มีข้อห้ามหลายอย่างดังที่ได้รีวิวไปแล้วเบื้องต้น ทำให้การเดินทางจากบางเส้นทางมาที่ตัวโครงการนั้นไม่สะดวกเท่าที่ควร และการเดินทางจากตัวโครงการออกไปบางเส้นทางก็ไม่สะดวกเท่าที่ควรเช่นกัน บนถนนเพลินจิตฝั่งเหนือที่เป็นที่ตั้งของโครงการนี้ ในบางเวลาโดยเฉพาะช่วงเย็นๆก็จะประสบปัญหาการจราจรอย่างหนัก เพราะรถยนต์จากทุกสารทิศจะใช้เป็นทางผ่านจากทางด่วนเพื่อไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังต่างๆ ตั้งแต่ Central Embassy, Central Chidlom, Central World, Gaysorn, Siam Paragon, Siam Square ฯลฯ … แม้ว่าโครงการนี้จะมีทางเข้าออก 2 ทาง ทั้งจากถนนใหญ่และซอยนายเลิศ แต่ถ้าใครเคยเลี้ยวเข้าซอยนายเลิศก็จะรู้ดีว่าซอยนี้รถติดมากกว่าถนนเพลินจิตเสียอีก เพราะรถส่วนใหญ่จากถนนวิทยุ หรือรถที่วิ่งสวนมาจากฝั่งชิดลมแล้วไปขึ้นทางด่วนในช่วงเวลาเย็น จะต้องมาวิ่งผ่านซอยนายเลิศทั้งหมด และจะต้องไปติดคอขวดที่ปากซอยฝั่งเพลินจิตบริเวณด่านเก็บเงิน … ซึ่งโชคดีที่ทางเข้าโครงการด้านหลังของ Noble นั้นอยู่ค่อนข้างห่างจากปากซอยฝั่งเพลินจิต ทำให้สามารถเลี้ยวเข้าโครงการก่อนเลี่ยงรถติดได้ครับ
ที่จอดรถของโครงการ Noble เพลินจิตนั้นจัดมาให้ประมาณ 70% หรือ 1,000 คัน เทียบกับยูนิตพักอาศัย 1,444 ยูนิต หากมองว่าโครงการนี้เหมือนๆกับคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าโครงการอื่นๆก็คงจะไม่คิดอะไรมาก เพราะ 70% เป็นตัวเลขที่รับได้ แต่ถ้าเรามองว่าห้องแต่ละห้องของ Noble เพลินจิตนั้นมีราคาสูงถึง 7-8 ล้านบาทขึ้นไป เจ้าของห้องแต่ละคนที่มาอยู่อาศัยจริงๆล้วนมีรถยนต์ส่วนบุคคลด้วยกันทั้งสิ้น ถึงแม้จะใช้รถไฟฟ้าเดินทางก็ยังต้องทิ้งรถไว้ที่คอนโด ไม่นับรวมห้องแบบ 2 ห้องนอน, 3 ห้องนอน, Penthouse หรือ Duplex ซึ่งน่าจะมีรถยนต์มากกว่า 1 คัน ดังนั้นหากเราคิดในกรณีที่มีผู้อยู่อาศัยครบ 100% ก็อาจจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถได้ ซึ่งในจุดนี้หากมองอีกมุมหนึ่ง โครงการที่มีราคาสูงเกิน 200,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนใหญ่จะทำที่จอดรถให้ 100% หรือมากกว่า ทำให้เรามองว่าที่จอดรถของคอนโดระดับนี้ควรจะมีมากกว่านี้ครับ … แต่อีกมุมหนึ่งเราก็สามารถมองได้เช่นกัน ที่ว่า Noble เพลินจิตเป็นคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ผู้ซื้อส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนปล่อยเช่า ที่ไม่ได้มาอยู่เองแต่เน้นให้ชาวต่างชาติเช่าพักเป็นหลัก ซึ่งก็มีอยู่เป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญที่มาช่วยลดความต้องการที่จอดรถลงให้อยู่ในระดับเพียงพอได้ครับ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์นั้นจัดว่าสะดวกมาก เพราะมีรถไฟฟ้าเชื่อมเข้ามาที่โครงการเลย แม้ว่าจะต้องเดินผ่านอาคารสำนักงาน Tower D ก็ตาม ก็ยังดีกว่าเดินบนถนนทั่วไปมาก แต่ด้วยพื้นที่โครงการที่ใหญ่ถึง 9 ไร่ ตึก A ด้านหลังนั้นก็จะเดินไกลอยู่ เมื่อเทียบกับตึก C ด้านหน้า ที่เดินไปรถไฟฟ้าสะดวกกว่ากันมาก ตรงนี้ก็ต้องคำนึงถึงด้วยเวลาเลือกห้องนะครับ … นอกจากนี้ถ้าจะไปห้างสรรพสินค้าต่างๆ โรงแรม หรือแม้แต่ออฟฟิศบางบริษัท เราจะเลือกที่จะไม่ใช้รถไฟฟ้าเลยก็ได้ เพราะโครงการเชื่อมเข้า Sky Walk เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Park Venture, Dean & Deluca, Central Embassy และ Central ชิดลม ที่อยู่ในรัศมีระยะใกล้ครับ
การออกแบบโครงการของ Noble เพลินจิตนั้นเรียกว่าจัดพื้นที่มาค่อนข้างแน่นเลย เป็นครั้งแรกที่เราเห็นคอนโดตารางเมตรละ 2 แสนบาท มีจำนวนยูนิตสูงเฉียด 1,500 ยูนิตในโครงการเดียวกัน และเลือกที่จะใช้ Private Lift ทุกยูนิต ซึ่งจัดเป็นความโดดเด่นเมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ แต่การออกแบบห้องให้ได้ Efficiency สูงๆในแพคเกจไม่ใหญ่เกินไปก็ต้องซอยห้องเล็กและเป็นห้องแคบ+ลึก ทำให้ Layout ของห้อง 45 ตารางเมตรนั้นดูอึดอัดไป แต่จะอยู่สบายสำหรับห้องขนาด 60 ตารางเมตร ซึ่งมี Layout ลงตัวกว่าแบบ 45 ตารางเมตรมาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต่างกันประมาณ 3 ล้านบาทนะครับ ส่วนการออกแบบห้องนั้นโดยรวมไม่ได้ติดอะไรมาก ยกเว้นเรื่องของฝ้าเพดานที่ 2.65 เมตร ซึ่งเตี้ยไปหน่อยและระเบียงขนาดจิ๋วที่ใช้งานไม่ค่อยได้
เรื่องสาธารณูปโภคกล่าวไปแล้วในเรื่องของที่จอดรถและ Private Lift … ส่วนสำหรับเรื่องสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สตีม สนามบาส ฯลฯ ทางโครงการจัดไปรวมกันไว้ที่ตึก A ซึ่งอยู่ท้ายสุดของโครงการ ทำให้การใช้งานของลูกบ้านตึก B และตึก C ทำได้ลำบาก แต่โดยรวมแล้วขนาดของสาธารณูปโภคแต่ละอย่างนั้นมีขนาดใหญ่ เช่นสระว่ายน้ำยาว 45 เมตร ซึ่งรองรับการใช้งานได้ดีระดับหนึ่งครับ … จุดเด่นที่ควรกล่าวถึงคือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งจัดมาถึง 2 สวนด้วยกัน หนึ่งนั้นเป็น Water Garden ที่ด้านหลัง และอีกแห่งหนึ่งเป็นสวนพร้อมทางเดินเชื่อมจากรถไฟฟ้า
สุดท้ายคงจะเป็นเรื่องอาคารสำนักงาน Tower D ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลออกมาแล้วเป็นอาคารสูง 4 ชั้น มีโซนจอดรถของตัวเอง 50 คัน ไม่นำมาปนกับที่จอดรถของลูกบ้าน เป็นอาคารที่มีทางเชื่อมตรงเข้าสู่ Skywalk แต่ยังขาดข้อมูลในเรื่องของการจัดการอาคารนี้ ทั้งเรื่องการบริหาร การตั้งราคาค่าเช่า ใครจะเป็นผู้เช่าและจะมีการดูแลกันอย่างไร ตรงนี้ต้องรอความชัดเจน ซึ่งอย่างน้อยๆก็น่าจะเป็นช่วงหลังจากที่โครงการสร้างเสร็จในปี 2560 … ซึ่งเราคาดว่าจะไปเยี่ยมชมและทำรีวิว Noble เพลินจิตอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้งหนึ่งครับ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคา 200,000 บาทต่อตารางเมตร, 2 June 2014
- ทำเล 9/10 – ติดถนนใหญ่เพลินจิต ใจกลางกรุงเทพมหานคร
- เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – การจราจรแถวนี้มีกฎแปลกๆ และมีปัญหารถติดค่อนข้างมาก
- ไม่ใช้รถ 9.5/10 – รถไฟฟ้าจ่อเข้าโครงการเดินทางสะดวกสบายมาก ยกเว้นลูกบ้านตึก A จะต้องเดินไกลกว่าปกติหน่อย
- วัสดุ 7/10 – Fully Fitted มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานของห้อง สุขภัณฑ์ Kohler แต่ไม่มี Digital Doorlock
- แบบ 6.5/10 – ดูอึดอัดไปหน่อยสำหรับโครงการราคาระดับนี้, ระยะฝ้าเพดานควรจะสูงกว่า 2.65 เมตร, ระเบียงใช้งานไม่ค่อยได้
- สาธารณูปโภค 8/10 – Private Lift ทุกยูนิต, ที่จอดรถ 70%, สวนขนาดใหญ่ 2 แห่ง แต่ส่วนกลางหลักๆไปกองอยู่ที่ตึก A
- LUXURY CLASS
- 8.20 / 10.00
BOTTOM LINE
Noble เพลินจิต เหมาะสำหรับคนที่มีงบรวมค่าตกแต่งห้องราวๆ 10 ล้านบาทขึ้นไป ต้องการคอนโดใจกลางเมืองใกล้ศูนย์กลางกรุงเทพมหานคร ที่เน้นทำเลเป็นหลัก เดินทางสะดวกโดยไม่ต้องใช้รถยนต์
ขอบคุณที่ช่วยติดตามผลงานมาโดยตลอดนะครับ