ก่อนอื่นเราขอพูดถึง … ความสำคัญของกระจกก่อน ตัวกระจกเองมีหน้าที่ให้แสงผ่านเข้ามาภายในได้ ข้อดีคือเป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายนอกและภายในบ้านเข้าด้วยกัน ส่งผลให้พื้นที่ภายในบ้านโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะมีใช้ทั้งภายในและภายนอก สำหรับภายในสามารถใช้กระจกธรรมดาได้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวน แต่กระจกที่ใช้ภายนอกจำเป็นต้องใช้ประเภทที่สามารถทนความร้อนได้ดี เนื่องจากประเทศไทยมีอากาศร้อนเกือบทั้งปี โดยเฉพาะเดือนเมษายน – พฤษภาคม ถือว่าเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดในรอบปี มีอุณหภูมิสูงถึง 45 องศา ดังนั้นกระจกจึงถูกพัฒนาให้มีหลากหลายชนิดเพื่อให้ตอบโจทย์ในการใช้งานในแต่ละพื้นที่

วันนี้เราเลือกมาให้ทำความรู้จักกันประมาณ 4 ชนิดที่สามารถช่วยลดความร้อนได้ และนวัตกรรมชนิดใหม่ ที่ถูกพัฒนาเข้าไปในตัวกระจก เช่น Smart-Tinting Glass เป็นกระจกที่ปรับเฉดสีได้ตามต้องการ เรียกได้ว่าเป็นฟังก์ชันเสริมสำหรับคนรักเทคโนโลยี และชอบความหลากหลายในการอยู่อาศัย เพื่อให้ที่อยู่อาศัยไม่น่าเบื่อ และสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมว่าคืออะไร !? ไปทำความรู้จักกันเลยนะคะ > <

เครดิตภาพจาก Website : http://www.johnsonwindowfilms.com

”กระจก” เป็นวัสดุที่ผลิตมาจากวัตถุดิบหลักๆ คือ ทรายแก้ว (Silica sand) ในสัดส่วนประมาณ 70% และนำมาผสมกับส่วนประกอบอื่นๆอีก 30% เช่น โซดาแอซ, แร่ธาตุจำพวกหินปูน, ผงคาร์บอน ผงเหล็ก, โซเดียมซัลเฟตและสารเคมีอื่นๆ เราไปดูขั้นตอนการผลิตกระจกกันเลยค่ะ

  • เริ่มจาก … นำวัตถุที่กล่าวมานั้นมาผสมกันให้เข้าที่ด้วยอุณหภูมิสูงถึง 1,600 องศาเซลเซียส
  • จนวัตถุดิบละลายจนเป็นของเหลว เรียกของเหลวนี้ว่า “น้ำแก้ว”
  • หลังจากนั้นจึงนำไปสู่กระบวนการขึ้นรูป โดยเราจะใช้น้ำดีบุกเพื่อให้กระจกเรียบ
  • สุดท้าย เราก็ปรับอุณหภูมิให้ลดลงจนเหลือประมาณ 100 องศาเซลเซียส เพื่อให้น้ำแก้วแข็งตัว จนเป็นกระจกทั่วไป

ขั้นตอนข้างต้นเป็นวิธีผลิต กระจกโฟลต (Annealed Glass) ซึ่งในกระจกแต่ละประเภทก็จะมีเทคนิคต่างๆ ที่ทำให้เกิดคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป

เครดิตภาพจาก Website : https://krajok.com/tintedglass/

 “กระจกตัดแสง” Tinted Glass เป็นกระจกที่มีวิธีการผลิตเหมือนกระจกโฟลตใส (Annealed Glass) แต่จะเพิ่มเติมคือมีการผสมออกไซด์ของโลหะบางประเภทลงในเนื้อกระจก ทำให้กระจกชนิดนี้จึงมีสีสันให้เลือกหลากหลาย แต่ที่นิยมใช้กันจะมีประมาณ 3 สี ได้แก่ สีชา (Euro Grey tinted glass) สีเขียว (Green Tinted Glass) และสีฟ้า ซึ่งกระจกชนิดนี้จะอมความร้อนไว้ที่กระจก ทำให้ช่วยลดแสงแดดที่จะส่องเข้ามาภายในได้ระดับนึง ซึ่งเป็นชนิดที่ใช้มากที่สุดในประเภทที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโด เนื่องจากมีราคาสูงกว่ากระจกโฟลตประมาณ 10-20% ในขณะที่ช่วยลดแสง UV ได้ดีกว่า

ข้อดี

  • ช่วยลดแสง UV มากกว่ากระจกโฟลสประมาณ 40-50%
  • ช่วยลดความสว่างของแสง ทำให้ได้แสงที่นุ่มนวลสบายตา
  • ช่วยประหยัดพลังงานของระบบปรับอากาศภายในได้

ข้อเสีย

  • ผิวกระจกสะสมความร้อน ทำให้ความร้อนจากผิวกระจกแผ่เข้ามาในอาคาร
  • ในกรณีที่กระจกโดนแดดไม่เท่ากัน มีฝั่งไหนโดนแดดมากกว่า ส่งผลให้อุณหภูมิภายในกระจกแตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้กระจกแตกได้ง่าย
  • ไม่ทนต่อรอยขูดขีด

ภาพจากโครงการ รังสิต-ซอยเวิร์คพอยท์ จาก พฤกษา นิยมเอามาใช้บริเวณประตูหน้าต่าง เนื่องจากกระจกจะมีหน้าที่ช่วยลดแสงสะท้อนและป้องกันความร้อนได้ โดยเวลาเปิดเครื่องปรับอากาศจะช่วยให้เย็นเร็วกว่าปกติ ประหยัดพลังงานได้อีกทางค่ะ

เครดิตภาพจาก Website : http://www.srithipclassic.com

“กระจกลามิเนต” (Laminated) เป็นกระจกนิรภัยหลายชั้น ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด โดยวิธีการคือ นำกระจกโฟลต (Annealed Glass) หรือกระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass) 2 ชิ้นมาประกัน โดยตรงกลางจะมี PVB (Polyvinyl Butyral) ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มที่มีความใสให้การยึดเกาะกับกระจกอย่างดีเยี่ยม เปรียบเสมือนกาวดีๆนี้เอง หลังจากประกบแล้วเราจะนำไปผ่านความร้อน เพื่อให้เนื้อฟิล์มอ่อนตัวลง สุดท้ายก็ปล่อยให้กระจกเย็นตัวลง และสามารถนำไปใช้งานได้

ข้อดี

  • ช่วยป้องกันเสียงภายนอก และเก็บเสียงได้ดีกว่ากระจกทั่วไป ยิ่งซ้อนกันหลายชั้นยิ่งดีนะคะ
  • ช่วยป้องกันแสง UV ได้มากถึง 90%
  • เมื่อกระจกแตกกระจกจะไม่ร่วงหล่นลงมา เนื่องจากมีแผ่นฟิล์มที่ช่วยยึดตรึงกระจกไว้ก่อนตกลงไปด้านล่าง ซึ่งลดอันตรายได้มากขึ้น
  • ส่วนสีจะขึ้นอยู่กับแผ่นฟิมล์ ทำให้สามารเลือดสีได้ตามความต้องการ
  • ทนต่อแรงดันในที่สูงได้ดี

ข้อเสีย

  • กระจกนิรภัยลามิเนตจะรับแรงกระแทกได้น้อยกว่ากระจกธรรมดา (ในความหนาที่เท่ากัน)
  • ฟิล์ม PVB มีคุณสมบัติดูดความชื้น ในกรณีที่มีความชื้นสูงจะทำให้การยึดเกาะไม่ดี และอาจเกิดการแยกตัวออกจากกันได้

ภาพจากโครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok จาก Nirvana Daii ออกแบบโดยใช้กระจกลามิเนตซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งกระจกชนิดนี้มีคุณสมบัติที่กันเสียงได้ดี เนื่องจากโครงการอยู่ติดแม่น้ำห่างแม่น้ำเพียง 16 เมตร ทำให้อาจจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามาภายในห้องได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความร้อนภายนอกได้อีกด้วย

เเครดิตภาพจาก Website : https://www.visionglass.net

“กระจกแผ่รังสีต่ำ” (Low-E Glass) หรือ กระจก Low-E จะมีการเคลือบผิวกระจกด้วยสารเงิน (Silver) บางๆ โดยสารที่เคลือบกระจกได้รับการออกแบบให้สะท้อนพลังงานความร้อนออกไปได้มาก แต่ยังคงให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้มากเช่นกัน ลักษณะเป็นชั้นฟิล์มบางๆ เคลือบทับอยู่บนผิวกระจก ซึ่งส่งผลให้มีรอยขูดขีดได้ง่าย หรือถ้ามีฝุ่นจับประสิทธิภาพการสะท้อนความร้อนก็จะลดลง  ดังนั้น ก็เลยต้องหากระจกมาซ้อนหรือปิดทับแผ่นฟิล์มอีกชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงนำไปใช้งาน ส่วนใหญ่ก็จะใช้กับ Insulated Glass Unit จะยิ่งทำให้กระจกมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“กระจกอินซูเลต” (Insulated Glass) เป็นฉนวนกันความร้อน กระจกชนิดนี้มีลักษณะเป็นกระจก 2 แผ่น  (แผ่นที่หันออกนอกอาคารนิยมใช้กระจก Low-E ส่วนกระจกด้านที่อยู่ภายในตัวอาคารใช้เป็นกระจกใสธรรมดา) ที่มีช่องว่างตรงกลางโดยบริเวณนั้นจะเป็นอากาศแห้ง หรือก๊าซเฉื่อย ที่ช่วยกั้นไม่ให้ความร้อนถ่ายเทพลังงานกันได้ ทำให้เก็บรักษาอุณหภูมิภายในได้ดี ดังนั้นในทางกลับกันถ้าใช้ในห้องที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ความร้อนภายในห้องก็ไม่สามารถออกสู่ภายนอกได้เช่นกัน เหมาะกับบ้านหรือคอนโดที่มีเสียงดังมากๆ เช่น ใกล้สนามบิน ทางด่วน ทางรถไฟ และแม่น้ำ เป็นต้น

ข้อดี

  • กระจก Low E ดูเป็นธรรมชาติมากกว่ากระจก Reflective Glass
  • กันแสง UV ได้มากถึง 95-95% ถือเป็นกระจกที่ดีที่สุด
  • เนื้อกระจกโปร่งแสงน้อยลง แสงที่ส่องผ่านผิวเคลือบลงมาจึงนุ่มสบายตากว่า
  • ช่วยประหยัดค่าใช้ไฟฟ้าได้ดี
  • ถ่ายเทความร้อนได้ดีช่วยลดปัญหากระจกแตกร้าว
  • เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว กันเสียงได้ดี
  • ไม่เกิดฝ้าหรือหยดน้ำติดที่ผิวกระจกเมื่ออุณหภูมิภายในและภายนอกห้องต่างหันมากๆ

ข้อเสีย

  • สารเงิน (Ag) เป็นสารที่ไม่ทนต่อสภาวะอากาศและใช้ไปนานๆจะเป็นคราบสนิมดำๆเกิดขึ้น บนกระจกได้ ดังนั้นไม่ควรให้มีอากาศรั้วซึมเข้าไปด้านใน
  • ราคาสูงกว่ากระจกทั่วไปประมาณ 4-6 เท่า
  • ลดความร้อนได้น้อยกว่า Reflective Glass ที่นิยมใช้ในออฟฟิศ
  • ราคาสูงกว่ากระจกโฟลต (Annealed Glass) 10 เท่า

ภาพจากโครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท จาก MQDC ออกแบบโดยใช้กระจก Low E ทั้งหมด เนื่องจากต้องการช่วยประหยัดพลังงานให้ผู้อาศัย โดยคุณสมบัติของกระจกจะเหมือนฉนวนกันความร้อน ให้ค่าในการสะท้อนความร้อน และการถ่ายเทความร้อนที่ต่ำ รวมถึงยังสามารถเก็บเสียงได้ดี และนำไปดัดโค้งได้อีกด้วย

เครดิตภาพจาก Website : https://www.glassform.co.th

กระจกนี้เนื่องจากต้องมีเฟรมอะลูมิเนียม ทำให้มีความหนามากกว่าปกติ นอกจากนี้กระจกยังช่วยป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก และป้องกันเสียงได้ดีพอสมควร ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

เครดิตภาพจาก Website : http://www.srithipclassic.com

ถัดมาที่ “กระจกเทมเปอร์” (Tempered Glass) กระจกนิรภัย โดยวิธีการเอากระจกโฟลต (Annealed Glass) มาอัดแรงด้วยความร้อนอีกรอบประมาณ 650 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นต้องทำให้กระจกเกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ผลของความแตกต่างของอุณหภูมิทำให้เกิดชั้นกระจกระหว่างผิวภายนอกกับส่วนกลางของแผ่นกระจกหลอมรวมกัน วิธีการสังเกตจะมีชื่อ Tempered Glass ติดที่กระจกไม่สามารถลบออกได้

ข้อดี

  • แข็งแรงมากกว่ากระจกธรรมดาถึง 4 เท่า ทำให้สามารถรับแรงกระแทก แรงกด แรงบีบ ได้ดี
  • สามารถรับแรงอัดและทนต่อความร้อนได้ดี
  • กระจกจะแตกเป็นเม็ดข้าวโพดทั่วทั้งแผ่น ไม่เป็นปากฉลามแบบเดียวกันการแตกของกระจกธรรมดา

ข้อเสีย

  • ก่อนผ่านกระบวนการทำกระจก ต้องวัดขนาดที่ต้องการให้ได้ก่อน เพราะกระจกเทมเปอร์จะไม่สามารถเจาะหรือตัดได้
  • กรณีที่กระจกแตกจะร่วงลงมากองที่พื้นทันที เนื่องจากกระจกแตกตัวเป็นเม็ดข้าวโพด

ภาพจากโครงการ Whizdom อโศก-สุขุมวิท จาก MQDC กระจกเทมเปอร์ส่วนมากนิยมใช้เป็นฉากกั้นอาบน้ำ เพราะเวลาแตกจะเป็นเม็ดข้าวโพด ทำให้ไม่อันตรายเหมือนกระจกโฟลตทั่วไปที่แตกเป็นปากฉลามแหลมๆนะคะ

เครดิตภาพจาก Website : http://www.srithipclassic.com

 “กระจกฮีทสเตร็งเท่น ” (Heat Strengthen Glass) เป็นกระจกกึ่งนิรภัย มีกระบวนการคล้ายกับเทมเปอร์ คือการนำเอากระจกโฟลต (Annealed Glass) มาอบโดยใช้ความร้อนประมาณ 650 องศาเซลเซียส แต่กระบวนการทำให้กระจกเย็นลง จะทำแบบช้าๆด้วยการเป่าลมที่ผิวกระจกทั้ง 2 ด้าน วิธีการสังเกตจะมีชื่อ Heat Strengthen Glass ติดที่กระจกไม่สามารถลบออกได้

ข้อดี

  • แข็งแรงมากกว่ากระจกธรรมดาถึง 2 เท่า ทำให้สามารถรับแรงกระแทก แรงกด แรงบีบ ได้ดี
  • สามารถรับแรงอัดและทนต่อความร้อนได้ดี
  • เมื่อแตกแล้วจะมีรอยร้าวยึดติดกับกรอบ ไม่ร่วงหล่นเหมือนกระจกเทมเปอร์

ข้อเสีย

  • ไม่สามารถ ตัด เจีย เจาะ บาก ได้ เหมือนกับกระจกเทมเปอร์เลย
  • กระจกฮีทสเตร็งเท่น ไม่สามารถทดแทนกระจกเทมเปอร์ได้ เนื่องจากรับแรงกระแทกได้น้อยกว่า
  • ในกรณีแตกจะเป็นลักษณะปากฉลามแบบเดียวกับกระจกโฟลต ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้

เครดิตภาพจาก Website : https://www.scgbuildingmaterials.com

นิยมใช้ในงานสถาปัตยกรรมประเภท Curtain Wall Glass, หลังคากระจก Skylight Glass หรือพื้นกระจก เนื่องจากในกรณีแตกหรือร้าวจะยึดติดกับตัวฟิมล์กระจก

Curtain Wall System เป็นระบบผนังอาคารที่รองรับกำลังน้ำหนักบรรทุกที่ตายตัวของตัวเอง โดยยึดหรือแขวนกระจกเข้ากับโครงสร้างของอาคารบริเวณหน้าคาน สันของแผ่นพื้น หรือสันของแผ่นพื้นไร้คาน โดยจะติดตั้งแผ่นกระจกเข้ากับโครงเหล็ก หรือ อะลูมิเนียม ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่เห็นโครงในแนวตั้ง-นอนทั้งภายใน และภายนอกอาคาร


ถัดมาเรามาทำความรู้จักกับนวัตกรรมใหม่ของ AGC ที่มาเปิดตัวในงานสถาปนิก 62 กันดูบ้างกับนวัตกรรม Smart-Tinting Glass System จาก Halio เป็นกระจกที่สามารถปรับเฉดสีให้แตกต่างกันได้ในแต่ละแผ่น ซึ่งส่วนใหญ่บ้านจะนิยมใช้วิธีป้องกันความร้อนเบื้องต้น คือ ใช้ม่านบังแดด เพื่อกันแสงแดดในตอนกลางวัน แต่ปัจจุบันกระจกได้ถูกพัฒนาให้สามารถทำหน้าที่ของม่านได้แล้ว โดยสามารถลดแสงแดดที่จ้ามากๆได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าติดตั้งกระจกทางทิศตะวันตก หน้าต่างของบ้านในทิศนี้จะร้อนเป็นพิเศษช่วงบ่ายๆ เราก็สามารถปรับความเข้มของกระจก ให้สีของกระจกเข้มขึ้น ช่วยกรองแสงและลดแสงแดดที่จะเข้ามาภายในได้ หรือถ้าภายในบ้านมีห้องที่อยากทำเป็นส่วนตัวบางเวลา แต่ยังสามารถมองวิวทิวทัศน์ได้อยู่ ก็สามารถปรับความเข้มของสีกระจกเพื่อหลบสายตาจากภายนอกได้เช่นกัน ซึ่งสาเหตุนี้ทำให้ฟังก์ชันต่างๆภายในบ้านไม่น่าเบื่อ สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ตามการใช้งานได้

แนวคิดหลักๆของกระจก Smart-Tinting Glass System  นี้ คือ “New Way of Living Indoors” เป็นหารสร้างมิติใหม่ของการอยู่อาศัย มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้างค่ะ

  • All day comfort : รักษาอุณหภูมิภายในห้อง รวมถึงยังช่วยลดความร้อนจากแสง UV ได้อีกด้วย
  • Natural light control : ควมคุมแสงธรรมชาติจากภายนอกได้
  • Build a Greener Future : เป็นกระจกที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 20% รวมถึงยังสามารถขอใบอนุญาตอาคารสีเขียวได้ (LEED)

โครงสร้างนวัตกรรมชิ้นนี้จะเป็นอย่างไรบ้างไปดูกันค่ะ

เริ่มจากนำกระจกมาติดตั้งที่ตัว Structure ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกกระจกแบบไหนก็ได้มาใส่ขึ้นอยู่กับ Design ของแต่ละอาคารค่ะ

ต่อมาเราจะใส่ Smart-Tinting Technology โดยมีการเคลือบออกไซด์ของโลหะไว้หลายๆชั้นภายในกระจก และเมื่อได้รับกระแสไฟฟ้าเข้าไป จะมีการเคลื่อนตัวของประจุไอออนในชั้นเคลือบเพื่อฟอร์มตัวเปลี่ยนสีกระจกเข้มได้ตามต้องการ

ถัดมาเราจะนำกระจกอีกแผ่นมาปิดซ้อนกัน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายแซนวิช เพื่อให้กระจกมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเราจะเลือกใช้แบบ Double Glazing หรือ Triple Glazing ก็ได้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และสามารถลดแสง UV ได้มากขึ้น ซึ่งราคาก็จะแพงไปตามลำดับ

เครดิตภาพจาก Website : https://www.hardwarezone.com

ช่วงเวลาที่ปรับเฉดสี เวลาเราดูใกล้ๆจะมีลักษณะเป็น honeycomb pattern โดยจะหายไปเมื่อปรับเฉดสีเสร็จสมบูรณ์ ก็จะได้วิวที่มองผ่านกระจกเหมือนกระจกทั่วไป

กระจกมาตรฐานขนาด 1.5 x 3 เมตร ซึ่งจะสามารถปรับเปลี่ยนตามสั่งได้ รวมถึงนวัตกรรมนี้จะช่วยรักษาอุณหภูมิภายในห้องได้ เป็นการประหยัดค่าไฟได้แบบยั่งยืน ถ้ามองในระยะยาวถือว่าคุ้มทีเดียวค่ะ

ระบบสั่งการมีทั้งระบบ Automated และ Manual สามารถปรับด้วยมือที่แผงควบคุมติดผนังก็ได้ หรือจะตั้งโปรแกรมเปลี่ยนเฉดสีแบบอัตโนมัติตามสภาพอากาศ ตามช่วงเวลาของวัน หรือตามตำแหน่งดวงอาทิตย์ก็ได้นะคะ

สำหรับระบบ Manual จะมี Application ที่ทำให้เราสามารถตั้งค่าต่างๆได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งเวลาปรับเฉดสีได้ หรือจะเปิดปิดพร้อมกันหลายบานได้ รวมถึงยังสามารถสั่งงานด้วยเสียงรวมได้ ส่งผลให้สะดวกในการใช้งานทีเดียว

ตัวอย่างภาพช่วงเวลากลางวัน ปกติเราจะต้องปิดม่านในช่วงกลางวัน ซึ่งจะส่งผลให้เราไม่สามารถเห็นวิวภายนอกได้ แต่ปัจจุบันเราสามารถปรับกระจกให้เข้มขึ้น เพื่อช่วยกันแสงแดดจ้าได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถมองวิวไปด้วยได้

ตัวอย่างภาพช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ทิศทางของแสงจะต่ำลงมา ทำให้แย้งตาของเราเวลานอนได้ ดังนั้นเราสามารถปรับกระจกให้มีสีเข้มและนอนดูพระอาทิตย์ตกดินได้ โดยไม่ต้องแสบตาอีกด้วยนะคะ

ข้อดี

  • ปรับแสงที่ส่องเข้ามาข้างในได้ ว่าต้องการแบบไหน
  • ช่วยปรับฟังก์ชันนั้นๆ ได้ตามใจชอบ ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้ เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว
  • ประหยัดค่าไฟฟ้ามากกว่าตัว Low E ประมาณ 20%
  • สามารถใช้แทนผ้าม่านได้เลย เป็นกระประหยัดไปในตัว

ข้อเสีย

  • ราคาสูงมากกว่ากระจกทั่วไปประมาณ 40-50%
  • กรอบอะลูมิเนียมมีความหนากว่ากระจกทั่วไป

ดูข้อมูลเพิ่มเติมของกระจก Smart-Tinting Glass System ได้ที่ คลิกที่นี่ 


สำหรับกระจกเราคิดว่าคงมีนวัตกรรมใหม่ออกมาเรื่อยๆ เนื่องจากมีการพัฒนาตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอด เพื่อการใช้งานที่สะดวกและปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งการใช้งานของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป สำหรับบ้านแนวราบกระจกตัดแสงน่าจะเพียงพอ เนื่องจากยังสามารถปลูกต้นไม้รอบบ้านที่ช่วยบังแสงได้ หรือถ้าบ้านใครที่เน้นในเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษแนะนำกระจกเทมเปอร์เลย เนื่องจากมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ และไม่สามารถเจาะกระจกได้ หรือถ้าใครชอบเพดานกระจกแบบ Skylight glass แนะนำให้เลือกกระจกฮีทสเตร็งเท่น ในกรณีแตกจะยึดติดกับฟิมล์ ซึ่งจะปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยค่ะ สุดท้ายถ้าใครอยู่คอนโดที่ได้รับแสงแดดเยอะเป็นพิเศษการเลือกใช้กระจก Low E ก็จะช่วยลดความร้อนและประหยัดค่าไฟภายในห้องได้อีกแรงก็ได้นะคะ

สุดท้ายก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ในการเตรียมความพร้อมก่อนการเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด เพราะกระจกจัดเป็นหนึ่งในวัสดุที่ส่งผลต่อการอยู่อาศัยได้เช่นกัน เพื่อให้เราสามารถอยู่บ้านได้อย่างสบายมากยิ่งขึ้น และเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด และคราวหน้า Think of Living เราจะพาไปเจาะลึก Living Idea เรื่องไหนกันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะคะ > <