รีวิวฉบับที่ 816 … สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผม Mr.Boom มีความยินดีม้ากกกก ที่จะได้เข้าไปรีวิวโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultimate มาให้ทุกคนได้ดูกัน เพราะโครงการแบบนี้นานๆๆๆๆที ถึงจะมีมาให้ทีมงานได้เข้าไปรีวิวกันซักครั้งนึง ที่ที่ผมจะพาไปดูวันนี้คือโครงการ GRANADA ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม บ้านหรูจาก SC Asset ครับ ซึ่งแบรนด์ Granada นี้เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ระดับท้อปสุดของซี่รี่ส์บ้านเดี่ยวจากเครือ SC เลย ตัวบ้านมีราคาค่าตัวสูงลิ่วอยู่ในระดับ 50-140 ล้านบาท และมีผู้ที่จะได้เป็นเจ้าของเพียงแค่ 36 ครอบครัวเท่านั้น แน่นอนว่าบ้านที่นี่จะต้องแตกต่างจากโครงการทั่วๆไปที่เราจะได้พบเห็นพบเจอกันแน่นอน แต่ภายในจะมีอะไรบ้าง และจะสมกับที่เป็นบ้านเดี่ยวที่แพงที่สุดของ SC รึเปล่า อ่านได้จากในรีวิวฉบับนี้เลยครับ
Fact @ 16 April 2015
- Granada Pinklao-Phetkasem (กรานาด้า ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม)
- SC Asset Corporation
- Segment : Ultimate (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่บน: ถนนกาญจนาภิเษก เขตบางแค
- เนื้อที่โครงการ 36-2-12.3 ไร่
- บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 36 หลัง
- Grand Harold: ที่ดินเริ่มต้นประมาณ 177 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 685 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 2 ห้องแม่บ้าน
- Grand Alexander: ที่ดินเริ่มต้นประมาณ 225 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 786 ตร.ม. 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 2 ห้องแม่บ้าน
- ราคาเริ่มต้น 50 – 140 ล้านบาท
- เริ่มก่อสร้าง: ปี 2558
- ก่อสร้างแล้วเสร็จ: ปี 2560
- www.scasset.com/house
- Call Center: 1749
- พิกัด: 13.724249, 100.405399
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ
NEW! เพื่อนๆสามารถเลือกอ่านตามหัวข้อได้โดยกดปุ่มไปยังหัวข้อที่สนใจได้นะครับ
พิกัด : 13.724421, 100.405589
ที่ตั้งของโครงการ Granada จะอยู่บนถนนกาญจนาภิเษกครับ โดยจะอยู่ช่วงใกล้ๆกับจุดที่ถนนกาญจนาภิเษกตัดกับถนนเพชรเกษม ซึ่งบริเวณที่ถนนสองเส้นตัดกันตรงนี้ เป็นที่ตั้งของห้าง The Mall บางแค พอดี อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 1 กิโลเมตรนิดๆ
การเดินทางในบริเวณนี้ ถึงแม้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองชั้นในพอสมควร แต่ว่าใกล้ๆโครงการมีถนนใหญ่ให้เลือกใช้ได้หลายเส้น มีถนนเพชรเกษม, ถนนบรมราชชนนี, ถนนกัลปพฤกษ์ ที่ใช้วิ่งเข้าตัวเมืองได และตัวถนนกาญจนาภิเษกเองก็เป็นถนนเส้นหลักที่ใช้วิ่งบริเวณฝั่งตะวันตก-ฝั่งใต้ของกรุงเทพฯอยู่แล้ว ใช้วิ่งลงใต้ไปเชื่อมกับพระราม 2 ได้ หรือจะวิ่งขึ้นเหนือไปทางบางใหญ่/บางบัวทองก็ได้เหมือนกัน นอกจากนี้การออกต่างจังหวัดไปทางภาคตะวันตกหรือภาคใต้ก็ทำได้สะดวกมากด้วย
แต่ถึงอย่างไรนะครับ ก็ต้องบอกว่านี่เป็นทำเล “ฝั่งธน” ของกรุงเทพฯ คืออยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา รถที่จะวิ่งเข้า-ออกเมืองทุกคันนั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็น สะพานสาทร, สะพานปิ่นเกล้า, สะพานพระราม 8, สะพานซังฮี้, สะพานกรุงเทพ ฯลฯ ดังนั้น รถมันจะติดมากกก ในช่วงเวลาที่รถแห่กันมาวิ่งข้ามสะพานทั้งขาเข้าและขาออก แต่คนที่อยู่ฝั่งนี้ก็จะรู้กันดีอยู่แล้วว่าควรออกจากบ้านเวลาไหน กลับบ้านเวลาไหน รถถึงจะโล่ง ถ้าใครคิดจะย้ายมาอยู่ฝั่งนี้ก็อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยละกันครับ เพราะอาจจะต้องปรับตัวให้ชินกับสภาพการจราจรที่ต้องข้ามสะพานทุกวัน แต่สำหรับคนที่ชีวิตประจำวันไม่ต้องขับรถข้ามสะพานไปอีกฝั่งนี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีมากครับ เพราะจะเดินทางสะดวกกว่าม้ากก
สำหรับความเจริญ และความอุดมสมบูรณ์ของทำเลบริเวณนี้ ในระยะเดินเท้านี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรนัก เน้นการใช้รถเป็นหลัก ห้างที่ใกล้ที่สุดคงจะหนีไม่พ้น The Mall บางแค นะครับ อยู่ห่างไปประมาณ 2 กิโล รวมระยะทางกลับรถ ตัวโครงการอยู่ใกล้สะพานกลับรถอยู่แล้ว ไปไม่ลำบาก ทำเลแถวๆนี้ส่วนใหญ่ก็จะมี Community Mall อยู่กระจายๆกันเป็นจุดๆ ใกล้สุดมี The Paseo ที่อยู่ฝั่งเดียวกันกับโครงการ ห่างออกไปประมาณ 4-5 กิโลเมตร ไกลกว่านั้นหน่อย ก็จะเป็นห้าง Seacon บางแค/HomePro/Big C บนถนนเพชรเกษมแถวๆพุทธมณฑลสาย 3 ครับ ห่างออกไปประมาณ 6-8 กม. ส่วนพวกที่เกิน 10 กม.ขึ้นไปก็จะเป็นพวก The Circle/The Crystal/The Walk บนถนนราชพฤกษ์ หรือไม่ก็ออกไปอีกเป็น เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ไปเลย ซึ่งก็จะอยู่ห่างไป 16-17 กม. แล้ว
ตำแหน่งที่ดินของโครงการจะอยู่ตรงข้ามกับสถานีสูบจ่ายน้ำเพชรเกษม/ประปาภาษีเจริญครับ เยื้องๆกับหมู่บ้าน Royal Greenpark และที่ดินของโครงการจะอยู่ติดถนนใหญ่แบบนี้ โดยจะอยู่บนทางคู่ขนานก่อนถึงซอยกาญจนาภิเษก 7 (ทางออกคู่ขนานอยู่ก่อนถึงทางเข้าโครงการด้วย ไม่ต้องกลัวขับเลย) ถ้าขับรถเลยหน้าโครงการไปหน่อยประมาณ 400 ม. จะเจอสะพานกลับรถ เวลาออกจากบ้านเราสามารถขึ้นสะพาน U-Turn ไปทางเพชรเกษม/กัลปพฤกษ์ได้ทันที
การเดินทางไปโครงการในครั้งนี้ ผมขับรถมาจากถนนบรมราชชนนีครับ วิ่งต่อมาเข้าเส้นกาญจนาภิเษก มุ่งหน้าบางแค พอวิ่งมาเรื่อยๆ เราจะเจอป้ายทางออกถนนเพชรเกษมแบบนี้ครับ
ให้เรายึดป้ายบางแค เหมือนจะไปทางเดอะมอลล์นั่นแหละครับ
พอออกมาคู่ขนานแล้ว ก็ให้ยึดป้ายบางแคต่อไป วิ่งตรงไปเรื่อยๆ
พอถึงตรงนี้ แล้วเราจะเจอจุดกลับรถอยู่ทางขวาครับ เขียนว่ากลับรถไปบางบัวทอง (ทางซ้ายจะวิ่งเข้าถนนเพชรเกษม ไปบางแค)
เราก็กลับรถใต้สะพานแบบนี้
กลับรถเสร็จแล้ว ก็ให้วิ่งคู่ขนานไปเรื่อยๆนะครับ ไม่ต้องเข้าทางหลัก
เราจะเจอปั๊ม Caltex ก่อน ตรงนี้จะใช้แวะเติมน้ำมันก่อนกลับบ้านได้
เสร็จแล้วจะเจอกับ ศูนย์รวมรถยนต์ PJ Car ซึ่งเป็นเต้นท์รถยนต์ขนาดใหญ่ หลากหลายยี่ห้อ หลายร้าน เป็นจุดสังเกต ก่อนที่จะถึงตัวโครงการ
ก่อนถึงทางเข้าโครงการ จะเจอกับสะพานเล็กๆ คือสะพานข้ามคลองขี้แก้ง (แทบจะไม่รู้สึกว่าขับข้ามสะพาน เพราะตัวถนนกาญจนาภิเษกก็สูงกว่าระดับคลองเยอะแล้ว) แล้วพอเห็นสะพานลอยอันนี้ ก็จะเจอทางเข้าจะอยู่ก่อนถึงสะพานลอยนิดเดียวครับ
ป้ายทางเข้าโครงการ ประดับด้วยน้ำพุเตี้ยๆ เล่นระดับ
ทางเข้าโครงการะจะอยู่ทางด้านนี้ แต่เราจะยังไม่เข้าไปดูตอนนี้ครับ ไปเดินดูรอบๆกันก่อน
ด้านหน้าโครงการมีสะพานลอยอยู่ด้วย ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่หลายๆคนมองข้ามนะครับ เพราะที่ตั้งโครงการไม่ได้อยู่บนถนนเส้นเล็กๆ แต่นี่คือถนนกาญจนาภิเษก ความกว้างของถนนร่วม 10-12 เลน การที่จะเดินข้ามไปโดยไม่มีสะพานลอยเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แล้วถามว่าใครจะใช้สะพานลอยอันนี้? โอเค คนที่อยู่บ้านระดับนี้คงจะมีรถขับ หรือมีคนขับรถกันหมดทุกคนนั่นแหละครับ แต่ว่าลองนึกถึงคุณแม่บ้าน หรือคนงาน, คนรับใช้ที่อยู่ในบ้านเราด้วย เค้าอาจจะไม่มีรถ เวลาเค้าเดินทางไปไหนมาไหน ก็ต้องพึ่งพาการเดิน พึ่งพาการเรียกแท็กซี่ ถ้าสามารถเดินข้ามสะพานไปเรียกฝั่งตรงข้ามได้ ไม่ต้องเสียเวลากลับรถ สะพานลอยนี้ก็จะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีให้กับคนอยู่ได้นะครับ
ข้างๆโครงการ ที่อยู่ติดถนนใหญ่เหมือนกัน ตรงนี้จะเป็นพวกตึกแถว ร้านขายของ
ลักษณะของร้านค้าตึกแถวใกล้ๆก็ตามนี้ฮะ ป้ายใหญ่มาก คงไม่ต้องโฆษณาให้นะ ชุมชนแถวนี้ ก็จะทำการค้าในลักษณะตึกแถวขายของแนวนี้ซะเยอะ
ถัดมาอีกหน่อยไม่ถึงร้อยเมตรจากโครงการจะมี 7-Eleven อยู่ด้วย สาขานี้ไม่ได้มีที่จอดรถเป็นกิจลักษณะขนาดนั้น แต่ก็พอจะจอดรถข้างทาง แล้วเดินลงไปซื้อของได้ หรือขี่จักรยาน/มอเตอร์ไซค์มาซื้อของก็ได้ เซเว่นสาขานี้ก็ถือว่าของเยอะใช้ได้นะครับ พอเอาตัวรอดได้
ข้างๆเซเว่นจะมีทางเข้าหมู่บ้านตรีจุฑา 1 ซึ่งก็เป็นซอยสาธารณะแหละ ตรงปากซอยจะมีร้านอาหาร เจียงลูกชิ้นปลา อยู่ด้วย ตรงข้ามกับเซเว่น วันไหนขี้เกียจออกจากบ้านไกลๆ อยากจะนอนขี้เกียจอยู่บ้าน แต่ที่บ้านก็ไม่มีอะไรกิน (ทุกคนมีวันแบบนี้ ผมเชื่อ) ก็ยังพอจะเดินออกมาซื้อก๋วยเตี๋ยวตรงนี้กลับไปกินได้นะ
นอกเหนือจากนี้ รอบๆโครงการก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้วครับ ก็เป็นพวกร้านค้า/ตึกแถวสำนักงาน แบบ Local หน่อย หรือไม่ก็เป็นบ้านพักอาศัยทั่วๆไป ถ้าอยากได้ดีกว่านี้ก็คงต้องขับรถเอานะครับ ส่วนตอนนี้เรากลับไปดูรายละเอียดภายในโครงการกันดีกว่า
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- The Mall บางแค
- Seacon บางแค
- Big C Extra / HomePro (เพชรเกษมขาเข้า)
- Big C / Index / HomeWork (เพชรเกษมขาออก)
- The Paseo
- โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค
- โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า (เพชรเกษม)
- โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน
- สำนักงานประปาภาษีเจริญ
- สถานีสูบจ่ายน้ำเพชรเกษม
- Granada ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม by SC Asset
- เนื้อที่โครงการ 36-2-12.3 ไร่
- บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 36 หลัง
- Grand Harold: ที่ดินเริ่มต้นประมาณ 177 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 685 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 2 ห้องแม่บ้าน
- Grand Alexander: ที่ดินเริ่มต้นประมาณ 225 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 786 ตร.ม. 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 2 ห้องแม่บ้าน
- ราคาเริ่มต้น 50 – 140 ล้านบาท
โครงการ Granada ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม นี้จะมีรูปแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยวจัดสรรครับ มีเนื้อที่ดินทั้งหมดประมาณ 36 ไร่ แบ่งแปลงบ้านทั้งหมด 36 ยูนิต ถือว่าเป็นจำนวนที่หลวมมาก เพราะเทียบเป็นสัดส่วนได้ประมาณ 1 ไร่ต่อ 1 ยูนิตเลยก็ว่าได้ ถามว่าจำนวนเท่านี้หนาแน่นน้อยแค่ไหน? ลองจินตนาการดูถึงโครงการบ้านเดี่ยวราคา 5-7 ล้านบาทที่มีที่ดินขนาดเท่าๆกันสิครับ เค้าน่าจะจัดได้เป็นหลัก 100-150 ยูนิตเลยแหละ แต่นี่ทำออกมาเป็นบ้านแค่ 36 แปลงเท่านั้น แต่ละแปลงเริ่มต้นที่ 177 ตารางวา ซึ่งนับว่าเป็นบ้านในหมู่บ้านจัดสรรที่มีขนาดใหญ่มากนะครับ เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวทั่วๆไปที่มีขนาดเริ่มต้นประมาณ 50-60 ตารางวา คือใหญ่กว่ากันเกือบ 4 เท่าหรือมากกว่า ถ้าเอาที่ดินเดียวกันมาซอยแบ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ ก็แบ่งขายทำกำไรได้ 3-4 แปลงเลย เป็นเหตุผลว่าทำไมบ้านของที่นี่ถึงได้ราคาสูงด้วย
แผนผัง Master Plan ของโครงการหน้าตาประมาณนี้ครับ ด้านหน้าโครงการ (ทิศตะวันออก) มีทางเข้า-ออกอยู่ทางฝั่งถนนกาญจนาภิเษก ถ้าดูจากในภาพจะเห็นว่า จะมีที่ดินส่วนท้ายๆของโครงการทางทิศเหนือ ที่อยู่ติดกับซอยกาญจนาภิเษก 7 ที่อยู่ข้างๆด้วย หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าตรงนี้จะมีทางเข้าอีกจุดหนึ่งหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่าไม่มีนะครับ เพราะเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัยและการดูแลลูกบ้าน (แต่ช่วงแรกๆนี้ถ้าใครขับเข้าไปที่ Site ก่อสร้างของโครงการ เค้าจะเปิดให้รถวิ่งผ่านเข้ามาได้เพื่ออำนวยความสะดวกในการก่อสร้างและการรองรับลูกค้าที่เข้ามาชมโครงการ แต่ต่อไปก็จะก่อรั้วขึ้นมาปิดครับ) ส่วนทิศใต้และทิศตะวันตกของที่ดินโครงการจะอยู่ติดกับคลองบางขี้แก้งครับ ซึ่งก็เป็นลำรางระบายน้ำเล็กๆทั่วไป ไม่ได้ใช้คมนาคม จากที่ผมเข้าไปสำรวจมาก็ไม่ได้ส่งกลิ่นอะไรนะครับ ไม่น่าจะต้องกังวลไป
ปัจจุบัน ภายในโครงการตอนนี้มีบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วทั้งหมด 9 หลัง ด้านหน้าสุดที่อยู่ติดกับทางเข้าจะเป็น Club House และบริเวณตรงกลางโครงการจะเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะส่วนกลางของหมู่บ้าน ภายในโครงการมีรายละเอียดเยอะมาก เข้าไปดูกันเลยดีกว่า
ทางเข้าด้านหน้าโครงการ ทำเป็นซุ้มประตูยาว แบ่งฝั่งทางเข้า-ทางออก ตามปกติ มีป้อมรปภ.อยู่ตรงกลาง
ลักษณะของประตูรั้วที่นี่จะไม่มีการใช้รั้วกั้นไม้กระดกนะครับเพราะมันพังทำลายง่าย ที่นี่จะใช้รั้วเหล็กเปิด-ปิดไฟฟ้าทั้งหมด รปภ.ที่นี่จะเข้มงวดมาก โดยจะมีการแลกบัตรผู้มาติดต่อ ระบุบ้านเลขที่ชัดเจน รวมถึงถามชื่อคนที่จะเข้าพบ และจะมีการยืนยันตัวตนกับเจ้าของบ้านก่อน ถ้าตรงกันถึงจะปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้ บริเวณด้านหน้าก็จะมีการติดกล้อง CCTV ถ่ายหน้าคนขับรถ ถ่ายเลขทะเบียนรถด้วย มาตรฐานเดียวกับในห้างเลย
ส่วนถ้าเป็นรถของลูกบ้าน รปภ.จะรู้ทันทีตั้งแต่ยังไม่ถาม เพราะว่าลูกบ้านจะมี Key Card ซึ่งเป็นระบบ RFID ตรวจจับสัญญาณจากระยะไกล เพียงแค่ลูกบ้านขับรถเข้ามาใกล้ ประตูรั้วก็จะเปิดเองอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเปิดกระจกยื่นมือออกมาแตะบัตรแต่อย่างใด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ก็จะคล้ายๆกับ Easy Pass บนทางด่วนนั่นแหละครับ แล้วก็เริ่มมีให้เห็นในโครงการหมู่บ้านเกรดบนๆกันหลายที่แล้วเหมือนกัน
เมื่อผ่านพ้นประตูรั้วชุดแรกเข้ามาแล้ว ก็จะเจอกับประตูรั้วชุดที่สอง ก่อนที่จะเข้าไปยังโซนบ้านพักอาศัยแบบนี้ ถ้าเจ้าของบ้านอนุญาตให้เข้าไปพบที่บ้านได้ รปภ.ถึงจะเปิดประตูชุดที่สองนี้ให้ แต่ถ้าเจ้าของบ้านให้มาพบที่สโมสรด้านหน้า ประตูนี้ก็จะยังปิดเอาไว้
ระหว่างประตูรั้วที่ 1 กับ 2 จะเป็นจุดที่ตั้งของอาคารสโมสรของหมู่บ้าน หลักๆแล้วก็คือเป็นที่ทำงานของนิติบุคคลของหมู่บ้าน และเป็นสถานที่สำหรับใช้ต้อนรับแขกได้ด้วย ซึ่งจะแยกออกมาจากโซนบ้านพักอาศัย เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน
ด้านข้างสโมสรจะมีจุด Drop-Off และที่จอดรถอีกจำนวนหนึ่ง ให้สำหรับผู้มาติดต่อ รวมถึงมีรถกอล์ฟประจำที่เอาไว้คอยให้บริการ
ด้านหน้าสโมสรจะมีน้ำพุเล็กๆ และจัดสวนเป็นไม้พุ่มเตี้ยๆเอาไว้เป็นการตกแต่ง
ปัจจุบันตัวสโมสรจะเป็นที่ตั้งของสำนักงานขายของโครงการด้วย เราเข้าไปดูข้างในกัน
เข้ามาปุ๊บ จะเจอกับโถงต้อนรับด้านหน้าก่อน มีโต๊ะ Reception และโซฟารับแขกวางไว้หนึ่งชุด สำหรับพนักงานต้อนรับ และให้แขกนั่งรอซักพัก ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน
ตัวอาคารนี้จะยกเพดานขึ้นสูงแบบ Double Volume ครอบคลุมพื้นที่ส่วนด้านหน้าทั้งหมด เพื่อความโอ่อ่า หรูหรา เป็นหน้าเป็นตาของเจ้าบ้าน เวลามารับแขกตรงนี้ ส่วนพื้นที่ชั้น 2 จะมีแค่ประมาณครึ่งเดียวของพื้นที่ตึกเท่านั้นเอง ใช้เป็นห้องทำงานของนิติบุคคล (ส่วนปัจจุบันเป็นห้องของพนักงานขาย)
ถัดจากส่วนโถงต้อนรับ เข้ามาด้านในก็จะเป็น Lounge ขนาดใหญ่ที่วางอยู่ด้านใน วางชุดโต๊ะ-เก้าอี้เอาไว้หลายชุด กระจายๆกันอยู่ เพื่อรองรับการใช้งานได้หลายๆกลุ่มพร้อมกัน
พื้นที่ต้อนรับแขกที่สโมสรนี้ เอาเข้าจริงๆแล้วก็อาจจะไม่ได้ใช้บ่อยนะครับ เพราะคนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็คงอยากจะนัดแขกที่มาพบให้เข้าไปเจอที่บ้านเลยมากกว่า (อย่างน้อยๆก็คงอยากจะอวดโฉมบ้านของตัวเองด้วยแหละ) แต่ก็ต้องถือว่าโครงการลงทุนตกแต่งพื้นที่ตรงนี้ให้แล้วก็ทำออกมาได้ดี น่าใช้เลยทีเดียว นอกจากจะใช้เป็นที่รับแขกได้แล้ว ในอนาคตเมื่อมีลูกบ้านเข้าอยู่กันครบ ก็น่าจะกลายเป็นที่ประชุมของลูกบ้านไปโดยปริยายด้วย หรืออาจจะใช้จัดงาน จัดกิจกรรมบางอย่าง ที่ลูกบ้านและนิติบุคคลอยากจะร่วมกันจัดก็ได้
ออกจากสโมสร เดินผ่านประตูรั้วชุดที่ 2 เข้ามาแล้ว โซนนี้ก็จะเป็นโซนของลูกบ้านแล้วครับ ถนนภายในโครงการที่เป็นถนนหลัก จะกว้าง 16 เมตร ครับ แล้วจะค่อยๆลดลงเหลือ 12 เมตร และ 9 เมตรตามลำดับ
ความกว้างของถนนในหมู่บ้านแพงๆแบบนี้ก็ถือเป็นประเด็นที่สำคัญนะครับ เพราะคนซื้อบ้านระดับนี้ ก็ชอบชวนเพื่อนฝูง ญาติมิตรมาที่บ้าน ลำพังที่จอดรถในบ้านจอดรถของเจ้าของบ้านอย่างเดียวก็คงจะเต็มหมดแล้ว คนอื่นๆก็คงต้องจอดรถบนถนนด้านนอก ถ้าถนนกว้าง 12-16 เมตรนี่แปลว่า สามารถจอดรถได้สองฝั่งของถนน แล้วยังมีพื้นที่เหลือพอให้ตรงกลางรถสามารถวิ่งสวนกันได้สบายๆครับ แต่ถ้าถนนซอยที่กว้าง 9 เมตร ก็อาจจะจอดได้แค่ด้านเดียวของถนน
ที่นี่นอกจากเรื่องถนนแล้ว ยังมีเรื่องของ “ทางเท้า” ด้วยนะครับ ที่เค้าให้ความสำคัญ เพราะทางเท้าของที่นี่กว้างมาก โดยปกติ จะทำไว้แค่ให้ได้ระยะตามที่กฎหมายกำหนด เอาแค่พอมีทางเดิน แค่นั้น แต่ที่นี่เค้าจะทำทางเท้าให้กว้างกว่าปกติ อย่างน้อยๆก็ประมาณ 2 เมตรได้ เพื่อลงต้นไม้ใหญ่บนทางเท้าด้วย เพื่อที่จะให้ต้นไม้เหล่านี้เติบโตเป็นร่มเงาให้กับลูกบ้านต่อไปในอนาคต
หน้าบ้านบางบ้าน จะมีระยะ Set Back ไกลมาก อย่างแปลงนี้ประมาณ 4-5 เมตรเลย นี่ใช้สำหรับทำทางเท้า และปลูกต้นไม้ล้วนๆเลยนะ ความจริงทางโครงการจะร่นระยะรั้วบ้านเข้ามาอีกก็ได้ เพื่อเพิ่มขนาดที่ดินให้กับตัวบ้าน ให้บ้านมีขนาดใหญ่ขึ้น แล้วเอาต้นไม้ใหญ่ไปอยู่ในบ้านก็ได้ แต่เค้าไม่ทำ ส่วนหนึ่งเพราะว่า พื้นที่ทางเท้านี้จะได้เป็นทรัพย์ส่วนกลางให้กับลูกบ้านทุกคน ถ้าเอาต้นไม้ไปไว้ในบ้านก็ไม่แน่ว่าต่อไปเจ้าของบ้านจะยังดูแลมันอยู่รึเปล่า
แนวรั้วบ้านจะถูกร่นเข้ามาแบบนี้ มีประตูสำหรับนคนเดินเข้าออกตรงนี้ สังเกตว่าแนวรั้วบ้านทุกหลัง จะมีการปลูกไม้พุ่มขึ้นมาทับแนวรั้วเหล็กอีกทีหนึ่ง เพื่อให้รั้วบ้านดูเนียนตา กลืนไปกับบริเวณสวนที่อยู่ด้านหน้า และเพิ่มความร่มรื่นให้กับตัวบ้านด้วย
บริเวณทางเท้าจะมีไฟส่องถนนตั้งอยู่เป็นระยะ สำหรับให้แสงสว่างในเวลากลางคืน
ไฟส่องถนนจะมีทั้งแบบสูงและแบบเตี้ยนะครับ วางสลับกันไป แต่จะเห็นว่าที่นี่ไม่มีเสาไฟฟ้า เพราะว่าเค้าเดินระบบสายไฟฟ้าไว้ใต้ดินทั้งหมดแล้ว ซึ่งก็จะทำให้ทั้งโครงการดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นเยอะ
กล้องวงจรปิด วางอยู่กระจายๆกัน ทั่วทั้งโครงการ โดยเฉพาะบริเวณหัวมุมถนน แยกต่างๆ นอกจากนี้ก็มีภายในบ้านด้วย
จากบริเวณหน้าโครงการเข้ามาหน่อย จะเจอกับวงเวียนแบบนี้อยู่ตรงกลางถนน ก่อนที่จะแบ่งไปเป็นซอยย่อยด้านข้าง ตรงกลางวงเวียนลงต้นไม้ใหญ่เอาไว้อีกหนึ่งต้น เพื่อความร่มรื่น
ด้านหนึ่งของวงเวียนเค้าจะทำเป็นพื้นที่สวนสาธารณะเล็กๆ คั่นระหว่างแปลงบ้านเอาไว้ ไม่ให้บ้านสองหลังซ้าย-ขวามาอยู่ประชิดกัน
พื้นที่สวนตรงนี้ไม่ได้ใหญ่มาก จัดเป็นลานน้ำพุ ให้ลูกบ้านมาเดินเล่น ผ่อนคลายได้
พอเดินต่อเข้ามาอีกหน่อย ตรงนี้ถนนจะค่อยๆแคบลงเหลือ 12 เมตรละ
โซนนี้จะเป็นโซนที่อยู่บริเวณใจกลางของตัวหมู่บ้านเลย เป็นโซนสวนสาธารณะ ที่โครงการเรียกว่า “Majestica Park” ที่ต้องมีชื่อเรียก เพราะว่าที่นี่สวนหย่อมเยอะเหลือเกิน มีกระจายหลายจุดมาก ถ้าเรียกสวน Majestica ก็คือเข้าใจตรงกันว่าหมายถึงสวนที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงกลาง (แหม่)
บริเวณด้านหน้าสุดของสวนจะเป็นลานน้ำพุขนาดใหญ่ เล่นระดับเป็นขั้นบันได ด้านในสุดจะมีศาลา มีพื้นที่นั่งเล่นชมสวนอยู่ด้านใน
ตรงศาลานี้จะเป็นพื้นที่แบบกึ่ง Indoor จัดวางชุดมานั่ง-โต๊ะกาแฟเอาไว้ สำหรับมานั่งเล่นพักผ่อนตรงนี้ได้ แบบไม่โดนแดด
บริเวณด้านหน้าของสวนมีการตกแต่งด้วยโคมไฟแบบนี้ เพื่อเพิ่มความสวยงาม และให้แสงสว่างในยามค่ำคืน
ถัดจากบริเวณศาลาตรงกลาง เข้ามาจะมีทางเดินเชื่อมยังส่วนที่เป็นสวนอีกโซนหนึ่ง ตัวทางเดินจะวางคู่ขนานไปกับธารน้ำเล็กๆ ปลูกดอกหญ้าริมทางเอาไว้ เพื่อสร้างบรรยากาศอีกแบบที่หายากในหมู่บ้านลักษณะนี้
มีการประดับพื้นที่สวนด้วย Art Object ขนาดใหญ่ด้วย เพื่อเพิ่มความ Grand ให้กับสวน
พื้นที่สวนตรงนี้จะมีการวางต้นไม้ใหญ่เอาไว้ตลอดทาง ตอนนี้ต้นไม้พึ่งลง อาจจะยังไม่ร่มรื่นเท่าไหร่ แต่ไปอีกซักพักน่าจะให้ร่มเงาได้ สวนจะได้น่าใช้งานมากขึ้น
ระหว่างทางเดินตรงนี้ จะมีแท่นสำหรับตั้งศาลพระภูมิด้วย ในอนาคตคงจะมีการทำพิธีตั้งศาลกันเป็นกิจลักษณะอีกที
จากบริเวณศาลพระภูมิ จะมีทางเดินเชื่อมเข้าไปยังโซนสวนด้านใน ซึ่งเค้าจัดออกมาเป็นสไตล์ยุโรปเลย เราเดินเข้าไปดูด้านในกัน
เข้ามาข้างในปุ๊บจะเจอกับสะพานข้ามลำธารที่เราเดินเลียบมาวางอยู่ตรงนี้
เราสามารถมาเดินเล่น ชมวิวจากสะพานได้
พอเดินเข้ามาถึงด้านในสุดก็จะเป็นพื้นที่นั่งเล่น มีโดมตั้งอยู่ด้านใน ตรงนี้จะไม่ได้ใส่หลังคาเอาไว้นะครับ เพราะเค้าต้องการให้แสงแดดส่องลงมากระทบ แล้วเกิดเป็นเงาที่มีลวดลายลงไปบนพื้น อย่างที่เห็นในภาพแบบนี้ (แต่ก็จะร้อนน่าดูเลยครับ ต้องแลกเอาว่าจะเอาสวย หรือจะเอาสบาย)
พื้นที่สวนยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ดูสวยงามก็จริง แต่ว่าการดูแลรักษาก็ต้องถึงด้วยนะครับ ซึ่งมันก็จะมีค่าใช้จ่ายในการดูแลพอสมควร ถ้าในอนาคตปล่อยให้ต้นไม้ตาย ปล่อยให้น้ำเสีย พื้นที่ตรงนี้จะไม่น่าใช้เลย ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับลูกบ้านในอนาคตแล้วนะครับ ^^
จบจากสวนสาธารณะส่วนกลางแล้ว ทีนี้เราจะเข้าไปดูโซนที่เป็นซอยย่อย ก่อนที่จะเข้าไปยังตัวบ้านนะครับ ซอยย่อยพวกนี้จะมีความกว้างประมาณ 9 เมตรนะครับ แต่ความรู้สึกจะดูเหมือนกว้างกว่า 9 เมตรของหมู่บ้านทั่วๆไป เพราะอย่าลืมว่าที่นี่เค้ามีระยะร่นสำหรับทางเท้าที่กว้างกว่าที่อื่นด้วย ความรู้สึกมันก็จะแตกต่างครับ
บริเวณซอยย่อพวกนี้ จะมาทางเชื่อมเข้าไปยังส่วนของหลังบ้านแต่ละหลังด้วย เพราะว่า …
แปลงบ้านของที่นี่ ที่เป็นบ้านโซนที่อยู่ด้านหน้า เค้าจะไม่เอาหลังบ้านมาอยู่ประชิดกันครับ โดยจะมีการทำสวน Strip Garden คั่นระหว่างกัน ความกว้างของสวนประมาณ 3-4 เมตร การทำเช่นนี้เพื่อให้เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับบ้านแต่ละหลัง จะเห็นว่ามีการปลูกต้นไม้เพื่อบังสายตากันด้วย และตรงนี้จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางนะครับ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่สวนตรงนี้จะยังเป็นแบบนี้ต่อไป เพราะถ้ากลายเป็นพื้นที่ภายในบ้านแล้ว ลูกบ้านอาจจะแอบต่อเติมอะไรเพิ่มก็ได้
บริเวณตรงนี้จะมีประตูทางเข้า-ออกเล็กๆหลังบ้านด้วย สำหรับเปิดออกมาที่สวนหลังบ้าน
บริเวณสวน Strip Garden ตรงนี้ก็จะมีทั้งไม้พุ่มเตี้ยๆ และไม้ยืนต้น มีทำทางเดินเอาไว้ และมีการเล่นระดับของ Landscape ให้เป็นเนิน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เพื่อความสวยงาม
เดินมาจนถึงสามแยกด้านในสุดของซอย
ตรงนี้จะมีกล้องวงจรปิด ตั้งอยู่ที่สามแยกพอดีเลย มี 3 ตัว ส่องรอบด้านเลย
บ้านในซอยด้านในสุดตรงนี้จะได้ความเป็นส่วนตัวมาก เพราะหน้าบ้านฝั่งตรงข้ามไม่ติดกับใครเลย มีบ้านแค่ด้านเดียวของถนน ลักษณะของบ้านที่นี่ เค้าจะพยายามทำให้บ้านมีลักษณะเป็นบ้านแปลงมุมเกือบทั้งหมด มีการเว้นระยะห่างแต่ละบ้านอย่างตั้งใจ
ส่วนรั้วรอบๆโครงการจะเป็นรั้วทึบสูง 3 เมตร แล้วต่อระแนงไม้เป็นรั้วโปร่งขึ้นไปอีกประมาณ 1.50 เมตร รวมเป็น 4.50 เมตรครับ
สิ่งอำนวยความสะดวก
- สโมสรด้านหน้าโครงการ พร้อม Lounge ต้อนรับ
- สระว่ายน้ำภายในบ้านทุกหลัง
- สวนสาธารณะภายในโครงการ
- สวนหย่อม Strip Garden กั้นระหว่างแปลงบ้าน
- ถนนหลักกว้าง 16 ม. ถนนรองกว้าง 12 เมตร และถนนซอยกว้าง 9 เมตร
- วางระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดิน
- ระบบ CCTV รอบโครงการ และภายในบ้าน หลังละ 3 จุด
- รั้วรอบโครงการสูง 3.00 เมตรและรั้วระแนงบังสายตาต่อเพิ่ม 1.50 เมตร
- Key Card Access ระยะไกลแบบ RFID
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
- ประตูรั้วโครงการแบบ เลื่อนไฟฟ้า 2 ตอน (Double Gate Security)
- สัญญาณกันขโมย ระบบ Magnetic & Shock Sensor ทุกหลัง
แบบบ้านของที่นี่จะมี 2 แบบด้วยกัน คือ หลังเล็ก Grand Harold ขนาด 685 ตารางเมตร และหลังใหญ่ Grand Alexander ขนาด 786 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ใกล้เคียงกัน แต่จะมีบางส่วนที่แตกต่างนะครับ
แบบแรก Grand Harold จะเป็นบ้าน 2 ชั้น ขนาด 685 ตารางเมตร ที่ดินขนาดเริ่มต้น 177 ตารางวา ฟังก์ชั่นเป็น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ 2 ห้อง Living 2 ห้องแม่บ้าน มีครัวไทยแยกส่วน และมีสระว่ายน้ำในตัว
เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าสุด ที่จอดรถของตัวบ้านจะเป็นส่วนแยกจากตัวบ้าน สามารถจอดรถคันใหญ่ๆในร่มได้ 3 คันสบายๆ และยังมีพื้นที่เหลือสำหรับจอดเพิ่มได้อีก 3-4 คันด้านหน้า รวมๆแล้วสามารถจอดรถได้ถึง 7 คันแบบซ้อนๆกันได้เลย แต่ถ้าจะเอาแบบ เข้า-ออกสะดวกหน่อย แบบไม่ต้องเลื่อนรถหลายรอบเวลาจะเข้าจะออก ก็จอดประมาณ 5 คันพอ
ภายในบ้านชั้นล่างจะแบ่งฟังก์ชั่นออกเป็นส่วน Living & Dining ฝั่งหนึ่ง และส่วน Maid & Kitchen อีกฝั่งหนึ่ง โดยที่นี่จะมี 2 Living Room เพื่อแยกส่วนรับแขกกับส่วนที่สมาชิกในบ้านใช้นั่งเล่นดูทีวีออกจากกัน, ส่วน Living จะเชื่อมต่อออกไปยังสระว่ายน้ำด้านนอกได้ เพื่อให้สามารถใช้งานเชื่อมกันได้, ส่วนห้องรับประทานอาหารจะเป็นจุดศูนย์กลางหลัก อยู่ตรงกลางของบ้าน เชื่อมมาจากห้อง Living และต่อออกไปยังส่วนครัวที่อยู่ด้านหลัง, ครัวของที่นี่จะแบ่งครัวไทย-ครัวฝรั่งออกจากกัน มีครัวไทยอยู่หลังบ้าน ต่อกับโซนแม่บ้าน และลานซักล้าง โดยที่ห้องแม่บ้านจะมีมาให้ 2 ห้องแยกกัน เผื่อกรณีเป็นห้องคนขับรถห้องหนึ่ง ห้องแม่บ้านห้องหนึ่ง สามารถแยกกันนอนได้, และสุดท้ายคือที่ชั้นล่างจะมีห้องนอนเตรียมไว้หนึ่งห้อง ที่อยู่ติดกับห้องรับประทานอาหาร ซึ่งอาจจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับแขกก็ได้ หรือสำหรับผู้สูงอายุก็ได้ มีห้องน้ำในตัว
ส่วนชั้น 2 ของบ้านจะเป็นส่วนของห้องนอนเกือบทั้งหมด หลังเล็กจะมีห้องนอนชั้นล่าง 1 ห้อง และชั้นบน 3 ห้อง รวมเป็น 4 ห้อง ห้องนอนชั้นบนทุกห้องจะมีห้องน้ำและห้องแต่งตัวแบบ Walk-in Closet เป็นของตัวเองทุกห้อง และแต่ละห้องจะมีมุมเป็นที่เป็นเหมือนส่วน Living Area ภายในห้องนอนด้วย
ตรงโถงบริเวณชั้นสองจะมี Family Room ซึ่งเป็นเหมือน Common Area ที่สมาชิกแต่ละคน สามารถมาใช้ร่วมกันตรงกลางได้ แต่ยังอยู่บริเวณชั้น 2 อยู่ ไม่ได้ลงไปรบกวนคนที่อยู่ข้างล่าง
สุดท้ายคือห้อง Master Bedroom ที่จัดฟังก์ชั่นมาสมบูรณ์มาก เรียกว่าจบในตัวเลย เพราะภายใน Master Bedroom จะมีส่วน Living Area, Walk-in Closet ที่สามารถกั้นออกเป็นห้องต่างๆได้ รวมถึงตัวห้องนอนก็สามารถกั้นแยกออกไปต่างหากได้ด้วย และจะมีห้องน้ำที่สมบูรณ์กว่าห้องอื่นๆ คือมีอ่างอาบน้ำแบบ Jacuzzi ให้ในตัวอีก
ตัวบ้าน Grand Harold จะหน้าตาแบบนี้ครับ อันนี้เป้นบ้านตัวอย่างที่เค้าแต่งให้ดู เลยจะยังไม่ได้ใส่ประตูรั้วนะครับ
พื้นที่ที่จอดรถ และประตูทางเข้าหลักของบ้าน
ตรงกลางด้านหน้าบ้าน มีพื้นที่พอให้สามารถใส่น้ำพุแบบนี้เข้าไปได้ เพื่อเพิ่มความอลังการของสวนหน้าบ้าน
แต่ไหนๆเรามารีวิวที่นี่กันทั้งที ผมจะไม่ได้พาไปดูหลังเล็กนะครับ แต่จะพาไปดูหลังใหญ่เลย นั่นก็คือ Grand Alexander ซึ่งจะเป็นบ้าน 2 ชั้นเหมือนกัน มีพื้นที่ใช้สอย 786 ตารางเมตร บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 225 ตารางวา ซึ่งถ้าเทียบกันกับหลังเล็กแล้ว จะได้ที่ดินเพิ่มมาอีกประมาณเกือบๆ 50 ตารางวา แล้วได้พื้นที่ใช้สอยในบ้านเพิ่มมาอีกประมาณ 100 ตารางเมตรครับ
ฟังก์ชั่นของบ้านหลังใหญ่ จะเป็น 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 3 จอดรถ 1 ห้องรับรอง กล่าวคือ หลังเล็กมีอะไรเอามาให้หมดทุกอย่าง แต่จะเพิ่มอะไรบ้างเรามาดูกันทีละชั้น
ชั้นล่างของหลังใหญ่นี้ หลักๆแล้วพื้นที่จะเหมือนกับหลังเล็กเลย ทั้งส่วนห้องนั่งเล่น, ห้องรับประทานอาหาร, ห้องครัว, ส่วนแม่บ้าน เรียกว่าใกล้เคียงกันมาก แต่จะมีส่วนที่แตกต่างคือ สระว่ายน้ำของหลังใหญ่จะเพิ่มอ่าง Jacuzzi มาให้ด้วย, ติดกับสระว่ายน้ำจะมีห้องที่เพิ่มเข้ามาที่เขียนในแปลนบ้านว่า Living Room 3 ซึ่งก็คือส่วนของเรือนรับรองที่เพิ่มเข้ามานั่นเอง มีห้องน้ำในตัวเสร็จสรรพ, ส่วนห้องนอนชั้นล่างจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีส่วน Walk-in Closet เพิ่มมาให้, และสุดท้ายคือ ลิฟท์! ที่อยู่ภายในบ้าน ที่จะมีให้เฉพาะหลังใหญ่เท่านั้น ซึ่งหลักๆแล้วลิฟท์นี้จะใช้สำหรับผู้สูงอายุ ที่อาจจะขึ้นบันไดลำบาก หรือต้องมีรถเข็น เป็นต้น
ส่วนที่ชั้น 2 ของบ้านหลังใหญ่นี้ ฟังก์ชั่นหลักๆ ก็จะเหมือนกับหลังเล็กแหละครับ แต่จะมีห้องนอนที่เพิ่มมาให้อีกหนึ่งห้อง มีห้องน้ำในตัว เป็นห้องนอนที่มีระเบียงรับวิวสระว่ายน้ำของบ้าน, ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆของห้องนอนที่เหลือ รวมถึง Family Room ก็จะเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงครับ
บ้าน Grand Alexander จะหน้าตาใกล้เคียงกับ Grand Harold เลยนะครับ ดูแต่ด้านหน้านี่แยกไม่ค่อยออก เพราะว่าจริงๆแล้วส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือมันขยายออกด้านข้างมากกว่า
ประตูรั้วของบ้าน ในบ้านตัวอย่างไม่ได้ใส่ไว้ ผมเลยไปถ่ายมาจากบ้านจริงที่เค้าขายมาให้ดูกันนะครับ เวลาปิดประตูบ้านจะเป็นแบบนี้ จะสังเกตว่ามีระยะร่นจากถนนเข้ามาที่ตัวบ้านเยอะพอสมควรเลย
ประตูรั้วก็จะเป็นแบบ เปิด-ปิดไฟฟ้านะครับ ควบคุมด้วยรีโมท
พื้นหน้าบ้าน จะปูด้วยสแตมป์คอนกรีต ทำเป็นลวดลายเรียบๆแบบนี้ครับ มีการเว้นระยะเป็นช่วงๆ เพื่อรองรับการขยาย การหดตัวของวัสดุพื้น ไม่ให้เกิดรอยร้าว และโรยหินเอาไว้ระหว่างรอยต่อ
ลานจอดรถของตัวบ้าน จะแอบอยู่ด้านข้างแบบนี้ สามารถจอดรถได้ 3 คัน จอดคันใหญ่ๆได้สบายๆ ถ้าไม่พอก็จอดซ้อนข้างหน้าได้อีก
ตัวลานจอดรถจะยกสูงกว่าพื้นที่ดินนิดหน่อย มีการปรับ Slope ให้เรียบร้อย
ภายในผนังของโรงรถจะมีห้องเก็บของเล็กๆด้วย สำหรับเก็บพวกอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับงาน Outdoor เช่น อุปกรณ์ล้างรถ เครื่องมือจัดสวน
ถ้าเก็บไม่พอ อีกด้านหนึ่งของผนังก็จะมีห้องเก็บของมาให้อีกชุดหนึ่ง
หลอดไฟในโรงรถ รวมถึงในตัวบ้าน เป็นหลอดแบบ LED ทั้งหมดนะครับ ติดมาให้เรียบร้อย
ที่ฝ้าเพดานของโรงรถ จะติดอุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว หรือ Motion Sensor มาให้ด้วยครับ เวลาเราขับรถเข้ามาในบ้าน ไฟในโรงรถจะติดขึ้นเองอัตโนมัติ
ภายในบ้านติดกล้องวงจรปิด CCTV เอาไว้ให้เรียบร้อย และมีอยู่ในส่วนอื่นของบ้านอีกทั้งหมด 3 จุด
ก็อกน้ำสำหรับเสียบสายยางล้างรถก็เตรียมไว้ให้แล้ว
จากส่วนของโรงรถ เดินออกไปด้านข้างบ้าน บริเวณรั้ว จะมีทางเชื่อมออกไปยังจุดทิ้งขยะหน้าบ้านได้
ซึ่งบริเวณเดียวกันนี้ จะเป็นจุดที่เค้าเดินสายไฟฟ้า จากใต้ดิน ขึ้นมาภายในบ้านด้วย สามารถมาเปิดช่องตรงนี้เพื่อ Maintenance ได้
จุดทิ้งขยะ จะเป็นช่องแบบนี้ มีหน้าบ้าน Aluminium ปิดมิดชิด ไม่ต้องกลัวหนู แมลง หรือสัตว์เลี้ยงคลานจะเข้าไปนะครับ สามารถล็อคจากภายในได้
ตัวถังขยะ, ตู้ไฟ และตู้จดหมาย จะเชื่อมออกมายังบริเวณรั้วหน้าบ้านแบบนี้ได้ครับ ซึ่งสามารถเปิดได้จากบริเวณนอกบ้าน ไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้านด้วยครับ
ทางเข้ารองของบ้าน จะอยู่ติดกับส่วนลานจอดรถแบบนี้ ตรงนี้จะเปิดเข้าไปเจอกับห้องรับประทานอาหารครับ
Step บันไดทางขึ้น ปูด้วยหินอ่อน
ด้านข้างตรงนี้ จะมีส่วนที่เป็นเฉลียงหน้าบ้าน ที่เรียกว่า Foyer เป็นพื้นที่ที่ถูกยกระดับขึ้นมาจากพื้นหน้าบ้าน แต่ยังไม่ได้เข้าไปในตัวบ้านครับ และจะมีชายคาอยู่ด้านบนสำหรับกันแดด กันฝน
พื้นที่ตรงนี้เราสามารถตั้งโต๊ะน้ำชา ใช้เป็นพื้นที่นั่งเล่น อ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟตอนเช้า ตอนที่แดดไม่ร้อนมาก ยังอยู่ในร่มเงาของบ้านอยู่ เป็นส่วนที่ออกมาใช้นั่งผ่อนคลายได้
บริเวณหน้าบ้านตรงนี้ เค้าจะติดโคมไฟแบบนี้มาให้ด้วย และบริเวณผนังภายนอกบ้านส่วนนี้จะตกแต่งด้วยหินประดับ เพื่อเพิ่ม Texture ให้กับผนังบ้านด้วยครับ
ต่อมาเรามาดูส่วนทางเข้าหลักของบ้านบ้าง ซึ่งจะอยู่อีกด้านหนึ่ง
พื้นที่ด้านหน้าทางเข้า จะมีการปูกระเบื้องเอาไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นทางเดินเชื่อมจากตัวบ้าน ไปยังสวนที่อยู่ด้านข้าง
ที่พื้นตรงนี้จะมีการฝังหลอดไฟ LED เอาไว้ด้วย เป็นการจัดแสงให้เกิดเป็น Lighting Effect ในเวลากลางคืน
ทางเดินจากหน้าบ้าน จะเชื่อมไปยังสวนที่อยู่ด้านข้างของตัวบ้าน
บ้านทุกหลังจะมีสระว่ายน้ำในตัวอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลว่าที่คลับเฮาส์นั้นไม่ได้มีสระว่ายน้ำมาให้ ซึ่งก็จะมีทั้งข้อดีข้อเสียนะครับ ข้อดีคือ บ้านแต่ละหลังก็จะได้จะได้ความเป็นส่วนตัวในการใช้สระว่ายน้ำ ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น ว่ายได้ไม่ต้องอายใคร สบายใจ จะชวนเพื่อนมา Pool Party ที่บ้านก็ทำได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปรบกวนใครรึเปล่า
แต่ข้อเสียของการมีสระว่ายน้ำในบ้านก็คือ ตัวสระว่ายน้ำมันก็จะมีขนาดที่จำกัด อย่างที่นี่ขนาดมันจะแค่ประมาณ 4×8 ตารางเมตรเท่านั้นเอง (ไม่นับส่วน Jacuzzi) การที่จะว่ายน้ำแบบออกกำลังกายจริงจังอาจจะทำไม่ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ แต่ละบ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสระว่ายน้ำของตนเองนะครับ จะได้ใช้ ไม่ได้ใช้ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ตัวสระว่ายน้ำของบ้านหลังใหญ่จะพิเศษกว่าหลังเล็กตรงที่จะมี Jacuzzi มาให้ด้วยนะครับ แล้วบันไดสำหรับเดินลงสระน้ำ ก็จะไม่ใช่บันไดราวเหล็กแบบปกติที่เค้าใช้กันตามสระน้ำทั่วๆไปนะครับ แต่จะเป็นบันไดแบบก่อปูน ปูกระเบื้อง ให้สามารถเดินลงสระได้ง่ายๆ
พื้นที่สวนข้างบ้าน ถึงแม้จะใส่สระว่ายน้ำลงไปแล้ว ก็ยังพอมีเหลือให้ทำอะไรได้อีกนะครับ จะทิ้งไว้เป็นพื้นที่จัดสวนแบบนี้ก็ได หรือถ้าบ้านไหนมีเด็ก จะไปซื้อเครื่องเล่นเด็ก มาให้เด็กปีนป่ายเล่นก็ได้นะ
รั้วบ้าน อย่างที่ได้อธิบายไปตอนแรก คือเค้าจะปลูกต้นไม้มาคลุมรั้วเหล็กเอาไว้อีกทีนะครับ เพื่อให้ดูเนียนตา กลืนไปกับพื้นที่สวนของบ้านเลย
ข้างๆบ้านตรงนี้ มีทางเดินเล็กๆ เชื่อมจากตัวบ้าน ออกมายังศาลาที่อยู่ด้านข้างด้วย
ศาลาตรงนี้เป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่น ชมสวน กรณีที่เราอยากจะออกมาผ่อนคลาย รับแสงแดด รับลมบ้าง ซึ่งอันนี้ตัวบ้านจริงๆเค้าไม่ได้ทำเอาไว้ให้นะครับ แต่ทำให้ดูเป็นไอเดียเฉยๆ ใครที่ชอบพื้นที่แบบนี้ก็สามารถทำตามได้ ถ้าที่ดินภายในบ้านมีเหลือเพียงพอ
มุมเล็กๆตรงนี้เราอาจจะใช้เป็นมุมออกมานั่งจิบเครื่องดื่ม ชมสวน ในลักษณะนี้ก็ได้
จบจากพื้นที่รอบๆตัวบ้านแล้ว เราจะเข้าไปดูภายในบ้านกันครับว่า ฟังก์ชั่นภายในเค้าจัด และตกแต่งออกมาเป็นอย่างไร
ประตูทางเข้าบ้าน จะเป็นประตูไม้จริงนะครับ เป็นแบบบ้านคู่อย่างที่เห็น มือจับเป็นทองเหลืองรมดำ ของ Baldwin
เปิดประตูหน้าออกปุ๊บ เราจะเจอกับพื้นที่ที่เป็น Foyer ด้านหน้าตรงนี้ก่อน ซึ่งเป็นเหมือนกับโถงต้อนรับ แยกออกมาจากส่วนรับแขก
พื้นที่ตรงนี้จะได้ผนังกระจก สามารถให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ เราอาจจะวางตู้รองเท้าเล็กๆ และเก้าอี้อีกตัว สำหรับนั่งถอดรองเท้า ใส่รองเท้าตรงนี้ก็ได้ จะได้ไม่ต้องออกไปใส่ๆถอดๆ นอกบ้าน หรือ ในห้องรับแขก
พื้นด้านหน้าตรงนี้จะปูด้วยหินอ่อนธรรมชาตินะครับ ตกแต่งเป็นลวดลายอย่างที่เห็น
เข้ามาด้านใน จะพบกับห้องรับแขกก่อนเป็นอันดับแรก ขนาดของห้องรับแขกนี้ใหญ่มาก เดิมทีตัวบ้านจะไม่ได้มีการกั้นผนังมาให้ เราสามารถเลือกที่จะกั้นพื้นที่แบบไหนก็ได้ตามใจเรา แต่อันนี้เค้าแบ่งส่วน Living Room ออกเป็น 2 ส่วน แยกเป็นส่วนรับแขก กับส่วนที่สมาชิกในบ้านใช้งานเอง
ห้องรับแขกนี้จะวางอยู่ตำแหน่งด้านหน้าของตัวบ้าน มีผนังกระจกรอบด้าน เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ และสามารถรับวิวสวนรอบๆบ้าน หรือสระว่ายน้ำได้เลย พื้นที่ของห้องรับแขก ใหญ่พอที่จะใส่โซฟาได้รอบด้านแบบนี้ พร้อมทั้งวางโต๊ะกลางได้อีก 1-2 ตัวด้วย รองรับการใช้งานได้ 10-15 คนสบายๆ ขึ้นอยู่กับการจัด
ผนังด้านหน้าสุดของบ้าน จะดีไซน์ออกมาเป็นหน้าต่างเข้ามุม แบบ Bay-Window แบบเฉียงๆ ซึ่งเราสามารถ Built-in โซฟาโค้งลักษณะนี้ ใส่เข้าไปได้เลย ซึ่งก็จะได้เป็นพื้นที่นั่งรับแขกที่สมบูรณ์
พื้นที่อีกส่วนหนึ่ง ก็อาจจะจัดโซฟา ผสมกับ Armchair และม้านั่ง รวมๆกันแบบนี้ เพื่อให้สามารถนั่งได้หลายแบบ แล้วแต่ว่าผู้อยู่อาศัยจะอยากได้แบบไหน ตรงกลางสามารถวางโต๊ะกลางขนาดใหญ่ได้เลย
พื้นบ้าน บริเวณชั้นล่างนี้ จะปูด้วยหินสังเคราะห์ครับ ซึ่งจะเป็นวัสดุที่ทนทาน มีความแข็งแรงมากกว่าหินอ่อน และทนกรด ทนด่าง ทนของเหลว และยังให้ความหรูหราได้ไม่แพ้กันด้วย
ความสูงพื้นถึงฝ้าของตัวบ้าน จะอยู่ที่ 3.00 เมตรครับ ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ในบางจุดที่มีการดรอปฝ้าจะสูงขึ้นไปอีก 20 cm แอร์ที่ให้ภายในบ้าน จะเป็นแบบ Cassette Type 4 ทิศทางแบบนี้ทั้งหลัง หลังเล็กจะได้แอร์ 10 เครื่อง หลังใหญ่ได้ 12 เครื่อง ติดตั้งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตามจุดต่างๆ
ถัดจากส่วนรับแขกเข้ามาด้านใน ตรงบริเวณโถงด้านหน้าบันไดตรงนี้ จะสามารถมีห้องนั่งเล่นได้อีกหนึ่งจุดครับ โดยจะอยู่เชื่อมกับห้องรับประทานอาหาร
พื้นที่ตรงนี้ หลักๆแล้วจะไม่ได้ใช้เป็นส่วนรับแขกซักเท่าไหร่นะครับ จะเห็นว่าจะมีทีวีวางไว้ด้วย เพราะเค้าตั้งใจจะให้เป็นพื้นที่สำหรับคนในบ้านได้มาใช้มากกว่า เช่น มานั่งเล่นระหว่างรออาหาร หรือสมาชิกภายในบ้านใช้เป็นที่นั่งดูทีวีด้วยกัน เป็นมุมที่ให้ความรู้สึกสบายๆชิลๆมากกว่า ไม่ดูเป็นทางการเท่ากับห้องรับแขก เป็นบริเวณที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหารและเชื่อมพื้นที่ทั้งสองเข้าด้วยกัน
พื้นที่ Living Room 2 ตรงนี้จริงๆขนาดก็ไม่ได้เล็กนะครับ สามารถวางโซฟาตัวขนาด 3-4 ที่นั่งได้สบายๆ ระยะดูทีวีเหมาะสม จัดทีวีขนาด 50-60 ได้ มีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะกลางได้อีกตัว โดยที่ไม่มาเกะกะขวางทางเดินด้วย
แล้วบริเวณด้านข้าง จะมีประตูทางออก เชื่อมออกไปยังพื้นที่ Deck ที่อยู่ด้านข้างบ้านด้วย
เมื่อเปิดประตูจากห้อง Living Room 2 ออกมาปุ๊บ เราจะพบกับบริเวณที่เป็น Deck ริมสระว่ายน้ำ ซึ่งพอเชื่อมออกมาแบบนี้แล้ว จะทำให้การใช้งานห้อง Living Room กับสระว่ายน้ำนั้นทำได้ง่าย เราสามารถจัด Pool Party ตรงนี้ได้ แล้วเดินเข้า-ออกตัวบ้านได้สะดวก เปิดประตูเชื่อมพื้นที่ถึงกันได้หมด
วัสดุของพื้นด้านนอกจะเป็นไม้เทียมครับ ซึ่งก็จะให้ความรู้สึกเหมือนไม้ แต่จะทนความชื้น ทนแดด ทนฝนได้ดีกว่าไม้ธรรมชาติ
ตัวประตูจะวางอยู่บนธรณีนะครับ ซึ่งยกระดับสูงนิดนึง เพราะตรงนี้จะเป็นพื้นที่ภายใน กับพื้นที่ภายนอก ทำแบบนี้ดีแล้ว แต่ว่าเวลาเดินเข้าเดินออกก็ต้องระวังไม่ให้สะดุดนะครับ
ตัวชุดประตูบานเลื่อนที่ใส่มาให้ จะเป็นวัสดุแบบ Aluminium อบสีขาวนะครับ ตัวบานประตูมีการ Seal ขอบ เพื่อกันเสียง กันฝุ่น กันแมลงด้วย
บริเวณประตู/หน้าต่าง ทุกบาน จะมีการติดสัญญาณกันขโมย แบบ Shock Sensor และ Magnetic Sensor มาให้ด้วยเป็นมาตรฐานครับ
ด้านข้างบ้านนี้ จะมีประตูซึ่งเปิดเข้าไปยังส่วนที่เป็นห้องรับรอง ที่อยู่บริเวณด้านข้างของสระว่ายน้ำด้วยนะครับ
ห้องรับรองอันนี้ เป็นห้องเอนกประสงค์ที่มีห้องน้ำในตัวครับ เราสามารถใช้เป็นห้อง Living Room อีกจุดหนึ่ง สำหรับใช้เป็นห้อง Party เป็นห้องรับแขกแบบพิเศษก็ได้ เพราะอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ
อย่างในห้องนี้เค้าจะจัดเป็นห้อง Home Entertainment ครับ เราจะใส่เครื่องเสียงไว้ พาเพื่อนมาร้องคาราโอเกะที่บ้านก็ได้
ขนาดของห้องนี้ ใหญ่พอที่จะจัดเป็นห้องนอนอีกห้องได้ด้วย เพราะยังไงมีห้องน้ำในตัวอยู่แล้ว สามารถรองรับฟังก์ชั่นได้หลายรูปแบบครับ
ที่ห้องนี้ เราเปิดประตูออกมา ก็จะเจอกับสระว่ายน้ำทันที ได้บรรยากาศอีกแบบ
เรามาดูห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนี้กันซักนิดนึงครับ
ห้องน้ำภายในห้องรับรอง จะได้เป็นห้องแบบที่มี Shower Box ด้วยนะครับ สามารถใช้อาบน้ำได้เลย ตัวห้องน้ำติดกระจกเงาบานใหญ่มาให้ ตลอดแนวผนังห้องน้ำ มีหน้าต่างรับแสงธรรมชาติ และสามารถเปิดเพื่อระบายอากาศได้
พื้นที่ภายในห้องน้ำขนาดไม่เล็กเลย ถ้าเทียบว่านี่คือห้องเอนกประสงค์ สามารถวางฟังก์ชั่นทุกอย่างได้โดยไม่อึดอัด ใช้งานได้ปกติ
วัสดุอุปกรณ์ในห้องน้ำ เป็นสุขภัณฑ์ของ Cotto ทั้งหมด เคาน์เตอร์ท้อปเป็นหินสังเคราะห์ ปูกระเบื้องแบบกันลื่นมาให้เรียบร้อย
จบจากห้องรับรองแล้ว เรากลับเข้าไปดูภายในบ้านกันต่อ ใกล้ๆกับห้องรับรองนี้ จะมีประตูอีกบานหนึ่ง สำหรับเปิดเข้าไปยังตัวบ้านนะครับ
ลูกบิดประตู และกลอน ยังคงเป็นทองเหลืองรมดำจาก Baldwin อยู่นะครับ ให้ความรู้สึกที่แข็งแรง หรูหรา กว่า Stainless Steel ทั่วๆไปมาก
ต่อมาเราจะไปดูห้องรับประทานอาหารกันบ้าง ซึ่งจะอยู่เชื่อมกับส่วน Living Area 2 นะครับ โดยเค้าจะใส่ประตูกระจกกั้นเอาไว้ เพื่อแยกฟังก์ชั่นออกจากกัน แต่เราจะไม่กั้นแล้วเปิดเป็นพื้นที่โล่งๆที่เชื่อมต่อกันก็ได้ แล้วแต่เราเลย
เข้ามาในห้องรับประทานอาหารปุ๊บ ตัวห้องจะแบ่งฟังก์ชั่นออกเป็นสองส่วนครับ คือส่วนที่เป็น Pantry ครัวฝรั่งอยู่ด้านที่ติดกับผนังหลังบ้าน และส่วนที่เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร วางอยู่ติดฝั่งผนังหน้าบ้าน ตรงกลางเว้นเอาไว้เป็นทางเดิน เพื่อให้เดินต่อไปยังส่วนครัวที่อยู่หลังบ้านได้
พื้นที่สำหรับวางโต๊ะรับประทานอาหาร เราสามารถใส่โต๊ะยาวขนาด 10 ที่นั่งแบบนี้ได้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือ สามารถเปลี่ยนเป็นโต๊ะกลมก็ได้ แล้วแต่ชอบนะครับ
ด้านข้างของโต๊ะกินข้าว มีประตูเปิดออกไปยังส่วนที่เป็นเฉลียงข้างบ้านแบบนี้ด้วย สามารถออกไปนั่งเล่นจากทางนี้ได้
และตรงนี้ก็จะเป็นประตูทางเข้ารองของบ้าน เปิดออกไปเจอกับส่วนลานจอดรถ
อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกินข้าว จะเป็นส่วนที่วางเคาน์เตอร์ครัวฝรั่งครับ ซึ่งจะมีพื้นที่ให้สำหรับวางโต๊ะ Island ได้อีก ใช้สำหรับเป็นโต๊ะนั่งทานอาหารเช้า กินขนมเล็กๆน้อยๆได้ อันนี้เค้าจัดให้ดูเป็นไอเดียเฉยๆ ของจริง เราอาจจะเอาเตาไฟฟ้า และที่ดูดควัน มาติดตรงกลาง แล้วทำเป็นเคาน์เตอร์ครัวสไตล์ฝรั่งในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้
ส่วนเคาน์เตอร์ครัววางติดอยู่กับผนังด้านหลังบ้าน ซึ่งมีพื้นที่ให้เราสามารถจัดเป็นเคาน์เตอร์ยาวตลอดแนวผนังแบบนี้ได้ ตัวครัวฝรั่งนี้เค้าไม่ได้แถมมาให้นะครับ แล้วแต่ว่าจะจัดแบบไหน แต่จะมีการเดินท่อ วางระบบก็อกน้ำเอาไว้ให้แล้ว
ตรงนี้จะมีหน้าต่างอยู่ด้วย ทำให้บริเวณครัวมีแสงธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาได้ สามารถเปิดระบายอากาศได้ ถ้ามีการทำครัวเกิดขึ้น
และบริเวณด้านข้างของแพนทรี่ตรงนี้ จะมีอุปกรณ์อีกอย่างที่ใส่มาให้เฉพาะบ้านหลังใหญ่เท่านั้น นั่นก็คือ ลิฟท์! ภายในบ้านนั่นเองครับ
ลิฟท์อันนี้มีมาให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุที่อาจจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองไม่ไหว หรือคนป่วยที่อาจจะต้องใช้รถเข็นครับ เพื่อให้สามารถขึ้นลงระหว่างชั้นบนกับชั้นล่างได้สะดวก
หลักการทำงานของลิฟท์ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีอยู่ปุ่มเดียว กดปุ๊บลิฟท์ก็จะเลื่อนลงมารับเรา ระหว่างที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนที่ลงมา ประตูอันนี้ก็จะล็อคอยู่ครับ เปิดไม่ได้ เพื่อความปลอดภัย
ขนาดของลิฟท์ไม่ได้ใหญ่อะไร แค่พอให้คน 1-2 คน เข้าไปได้แค่นั้น
ด้านในมีปุ่มอีกสองปุ่ม ก็คือชั้น 1 กับชั้น 2 มีราวจับมาให้เกาะระหว่างที่ลิฟท์กำลังเคลื่อนที่
ตัวลิฟท์รับน้ำหนักได้เต็มที่ 250 kg ครับ หรือคนประมาณ 2 คน (เพราะมีที่ยืนแค่นั้น) มีปุ่มหยุดฉุกเฉินมาให้ด้วย
ตัวลิฟท์นี่คนทั่วๆไปก็คงจะไม่ได้จำเป็นต้องใช้หรอกครับ เพราะลิฟท์มันช้ามาก เมื่อเทียบกับลิฟท์ในห้าง เดินขึ้นเอาเร็วกว่า เพราะบ้านแค่ 2 ชั้น ลำพังแค่บันไดก็คงไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก แต่ถ้าเอาไปใส่ไว้ในบ้าน 3-4 ชั้น นี่จะมีผลมากขึ้นเยอะเลย
ต่อจากส่วนรับประทานอาหาร ตรงนี้จะมีประตูอีกสองบานครับ ทางซ้ายเปิดไปยังส่วนครัวไทยและส่วนแม่บ้านที่อยู่ด้านหลัง ส่วนประตูทางขวาเป็นทางเข้าห้องนอนชั้นล่าง เราจะไปดูทางซ้ายกันก่อน
ประตูทางซ้ายเปิดออกมาปุ๊บจะเจอกับโถงทางเดินที่จะแจกไปยังห้องต่างๆ ที่เป็นส่วนของแม่บ้านครับ ประตูแรกสุดทางซ้ายจะเป็นห้องครัวไทย และด้านหลังจะเป็นห้องแม่บ้าน
ครัวไทยจะเป็นห้องครัวปิด ที่แยกส่วนออกมาจากตัวบ้าน สามารถมาประกอบอาหารอย่างจริงจังตรงนี้ได้เลย
ชุดครัวที่เค้าแถมมาให้จะหน้าตาไม่ได้เหมือนในบ้านตัวอย่างนะครับ และจะมีเฉพาะตู้ และเคาน์เตอร์ครัวด้านล่าง ส่วนตู้ลอยด้านบนต้องไปติดเพิ่มเอง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่แถมก็จะมี เตาแก๊ส และ ที่ดูดควันของ Siemens แถมมาให้เลย (แต่ทำไมในบ้านตัวอย่าง ติดของ Teka มาให้ดูก็ไม่รู้ ไม่ได้แถม)
ห้องครัวที่เค้าจะให้มา มีพื้นที่ให้สามารถใส่ตู้เย็นขนาดใหญ่แบบนี้ได้ จะให้มี 2 ตู้ก็ยังได้ มีพื้นที่พอ
อีกด้านหนึ่งเป็นตำแหน่งของเตา, เตาอบ, ที่ดูดควัน และพื้นที่เตรียมอาหาร
พื้นครัวเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิโต้ปกติ ขนาด 60×60 ใครไม่ชอบสีนี้ ก็เปลี่ยนเองได้เลยจ้า
อ่างล้างจานของ Teka มีมาให้เป็นมาตรฐาน
ตัวหัวก็อกสามารถปรับ Jet ของน้ำได้ ให้น้ำไหลออกกว้างๆ หรือ แคบๆ
ถัดจากห้องครัว จะเป็นห้องนอนแม่บ้าน/พ่อบ้าน (หรือคนสวน หรือคนขับรถ แล้วแต่เลย) มีมาให้ 2 ห้องแยกกัน
ภายในห้องนอนก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆ มีหน้าต่างบานนึง วางเตียง 3.5 ฟุต กับตู้เสื้อผ้าลงไป ก็เต็มแล้ว ใครจะไม่ให้แม่บ้านนอนที่นี่ แล้วใช้เป็นห้องเก็บของก็ได้นะ
ห้องน้ำของแม่บ้านมีห้องเดียว แชร์กันใช้ระหว่างสองห้อง ฟังก์ชั่นมาตรฐาน มีอ่างล้างหน้า, โถสุขภัณฑ์, และ Shower Box แต่ยังไม่ได้ติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้ ซึ่งผมคิดว่า ถึงเค้าจะเป็นแม่บ้าน แต่ถ้าติดให้มันก็ดีกว่านะครับ ใช้งานส่วนเปียกส่วนแห้งแยกกันได้ เพราะห้องน้ำนี้ไม่ได้ใช้แค่คนเดียว เราอาจจะมาใช้ด้วยก็ได้ เวลาทำครัว หรือเวลาซักผ้า อะไรแบบนี้
ออกมาด้านหลังสุดของบ้าน (ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ด้านข้างของตัวบ้าน) จะเป็นลานซักล้างครับ ซึ่งตรงนี้จะเป็นโครงสร้างเดียวกันกับตัวบ้านเลย ตัวลานซักล้าง ปูกระเบื้องมาให้แล้วเสร็จสรรพ พร้อมใช้งาน
บริเวณตรงนี้ เดินท่อน้ำ สำหรับติดเครื่องซักผ้ามาให้ 2 จุด ด้านข้างมีพื้นที่เหลือสำหรับวางพวกเครื่องอบผ้าได้อีก
ตัวลานซักล้างจะมีทางเดินเชื่อมออกไปยังส่วนของที่จอดรถด้วย เวลาเราไปซื้อของ กลับมาจาก Super Market เราสามารถให้คุณแม่บ้าน ขนของลงจากรถ แล้วขนของเข้ามาเก็บหลังบ้าน เข้าไปยังส่วนครัวได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวบ้านครับ
ปั๊มน้ำในบ้าน ติดมาให้แล้ว เป็นยี่ห้อ Hitachi กำลังไฟ 400 W แยกชั้นบนชั้นล่าง น้ำแรงแน่นอนไม่ต้องห่วง ส่วนถังน้ำจะแถมเป็นถัง 2000 ลิตรมาให้นะครับ
กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง นี่เรายังอยู่ชั้นล่างอยู่เลยนะ ฟังก์ชั่นอีกอย่างหนึ่งของชั้นล่างนี้ก็คือ ห้องนอนที่ 5 ครับ ซึ่งเข้าได้จากทางห้องรับประทานอาหาร
ห้องนอนชั้นล่างนี้ ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่อยากจะเดินขึ้นชั้น 2 และจะได้อยู่ใกล้ๆกับสมาชิกในบ้านมากขึ้น หรือจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับแขกที่มาพักที่บ้านก็ได้ กรณีที่ในบ้านอาจจะไม่ได้มีผู้สูงอายุอยู่ด้วย
ขนาดของห้องนอนนี้ ถึงจะเป็นห้องนอนชั้นล่าง แต่ก็ไม่เล็กเลย มีพื้นที่เหลือเฟือ อยู่ 2 คนได้โดยไม่อึดอัด
ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 5-6 ฟุตได้ โดยที่มีพื้นที่ด้านข้างสำหรับวางโต๊ะหัวเตียงได้ทั้งสองฝั่ง
พื้นที่ปลายเตียง เหลือพอที่จะวางชั้นวางทีวีแบบนี้ จะใส่ก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้ เพราะยังมีพื้นที่เหลือปลายเตียงอยู่
ส่วนห้องน้ำจะมีทางเข้าอยู่ด้านหลังหัวเตียงอีกที โดยจะมีห้องแต่งตัว Walk-in Closet วางอยู่ด้านหน้าก่อนเข้าห้องน้ำแบบนี้
ตัวห้องน้ำก็จะจัดออกมาคล้ายๆกับห้องน้ำที่อยู่ในห้องรับรองเอนกประสงค์นะครับ มีฟังก์ชั่นต่างๆคล้ายกัน ต่างกันที่ตำแหน่งการวางโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้า
Spec ของวัสดุ ยังคงเป็น Cotto เหมือนเดิม
พื้นที่ในห้องน้ำมีประมาณนี้
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือขนาดมาตรฐาน มีช่องสำหรับเก็บของใต้อ่าง
หัวก็อกของ Cotto ในห้องน้ำวางระบบน้ำร้อน-น้ำเย็นเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้ติดเครื่องทำน้ำร้อนมาให้ครับ ต้องไปซื้อมาติดเอง
กระจกเงาบานใหญ่ ตลอดแนวผนังห้องน้ำ
ก่อนที่เราจะขึ้นไปดูที่ชั้นสอง เรามาดูฟังก์ชั่นบริเวณโถงใต้บันไดกันซักหน่อยครับ
บริเวณใต้บันไดจะมีห้องอยู่ 3 ห้องนะครับ ทางขวาสองห้อง จะเป็นห้องเก็บของ และทางซ้ายสุดจะเป็นห้องน้ำ Powder Room ครับ ส่วนตรงกลางที่อยู่ตรงตำแหน่งเสานั่นไม่ใช่ห้องนะครับ เป็นแค่ตู้งานระบบที่มีหน้าบานปิดไว้เฉยๆ
ห้องเก็บของใต้บันได จะแบ่งออกมาเป็นสองห้อง สำหรับแยกประเภทของที่จะเก็บ ห้องเก็บของห้องแรกจะมีขนาดเล็กกว่า และเตี้ยกว่าครับ เป็นห้องทึบๆเลย
ส่วนห้องเก็บของห้องที่สอง จะเป็นห้องที่สูงกว่า มีหน้าต่างสำหรับระบายอากาศได้ อาจจะใช้เก็บของที่ต้องการห้องที่มีอากาศถ่ายเท
ภายในห้องนี้เค้าจะติดจอมอนิเตอร์สำหรับกล้อง CCTV เอาไว้ให้ดูครับ จะเป็นกล้องภายในบ้าน 3 ตัว และอีกตัวจะอยู่ที่บริเวณป้อมรปภ.ที่ทางเข้าหมู่บ้าน สำหรับดูแขกที่มาหา ถ้าเป็นใครไม่รู้ รปภ.ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้านได้ครับ
บริเวณตรงเสาใต้บันได จะมีส่วนที่เก็บตู้ไฟ และงานระบบต่างๆเอาไว้ ส่วนไฟฟ้าภายในบ้านจะเป็นไฟ 3 เฟส 30/150 ครับ
ถัดมาตรงนี้เป็นฟังก์ชั่นสุดท้ายของตัวบ้านชั้นล่างครับ นั่นก็คือ ห้องน้ำ Powder Room นั่นเอง ซึ่งจะเป็นห้องน้ำสำหรับห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหาร คนที่อยู่ชั้นล่างก็คือมาใช้ห้องน้ำนี้หมด รวมถึงแขกที่มาที่บ้านด้วย ห้องน้ำห้องนี้เลยจะมีการอัพเกรด Spec วัสดุ ให้ดูดีกว่าห้องน้ำห้องอื่นๆอยู่พอสมควร
เคาน์เตอร์อ่างล้างมือเป็นเคาน์เตอร์ยาว แล้วด้านบนจะมีชั้นวางของเล็กๆสีดำ สำหรับวางของใช้ในห้องน้ำ พวกสบู่, กระดาษทิชชู่ ได้อีก
ผนังและพื้นห้องน้ำห้องนี้ จะปูด้วยหินอ่อน ไม่เหมือนห้องอื่นที่เป็นแค่กระเบื้อง
โถสุขภัณฑ์ก็จะเกรดที่ดีกว่า มีขนาดใหญ่กว่าด้วย เพราะห้องน้ำห้องนี้ก็เป็นหน้าเป็นตาของบ้านเหมือนกัน
โอเค ได้เวลาขึ้นไปชั้นสองซะที กว่าจะจบที่ชั้นล่างนี่เล่นเอาเหนื่อยเลย
วัสดุพื้นบันไดจะเป็นพื้นไม้จริง มีชานพักบันไดสี่เหลี่ยมแบบมาตรฐาน
โถงบันไดเจาะช่องหน้าต่างขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ โดยไม่ต้องเปิดไฟมากนักในเวลากลางวัน
วัสดุราวบันได ใช้ไม้ และเหล็กดัด
บัวพื้นบันไดแบบสองชั้น เป็นลักษณะนี้
เวลาเดินขึ้นบันไดต่อไปยังชั้นสอง จะสังเกตเห็นฝ้าเพดานที่เค้าจะดรอปฝ้า และซ่อนไฟหลืบเอาไว้ เราจะทำตามแบบนี้ก็ได้นะครับ เพื่อความสวยงามของตัวบ้าน
พอมาถึงชั้นสองปุ๊บ เราก็จะเจอกับโถงทางเดินชั้นสองแบบนี้ ก่อนที่จะเข้าไปสู่ยังห้องนอนห้องต่างๆ ส่วนวัสดุพื้นของชั้นสองนี้จะเป็นพื้นปาเก้ไม้มะค่าครับ ซึ่งจะเป็นพื้นแบบนี้ทั้งชั้นเลย (ยกเว้นห้องน้ำกับระเบียงนะ)
บริเวณด้านหน้าของชั้นสองตรงนี้จะเป็นห้อง Family Room ซึ่งเป็น Common Area ที่สมาชิกในบ้านที่อยู่ชั้นสอง สามารถมาใช้พื้นที่ตรงนี้ร่วมกัน โดยจะจัดเป็นห้องดูทีวี หรือเป็นห้องอ่านหนังสือตรงนี้ก็ได้ และตรงนี้จะเป็นตำแหน่งของลิฟท์ที่ขึ้นมาจากชั้นล่างด้วย พอเปิดลิฟท์ออกมาก็จะได้เจอกับส่วนของ Family Room เลย
แต่เราจะสังเกตอย่างหนึ่งนะครับว่า บ้านที่นี่ Family Room จะไม่ได้ใหญ่มาก ทั้งๆที่บ้านเป็นบ้านหลังใหญ่ จริงๆแล้วเพราะว่า ในห้องนอนแต่ละห้องของที่นี่ จะมีมุมที่เป็นมุมแบบ Living Area ส่วนตัวภายในห้องอยู่แล้ว ความจำเป็นของ Family Room จึงลดลงไป และห้องนั่งเล่นด้านล่างก็มีให้ถึง 2 จุดแล้วด้วย ให้สมาชิกในบ้านลงไปนั่งข้างล่างด้วยกันน่าจะสะดวกกว่า
ถัดจาก Family Room จะมีห้องนอนอยู่ 2 ห้องครับ เราจะมาดูห้องนอนที่ “เล็กที่สุด” ของบ้านหลังนี้กันก่อน (ไม่นับห้องนอนชั้นล่างนะครับ)
ห้องนอนห้องนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นห้องนอนที่เล็กที่สุดของบ้านหลังนี้ แต่ก็เรียกได้ว่าใหญ่กว่า Master Bedroom ของบ้านหลายๆหลังเลยก็ว่าได้ พื้นที่ในห้องนี่จัดมาให้ดูแบบเหลือเฟือเลย
พื้นที่ในห้องสามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตเอาไว้ได้ แล้วยังมีพื้นที่เหลือสองฝั่ง ความจริงถ้าห้องนี้นอนคนเดียว เราใส่แค่เตียง 5 ฟุตก็พอครับ เพื่อให้เหลือพื้นที่ข้างเตียงอีกหน่อย เอาไว้วางเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นได้
ผนังฝั่งที่อยู่ด้านหน้าห้อง สามารถใส่ตู้เก็บของ หรือโต๊ะทำงานเพิ่มได้ โดยที่ไม่เกะกะ
ปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับวางชั้นวางทีวีได้ และเป็นส่วนที่อยู่ติดกับหน้าต่าง
หัวเตียงไม่ได้วางได้แค่โต๊ะหัวเตียงนะครับ แต่สามารถใส่อาร์มแชร์อีกตัวได้สบายๆ เผื่อใครอยากจะใช้พื้นที่ตรงนี้สำหรับทำอย่างอื่น จะเอาโต๊ะเอนกประสงค์มาวางที่ผนังฝั่งนี้ก็ได้
ตู้เสื้อผ้าของห้อง สามารถกั้นให้เป็น Walk-in Closet แยกออกไปได้ มีพื้นที่เหลือสำหรับวางโต๊ะเครื่องแป้งเพิ่มได้ด้วย
ส่วนห้องน้ำภายในห้องนี้ ขนาดก็จะใกล้เคียงกับห้องน้ำในห้องนอนอื่นๆ ฟังก์ชั่นก็เหมือนกัน
แต่ขนาดของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ จะได้เป็นเคาน์เตอร์ยาว ตลอดแนวผนังของห้องน้ำครับ ส่วนโถสุขภัณฑ์จะอยู่ปลายสุดอีกด้านหนึ่ง ส่วน Spec วัสดุของห้องน้ำห้องนี้ ก็เรียกว่าใกล้เคียงกับห้องอื่นๆ อาจจะมีรูปแบบ ลวดลายของกระเบื้อง ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง
ส่วนพื้นที่ Shower Box ของห้องนี้ ก็จะคล้ายๆกับห้องอื่นครับ ขนาดใช้งานได้สะดวก ในห้องน้ำมีหน้าต่างสำหรับเปิดระบายอากาศ เช่นเดียวกัน
ถัดมาเป็นห้องนอนเล็กห้องที่สองครับ ห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย
ห้องนอนเล็กห้องที่สอง จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นโซนโซฟานั่งเล่น ที่เป็นเหมือน Living Area ภายในห้อง เพิ่มเข้ามาอยู่ติดกับประตูทางเข้าห้องนอน ตรงนี้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ ที่เราสามารถจัดฟังก์ชั่นได้หลากหลาย จะเอาโซฟามาตั้งอย่างที่เห็นในภาพก็ได้ หรือจะจัดเป็นมุมโต๊ะทำงาน หรือเพิ่มปริมาณตู้เสื้อผ้าในห้องนี้ก็ได้
เตียงนอนในห้อง ใส่เป็นขนาด 5 หรือ 6 ฟุตก็ได้ ตามใจชอบเลย แล้วแต่ว่าห้องนี้อยู่กี่คน ถ้าใครพอใจที่ 3.5 ฟุต ก็ทำได้ ซึ่งก็จะเหลือพื้นที่หัวเตียงอีกเยอะเลย
พื้นที่ปลายเตียง กว้างพอที่จะวางเคาน์เตอร์ชั้นวางทีวีได้ และมีพื้นทีเ่หลือให้สำหรับโซฟาที่อยู่ปลายเตียง หรือจะวางเก้าอี้อีกตัวสำหรับทำโต๊ะทำงานที่อยู่ปลายเตียง แบบในบ้านตัวอย่างก็ได้
ปลายเตียงของห้องนี้ เค้าใส่เคาน์เตอร์ยาวตลอดแนวผนังห้องให้ดูว่าสามารถทำแบบนี้ได้ ซึ่งจริงๆแล้วบนผนังห้อง ยังเหลือพื้นที่สำหรับแขวนตู้ลอยได้อีกหลายบานเลย ส่วนทีวีปลายเตียงจะเอาขึ้นแขวนผนัง หรือจะเอาวางบนชั้นวางก็ได้นะ
ถัดเข้ามาด้านใน จะเป็นส่วนห้องแต่งตัว Walk-in Closet ก่อนที่จะเข้าสู่ห้องน้ำ พื้นที่ของ Walk-in Closet นี้ ถ้าเห็นว่าไม่พอ ก็สามารถเพิ่มตู้เสื้อผ้าด้านนอกได้อีกนะ
ส่วนปลายสุดของห้องแต่งตัว จะมีพื้นที่เหลือ ที่เราสามารถจัดเป็นมุมสำหรับ วางตู้เก็บของ แขวนกรอบรูป ในลักษณะนี้ได้ ในกรณีที่เราคิดว่า ตู้เสื้อผ้าแค่นี้น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งการทำแบบนี้ บางทีก็ดีนะครับ เพราะมันทำให้บ้านไม่ดูแออัดยัดเยียดและเต็มไปด้วยฟังก์ชั่น ยังพอมีมุมให้ “หายใจ” ได้บ้าง เป็นมุมที่เราจะสร้างสรรค์ ทำอะไรกับมันก็ได้
ส่วนพื้นที่ภายในห้องน้ำห้องนี้ จะใกล้เคียงกับ ห้องน้ำภายในห้องนอนเล็กห้องแรกที่พาไปดูนะครับ ผมก็จะขอข้ามไปเลย เพราะ Spec วัสดุต่างๆ และพื้นที่ในห้องน้ำ ก็เรียกว่าใกล้เคียงกัน
เราเดินออกจากห้องนอนทั้งสอง ผ่านห้อง Family Room มาอีกด้านหนึ่งของโถงชั้นสอง เราจะเจอกับ ห้องนอนอีก 2 ห้องที่ใหญ่ที่สุดของบ้าน
พื้นที่หน้าห้องนอนตรงนี้ มีมุมสำหรับวางตู้โชว์ หรือแขวนกรอบรูปหน้าห้องได้ด้วย เป็นฟังก์ชั่นที่ทำให้บ้านดูแกรนด์มากขึ้น
ต่อมาเราเดินเข้ามายังห้องนอนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของลูกคนโปรด เข้ามาปุ๊บเราจะเจอโถงทางเดินก่อน และฟังก์ชั่นแรกที่จะเห็นก็คือห้องแต่งตัว ที่วางอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าห้องเลย อยู่ก่อนถึงเตียงนอนด้านใน
ห้องแต่งตัวของห้องนี้ เราจะเลือกที่จะกั้นห้องเป็นผนังโปร่งแบบนี้ก็ได้ หรือจะใส่ผนังทึบเข้าไปก็ได้ แล้วแต่การจัด แต่พื้นที่ของ Walk-in Closet ของห้องนี้ก็จะใหญ่ขึ้นมาอีก เมื่อเทียบกับสองห้องแรก เพราะสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้ง และกว้างพอที่จะใส่โต๊ะ Island เล็กๆตรงกลางห้องได้เลย
จาก Walk-in Closet ต่อมาก็จะเป็นส่วนของห้องน้ำ ซึ่งห้องน้ำห้องนี้ก็จะได้พื้นที่ใหญ่ตามไปด้วยเหมือนกัน แต่ฟังก์ชั่นและวัสดุยังคงเหมือนเดิม ความจริงแล้ว ผมว่าห้องน้ำห้องนี้ก็น่าจะได้อ่างอาบน้ำด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่พื้นที่ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก เพราะรูปร่างของห้องน้ำห้องนี้จะเป็นแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ออกแบบได้ยากกว่า เทียบกับห้องน้ำห้องอื่นๆ
เดินเข้ามาด้านในสุดจะเป็นส่วนของห้องนอนแล้วครับ ซึ่งพื้นที่ของห้องนี้กว้างพอที่จะแบ่งให้มีฟังก์ชั่นเตียงนอนครึ่งนึง วางคู่กับโซฟาอีกครึ่งนึงแบบนี้ได้
พื้นที่ปลายเตียงมีเหลือเฟือ จะใส่ทีวีปลายเตียงก็ได้ หรือจะทำเป็นตู้เก็บของ เป็นชั้นหนังสือก็ได้ มีพื้นที่ให้เดินผ่านได้สบายๆ
ส่วนพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งของห้องนอนห้องนี้ ในบ้านตัวอย่างเค้าจัดให้ดูเป็นพื้นที่สำหรับวางโซฟาเอาไว้นั่งดูทีวี ซึ่งจริงๆผมคงไม่ต้องบอกว่าพื้นที่ที่เหลืออยู่ตรงนี้จะเอาไปทำอะไรได้บ้าง เพราะมันเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ แถมอยู่ติดกับหน้าต่าง สำหรับเปิดออกไปยังระเบียงได้ด้วย หลายๆคนคงจะมีในใจอยู่แล้วว่าถ้าตัวเองมีพื้นที่แบบนี้อยู่ภายในห้องนอนจะเอาไปทำอะไร
ห้องนอนห้องนี้จะมีระเบียงส่วนตัวด้วย ซึ่งในโครงการจะมีเฉพาะบ้าน Type นี้เท่านั้นที่มีพื้นที่ระเบียงแบบนี้ในห้องนอน
พื้นที่ระเบียงตรงนี้เราสามารถเอาม้านั่ง หรือชุดโต๊ะเก้าอี้น้ำชา ออกมาตั้งไว้ข้างนอน สำหรับออกมานั่งชมสวนจากบริเวณชั้นสองแบบนี้ได้ ซึ่งมองลงไปก็จะเห็นสระว่ายน้ำในบ้านของตัวเองด้วย ซึ่งโอเค เราอาจจะไม่ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ทุกวัน แต่มีไว้ก็ดีกว่าไม่มีนะครับ ถ้าไม่ได้ออกมานั่งที่ระเบียง เราอาจจะตกแต่งระเบียง เป็นสวนกระถางส่วนตัวภายในห้องนอนเราก็ได้นะ
บริเวณประตูทางออกระเบียงจะมีจุดสังเกตอย่างหนึ่งคือเค้าจะไม่ได้ก่อธรณีประตูขึ้นมานะครับ แต่จะปรับระดับพื้นที่ระเบียง ให้ลดต่ำลงไปจากพื้นห้อง เพื่อให้เราสามารถเดินเข้า-ออกระเบียงได้สะดวกกว่า ไม่มีสะดุด
ส่วนสุดท้าย ที่เป็น Highlight ของบ้านหลังนี้ ก็คือห้อง Master Bedroom แบบที่ผมอยากจะเรียกว่า Grand Master Bedroom เลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นห้องนอนใหญ่ที่รวมฟังก์ชั่นเอาไว้สมบูรณ์มาก มีห้องน้ำ มีห้องนั่งเล่น มีห้องแต่งตัวครบภายในตัวเอง แถมมีผนังกั้นส่วนต่างๆให้แยกออกจากกันอีกด้วย เรียกว่าถ้าใส่ครัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้อง Penthouse ห้องหนึ่งที่อยู่อาศัยด้วยตัวเองได้เลย
เมื่อเปิดประตูเข้ามา เราจะพบกับโถงทางเดินตรงกลางอีกอันหนึ่ง ถ้าเราเดินตรงเข้าไปจะเป็นส่วนของเตียงนอน ส่วนซ้ายขวาที่เห็นนั่นคือ Walk-in Closet ทั้งสองด้าน และมีห้องน้ำอยู่ภายในห้องแต่งตัวอีกทีหนึ่ง
ดูอีกมุมหนึ่งจะเห็นห้องแต่งตัวในลักษณะนี้ และเตียงนอนจะอยู่ด้านใน
ห้องแต่งตัวที่มีมาให้ทั้งสองห้อง ก็ขนาดไม่ได้เล็กเลย ฟังก์ชั่นครบ มีโต๊ะแต่งตัว มีกระจกบานใหญ่เต็มตัว และมีที่นั่งที่เป็น Island ตรงกลางด้วย แต่บอกก่อนว่าพวกนี้เค้าไม่ได้ให้นะครับ แต่เค้าจัดให้ดูเป็นไอเดียเฉยๆ ว่าเราสามารถทำตามเค้าได้ และพื้นที่มันมีให้จัดได้แบบนี้
ห้องแต่งตัวอีกด้านหนึ่ง เป็นทางเชื่อมจากห้องนอน ไปยังห้องน้ำ โดยเราจะต้องเดินผ่านพื้นที่ส่วนนี้ก่อน … โดยปกติแล้ว ตู้เสื้อผ้าพวกนี้ เกินครึ่งก็คงจะเป็นของคุณภรรยานะครับ ส่วนคุณสามี เอาไปแค่ หนึ่งในสาม หรือหนึ่งในสี่ก็พอ
อ้อ… แล้วอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะเสริมก็คือ ในห้องแต่งตัวนี้ เราสามารถมี “ช่องลับ” เพิ่มได้นะครับ เช่นเราอาจจะซ่อนตู้เซฟ หรือทำช่องเอาไว้สำหรับเก็บสิ่งของสำคัญๆที่เราไม่อยากให้ใครรู้เอาไว้ในนี้ได้ แบบที่เราเห็นในหนังนั่นแหละ แต่ผมเชื่อว่าในชีวิตจริง คนที่ซื้อบ้านระดับราคานี้ เค้าต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และเป็นคนที่อาจจะมีสิ่งของมีค่าที่อยากจะซ่อนเยอะพอสมควร ดังนั้น การเผื่อพื้นที่สำหรับใส่ตู้เซฟในบ้านนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
เข้ามาถึงห้องน้ำ Master Bathroom ของบ้านหลังนี้ครับ โดยห้องนี้จะเป็นห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดของบ้านโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่เราจะสังเกตได้คือ ห้องน้ำมันเย็นครับ เพราะว่าเป็นห้องน้ำที่ติดแอร์ด้วย !!! แอร์ที่ติดเอาไว้ในห้องน้ำ ไม่ได้ทำหน้าที่ทำให้ห้องน้ำเย็นนะครับ เพราะเราคงจะอาบน้ำกันหนาวน่าดู แต่ว่ามันมีไว้เพื่อทำให้ห้องน้ำมันไม่ร้อนครับ เคยมั้ยครับเวลาอาบน้ำเสร็จ แต่งตัวเสร็จแล้ว แต่งหน้าเสร็จแล้ว เหงื่อออกเต็มเลย เพราะอากาศบ้านเรามันร้อนเหลือเกินครับ และห้องน้ำที่ติดแอร์จะทำหน้าที่ไล่ความชื้นออกไปจากห้องน้ำด้วย ซึ่งจะทำให้การแต่งตัว (โดยเฉพาะวันที่ต้องแต่งหล่อแต่งสวยไปงาน) ทำได้สะดวกขึ้น แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า แอร์ตัวนี้จะทำงานหนักพอสมควร เพราะในห้องน้ำจะมีความชื้นสูงกว่าในห้องปกติมาก ดังนั้นก็อาจจะเปิดเฉพาะเวลาที่จำเป็นครับ
วัสดุที่ตกแต่งภายในห้องน้ำใหญ่ จะอัพเกรดจากห้องน้ำห้องอื่นๆด้วย โดยผนังและพื้นก็จะปูด้วยหินอ่อน เหมือนห้อง Powder Room ด้านล่าง
โถสุขภัณฑ์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และเผื่อพื้นที่รอบด้านเอาไว้กว้างกว่าเดิม
ที่ผนังห้องน้ำ มีการเตรียมปลั๊ก และช่องเสียบสายสัญญาณทีวีเอาไว้ให้เรียบร้อย สำหรับติดทีวีที่ใช้ดูภายในห้องน้ำได้
อ่างล้างหน้าแบบ His & Her เป็นอ่างแบบ Integrated ฝังลงไปในเคาน์เตอร์ ที่ทำจากหินสังเคราะห์ครับ หัวก็อกน้ำและวาล์วเปิด-ปิด ก็จะเป็น Cotto รุ่น Premium ทั้งหมด
ส่วนอาบน้ำจะแบ่งออกมาเป็นสองฟังก์ชั่น คือ อ่างอาบน้ำ และ Shower Box วางอยู่คู่กันแบบนี้
ตัวอ่างอาบน้ำจะมีการทำขั้นบันไดเอาไว้ เพื่อให้สามารถ “ลงอ่าง” ได้ง่าย
ตัวอ่างเป็นอ่างอาบน้ำแบบ Jacuzzi แบบนี้ ยี่ห้อก็ใช้ของ Cotto รุ่น Premium ทั้งหมด
หน้าตาของหัวก็อกที่อยู่ข้างๆอ่าง ก็จะเป็นแบบนี้
ส่วน Shower Box ก็มีขนาดใหญ่กว่าห้องน้ำห้องอื่นๆขึ้นมานิดหน่อย และอยู่แยกจากอ่างอาบน้ำนะครับ ไม่ได้รวมกัน
หัวก็อกสำหรับเปิด-ปิดน้ำ มีสามอัน อันตรงกลางใช้เปลี่ยนให้น้ำไปออกที่ Hand Shower หรือ Rain Shower
หน้าตาของหัวฝักบัวจะเป็นแบบนี้ ปรับระดับสูง-ต่ำได้ ตามปกติ
ติด Rain Shower แบบปรับองศาและทิศทางได้
ส่วนสุดท้ายจะเป็นส่วนของเตียงนอน ภายในห้อง Master Bedroom ครับ ซึ่งจัดออกมาอลังการมาก เพราะพื้นที่ในห้องนี้มีเหลือเฟือแบบจับเฟอร์นิเจอร์ยัดใส่ทิ้งๆขว้างๆได้เลย
เริ่มจากเตียงนอนที่ใส่มาเป็นขนาด 6 ฟุต แต่สูงกว่ามาตรฐานขึ้นมาเกือบ 30-40 ซม.ได้ พื้นที่ข้างๆเตียง ใส่โต๊ะหัวเตียงเข้าไปแล้วยังหลวมอยู่เลย
ผนังทางด้านปลายเตียง สามารถวางชั้นวางทีวีใส่เต็มผนังได้เลย และด้วยระยะขนาดนี้ ถ้าใครจะใส่จอทีวีขนาดใหญ่ระดับ 70 นิ้ว สำหรับนอนดูบนทีวี ก็ไม่ใช่เรื่องเดือดร้อน
แต่จะให้นอนดูทีวีบนเตียงอย่างเดียว ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับหลายๆคน พื้นที่ปลายเตียงตรงนี้สามารถวางโซฟาขนาดกลางๆได้อีกตัว สำหรับนั่งดูทีวีที่ปลายเตียงได้
ผนังด้านข้างของห้องนอน จะเป็นส่วนที่อยู่ติดกับผนังหน้าบ้าน ที่เป็นหน้าต่างเข้ามุมแบบ Bay Window ซึ่งตรงนี้ เราสามารถใส่โซฟาโค้ง ลักษณะเดียวกันกับห้องรับแขก เพื่อใช้เป็นพื้นที่นั่งเล่นส่วนตัวภายในห้องนอนแบบนี้ก็ได้ และมีพื้นที่เหลือสำหรับวางโต๊ะกลางเพิ่มได้อีกตัวอีก (แต่แอบเสียดายที่พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่เซ็นเตอร์กับทีวี ไม่งั้นนั่งดูทีวีจากโซฟาตรงนี้สบายเลย)
ทั้งนี้พื้นที่ภายในห้องนอนนี้เราสามารถจัดใหม่ได้หมด เปลี่ยนวิธีการกั้นผนัง หรือการกั้นห้องใหม่ก็ได้ เพราะของจริงเค้าไม่ได้ใส่ผนังภายในมาให้ ยังไงก็ต้องมากั้นเองอยู่ดี ซึ่งพื้นที่ขนาดนี้ มันเปิดโอกาสให้เราเลือกที่จะมีฟังก์ชั่นแปลกๆภายในห้องนอนส่วนตัวของเรา (และภรรยา) ได้ตามใจเราเลยครับ
และนี่ก็คือรายละเอียดของบ้านแบบ Grand Alexander จากโครงการ Granada ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม โครงการล่าสุด ตัวท้อปสุด จาก SC Asset ที่ผมเอามาฝากกันในวันนี้ครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 14 April 2015
- บ้านแบบ Grand Harold ขนาดที่ดินเริ่มต้น 177 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 685 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นประมาณ 55 ล้านบาท
- บ้านแบบ Grand Alexander ขนาดที่ดินเริ่มต้น 225 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 786 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นประมาณ 77 ล้านบาท
- แอร์ทั้งหลัง/Wallpaper/สัญญาณกันขโมยและกล้อง CCTV ภายในบ้าน/จัดสวน/สระว่ายน้ำทุกหลัง/ปั๊มน้ำ/ถังน้ำ/ครัวไทย/ลิฟท์ภายในบ้าน
- ค่าส่วนกลาง 42 บาท/ตร.วา/เดือน จัดเก็บล่วงหน้า 2 ปี ณ วันโอนกรรมสิทธิ์
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
ทำเลของโครงการ Granada ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม เป็นทำเลบ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่กาญจนาภิเษก โดยจะอยู่ระหว่างถนนเพชรเกษมและถนนบรมราชชนนี ค่อนไปทางฝั่งเพชรเกษมมากกว่า ทำเลตรงนี้มีความสะดวกในการเดินทางในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ ย่านพุทธมณฑล, บางแค ราชพฤกษ์, หรือปิ่นเกล้าได้สะดวก หลายๆคนที่อยู่แถวๆนี้ก็คงจะรู้กันการคมนาคมแถวๆนี้ดี
สภาพแวดล้อมของโครงการ อยู่ใกล้ห้างเดอะมอลล์บางแค รอบๆมีสิ่งอำนวยความสะดวกพอประมาณ อยู่ในระยะที่ขับรถถึง ซึ่งก็จะเป็นทำเลแบบกรุงเทพชั้นนอกนะครับ จะหวังให้มีความสะดวกสบายแบบกรุงเทพชั้นกลาง หรือชั้นในก็คงจะไม่ได้ คงจะต้องรอให้ทำเลนี้เติบโตกว่านี้อีกซักพักเลย แต่คนที่นี่จะเน้นการขับรถเข้าเมืองที่สะดวกมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กับถนนใหญ่สายหลักหลายเส้น เลือกใช้ได้หลายเส้นทาง
คำถามคือ ราคาบ้านระดับ 50 ล้านขึ้นไปกับทำเลตรงนี้ ถามว่าไกลจากเมืองไปมั้ย ผมก็คงต้องตอบว่ามันมีที่ที่ใกล้ตัวเมืองกว่านี้แน่ๆแหละ เผลอๆก็คงได้บ้านพร้อมที่ดินที่ขนาดใหญ่กว่านี้ด้วย แล้วไม่ต้องออกไปอยู่ถึงเส้นกาญจนาภิเษกหรอก แต่คำตอบมันไม่ได้จบแค่นั้นน่ะสิครับ เพราะมันต้องถามต่อว่าโครงการลักษณะนี้ บนทำเลแบบนี้ มันหาได้หรือเปล่า ก็อาจจะเหลือตัวเลือกไม่มากนัก ยิ่งเป็นโครงการใหม่ๆที่สร้างเสร็จแล้ว ให้เราซื้อแล้วเข้าอยู่ได้เลยด้วย ไม่ต้องสร้างเอง ไม่ต้องคุมงานเอง มีคนทำให้แล้ว แถมเป็นของใหม่ปี 2015 ก็ต้องชั่งใจกันดูครับ
ตัวโครงการ Granada นี่เรียกว่าวางรูปแบบโครงการมาได้ดีมาก เริ่มจากขนาดที่ดินใหญ่ระดับ 36 ไร่ครึ่ง จัดออกมาให้มีบ้านแค่ 36 หลัง คือมีจำนวนยูนิตน้อยมากๆ แค่ประมาณ 1/3 หรือ 1/4 ของโครงการบ้านเดี่ยวทั่วๆไปเท่านั้นเอง ซึ่งความหนาแน่นถือเป็นจุดขายสำคัญของโครงการนี้ เพราะคนที่เค้าซื้อที่นี่ไม่ได้อยากจะมาอยู่แบบแออัดยัดเยียด ไม่ได้อยากจะอยู่ร่วมกับคนเยอะๆ และต้องการความเป็นส่วนตัวสูง นอกจากจำนวนยูนิตที่น้อยแล้ว การแบ่งแปลงบ้านแต่ละหลังจะมีการเว้นระยะให้บ้านแต่ละแปลงมีระยะที่อยู่ห่างจากกันพอสมควร มีการร่นระยะตัวบ้านจากแนวถนน และเพิ่มขนาดความกว้างของทางเท้า เพื่อไม่ให้บ้านอยู่ประชิดแนวถนนเกินไป และมีการใช้สวน Strip Garden เพื่อคั่นแปลงบ้านแต่ละโซนออกจากกันด้วย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโครงการให้ความสำคัญกับเรื่อง Privacy ของผู้อยู่อาศัยมาก
นอกจากนี้ก็จะเป็นประเด็นที่พบเห็นได้ในบ้านหรูระดับ Hi-End ทั่วไป เช่น มีถนนภายในโครงการที่กว้าง, มีการจัดสายไฟลงดิน, เพิ่มจำนวนไฟส่องถนน, มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด, Double-Gate Security, กล้อง CCTV รอบโครงการไปจนถึงภายในตัวบ้าน ฯลฯ พวกนี้จัดมาเป็นมาตรฐาน แต่ที่เห็นจะเน้นมากกว่าโครงการอื่นๆ คือเรื่องพื้นที่สีเขียว ซึ่งที่นี่ใส่ต้นไม้ใหญ่เอาไว้เยอะมาก และเห็นได้ชัดว่าพื้นที่ส่วนกลาง บริเวณสวนสาธารณะ หรือแม้แต่สวนหย่อมเล็กๆข้างๆบ้าน ก็ยังพยายามใส่ต้นไม้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้แต่รั้วบ้านแต่ละหลังยังมีการปลูกไม้พุ่มทับรั้วเหล็กเอาไว้ให้ด้วย เรียกว่าจัดเต็มเรื่องพื้นที่สีเขียวมาก
ส่วนตัวบ้าน ในเรื่องของขนาดบ้าน ถ้าจะว่ากันตรงๆแล้ว ด้วยเงินจำนวนนี้ถือว่าได้บ้านที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มากนะครับ เพราะที่ดินที่ได้ก็มีขนาดประมาณ 200 ตารางวาเท่านั้นเอง แต่เราต้องเข้าใจว่าเงินที่เราจ่ายไปส่วนหนึ่งมันไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน แต่มันจ่ายให้กับตัวโครงการโดยรวมด้วย ลองคิดถึงในมุมมองคนขาย ว่าเค้าสามารถแบ่งบ้านที่นี่แปลงหนึ่ง ออกเป็นบ้านสี่แปลงเล็กๆราคาไม่แพง แล้วขายบ้านสี่หลังได้ แต่เค้าเลือกที่จะรวมที่ดินตรงนั้นแล้วสร้างบ้านหลังใหญ่หลังเดียว ราคามันก็คูณตามๆกันไปนั่นแหละครับ
แต่เทียบกับขนาดแล้ว ฟังก์ชั่นภายในบ้าน ก็เรียกว่าจัดออกมาได้สมกับที่เป็นบ้านแบรนด์ท้อปสุดของ SC Asset ทุกอย่างในบ้านคือ Over-sized เกือบหมด มีฟังก์ชั่นรองรับการอยู่อาศัยของครอบครัวใหญ่หลาย Generation ได้ และมีพื้นที่พอที่จะรองรับแขก, ญาติมิตร, เพื่อนฝูงของเจ้าของบ้านที่จะมาเยือนได้จำนวนหนึ่งเลย, และภายในบ้านก็มีพื้นที่มากพอที่ผู้อยู่อาศัยสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงพื้นที่ ให้เป็นพื้นที่ตามที่ตัวเองต้องการได้เยอะพอสมควร ยกตัวอย่างเช่นส่วนเรือนรับรองที่สามารถจัดฟังก์ชั่นได้หลายรูปแบบ หรือห้องนอนแต่ละห้อง ที่ไม่ได้แค่มีไว้นอน แต่เผื่อพื้นที่บางส่วน ให้เจ้าของห้องนอนนั้นๆ มีมุมสำหรับกิจกรรมส่วนตัวของตัวเองได้ ซึ่งตัวบ้านก็เปิดโอกาสให้รองรับ Lifestyle ได้หลากหลาย
วัสดุอุปกรณ์ภายในบ้าน ก็จัดเอาของเกรดพรีเมี่ยมมาไว้ในนี้หมด มีทั้งหินอ่อน, หินสังเคราะห์, ไม้เทียม, พื้นปาเก้ไม้มะค่า, มือจับประตูแบบทองเหลือง, ติดแอร์แบบ 4 ทิศทางให้ในบ้านทั้งหลังไปจนถึงในห้องน้ำ, ราวบันไดเหล็กดัด, วัสดุประตู, หน้าต่าง, วงกบ, รวมถึงการออกแบบโครงสร้าง, คุณภาพการเก็บงาน ก็คือส่วนใหญ่แล้วจัดเต็มมาสมราคาแหละครับ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรที่ผมคิดว่าน่าจะได้ดีกว่านี้ได้มั้ย น่าจะเป็นเรื่องห้องน้ำครับ ไม่ได้บอกว่าของที่ให้มาไม่ดีนะครับ แต่เรากำลังพูดถึงบ้าน 70 ล้าน ของในห้องน้ำก็น่าจะเป็นแบรนด์ที่เหนือกว่านี้ได้ เช่นพวก Hansgrohe/ Duravit หรือ Villeroy & Boch ที่เรามักจะเห็นในคอนโด หรือโรงแรมหรูๆ, และห้องน้ำ Master ดูแบ่งชนชั้นกับห้องน้ำห้องอื่นๆมากไปหน่อย จัดมาซะเต็ม ห้องน้ำห้องอื่นดูธรรมดาไปเลย เช่น ห้องนอน 2 อย่างน้อยๆก็น่าจะได้อ่างอาบน้ำด้วย อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนเรื่องสาธารณูปโภคภายในโครงการนั้น ตัวโครงการก็จะมีสโมสร มีสวนสาธารณะ มีระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆให้ ซึ่งที่เค้าไม่ได้ใส่มาให้เยอะๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วฟังก์ชั่นพวกนี้มันตอบโจทย์อยู่ในบ้านอยู่แล้ว สระน้ำก็มีส่วนตัวในบ้าน, เครื่องเล่นฟิตเนสก็เอามาใส่ในบ้านเองได้, เวลาจะต้อนรับแขกก็มักจะต้อนรับกันที่บ้าน ไม่ค่อยได้ใช้หรอกสโมสรน่ะ, ที่ให้มาก็เรียกว่าสมเหตุสมผลกับการใช้งานของลูกบ้านที่นี่ ซึ่งมีแค่ 36 หลัง แต่ถ้าต้องเพิ่มสาธารณูปโภคอะไรอีก ค่าส่วนกลางอาจจะแพงกว่านี้มากก็ได้นะครับ ซึ่งที่นี่ลำพังเก็บอยู่ที่ 42 บาท/ตารางวา/เดือน อยู่แล้ว ถ้าบ้านหลังหนึ่งมีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา ก็คือต้องจ่ายเดือนละ 8400 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 100,800 บาทต่อปีนะครับ ซึ่งแค่นี้ก็เป็นราคาที่สูงมากแล้วสำหรับค่าส่วนกลางของบ้านหลังหนึ่ง แต่ถ้าเวลาผ่านไปสามารถดูแลจัดการให้สภาพส่วนกลางยังดูดีอยู่ได้ ก็ถือว่าสมเหตุสมผลครับ
และสุดท้าย ด้วยความที่ตัวบ้านราคาสูงระดับเกิน 50 ล้าน เรียกได้ว่าคนที่มีเงินระดับนี้ แทบจะไม่มีข้อจำกัดในการเลือกที่อยู่อาศัยเลย คือมีตัวเลือกหลายที่มาก ตั้งแต่คอนโดขนาดใหญ่ในเมือง จนถึงการไปซื้อที่ดินปลูกบ้านเป็นของตัวเอง แต่คนที่เลือกที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ ในทำเลลักษณะนี้ คงจะไม่ได้มองเฉพาะความสะดวกสบาย หรือฟังก์ชั่นในการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองถึงการใช้ชีวิตหลังจากที่ซื้อบ้านไปแล้วด้วย เพราะมีคนจำนวนเพียงแค่ 36 ครอบครัวเท่านั้นที่จะมาอยู่ที่นี่ และการตั้งราคาบ้านระดับนี้ก็เป็นการคัดเลือกผู้อยู่อาศัยไปในตัว คนที่อยู่ที่นี่จึงไม่ได้ซื้อแต่บ้านหรือที่ดิน แต่เสมือนเป็นการซื้อสังคมการอยู่อาศัยระดับท้อป ที่หาได้ยากจากการอยู่อาศัยในรูปแบบอื่นๆครับ
Judgement
โครงการระดับ Ultimate Luxury Project ในลักษณะนี้ เราจะไม่มีการให้คะแนนนะครับ เนื่องจากเป็นโครงการที่มีความ Uniqueness สูง การตัดสินใจซื้อ อาศัยความชอบส่วนบุคคล และความคุ้มค่าทางจิตใจเป็นปัจจัยสำคัญ และไม่สามารถประมาณความคุ้มค่าทางด้านการเงินได้ครับ
BOTTOM LINE
Granada เป็นโครงการที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน และกำลังมองหาบ้านที่อยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่มีการดูแลและมีสังคมการอยู่อาศัยระดับท้อป, มีความ Privacy สูง, ชอบพื้นที่สีเขียวเยอะๆ และตัวบ้านมีพื้นที่กว้าง สามารถรองรับการอยู่อาศัยของคนหลาย Generation ในราคา 50 ล้านบาทขึ้นไปครับ
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ