…หากพูดถึงแผง ” โซล่าเซลล์ ” หลายคนคงรู้จักกันดีว่าเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ทดแทนไฟจากการไฟฟ้า ช่วยประหยัดค่าไฟต่อเดือนได้ ซึ่งแต่ก่อนนิยมใช้กันในโรงงาน เนื่องจากใช้ไฟในการผลิตค่อนข้างสูง หรือถ้าใครติดในบ้านพักอาศัยส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนมีฐานะ เพราะมีค่าติดตั้งสูง 800,000-1,000,000 บาท โดยอายุการใช้งานที่มีประสิทธิภาพเพียง 25 ปี ทำให้หลายๆคนมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะติดในบ้าน เพราะกว่าจะคืนทุนก็ใช้เวลาเกือบ 20-30 ปี
แต่ปัจจุบันมีการปรับลดราคาลงมา เพื่อให้บ้านพักอาศัยหยิบจับได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งมีการจัดแผงโซล่าเซลล์ ให้เหมาะกับการใช้ในบ้าน มีตั้งแต่ขนาด 1(เล็ก) จนถึง 12(กลาง) กิโลวัตต์(kWp.) หรือเข้าใจง่ายๆมีตั้งแต่ 1,000-12,000 วัตต์ ซึ่งก็สามารถเลือกขนาดให้เหมาะแก่การใช้งานได้ โดยช่วงราคาเริ่มต้น 120,000 – 200,000 บาท เรียกว่าปรับราคามาน่าสนใจทีเดียว ทำให้คนสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ส่วนคำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ ” หลังคาบ้านโซล่าเซลล์ ประหยัดค่าไฟบ้านและคุ้มค่าในการลงทุนจริงหรอ? ” วันนี้เรามาหาคำตอบไปด้วยกันค่ะ ^^
1.มาทำความรู้จักแผงโซล่าเซลล์กันก่อน?
แผงโซล่าเซลล์(Solar Panel) ทำมาจากซิลิคอนบริสุทธิ์ที่สกัดมาจากดิน,หิน,ทราย เพื่อนำมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตโซล่าเซลล์ หลักการทำงานคือเอาแผงโซล่าเซลล์ไปตั้งกลางแดด วางเอียง 15 องศา เพื่อให้รับแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ โดยพลังงานที่ได้จะเป็นกระแสตรง(DC) วิ่งเข้าเครื่อง Inverter เพื่อเปลี่ยนไฟฟ้าเป็นกระแสสลับ(AC) ก่อนส่งเข้าไปใช้ในบ้าน
สำหรับขนาดที่ใช้กันในบ้าน ส่วนใหญ่จะใช้เป็นแผง 24V หรือขนาด 1×2 m. ยกตัวอย่างถ้าเราจะติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพื่อรับพลังงาน 3 กิโลวัตต์(kWp) หรือขนาด 3,000 วัตต์ เป็นค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่คนส่วนใหญ่ใช้ไฟกัน โดยจะต้องติดประมาณ 8 แผง ใช้พื้นที่ประมาณ 16 ตร.ม. หรือขนาด 4×4 m. ที่ใช้พื้นที่ไม่มากติดตั้งบนหลังคาได้สบายๆ แต่ควรเช็คความแข็งแรงของหลังคาก่อนการติดตั้งนะคะ
สำหรับประเภทของแผง “โซล่าเซลล์” แสงอาทิตย์มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่
แบบผลึกเดี่ยว (Mono Crystalline) – เป็นแผงโซล่าเซลล์ชนิดแรกๆ ที่ได้รับการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ เป็นชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
- วิธีสังเกต – มองเห็นสะพานไฟเป็นช่องๆสี่เหลี่ยมมุมโค้งหลายๆอันต่อกัน หรือผิวเผินจะเห็นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆคั้นระหว่างช่องสี่เหลี่ยม
- เหมาะกับ – คนที่มีพื้นที่ติดตั้งน้อย และต้องการประสิทธิภาพต่อแผงสูง ซึ่งก็จะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงตามค่ะ
แบบผลึกรวม (Poly Crystalline) : เป็นแผงโซลาร์เซลล์ที่มีการใช้งานมากที่สุด เพราะเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Mono แต่ได้ราคาต้นทุนที่ประหยัดกว่า
- วิธีสังเกต – มองเห็นเส้นสะพานไฟตัดเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงต่อๆกันเต็มไปหมดเลย ซึ่งจะแตกต่างกับแบบ Mono ชัดเจน
- เหมาะกับ – คนที่อยากได้ประสิทธิภาพการใช้งานใกล้เคียงกับแผง Mono แต่ต้องการราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า
แบบฟิล์มบาง (Thin Film) : เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาขึ้น เพื่อประหยัดต้นทุน และเวลาในการผลิตแผ่นฟิล์ม แต่เนื่องจากเป็นฟิล์มบางเพียง 0.5 ไมครอน ทำให้ประสิทธิภาพต่ำที่สุด
- วิธีสังเกต – มองเห็นเป็นแผ่นฟิล์มเรียบๆ ไม่มีเส้น และไม่มีรอยต่อใดๆทั้งสิ้น
- เหมาะกับ – คนที่ใช้ทำเกษตรกรรมเพราะต้องใช้พื้นที่เยอะ ไม่เหมาะมาติดตั้งบนหลังคา ราคาถูก ประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ก็แลกกับประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวัสดุอื่นๆ
แต่เดี๋ยวก่อนแผงโซล่าเซลล์จะเสื่อมสภาพลงทุกปี ดังนั้น เราจะคิดเต็มวัตต์ทุกปีไม่ได้ต้องคิดค่าเสื่อมสภาพเข้าไปด้วย โดยปีแรกจะได้เต็ม 300 วัตต์/แผ่น ปีที่สองประสิทธิภาพลดลง 2% เนื่องจากผลึกที่ประกอบเป็นโซล่าเซลล์ จะทำปฏิกิริยากับสภาพอากาศ และสภาพสิ่งแวดล้อม และช่วงปีที่ 2-25 ประสิทธิภาพจะลดลงปีละ 0.7% แต่ภายใน 25 ปี คำณวนแล้วจะไม่ต่ำกว่า 80% หลังจากนั้นโซล่าเซลล์ก็ยังสามารถใช้งานได้อยู่ แต่ทางวิศวกรจะไม่รองรับประสิทธิภาพในการใช้งาน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนหรือปรับปรุงค่ะ
นอกจากนี้สิ่งที่เราต้องคำนึงอีกอย่าง คือตำแหน่งที่ควรวาง แผงโซล่าเซลล์ สำหรับบ้านพักอาศัยแนะนำให้ติดบนหลังคาบ้านในทิศใต้ เนื่องจากประเทศไทยพระอาทิตย์อ้อมใต้ ที่ทำให้รับแสงได้เต็มที่ ช่วงเวลาที่รับแสงแดดได้ดีที่สุดคือ 11.00-15.00 น. โดยให้วางเอียง 15 องศา และควรวางในพื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีอาคาร หรือต้นไม้บดบังค่ะ
2.ระบบ Solar System มีทั้งหมด 3 ระบบ ได้แก่
1. ระบบ On Grid – เป็นแบบที่ได้รับความนิยมสูงในขณะนี้ เนื่องจากเป็นลูกผสมที่ใช้ทั้งพลังงานสะอาด และไฟฟ้าจากการไฟฟ้า โดยเป็นแบบที่ต้องเปลี่ยนถ่ายกระแสไฟผ่าน On-Grid Inverter ก่อน เพราะต้องแปลงกระแสตรง(DC) เป็นกระแสสลับ(AC)
- ข้อดี – ไม่ต้องกังวลเวลามีพลังงานไม่เพียงพอ แล้วจะไม่มีไฟฟ้าใช้ในบ้าน เพราะระบบนี้เมื่อพลังงานจากแสงอาทิตย์หมด จะตัดเข้าการไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
- ข้อเสีย – กรณีไฟฟ้าดับ แม้ระบบโซล่าเซลล์ยังทำงานอยู่ แต่เครื่อง Inverter จะหยุดทำงาน ทำให้ไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้เช่นกัน ป้องกันไฟไหลย้อนกลับ
- เหมาะกับ : คนที่นำไฟฟ้ามาใช้เอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายบางส่วนภายในบ้าน แต่ยังต้องใช้ไฟจากการไฟฟ้าในเวลากลางคืน ซึ่งยังไงก็ต้องจ่ายค่าไฟอยู่ดีนะ ^^
2. ระบบ Off Grid หรือ Stand Alone – เป็นระบบที่แยกใช้งานเดี่ยวๆ ไม่เชื่อมต่อกับการไฟฟ้าเลย โดยมีแบตเตอรี่ในการเก็บไฟฟ้าสำรองของตัวเองใช้ในเวลากลางคืน ซึ่งระบบนี้ควรทำควบคู่ไปกับพลังงานลม พลังงานชีวมวล และ เครื่องยนต์ปั่นไฟ เป็นต้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น
- ข้อดี – ไม่ต้องเสียค่าไฟจากการไฟฟ้าสักบาทเดียว เป็นการผลิตไฟฟ้าใช้เองเลย
- ข้อเสีย – มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องใช้แบตเตอรี่มาใช้ในการเก็บไฟสำรอง และต้องคำนวณการใช้ไฟให้เพียงพอต่อความต้องการ
- เหมาะกับ : บ้านหรือสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง หรือไม่คุ้มที่จะเดินลากสายไฟยาวๆเข้ามาด้านในที่มีค่าใช้จ่ายสูง
3. ระบบ Hybrid – เป็นแบบผสมผสานระหว่าง On Grid และ Off Grid โดยมีทั้งแบตเตอรี่สำหรับเก็บไป และไฟจากการไฟฟ้าหากยังไม่เพียงพอก็จะดึงไฟมาจากการไฟฟ้าชดเชยอีกทีหนึ่ง โดยถ้ากลางวันผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ได้ แล้วเราใช้ไม่หมดก็นำไปเก็บในแบตเตอรี่ ส่วนในเวลากลางคืนก็ดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ก่อนแล้วค่อยนำไฟฟ้าจากระบบการไฟฟ้ามาใช้ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือจะปรับให้แบตเตอรี่ใช้ได้ในเวลาไฟดับก็ได้นะ (เหมือนไฟสำรอง)
- ข้อดี – สามารถสลับระบบการใช้งานไปมาได้ โดยถ้ากลางวันเราผลิตไฟฟ้าได้มากก็สามารถเก็บในแบตเตอรี่สำรองได้ ส่วนกลางคืนก็สามารถเลือกใช้ไฟจากการไฟฟ้า หรือจากแบตเตอรี่ก็ได้ เวลาไฟดับฉุกเฉินจะได้มีไฟไว้ใช้นะ
- ข้อเสีย – ระบบนี้มีเครื่อง Inverter ที่รองรับได้น้อย เพราะต้องต่อทั้งแบตเตอรี่ และมิเตอร์จากการไฟฟ้า และยังไม่ได้รับการยอมรับจากการไฟฟ้า (กฟผ.) รวมไปถึงมีอุปกรณ์เยอะ ค่าใช้จ่ายก็สูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนมากนัก
- เหมาะกับ : คนที่มีกำลังทรัพย์มากหน่อย เพราะต้องเสียทั้งค่าไฟ และค่าบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในอนาคต ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงทีเดียว
3.คุ้มหรือไม่กับการลงทุนติดตั้งโซล่าเซลล์ใช้ภายในบ้าน?
วันนี้เราขอพูดถึงระบบ On grid เป็นระบบที่ทำงานเฉพาะตอนกลางวัน โดยแผงโซล่าเซลล์จะผลิตไฟฟ้าเข้ามาทดแทนไฟจากการไฟฟ้า ซึ่งปกติเราจะจ่ายให้การไฟฟ้าหน่วยละ 4 บาท แต่เมื่อเรานำแผงโซล่าเซลล์เข้ามาควบคู่ด้วย โดยแผงโซล่าเซลล์สำหรับบ้านพักอาศัยเริ่มต้นตั้งแต่ 1-12 กิโลวัตต์ (kWp.) โดยแผงโซล่าเซลล์ 1 แผ่นผลิตพลังงานได้ประมาณ 300-400 วัตต์(w) ซึ่งบริษัทที่ติดตั้งมักคิดเป็น Package มาให้เหมาะสมกับการใช้งานบ้านเรา ส่วนว่าจะคุ้มหรือไม่คุ้ม เราไปดู Case Study ตัวอย่างกันค่ะ
ปัจจัยเบื้องต้นที่ต้องใช้ในการคำนวณความคุ้มค่า
- ขนาดของกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าในแต่ละวัน
- ปริมาณของแดด และระยะเวลาที่ใช้ผลิตแต่ละวัน (ตั้งไว้ที่ 4.5 ชั่วโมง/วัน คือจำนวนชั่วโมงที่รับแดดได้เต็มที่)
- เงินลงทุน เพื่อคำนวณ จุดคุ้มทุนในแต่ละขนาดกำลังการผลิต
- อัตราค่าไฟฟ้าปกติ ตั้งไว้ที่หน่วยละ 4.5 บาท (อัตราแบบก้าวหน้าขึ้นอยู่กับการใช้ไฟของแต่ละบ้าน)
Example : บ้านหลังนี้มีคนอยู่บ้านตลอดเวลา โดยใช้ไฟช่วงกลางวันและกลางคืนเท่ากัน หลังจากดูการใช้งานที่บ้านเฉลี่ยจำนวนหน่วยที่ใช้ 1000 หน่วย/เดือน ถ้าต้องการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ให้เพียงพอกับการใช้งาน ต้องใช้เวลากี่ปีในการคืนทุน?
- คำนวณคร่าวๆเอา 1000/2 แบ่งเป็นช่วงกลางวัน 500 หน่วย และกลางคืน 500 หน่วย หารจำนวนหน่วยต่อวันได้ 500/30 = 16.66 หน่วย/วัน
- สำหรับแผงโซล่าเซลล์เลือกใช้ขนาด 2.2 กิโลวัตต์ (kWp.) x ระยะเวลาในการผลิต/วัน จะสามารถประหยัดค่าไฟได้ 2.2 x 4.5 = 9.9 หน่วย/วัน (297 บาท/เดือน) เอาไปลบค่าเดิมเป็นหน่วยที่เราต้องจ่าย 500-297 = 203
- เอาค่าไฟช่วงกลางวัน+กลางคืน จะได้จำนวนหน่วยที่ต้องจ่าย 500+203 = 703 หน่วย/เดือน จากปกติที่จ่ายค่าไฟเดือนละ 4,500 บาท ลดลงเหลือ 3,163.5 บาท หรือ ประหยัดค่าไฟไปได้เดือนละ 4,500 x 3,163.5 = 1,336.5 บาท ( 16,038 บาท/ปี)
สำหรับแผงโซล่าเซลล์ขนาด 2.2 กิโลวัตต์ ลงทุนค่าอุปกรณ์และติดตั้งโดยประมาณ 140,000 บาท เราจะคุ้มทุนประมาณ 8-9 ปี หลังจากปีที่ 9 เราจะได้ใช้ไฟฟรีเดือนละ 1,336.5 บาท ซึ่งถ้าใครรอเวลาได้ ก็น่าใช้งานอยู่นะคะ
สำหรับคนที่สนใจติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ ต้องเผื่อเวลาทำเรื่องขออนุญาตจากหน่วยราชการก่อนการติดตั้ง ทำให้มีระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนติดตั้งด้วยนะ หรือถ้าใครรู้สึกว่ายุ่งยาก ปัจจุบันก็มีบริษัทเอกชนหลายๆเจ้าทำระบบ One Stop Service นอกจากให้บริการติดตั้ง ดูแล ยังขอใบอนุญาตให้ด้วยค่ะ
- ยื่นขออนุญาตสำนักงานเขต เพื่อขออนุญาตปรับปรุงอาคารในการติดตั้งโซล่าเซลล์ โดยจะต้องมีแบบคำนวณโครงสร้างของวิศวกรโยธาแนบมาด้วย
- ยื่นการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) โดยต้องมีแบบ Single Line Diagram ที่เซ็นรับรองด้วยวิศวกรไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งเครื่อง Zero Export ป้องกันการไหลย้อนกลับไปที่มิเตอร์
- ยื่นกรมกำกับพลังงาน เพื่อขออนุญาตใช้โซล่าเซลล์อย่างเป็นทางการ
“โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาภาคประชาชน” โดยรับซื้อปีละ 100 เมกะวัตต์จำนวน 10 ปี เป็นโครงการสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการขายคืนให้กับภาครัฐ ส่วนตัวอยากให้มองเป็นผลพลอยได้มากกว่า เนื่องจากปัจจุบันภาครัฐซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าสมัยก่อน โดยช่วงปี 2558-2559 รับซื้ออยู่ที่ 6.96 บาท/หน่วยแต่ปัจจุบันปี 2560 รับซื้อในราคา 1.68 บาท/หน่วย เนื่องจากคนหันมาใช้งานระบบ Solar Cell มากขึ้น เพราะหวังกำไรจากการขายให้การไฟฟ้า
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เหมาะกับคนที่เน้นใช้ไฟในเวลากลางวันเป็นจำนวนมาก เช่นเปิดร้านค้า ร้านอาหาร โฮมออฟฟิศ หรือบ้านที่มีคนใช้งานช่วงกลางวันเป็นประจำ เพราะคำนวณจุดคุ้มทุนแล้วอยู่ที่ประมาณ 8-9 ปี แต่สำหรับคนที่ออกไปทำงานแล้วใช้งานไฟฟ้าช่วงกลางวันเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ จะมีจุดคุ้มทนเกิน 12-15 ปีขึ้นไป ซึ่งคุ้มหรือไม่คุ้ม ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล รวมไปถึงเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ไม่รู้ว่าค่าไฟฟ้าจะมีการเพิ่มลดหรือไม่ ยังไงก็ลองตัดสินใจกันดูนะคะ
บทความนี้ผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับคนที่อยากประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และมีเงินก้อนใหญ่จ่ายสำหรับการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ราคาเริ่มต้น 120,000-200,000 บาท และสามารถรอเวลาคุ้มทุนในอนาคตได้ สำหรับผู้อ่านท่านไหนเคยที่ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ แล้วมีความรู้ เรื่องคำแนะนำเพิ่มเติมอยากแบ่งปันคนอื่นๆ ก็สามารถคอมเมนต์บอกเล่า ได้เลย ยินดีมากๆเลยค่ะ ^^
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving