รีวิวฉบับที่ 640 … ในวันนี้ ผม Mr.Boom จะพาไปที่โครงการ “นาราสิริ พระราม 2” ครับ ซึ่งเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวตัวท้อปสุดของ Product Line แนวราบของแสนสิริเลย โครงการนี้เป็น 1 ใน 3 โครงการ “นาราสิริ” ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013 ควบคู่กับอีก 2 โครงการที่พุทธมณฑลสายหนึ่ง ที่เปิดตัวมาก่อนเป็นที่แรก (เราเคยไปถ่ายรูปมาให้ดูแล้ว) และตามมาด้วย นาราสิริ บางนา เป็นโครงการที่สองครับ ส่วนโครงการที่พระราม 2 นี้เผยโฉมออกมาเป็นตัวสุดท้าย เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2013 ที่ผ่านมา ที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 2 ในจุดที่เลยจากถนนวงแหวนมาแล้ว ประมาณ 3 กม. ปัจจุบันโครงการกำลังทยอยก่อสร้างเฟสด้านหลังอยู่ครับ แต่โซนด้านหน้าที่เป็นสโมสรและบ้านชุดแรกนั้นสร้างเสร็จแล้ว สามารถเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว และก็มีลูกบ้านจำนวนหนึ่งเข้าอยู่แล้วด้วย เราไปดูกันว่าบ้านระดับ 25-60 ล้านของแสนสิริ จะทำออกมาเป็นแบบไหน
Fact @ 23 July 2014
- Narasiri Rama II (นาราสิริ พระราม 2)
- บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
- Segment : SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : บางขุนเทียน
- เนื้อที่โครงการ 34-3-11.3 ไร่
- บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 57 ยูนิต
- แบบบ้าน Lalique พื้นที่ใช้สอย 321 ตารางเมตร
- แบบบ้าน Marco (A) พื้นที่ใช้สอย 390 ตารางเมตร
- แบบบ้าน Marco (B) พื้นที่ใช้สอย 401 ตารางเมตร
- แบบบ้าน Jardine พื้นที่ใช้สอย 523 ตารางเมตร
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.621714,100.389653
แผนที่จากทางโครงการครับ
ที่ตั้งของโครงการ นาราสิริ พระราม 2 ตั้งอยู่บนถนนพระราม 2 ครับ ประมาณ กม.ที่ 13 โดยจะอยู่เลยถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) มาประมาณ 3 กิโลเมตร การเดินทางในโซนนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องใช้รถเป็นพาหนะหลัก ไม่ว่าจะรถยนต์ส่วนตัว, รถแท็กซี่ หรือรถสาธารณะอื่นๆก็ตาม มีถนนพระราม 2 และ ถนนกาญจนาภิเษก เป็นถนนใหญ่เส้นหลักสำหรับการสัญจร เข้า-ออก ตัวเมืองกรุงเทพมหานคร
ถนนพระราม 2 ขาออกเป็นถนนทางหลวงที่ใช้วิ่งออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดใกล้เคียงทางทิศตะวันตกอย่าง สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม และต่อไปยังเพชรบุรีไปยังจังหวัดทางใต้ของประเทศต่อไป ส่วนพระราม 2 ฝั่งขาเข้า ใช้วิ่งเข้าเมือง โดยจะไปเชื่อมกับทางด่วนแถวๆดาวคะนอง ข้ามสะพานพระราม 9 และไปเชื่อมกับทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ต่อไป โดยถนนเส้นนี้อาจจะเป็นเส้นที่ใช้บ่อยที่สุดของใครหลายๆคนเลยทีเดียว (แน่นอนว่ารถติดอย่างที่รู้ๆกันอยู่)
ถนนกาญจนาภิเษก จะสะดวกในการใช้วิ่งไปยังทำเลรอบนอกของกรุงเทพ โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวเมือง ซึ่งถ้าจะต้องไปที่ไกลๆ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการจราจรในเมืองได้ ฝั่งตะวันตก มุ่งหน้าไปทางบางแค, เพชรเกษม, บรมราชชนนี ขึ้นไปจนถึงบางใหญ่, รัตนาธิเบศร์, ไปชัยพฤกษ์ ได้ และฝั่งตะวันออก มุ่งหน้าไปทางวงแหวนอุตสาหกรรม, สุขสวัสดิ์, สมุทรปราการ, พระราม 3, บางนา
ในแง่ของการเดินทางด้วยรถนั้น ตำแหน่งของโครงการถือว่ามีจุดที่อาจจะได้เปรียบอยู่ 2 จุด
ข้อได้เปรียบจุดแรก คือ สมมติว่าเราขับรถกลับบ้าน มาจากในเมือง ตัวโครงการ จะอยู่เลยแยกที่ถนนพระราม 2 ตัดกับถนนกาญจนาฯมาแล้ว ซึ่งบริเวณแยกที่ถนนสองเส้นนี้ตัดกันนี้ การจราจรมักจะติด เพราะจะมีรถจำนวนมากที่มาจากพระราม 2 แล้วต้องต่อคิว (+เบียด+แทรก) อยู่ที่ช่องทางคู่ขนาน เพื่อที่จะขึ้นถนนวงแหวน และมีรถอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องต่อคิวเพื่อใช้จุดกลับรถ (ใครที่ใช้พระราม 2 บ่อยๆคงจะจินตนาการออกนะครับ) การที่โครงการอยู่เลยแยกนี้มาแล้วทำให้เวลาขับรถจากในเมืองมาที่โครงการ สามารถวิ่งทางหลักใช้สะพานข้ามแยกถนนวงแหวนได้เลย ไม่ต้องออกช่องคู่ขนาน แล้วเราค่อยมาออกทางคู่ขนานหลังจากลงสะพานมาแล้ว ทำให้ By-Pass รถติดไปได้ส่วนหนึ่ง
แต่กลับกัน ข้อได้เปรียบนี้ก็จะหมดไป ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่ตอนเช้าขับรถเข้าเมืองไปทำงาน แล้วตอนเย็นกลับบ้านโดยมาจากในเมืองเหมือนคนอื่นๆ เช่น เป็นคนที่ตอนเช้าขับรถออกนอกเมืองไปทำงาน แล้วขากลับก็วิ่งสวนทางกับชาวบ้านเขา มันก็อาจจะไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบขนาดนั้น
ข้อได้เปรียบจุดที่สองคือ สะพานกลับรถ ที่อยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 1 กม.นิดๆเท่านั้น ถือเป็นเรื่องดีอีกอย่าง เพราะโดยปกติถนนพระราม 2 จะมีจุดกลับรถตั้งอยู่ห่างๆกันในระยะ 3-5 กม. ทำให้บางทีเราจะรู้สึกว่าเราต้องเสียเวลากลับรถไกลๆ ลองจินตนาการว่าเราขับรถเข้าเมืองไปทำงาน หรือไปทำธุระอะไรก็แล้วแต่แค่ฝั่งตรงข้ามถนน แล้วต้องไปกลับรถไกลๆ ผสมกับรถที่กำลังติดๆ บางทีมันก็ทำให้ท้อได้เหมือนกัน แต่พอมีสะพานกลับรถใกล้ๆ สมมติว่าเราอยากจะข้ามฝั่งไป Big C หรือ เซ็นทรัลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็จะรู้สึกมีกำลังใจที่จะไปมากกว่า 😀 ถึงแม้ว่าระยะทางโดยรวมอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก
ถ้าพูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกบนทำเลพระราม 2 นี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกห้างสรรพสินค้า ที่ตั้งเรียงรายอยู่บนถนนพระราม 2 โดยที่เป็นไฮไลท์ก็จะมี เซ็นทรัล, โฮมโปร, บิ๊กซี (มี 2 สาขา), โลตัส และ บุญถาวร (อยู่เลยโครงการไปอีกหน่อย ลืมใส่ในแผนที่) และมีพวกโรงพยาบาลใหญ่ๆอีก 2-3 แห่ง ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ใกล้ถึงขนาดเดินไปได้ แต่ถ้าขับรถก็สบายๆ อยู่ในระยะ 5-10 กม. ถ้ารถไม่ติดก็คงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ความอุดมสมบูรณ์โดยรอบโครงการ เรียกว่าไม่มีอะไรเลยก็ได้ เซเว่นยังหายาก ดังนั้นถ้าอยู่ที่นี่จงขับรถเถอะครับ บ้านมีที่จอดตั้ง 4 คัน #แต่ไม่พอ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Central พระราม 2
- บุญถาวร พระราม 2
- Big-C พระราม 2 ฝั่งขาเข้าและขาออก
- Lotus พระราม 2
- HomePro พระราม 2
- Makro กาญจนาภิเษก
- โรงพยาบาลบางมด
- โรงพยาบาลนครธน
- โรงพยาบาลบางปะกอก 9
- โรงเรียนเลิศหล้า
การเดินทางไปโครงการ ผมใช้ถนนพระราม 2 วิ่งฝั่งขาออก เลยถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกไป ก่อนถึงถนนวงแหวนก็จะเจอกับ HomePro, McDonald Park, Big-C, Lotus และทางกลับรถเข้า Central พระราม 2 วางเรียงกันเป็นแถบ คงจะรู้จักกันดีอยู่แล้วนะฮะ
ข้ามสะพานข้ามแยกที่ตัดกับถนนกาญจนาภิเษก
เมื่อลงจากสะพานข้ามแยกแล้ว ให้เราใช้ทางออกทางคู่ขนานทางออกแรกเลยครับ ที่เขียนว่าไปบางกระดี่/บุญถาวร
เราจะเห็นป้าย ถนนบางกระดี่ แปลว่ามาถูกทางละ
เราจะขับรถผ่านถนนบางกระดี่ทางซ้ายมือครับ ไม่ต้องเลี้ยวเข้าไปนะ ถนนเส้นนี้จะใช้เข้าไปยังวัดบางกระดี่ที่อยู่ด้านใน
ระหว่างทางจะเจอกับโซว์รูม Toyota พระราม 2 อันใหญ่ๆหน่อย
จากนั้นจะผ่านหน้าหมู่บ้าน ลัดดารมย์ Elegance พระราม 2 หมู่บ้านเก่าของ Q.House ซึ่งก็เป็นหมู่บ้านราคาแพงสมัยนั้นเหมือนกัน พอถึงตรงนี้ก็เริ่มชิดซ้ายได้แล้วนะครับ
แล้วเราก็จะเจอกับปั๊ม Shell อยู่ก่อนถึงโครงการ อยู่ติดกันเลย
ปั๊ม Shell สาขานี้ก็ถือว่าใหญ่ใช้ได้เลยนะครับ ยิ่งบ้านใครมีรถ Supercar แพงๆ แล้วชอบเติมน้ำมันของ Shell ก็ถือว่าโชคดีเลย ก่อนกลับบ้านก็เติมน้ำมันก่อน วันรุ่งขึ้นจะออกจากบ้านก็ไม่ต้องไปพะวงหาที่เติมที่อื่น
ต่อจากปั๊ม Shell ก็จะเป็นทางเข้าโครงการ นาราสิริ พระราม 2 เลยครับ อยู่ติดถนนพระราม 2 หาไม่ยาก แต่อย่าขับเลยก็แล้วกัน
เรามาดูรายละเอียดของโครงการเริ่มจาก Master Plan กันก่อนนะครับ ตัวที่ดินของโครงการจะเป็นที่ดินแนวลึกยาว มีลักษณะที่ดินเป็นรูปเหลี่ยมๆ แหลมๆ ด้านหน้าแคบหน่อย แล้วไปบานออกด้านใน โครงการนาราสิริ พระราม 2 มีรูปแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินรวมทั้งหมดราวๆ 35 ไร่ แต่มีบ้านอยู่ทั้งหมดแค่ 57 หลังเท่านั้น โดยแต่ละหลังมีขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 115 ตารางวา ไปจนถึง 323 ตารางวา จัดว่าเป็นโครงการที่หลวมมาก เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยวทั่วๆไปที่ถ้ามีที่ดินถึง 35 ไร่ อย่างน้อยก็ต้องเห็นหลักร้อยยูนิตขึ้นไปครับ ยิ่งถ้าทาวน์โฮมนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เกินแน่นอน โซนพระราม 2 – บางขุนเทียนแถวๆนี้จะโดนข้อกำหนดผังเมืองให้มีขนาดแปลงที่ดินไม่ต่ำกว่า 100 ตารางวาด้วย (บ้านเดี่ยวปกติ 50 ตร.วา) ดังนั้นความหนาแน่นของบ้านโซนนี้จะถูกกดให้ต่ำกว่าหมู่บ้านทั่วไปโดยปริยาย
สภาพแวดล้อมรอบๆที่ดินของโครงการ (*รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ)
- ทิศเหนือ แนวที่ดินส่วนใหญ่จะอยู่ติดกับโรงงานไม้ที่อยู่ด้านข้าง อยู่ติดกับโครงการเป็นแนวยาว และจะมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ติดกับปั๊ม Shell หน้าโครงการ
- ทิศตะวันออก ติดกับแนวชุมชนที่อยู่อาศัย จะมีอาคารสูงประมาณ 6-7 ชั้นอยู่ด้วย
- ทิศใต้ ติดกับแนวชุมชนที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นอาคารเตี้ย 2 ชั้น มีอาคาร 4 ชั้นบ้างเล็กน้อย
- ทิศตะวันตก เป็นด้านหน้าของโครงการ อยู่ติดกับถนนพระราม 2
ทั้งนี้ ทางโครงการได้ทำรั้วรอบโครงการสูง 3 เมตร พร้อมต่อระแนงไม้ ทั้งแบบทึบและแบบโปร่ง เพิ่มความสูงไปอีก 2.5 – 3 เมตร เพื่อบังสายตาสภาพแวดล้อมด้านข้าง และเพื่อให้เกิด Privacy แก่ลูกบ้านด้วย
โครงการวางผังโดยให้ด้านหน้าเป็นส่วนทางเข้า กั้นประตูรั้ว 2 ชั้นแบบ Double Gate Security และมีพื้นที่สวนและน้ำพุด้านหน้า กั้นพื้นที่ด้านในและด้านนอก, มีส่วน Club House และสระว่ายน้ำ วางอยู่ทางด้านหน้าติดกับทางเข้าโครงการ (ซึ่งจะมี Visitor Parking อยู่ตรงนี้ด้วย) ที่ดินเฉพาะส่วนสโมสรตรงนี้ขนาดประมาณ 1 ไร่ครึ่ง
ถนนทางเข้าด้านหน้ากว้าง 19 เมตร (เฉพาะบริเวณ Gate ทางเข้า) ถนน Main ตรงกลางโครงการกว้าง 13 เมตร และลดเหลือ 11 เมตรในโซนที่เป็นบ้านแปลงติดสวนที่อยู่ด้านในโครงการ
โครงการวาง Layout ของหมู่บ้านโดยให้มีบ้านแต่ละแปลงส่วนใหญ่วางอยู่ริมรั้ว โดยหันหลังเข้ารั้ว แล้วหันหน้ามาเจอกัน และมีบ้านอีกส่วนหนึ่งวางอยู่ตรงกลางติดกับ Strip ที่เป็นสวนสาธารณะตรงกลางพื้นที่ของสวนสาธารณะตรงนี้มีขนาดประมาณ 1 ไร่นิดๆ
ทางเข้าด้านหน้าโครงการ มีหน้ากว้างที่ดินติดถนนใหญ่ประมาณ 70 เมตร ด้านหน้าจัดสวน, วางน้ำพุ และทำทางเข้าไว้อลังการอย่างที่เห็นฮะ
ป้ายโครงการสลักคำว่า “Narasiri” ยกขึ้นสูงๆให้มองเห็นง่ายๆ ทั้งคนที่อยู่ที่นี่และคนที่ไม่ได้อยู่ 😛
ป้อมรปภ.วางอยู่ตรงกลางระหว่างทางเข้าและทางออก กลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรมของทางเข้าตรงนี้
ด้านหน้าจะมีรั้วกั้นไม้กระดกอยู่ 2 ชุด (ทั้งทางเข้าและทางออก) ทางซ้ายจะเป็นทางเข้าสำหรับลูกบ้าน ไม้กระดกจะเปิดเองอัตโนมัติเมื่อเราขับรถเข้าไปใกล้ๆ (ระบบ RFID) และทางขวาสำหรับแขกผู้มาติดต่อ จะอยู่ชิดกับป้อม รปภ. เพื่อให้แลกบัตรได้ โดยจะมีการซักไซ้ไถ่ถามกันก่อนว่า แขกคนนั้นมาหาใคร บ้านเลขที่เท่าไหร่ เพื่อความปลอดภัย และสามารถยืนยันตัวตนด้วย Video Door Phone ที่ติดอยู่ที่บ้านแต่ละหลังได้ด้วย โดยจะเชื่อมกับกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่หน้าป้อมรปภ.
ที่ป้อมรปภ.จะมี Sensor ตรวจจับสัญญาณ RFID (Radio Frequency Identification) ซึ่งติดอยู่กับ Key Card ของลูกบ้าน ซึ่งจะปล่อยสัญญาณคลื่นวิทยุออกมา เราไม่ต้องล้วงกระเป๋าหยิบการ์ดมาแตะๆที่ประตูนะครับ เครื่องนี้มันจะ Detect ได้เองจากระยะไกล และเปิดประตูให้อัตโนมัติ และรปภ.ก็จะรู้ทันทีว่าเป็นลูกบ้านหรือไม่ใช่
ด้านข้างเป็นประตูสำหรับคนเดินเข้า
เมื่อผ่านรั้วกั้นไม้กระดกมาแล้ว จะเจอกับส่วนที่เป็นสวนสาธารณะและน้ำพุที่อยู่ด้านหน้า อยู่คั่นระหว่าง Gate ด้านหน้า และ Gate ด้านในอีกหนึ่งชุด ที่เป็นแบบ Double Gate Security โดยปกติ Gate ด้านในจะปิดเอาไว้ คนที่มาติดต่อ รปภ.จะให้จอดรถทางด้านหน้าแทน (เช่นตอนผมเข้าไปรีวิว ผมก็จอดข้างหน้า เป็นต้น) แต่สำหรับแขกของลูกบ้านที่ได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว ถึงจะได้ขับผ่านเข้าไป
ไม่ใช่แค่รถที่ผ่านเข้ามาในโครงการนะครับ คนที่เข้าออกโครงการ ก็ต้องผ่าน Double Gate เหมือนกัน
สวนสาธารณะที่อยู่ด้านข้างน้ำพุ รถของผู้มาติดต่อสามารถขับขึ้นไปจอดได้
ตรงนี้จะมีศาลพระภูมิวางอยู่ทางด้านหน้า ติดกับรั้วโครงการ
เราเข้าไปดูกันว่าในหมู่บ้านเป็นยังไง
ถนน Main ในโครงการ มีการตกแต่งด้วยสแตมป์คอนกรีตเป็นระยะๆ
เมื่อมองมาจากมุมสูงๆ จะเห็นทางเข้าในลักษณะนี้ พื้นถนนมันจะได้ไม่ดูโล่งๆ
พอเดินผ่าน Gate เข้ามาแล้วจะเจอกับอาคาร Clubhouse อยู่ด้านหน้าเลย
ข้างๆ Clubhouse จะมีที่จอดรถอีกประมาณ 4-5 ช่องจอด สำหรับลูกบ้านที่ขับรถออกมาใช้ Facilities ในสโมสร
หน้าตาของ Clubhouse เวลาดูจากด้านหน้าตรงๆ ก็จะหน้าตาแบบนี้ พื้นที่คลับเฮาส์ทั้งหมดประมาณ 1 ไร่ครึ่งนะครับ
ด้านหน้าของสโมสร จัดสวนไม้พุ่มเอาไว้
บันไดทางเดินเข้าสโมสร ปูด้วยหินอ่อน
เดินเข้ามาใน Clubhouse จะเจอกับโถงโล่งๆแบบนี้ก่อน ทางเข้าห้อยโคมไฟหน้าตาคล้ายๆกรงนกแบบนี้ พื้นสโมสร ตกแต่งด้วยหินอ่อนแบบเล่นลวดลายให้ดูหรูหรามากขึ้น
โถงต้อนรับด้านหน้า เปิดเพดานสูงแบบ Double Volume
ตัวโถงด้านหน้านี้จะเป็นลักษณะแบบ Semi Outdoor คือไม่ได้เป็นโถงติดแอร์ เปิดโล่งรับสายลมธรรมชาติ มีส่วนที่เชื่อมต่อไปยัง Outdoor ภายนอก ซึ่งจะเป็นโซนสระว่ายน้ำ
ผนังรอบๆโถงกลาง จะมีส่วนที่เป็นช่องแสงเยอะมาก และด้านบนก็จะเป็นผนังกระจก เผื่อให้แสงธรรมชาติส่องให้พื้นที่ด้านในสว่าง
ด้านหน้าตรงนี้วางชุดโต๊ะ+เก้าอี้หวายเอาไว้สำหรับต้อนรับแขก หรือให้ลูกบ้านมานั่งพักผ่อนได้
ผนังด้านข้างกรุด้วยไม้สีเข้ม เพิ่มความหรูขึ้นมาอีกหน่อย แต่ยังคงใช้วัสดุธรรมชาติ
ถัดเข้ามาด้านใน จะมีส่วนที่ทำเป็นห้องประชุมแบบกึ่งๆ Outdoor ใช้ผนังเป็นฉากกั้นแบบบานเฟี้ยมที่เป็นไม้ ให้ความรู้สึกย้อนยุคๆหน่อย
พื้นที่ตรงนี้สามารถเปิดให้เชื่อมกับโถงด้านนอก ใช้เป็นฟังก์ชั่นรับแขกได้ด้วย แต่ถ้าอยากจะ Private ก็เลื่อนผนังมาปิดได้ และถ้าร้อนก็สามารถเปิดแอร์ที่อยู่ด้านในได้ด้วย กั้นเป็นห้องปิดไปเลย แล้วแต่ว่าอยากจะใช้งานแบบไหน เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่จัดไว้ภายในก็เป็นแบบที่ให้นั่งคุยกันสบายๆ ไม่ได้เป็นทางการเหมือน Meeting Room อย่างทั่วๆไป
ถัดจาก Meeting Room และโถงด้านหน้า จะมีโถงทางเดินแยกออกไปด้านข้างแบบนี้ ทางซ้ายจะเป็นห้องสำนักงานนิติบุคคล ทางขวาจะเป็นห้องน้ำ
ห้องนิติบุคคลตอนนี้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปนั่งทำงานแล้ว ผมเลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดูนะครับ แต่ก็ให้รู้ว่านิติก็จะนั่งอยู่ตรงสโมสรนี่แหละ
ตรงข้ามกับห้องนิติจะเป็นโถงทางเดินที่เป็นโซนห้องน้ำภายใน Clubhouse จริงๆแล้วเอามาวางไว้ตรงนี้ มันห่างไกลจากห้อง Fitness และ สระว่ายน้ำมากไปหน่อยนะ
มีห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ หรือสำหรับคนพิการแยกไว้ด้วยครับ ซึ่งโดยปกติหลายๆที่ก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เท่าไหร่
ห้องน้ำผู้สูงอายุก็จะมีราวจับให้ และไม่มีธรณีประตู เพื่อให้รถเข็นสามารถผ่านได้สะดวกๆ
เราลองเข้าไปดูในห้องน้ำของคนทั่วๆไปกันบ้าง ให้ดูเฉพาะห้องน้ำชายละกันนะ เพราะผมไม่ได้เข้าไปถ่ายในห้องน้ำหญิง 😛
ห้องน้ำในคลับเฮาส์ก็จะตกแต่งออกมาสไตล์เดียวกันกับส่วนอื่นๆของตัวสโมสร เน้นวัสดุธรรมชาติ พวกไม้ และหินธรรมชาติ อย่างทางด้านขวานี้ก็จะมีเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ ท้อปหินแกรนิต
ตู้ล็อคเกอร์ที่หน้าบานเป็นไม้
ในห้องน้ำชายมีโถปัสสาวะ 2 จุด, ห้องสุขา 2 ห้อง และห้องอาบน้ำอีก 2 ห้อง
ภายในห้องน้ำมีห้องอบไอน้ำด้วยนะ เป็นระบบของยี่ห้อ Arvicasteam สามารถใช้งานได้พร้อมกันประมาณ 3-4 คนเต็มที่
ออกจากห้องน้ำแล้วขึ้นไปดูชั้น 2 ของสโมสรกันก่อน ซึ่งชั้นบนจะเป็นห้องฟิตเนส
แม้แต่ส่วนโถงบันไดของสโมสร ก็ยังเว้นผนังไว้เป็นผนังโล่งๆ เพื่อให้รับลมรับแสงธรรมชาติได้
เมื่อมองออกไปด้านนอกจะเห็นน้ำพุ และพื้นที่สวนรอบๆคลับเฮาส์ คือให้เราได้มองอะไรเขียวๆบ้าง ไม่ใช่มองแต่ผนังปูน
ขึ้นมาที่ชั้น 2 ของสโมสร จะมีพื้นที่ให้นั่งเล่นได้อีก 1 จุด และพื้นที่ที่เหลือก็เป็นส่วนของห้องฟิตเนส
จากชั้นสอง มองออกไปด้านนอกก็จะเห็นสระว่ายน้ำ และวิวของตัวหมู่บ้าน
ห้องฟิตเนสเปิดให้บริการช่วง 8.00-20.00น. โดยมาตรฐาน แต่ต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนยังไงก็แล้วแต่นิติบุคคลและลูกบ้านจะลงความเห็นกันนะครับ
พื้นที่ในห้องฟิตเนสไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็น่าจะมีพอให้สำหรับ 57 ครอบครัวได้เข้ามาใช้งาน มีเครื่องเล่นวางไว้ประมาณ 5-6 เครื่อง
ตัวฟิตเนสเปิดเพดานโล่ง 2 ชั้นแบบ Double Volume และรอบๆใส่ผนังกระจกให้สามารถรับวิวโดยรอบได้
เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นพื้นที่สวนหย่อม และสระว่ายน้ำ ข้างๆคลับเฮาส์ ซึ่งเราจะลงจากฟิตเนสแล้วไปดูกัน
ตรงนี้เป็นทางเดินจากสโมสรออกไปยังสระน้ำ สังเกตว่าจะมีชุดโต๊ะ+เก้าอี้ เตรียมไว้ให้ลูกบ้านสามารถนั่งเล่นได้ทุกมุม เผื่อว่าเวลามีคนมาใช้งานสโมสรพร้อมๆกันหลายๆครอบครัว จะได้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกๆคน
พื้นที่ด้านนี้ก็จะเป็นโซน Daybed ที่วางอยู่บนพื้นระแนงไม้ ที่ถูกยก Step ขึ้นมา เพื่อแยกส่วนการใช้งาน
รอบๆโซน Daybed นี้จะถูกล้อมด้วยสระน้ำเล็กๆ ซึ่งไม่ได้เอาไว้ใช้งาน แต่เป็นการตกแต่งเพื่อให้รู้สึกเย็นสบายมากขึ้น เชื่อมพื้นที่ภายใน กับภายนอกที่เป็นสระว่ายน้ำได้ค่อนข้างกลมกลืนทีเดียว
ต่อมาตรงนี้ก็จะเป็นทางเดินสำหรับออกไปยังสระว่ายน้ำ
เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นลักษณะนี้
ด้านข้างทางเดินตกแต่งด้วยสระบัว และไม้พุ่มหนาแน่นมาก ต้องบอกว่าแม้โครงการจะสร้างเสร็จ เปิดตัวมาได้ไม่ถึงปี แต่สร้างบรรยากาศ ความร่มรื่นภายในโครงการได้ดี ไม่ต้องอ้างเลยว่ารอต้นไม้โตก่อนถึงจะร่มรื่น หวังว่าหลังจากโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นของลูกบ้านแล้ว จะยังคงสภาพนี้อยู่ได้นะครับ 🙂 ถ้าดูแลดีๆต้นไม้ตรงนี้จะยิ่งเขียว และทำให้หมู่บ้านนี้ร่มรื่นมากกว่าเดิมอีกเยอะ
เมื่อเดินเข้ามาในโซนสระว่ายน้ำ อารมณ์ก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง รอบๆสระว่ายน้ำจะปลูกไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นไว้ค่อนข้างแน่น และสูงกว่าระดับสายตา เพื่อบังสายตาจากคนภายนอก และในขณะเดียวกัน ก็จะสร้าง Privacy ให้กับคนที่กำลังใช้งานสระว่ายน้ำได้ และให้ความรู้สึกว่าสระว่ายน้ำนั้นถูกแยกโซนออกมาได้จริงๆ และมีการวางต้นไม้ใหญ่ให้ยื่นลงไปในสระว่ายน้ำเพื่อเพิ่มร่มเงาให้กับคนใช้สระว่ายนำ้ด้วย แต่พวกนี้ต้องใช้ต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบเยอะๆนะ ไม่งั้นสระน้ำอาจจะสกปรกได้เนื่องจากใบไม้ร่วงลงไปในสระ
วางกระถางบัวไว้ในบ่อน้ำที่อยู่ข้างๆสระน้ำอีกที คือตั้งใจปลูกพืชน้ำแต่ให้อยู่คนละน้ำกัน เพื่อสร้างความรู้สึกว่าเราว่ายอยู่ในหนองน้ำจริงๆ โดยความเห็นส่วนตัวผมคิดว่ามันดูไทยๆดีด้วย
ด้านข้างของสระน้ำเป็นทางเดินริมขอบสระเป็นแนวยาว วาง Daybed ไว้เป็นจุดๆ สำหรับนั่งพักผ่อน
ตรงนี้เป็นโซนสระเด็กที่ถูกแยกเอาไว้จากสระผู้ใหญ่ รวมถึงใช้เป็นบันไดเดินลงสระด้วย
อีกบ่อหนึ่งข้างๆ เป็นโซน Relax Pool ที่มีที่นั่งแบบ Jacuzzi ด้วย ข้างๆกันนี้จะมีอีกบ่อหนึ่งเป็นแบบ Spa Bed ด้วย คือจะเป็นน้ำพุ่งๆออกมาคล้ายๆ Jacuzzi แบบนี้แหละ แต่จะมีลักษณะเป็นเตียงให้นอนราบลงไปได้แทนที่จะต้องนั่งบนม้านั่งแบบนี้
เมื่อเดินมาจนสุดทางของสระว่ายน้ำ ก็จะเจอกับจุดที่เป็นที่นั่งพักผ่อนริมสระอีกจุดหนึ่ง แต่จะเป็นแบบ In-Door แทน คือหลบแดดหลบฝนได้
และโซนด้านหลังของที่นั่งพักผ่อนริมสระนี้จะเชื่อมออกไปยังสวนหย่อมด้านหลัง ที่จัดไว้เป็นเหมือน Courtyard เล็กๆสำหรับมาเดินเล่น สวีทจี๋จ๋ากับแฟน แบบส่วนตั๊วส่วนตัว ตรงนี้จะปลูกต้นไม้เอาไว้รอบๆ และมีที่นั่งให้นั่งเล่นชมสวนได้อีกนิดหน่อย
ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นพื้นที่ Clubhouse และ สระว่ายน้ำ ที่อยู่ด้านหน้าโครงการครับ
ออกมาจาก Clubhouse แล้วเดินเข้าไปดูข้างในโครงการต่อดีกว่า
ถนน Main ภายในโครงการจะกว้าง 13 เมตรครับ ภายในโครงการใช้ระบบสายไฟฟ้าลงใต้ดินทั้งหมด ไม่มีเสาไฟฟ้าโผล่ขึ้นมาให้เห็น ทำให้การจัด Landscape ภายในโครงการดูสะอาดสะอ้านตามากกว่าโครงการที่มีเสาครับ ส่วนไฟส่องถนนตามทางเหล่านี้ ก็จะเป็นหลอด LED แบบเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วย
บ้านหลังนี้เป็น Type Jardine ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดครับ ทางโครงการใช้เป็นสำนักงานขาย และเป็นบ้านตัวอย่างไปในตัวเดียวกัน (และขายด้วยนะ ของแพง พื้นที่จำกัดต้องเข้าใจ) เราจะยังไม่พาเข้าไปดู
ด้านหน้าสำนักงานขายมีโซนที่เป็นลานจอดรถ สำหรับผู้ที่มาติดต่อ ซึ่งในอนาคตลูกบ้านก็คงใช้เป็นที่จอดรถสำหรับคนที่จะเดินไปใช้สโมสรนั่นแหละ เพราะอยู่ห่างกันไม่มาก
ถัดจากโซนบ้านตัวอย่างก็จะเป็นถนนตรงๆเข้าไปด้านใน โซนด้านหน้านี้สร้างเสร็จพร้อมอยู่หมดแล้วครับ มีลูกบ้านเข้าอยู่บางส่วนแล้วด้วย
ด้านในจะมีโซนที่กั้นรั้ว Metal Sheet อยู่ ซึ่งเป็นโซนที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ
เราจะขอแอบเข้าไปดูกันว่าข้างในเป็นยังไง ไปถึงไหนกันแล้ว
เข้ามาด้านหลัง จะเจอส่วนที่เป็นสวนสาธารณะตรงกลางโครงการ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ พื้นที่สวนตรงนี้ประมาณ 1 ไร่นิดๆ บริเวณพื้นที่สวนตรงนี้จะมีการติด Automatic Sprinkler ด้วย โดยจะเป็นหัวฉีดรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ เพื่อการดูแลรักษาที่ง่ายขึ้น (แต่ก็แพงขึ้นด้วยนะจ๊ะ ไม่เป็นไร รวย)
รอบๆสวนมีบ้านโซนติดสวนที่กำลังสร้างอยู่ ซึ่งก็ดูใกล้จะเสร็จแล้วนะ โครงสร้างของบ้านที่นี่จะใช้อิฐมวลเบา QCON
ถนนด้านในโซนที่ติดสวนนี้จะมีความกว้าง 11 เมตร แต่ปัจจุบันยังไม่ได้เทคอนกรีต ซึ่งเดี๋ยวถ้าเก็บงานแล้วก็คงจะดูเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม
อยากจะให้ดูตรงน้ีนิดนึงครับ ที่ดินโซนด้านหลังนี้จะมีที่ดินบางส่วนที่อยู่ติดกับโรงงานด้านข้าง ซึ่งอาคารของโรงงานข้างๆก็ค่อนข้างสูงทีเดียวแหละ มีตั้งแต่ความสูง 4-6 ชั้น ดังนั้น เพื่อความ Private ของลูกบ้าน ทางโครงการจึงทำการต่อเติมรั้วขึ้นไปให้สูงขึ้น จากเดิมที่เป็นรั้วปูนด้านล่างสูง 3 เมตร ก็เติมแผงบังสายตา (มีทั้งแบบทึบ และแบบโปร่ง แล้วแต่ตำแหน่งของที่ดิน) เพิ่มไปอีก 3 เมตร รวมเป็น 6 เมตร (บางจุดเป็น 3+2.5 = 5.5 เมตร) เพื่อความสบายใจของลูกบ้าน
ดูโครงการกันมาพอสมควรแล้ว ต่อไปเราไปดูบ้านตัวอย่างบ้างนะครับ
สิ่งอำนวยความสะดวก
- สโมสรขนาดใหญ่ พื้นที่สโมสรรวมสระว่ายน้ำและสวนหย่อมรอบๆประมาณ 1.5 ไร่
- สระว่ายน้ำระบบเกลือ แยกสระเด็ก
- ห้องออกกำลังกาย 1 ห้อง ใส่เครื่องออกกำลังกายประมาณ 5-6 เครื่อง
- ห้องประชุมแบบ Semi Outdoor
- ห้อง Steam Room ภายในห้องน้ำของสโมสร
- สวนสาธารณะขนาดประมาณ 1 ไร่ และสวนหย่อมด้านหน้าประตูทางเข้า
- Automatic Sprinkler สำหรับรดน้ำต้นไม้โดยอัตโนมัติ
- ที่จอดรถผู้มาติดต่อแยกต่างหาก
- สายไฟฟ้าลงใต้ดิน
- ไฟถนนแบบ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ
- ภายในบ้านเดินสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบ Fiber Optics
Privacy & Security
- รั้วรอบโครงการสูง 3 เมตรและรั้วเบาต่อเติมอีก 2.5 – 3.0 เมตร
- ระบบ CCTV ที่ Main Gate และภายในโครงการ
- Key Card Access แบบ RFID ระยะไกล
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
- ประตูรั้วโครงการแบบ Double Gate Security แบบรั้วกั้นไม้กระดก และ รั้วเลื่อนไฟฟ้า
- สัญญาณกันขโมย ระบบ Magnetic & Infrared Sensor ทุกหลัง พร้อมปุ่ม Emergency Alarm ภายในห้องนอนใหญ่
- Video Door Phone เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ และกล้องวงจรปิดที่ป้อมรปภ.
แบบบ้านของ นาราสิริ พระราม 2 มีบ้านทั้งหมด 3 แบบหลักๆครับ คือ
- แบบ Lalique พื้นที่ใช้สอย 321 ตารางเมตร (4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ)
- แบบ Marco (A) พื้นที่ใช้สอย 390 ตารางเมตร (4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ)
และแบบ Marco (B) พื้นที่ใช้สอย 401 ตารางเมตร (ต่างกันที่พื้นที่ห้องนอนชั้นล่างที่เพิ่มขึ้นมา) - แบบ Jardine พื้นที่ใช้สอย 523 ตารางเมตร (4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ)
ซึ่งแบบที่ผมจะพาไปรีวิวในตอนนี้คือแบบ Marco ครับ ตอนแรกอยากจะพาไปดูหลังใหญ่สุด คือ Jardine แต่บ้านตัวอย่างดันขายโอนให้ลูกบ้านไปแล้ว จึงเข้าไปถ่ายรูปไม่ได้ เลยจะขอพาไปดูหลังกลางแทน ซึ่งฟังก์ชั่นไม่ได้ต่างจากแบบ Lalique หลังเล็กสุดมากนัก แต่เพราะพื้นที่มันใหญ่กว่า จัดได้ลงตัวกว่า
แปลนบ้านของแบบ Marco (A) ชั้น 1F ด้านหน้าจะเป็นส่วนที่จอดรถ ซึ่งสามารถจอดได้ 4 คัน โดยมี 3 คันอยู่ด้านหน้า และอีก 1 คันซ้อนอยู่ด้านหลังตามที่เห็นดังรูป บริเวณทางเข้าบ้านจะมี Step ขั้นบันไดเล็กๆที่ต่อเข้าสู่เฉลียงหน้าบ้าน ก่อนที่จะเข้าไปยังตัวบ้าน พื้นที่เฉลียงตรงนี้จะมีที่นั่ง สามารถนั่งถอดรองเท้า ใส่รองเท้าได้
เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว จะเจอกับส่วนรับแขกที่อยู่หน้าบ้าน เป็นห้องรับแขกที่แยกส่วนกับพื้นที่ Living Room ในบ้าน เพื่อใช้เป็นฟังก์ชั่นรับแขกจริงๆจังๆ การทำเช่นนี้จะเป็นการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของพื้นที่รับแขกมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ตัวบ้านก็จะมีห้องเอนกประสงค์อีกห้องที่ใช้เป็นห้องนั่งดูทีวีของคนในบ้านแยกออกไป โดยที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับฟังก์ชั่นการรับแขก
ต่อจากส่วนรับแขกเข้ามาเป็นโถงกลางบ้าน ที่ประกอบด้วยโต๊ะรับประทานอาหาร ขนาด 8-10 ที่นั่ง และ Pantry สำหรับเตรียมอาหารรวมอยู่ด้วยกันเป็นโถงใหญ่ จากจุดที่เป็น Pantry จะมีประตูเปิดออกไปเชื่อมกับห้องครัวไทยแยกส่วน ที่วางอยู่ทางด้านหลังบ้าน ซึ่งในครัวไทยจะมีประตูเปิดออกไปหลังบ้านอีกที ไปยังส่วนที่เป็น Maid’s Zone ที่จะประกอบไปด้วยลานซักล้าง และห้องนอนกับห้องน้ำของแม่บ้าน โดยพื้นที่ตรงนี้สามารถเดินอ้อมเข้าจากทางหลังบ้านก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านพื้นที่หน้าบ้าน
พื้นที่ชั้นล่างนี้จะมีห้องนอนอยู่อีกห้องหนึ่งด้วย (ห้องนอน#4) อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโถง ตรงข้ามกับฝั่งที่เป็นครัว โดยห้องนอนชั้นล่างนี้ จะไม่ได้มีห้องน้ำในตัว แต่จะอยู่ติดกับห้องน้ำชั้นล่างท่ีใช้ร่วมกันกับห้องรับแขก มีฟังก์ชั่นใช้อาบน้ำได้ ตัวห้องนอน#4 นี้ จะอยู่ติดกับเฉลียงข้างบ้าน ที่เปิดออกไปยังพื้นที่สวนได้ กรณีที่เราไม่ได้ใช้เป็นห้องนอน เราอาจจะใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงานหรือห้องเอนกประสงค์อื่นๆก็ได้
ส่วนแปลนของแบบ B พื้นที่ภายในคือจะเหมือนกับแบบ A เลย เพียงแต่จะมีพื้นที่ส่วนห้องนอน 4 ที่อยู่ชั้นล่าง ที่เพิ่มมาอีกประมาณ 10 ตารางเมตรใหญ่ขึ้น สามารถใส่ Walk-in Closet ได้ และมีพื้นที่เฉลียงหน้าห้องที่ใหญ่กว่าเดิม
ขึ้นมาที่ชั้น 2F ชั้นนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยเหมือนกันทั้งแบบ Marco A และ B มีฟังก์ชั่นคือ ห้องนอน 3 ห้องที่มีห้องน้ำในตัวทั้ง 3 ห้อง และจะมีห้องพักผ่อน (Relaxation Room หรือ Family Room ที่เรามักจะเรียกกัน) อยู่ติดกับห้องพระ โดยจะวางให้ห้องพักผ่อน+ห้องพระ และห้องนอน Master Bedroom วางอยู่ฝั่งด้านหน้าบ้าน มีระเบียงเปิดออกสู่ภายนอกได้ และให้ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง วางอยู่ด้านหลังบ้าน ไม่มีระเบียงด้านหลัง ห้องนอน Master Bedroom จะพิเศษกว่าห้องอื่นตรงที่มีห้องน้ำแบบ Full Function และสุขภัณฑ์ที่จัดเต็มกว่า มีอ่างอาบน้ำ และเตรียมพื้นที่สำหรับใส่ Walk-in Closet ไว้ให้เลย
หน้าบ้านตัวอย่างหน้าตาแบบนี้ครับ เนื่องจากบ้านแต่ละหลังของที่นี่ราคาจะค่อนข้างสูง แถมมีจำนวนยูนิตไม่เยอะ แค่ 57 หลัง จึงไม่เหมือนกับโครงการอื่นๆทั่วไปที่มีบ้านขายเยอะๆ และมีการทำโซนบ้านตัวอย่างแยกออกมาชัดเจน แต่ที่นี่เป็นการเอาบ้านจริงมาแต่งให้ดูเลย มีรั้วรอบขอบชิด พื้นที่จอดรถ ประตูรั้ว ประตูบ้าน ตู้จดหมาย ถังขยะ เหมือนบ้านจริงเลย ที่แตกต่างก็จะเป็นพวกการตกแต่งภายใน มีการจัดสวนเพิ่มเติม แต่วัสดุหลักๆที่ใช้ในบ้านตัวอย่างส่วนใหญ่ก็เหมือนกับของที่จะได้จริงเลย พูดง่ายๆก็คือพร้อมขาย พร้อมโอน พร้อมอยู่เลยนะฮะในราคารวมเฟอร์นิเจอร์ ใครอยากได้บ้านตัวอย่างก็บอกทางโครงการได้จ้ะ (มีคนซื้อบ้านตัวอย่างหลังใหญ่สุดไปแล้ว แถมเข้าอยู่แล้วด้วย เลยไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปหลังนั้นได้ แอบเสียดายเล็กๆ)
ประตูรั้วหน้าบ้าน แยกส่วนระหว่างส่วนที่ให้คนเดินเข้า กับทางรถเข้า
ประตูคนเดินเข้า ทำเป็นซุ้ม มีชายคา และมีหลอดไฟสี่เหลี่ยมด้านบน ตัวประตูเป็นประตูเหล็กพ่นสีดำ มือจับอลูมิเนียมแบบก้านโยก
รั้วด้านข้างบ้านเป็นรั้วเหล็กซี่ๆ โปร่งๆ แบบนี้ บ้านที่นี่จะปลูกอยู่บนที่ดินขนาด 115 ตารางวาขึ้นไปครับ ดังนั้นจะมีพื้นที่รอบบ้านเยอะหน่อย ที่ดินก็จะได้เป็นที่ดินหน้ากว้างด้วย
ป้ายเลขที่บ้าน สลักบนหิน และฝังไว้ด้านในช่องของกำแพง มีช่องสำหรับใส่ซองจดหมายด้านล่าง และมีปุ่มกดกริ่งประตูหน้าบ้านเป็นสวิตช์สี่เหลี่ยมอลูมิเนียมแบบนี้
เสาไฟ LED ส่องถนนของหมู่บ้าน แบบเปิด-ปิดเองอัตโนมัติ ตามเวลาที่ตั้งไว้ ฟุตบาทหน้าบ้าน ปูหญ้า และทำทางเดินเป็นพื้นทรายล้าง
สายไฟในโครงการจะถูกฝังลงใต้ดินทั้งหมด และจะมาโผล่ที่ตู้ไฟหน้าบ้านแบบนี้ ที่เห็นเป็นตู้สูงๆทางซ้าย ส่วนทางขวาเป็นช่องเปิดถังขยะหน้าบ้าน สำหรับคนเก็บขยะ
ถังขยะอยู่ที่กำแพง เชื่อมต่อเข้ามายังในบ้าน มีฝาเหล็กปิดมิดชิด สามารถทิ้งขยะได้โดยไม่ต้องเดินออกไปนอกบ้าน คนเก็บขยะก็สามารถเปิดเอาถุงขยะจากช่องทางด้านนอกได้เลยโดยที่ไม่ต้องเข้าบ้าน การทำแบบนี้จะป้องกันไม่ให้พวกหมาแมวมาคุ้ยขยะหน้าบ้านได้ และไม่ให้คนอื่นเอาขยะมาทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้านเราด้วย
ประตูรั้วแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติโดยใช้รีโมทคอนโทรล ติดตั้งมาให้แล้ว และจะมีสัญญาณไฟกระพริบ บอกว่าประตูรั้วกำลังเปิดหรือปิดอยู่ ขณะที่มันทำงาน แต่ละบ้านจะได้รีโมทประตู 4 อัน ตามจำนวนรถที่จอดได้ 4 คัน
เข้ามาในบ้านก็จะเจอกับส่วนลานจอดรถก่อน พื้นของลานจอดรถ ปูด้วย Stamp Concrete เต็มพื้นที่ยาวมาจนสุดขอบรั้วบ้าน บ้านแต่ละหลังก็จะมีลวดลายแตกต่างกัน ตัวโรงรถสามารถจอดรถได้ 4 คันในร่ม โดยที่มี 1 คันจอดซ้อนอยู่ด้านใน และอีก 3 คันเรียงอยู่ด้านหน้า โดยไม่มีเสาคั่นกลาง บ้านทุกแบบที่นี่จอดรถได้อย่างน้อย 4 คันหมด แต่ถ้าบ้านไหนมีที่ดินขนาดใหญ่ พื้นที่ดินด้านหน้าเหลือเยอะ ก็สามารถจอดรถซ้อนเพิ่มอีก 1 แถวได้ อาจจะทำให้จอดซ้อนๆกันได้ 7 คันเลย ถ้าที่ดินใหญ่พอ
กันสาดส่วนลาดจอดรถ จะมีตกแต่งขอบด้วย Grille แบบนี้
พื้นที่ลานจอดรถที่อยู่ใต้ชายคา จะมีการลงเสาเข็มลึกเท่ากับตัวบ้าน (โดยปกติจะ 21 เมตร) แต่ส่วนที่อยู่ยื่นออกมานอกชายคา จะกดเข็ม 6 เมตร เพราะไม่ต้องรับน้ำหนักตัวบ้าน จะเห็นว่ามีการคั่นพื้นที่สองส่วนโดยกรีดร่องไว้บนพื้น และโรยหินเอาไว้ เพื่อไม่ให้ช่องว่างของพื้นที่สองส่วนนี้เกิดการร้าวแตก เวลาที่พื้นที่แต่ละจุดเกิดการทรุดตัวไม่เท่ากัน
พื้นที่ด้านข้างบ้าน โดยปกติจะมีการจัดสวนให้ โดยจะมีการปูหญ้า และปลูกไม้พุ่ม เป็นแนวรั้วต้นไม้ สูงประมาณ 2 เมตรเพื่อบังสายตาจากข้างบ้าน และเพื่อความเป็นส่วนตัว ในบ้านจะมีการลงต้นไม้ใหญ่ให้ด้วย จำนวนต้นไม้ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินของแต่ละหลัง
ผนังด้านข้างของที่จอดรถ มีส่วนที่ทำเป็นตู้เก็บของ 2 ตู้ สำหรับเก็บข้าวของเครื่องใช้สำหรับใช้นอกบ้าน หรือเก็บพวกของชิ้นใหญ่ๆ ที่ไม่อยากจะขนเข้าบ้าน
หน้าบานให้เป็นบานเลื่อนสีขาว วัสดุเป็นพลาสติก ที่มีช่องให้อากาศผ่านได้ ไม่ให้มีความชื้น บุด้วยมุ้งลวดด้านใน เพื่อป้องกันแมลง หรือสัตว์ตัวเล็กๆไม่ให้เข้าไปในตู้
ที่เพดานของลานจอดรถ ตีฝ้าให้ด้วย และฝังกล่องไฟสี่เหลี่ยมเข้าไปด้านในให้ด้วย โดยจะเป็นรุ่นที่ Seal กันแมลงไม่ให้เข้าไปด้านในได้ ไฟส่องสว่างที่โรงรถนี้สามารถตั้งเวลาให้เปิด-ปิดได้อัตโนมัติได้ด้วย
จากพื้นที่โรงจอดรถจะมีทางเดินเชื่อมออกมาที่สวนแบบนี้
ในบ้านตัวอย่างจะมีการจัดสวนเพิ่มเติมจากที่ให้มาแบบมาตรฐานนะครับ ก็เลยจะดูจัดเต็มมากกว่าปกติ ของจริงก็จะมาเป็นแบบโล่งๆ ปูหญ้า มีไม้พุ่มรอบๆ กับต้นไม้ใหญ่อีกนิดหน่อย
ตัวบ้านทั้งหลังเมื่อมองจากมุมในสวน
ตัวบ้านของที่นี่ เวลาดูโดยรวมจากภาพกว้างๆ อาจจะดูเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกๆหน่อย แต่พอซูมเข้ามาดู Detail การตกแต่งพวกหน้ากาก Facade ของบ้านที่นี่ จะผสมๆ Colonial นิดๆ มี Element แบบตะวันออกมาผสมด้วย ก็ดูเอาเองละกันนะครับว่าชอบมั้ย คงจะไม่ Comment ใดๆเรื่องความสวยงามนะฮะ
อันนี้คือระเบียงของห้องนอนใหญ่ เมื่อมองจากด้านนอก
เหลี่ยมมุมของหลังคา รูปแบบหน้าต่าง ฝ้า
พื้นที่สวนหน้าบ้านก็แล้วแต่ขนาดของที่ดินนะครับ ไม่เหมือนกันในแต่ละหลัง แต่ส่วนใหญ่ก็จะประมาณนี้แหละ
ภายในสวนจะมีการทำทางเดินด้วยทรายล้าง ให้เชื่อมจากหน้าบ้าน ไปยังด้านข้างของบ้านแบบนี้ด้วย
เมื่อเดินมา ก็จะเจอกับเฉลียงที่อยู่ด้านข้างของตัวบ้าน เชื่อมกับห้องนอน#4 ที่มีประตูให้เปิดออกมาที่สวนได้ ใครอยากได้ห้องนอนวิวสวน ก็ต้องห้องนี้เลย
หน้าตาทางเข้าบ้านเป็นแบบนี้ ตัวเสาคู่หน้าบ้านก็จะสูงต่อเนื่องไปจนถึงระเบียงด้านบนเลย
ตามเสา และผนังภายนอกของบ้านบางส่วน จะมีการปิดผิววัสดุด้วยหินอ่อน หน้าตาแบบนี้เลย
เฉลียงหน้าบ้าน ยกสูงขึ้น มีบันได 4 ขั้น ปูด้วยหินอ่อน ตกแต่งจมูกบันไดด้วยหินแกรนิตสีดำ
เฉลียงหน้าบ้านนี้จะมีการทำเป็นที่นั่งหินแกรนิต สำหรับถอด-ใส่รองเท้าได้
ประตูทางเข้าบ้าน เป็น Double Door บานคู่ แบบที่มีกระจก และตกแต่งผนังรอบๆบริเวณทางเข้าด้วยผนังกระจกทั้งหมด เพื่อใช้เป็นช่องแสงขนาดใหญ่ ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในบ้านได้มากขึ้น และที่สำคัญคือให้ทางเข้าดู Grand หรูหราขึ้นด้วย
มือจับประตูเป็นบรอนซ์ สไตล์วินเทจ มีตัวล็อคยี่ห้อ Schlage
ด้านหลังเป็นแบบลูกบิดธรรมดา
เข้ามาในบ้านปุ๊บ จะเจอห้องรับแขกก่อน อยู่แยกส่วนออกมาหน้าบ้าน และมีทางเดินต่อเข้าไปยังโถงกลาง
ห้องรับแขก สามารถจัดชุดเก้าอี้ โซฟา อาร์มแชร์ หรือ Wing Chair และโต๊ะกลาง ได้ในลักษณะนี้ ถ้าอยากจะจัดพื้นที่ในห้องนี้ให้ดูทีวีได้ด้วยก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่ห้องดูทีวีของสมาชิกในบ้านจะมีแยกอยู่อีกส่วนหนึ่ง แต่พื้นที่ส่วนนี้เค้าตั้งใจจะให้เป็นพื้นที่รับแขกจริงๆจังๆมากกว่า
ผนังด้านข้าง ติดหน้าต่าง 2 ด้าน รับวิวสวนได้
แอร์ที่แถมมาให้ในบ้าน จะมีทั้งแบบ 4 ทิศทาง และแบบฝังผนัง Wall-Type ครับ โดยจะให้แบบ 4 ทิศทาง ที่ห้องนั่งเล่น และห้องนอนใหญ่ ส่วนห้องนอนเล็กจะได้แอร์แบบ Wall-Type
ส่วนหลอดไฟในบ้านจะเป็นหลอด LED Downlight ทั้งหมด มี Dimmer สามารถปรับความสว่างของหลอดได้
สวิตช์ไฟในบ้าน เป็นแบบระบบสัมผัสครับ แผงสีขาวนั่น เอาไว้สำหรับควบคุมระบบสัญญาณกันขโมยภายในบ้าน ซึ่งเดี๋ยวจะอธิบายเพิ่มเติมทีหลังนะครับ
จากห้องรับแขก มองออกมาที่ประตูหน้าบ้าน ผนังด้านข้างตรงทางเข้า มีพื้นที่สำหรับวางตู้โชว์ หรือ ตู้เก้บของได้เพิ่มอีก
พื้นชั้นล่าง จะให้เป็น หินอ่อนอัด (Compressed Marble) สีขาว หน้าตาเรียบๆแบบนี้ ถ้าดูใกล้ๆจะเห็นว่ามีลวดลายนิดหน่อยนะครับ แต่ผมถ่ายมาแล้วมันมองไม่เห็น ขออภัย -_-
เดินต่อเข้ามาด้านในจะเจอกับโถงกลางบ้าน ซึ่งจะประกอบไปด้วย พื้นที่รับประทานอาหาร และส่วน Pantry เตรียมอาหาร อยู่ด้านหน้าของเรา
พื้นที่โถงนี้จะอยู่ตรงกลางบ้านเลยครับ เป็นเหมือนจุดที่เชื่อมต่อฟังก์ชั่นทุกส่วนในบ้านเข้าด้ยวกัน ถ้าย้อนขึ้นไปดูจาก Floor Plan จะเห็นภาพมากขึ้น จากโถงนี้ ถ้าไปทางซ้าย จะเป็นห้องเอนกประสงค์, ห้องครัวและส่วนซักล้าง ถ้าไปทางขวาจะเป็นห้องน้ำ, ห้องนอน#4 และบันไดทางขึ้นชั้น 2 ครับ
ก่อนที่จะไปดูโถง ผมขอพามาดูห้องนี้ก่อนนะครับ ซึ่งอยู่ติดกับโถงกลางบ้าน และอยู่ทางด้านหน้าบ้านเลย
ห้องนี้จะเป็นห้องเอนกประสงค์ที่วางอยู่ชั้นล่างครับ คนที่ออกแบบบ้านหลังนี้เค้าตั้งใจจะวางพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นพื้นที่สำหรับคนในบ้าน มานั่งดูทีวีด้วยกัน เพราะโดยปกติแล้ว เรามักจะใช้พื้นที่ห้องรับแขกเป็นพื้นที่สำหรับดูทีวีด้วย แต่ทีนี้พอบ้านนี้มีห้องรับแขกที่แยกออกมาเป็นกิจลักษณะแล้ว เค้าก็เลยแยกฟังก์ชั่นการใช้งานทีวีมาอยู่อีกห้องหนึ่ง เพื่อให้ทั้ง 2 ฟังก์ชั่น สามารถทำงานพร้อมๆกันได้ เช่น คุณพ่อคุณแม่กำลังต้อนรับแขกอยู่อีกห้องหนึ่ง ลูกๆ พี่ๆ น้องๆ ญาติๆ คนอื่นๆ ก็สามารถมาใช้ห้องนี้ นั่งดูทีวีด้วยกันอยู่ได้ โดยที่ไม่ไปรบกวนแขกที่มาหา
ห้องนี้จัดเฟอร์นิเจอร์ไว้หลวมๆ เป็นชุดโซฟาดูทีวี กับโต๊ะกลาง และโต๊ะวางทีวี ถ้าบ้านไหนที่คิดว่า ห้องนี้ไม่ได้มีความจำเป็น เราก็สามารถทำห้องนี้ให้รองรับฟังก์ชั่นอื่นๆได้ เพราะพื้นที่ห้องค่อนข้างยืดหยุ่น เช่น ทำเป็นห้องซ้อมดนตรี, ทำเป็นห้อง Mini Home Theater, ห้องทำงาน, ห้องงานอดิเรก ฯลฯ แล้วแต่ว่าการใช้ชีวิตของเราจะเป็นแบบไหน
กลับออกมาที่ โถงกลางบ้านอีกที
โต๊ะรับประทานอาหาร ในห้องตัวอย่าง จัดไว้เป็นโต๊ะยาวแบบ 8 ที่นั่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถใส่เป็นแบบ 10-12 ที่นั่งได้เลย หรือบ้านไหนจะจัดเป็นโต๊ะกลม แบบโต๊ะจีน ก็ทำได้เหมือนกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบโต๊ะกลมมากกว่านะ เพราะคนที่นั่งกินข้าวจะมองเห็นหน้ากันหมด
ผนังด้านหลังโต๊ะกินข้าว อยู่ติดกับพื้นที่หลังบ้าน ซึ่งทำเป็นหน้าต่างกระจก บาน Slide สามารถเปิดเพื่อรับลมหรือระบายอากาศได้ และเป็นช่องแสงธรรมชาติให้กับพื้นที่รับประทานอาหารด้วย ในกรณีที่บ้านไหนจัดสวนด้านนอก ก็สามารถชมสวนจากมุมตรงนี้ได้อีก
พื้นที่ข้างๆส่วนรับประทานอาหาร เป็นพื้นที่เตรียมอาหาร ที่เค้าแถมชุด Pantry สีขาวอันนี้มาให้เลย
พื้นที่ตรงนี้เว้นไว้สำหรับวางตู้เย็น สามารถใส่ตู้เย็นบานคู่ขนาดใหญ่ แบบนี้ได้ เหนือตู้เย็นมีช่องเก็บของ
ฝั่งนี้เป็นตู้เก็บของ หน้าบานเป็นกระจกใส สำหรับเก็บพวกอุปกรณ์การกิน แก้วน้ำ จาน ชาม ต่างๆ แล้วแต่ชอบ
ผนังด้านข้างตรงนี้จะเจาะช่องหน้าต่างเล็กๆเอาไว้ เพื่อให้แสงสว่างส่องลอดเข้ามาได้บริเวณ Pantry มีประโยชน์เวลาเราเอาภาชนะที่ล้างเสร็จแล้วมาวางตากตรงนี้ก่อนเก็บเข้าตู้ การออกแบบอันนี้เรียกว่าเป็น Signature Design ของแสนสิริไปแล้วก็ว่าได้ มีให้เห็นบ่อยๆในบ้านของแสนสิริ
ซึ่งข้างๆกันนี้ก็จะมีอ่างล้างจานมาให้เลย เป็นอ่างล้างจานแบบฝังลงไป เป็นเนื้อเดียวกันกับเคาน์เตอร์ท้อป (Countrer-Integrated Sink) โดยวัสดุตรงนี้จะเป็นหินสังเคราะห์ครับ
หัวก็อกล้างจาน ยี่ห้อ Zucchetti ของอิตาลี เป็นรุ่นที่มีสาย สามารถดึงออกมาฉีดๆ เหมือนสายยางได้
นี่ ดึงออกมาให้ดู
หน้าบานของชุด Pantry เป็นแบบ Soft-Close ทั้งหมด ด้านในแบ่งช่องสำหรับเก็บอุปกรณ์มาให้แล้ว วัสดุเป็นอลูมิเนียม
มีถังขยะแบบ Built-in อยู่ด้านใน ให้มาด้วย แต่ในการใช้งานจริงใบแค่นี้ไม่พอหรอก ยังไงก็ควรจะมีถังขยะใบใหญ่อีกใบหนึ่งตั้งไว้ด้านนอกนะครับ ส่วนใบเล็กๆนี้เอาไว้สำหรับทิ้งเศษขยะเล็กๆน้อยๆ
พื้นที่โดยรวมของส่วนเตรียมอาหารก็จะให้มาประมาณนี้ครับ ประตูทางซ้ายที่อยู่ในรูป จะเป็นประตูที่เปิดออกไปยังส่วนครัวไทย ที่อยู่หลังบ้าน
ด้านข้างประตูครัวมีประตูบานเล็กๆอีกบานอยู่ที่ผนัง
เมื่อเปิดออกมาแล้ว จะเป็นห้องสำหรับเก็บอุปกรณ์สำหรับงานระบบครับ พวกตู้ไฟ สายสัญญาณต่างๆ มีหน้าบานปิดมิดชิดแบบนี้ก็ดี
ด้านข้างประตูครัว จะมีเครื่องรับ Video Door Phone มาให้ด้วยครับ ยี่ห้อ BTicino ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ จะมีจอเล็กๆซึ่งต่อกับกล้อง CCTV ที่ป้อมรปภ. เอาไว้ดูว่าแขกที่มาหาเรา ที่อยู่ที่ป้อมรปภ. เป็นคนๆนั้นจริงรึเปล่า เพื่อยืนยันตัวตนครับ โดยสามารถเห็นหน้าของผู้มาติดต่อได้ เป็นฟังก์ชั่นที่เห็นได้ในคอนโดหลายๆที่ แต่บ้านเดี่ยวไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ เพราะการติดตั้ง ต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งที่นี่แต่ละบ้านจะมีการเดินสาย Fiber Optics มาให้อยู่แล้ว สามารถติดอินเตอร์เน็ตแบบ FTTX ได้เลยโดยไม่ต้องเดินสายเพิ่ม
ถัดเข้ามาเป็นพื้นที่ครัวไทย โดยจะเป็นพื้นที่ห้องครัวปิดที่วางอยู่ในตำแหน่งหลังบ้าน พื้นและผนังของห้องครัวปูด้วยกระเบื้องแกรนิโต้ ขนาด 60×60 ซม. พื้นที่ในครัวที่จัดมายังเหลือพื้นที่อีกเยอะพอสมควร สำหรับคนที่อยากจะเอาโต๊ะวางของ หรือตู้กับข้าวมาใส่เพิ่มในครัว ก็ยังสามารถทำได้ และน่าจะวาง Island ตัวเล็กๆเพิ่มได้อีกตัว
ชุดครัวชุดนี้ มีแถมมาให้ครบเซ็ตอย่างที่เห็นเหมือนในบ้านตัวอย่างเลยครับ พื้นที่เก็บของจัดมาให้เยอะพอสมควรแล้ว หน้าบานเป็นลายไม้สีน้ำตาลแบบนี้ ข้อดีของการแถมครัวชุดนี้คือมันพร้อมใช้งานแล้ว และของที่ให้ก็ไม่ได้น้อยด้วยนะ แต่ว่ามันก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะคนที่จะซื้อบ้านราคา 30-40 ล้านบาท บางทีเค้าก็อยากจะได้ชุดครัวในแบบที่ตัวเองอยากได้น่ะสิ เพราะถ้าไม่ชอบชุดนี้ก็ต้องรื้อออกเปลี่ยนยกชุดเลย
พื้นที่ทำครัว ให้เคาน์เตอร์ท้อปเป็นหินแกรนิต ผนังด้านหลังเตาก็ปูหินมาให้เหมือนกัน เพื่อป้องกันการเลอะเทอะ และเพื่อให้ทำความสะอาดได้ง่าย ด้านล่างเป็นตู้สำหรับเก็บเตาแก๊ส มีสายต่อพ่วงลงไปด้านล่าง มีหน้าบานปิดมิดชิด
หน้าตาเตาแก๊สที่แถมให้ เป็นเตาแก๊ส 5 หัว ยี่ห้อ Smeg
ชุดเครื่องดูดควันของ Smeg ที่ให้มาด้วย ผมว่าเล็กไปหน่อยสำหรับใช้กับเตาแก๊ส 5 หัว ที่ให้มาด้วยกัน
อ่างล้างจาน Stainless Steel 2 หลุม แบบฝังลงในเคาน์เตอร์ท้อป มีช่องหน้าต่างบานเลื่อนสำหรับเปิดระบายอากาศได้ และให้แสงส่องเข้ามาที่บริเวณอ่างล้างจานพอดี
หัวก็อกยี่ห้อ MEX ที่ดูธรรมดาไปหน่อยสำหรับบ้าน 30 ล้าน
พื้นที่ตรงนี้เว้นไว้สำหรับวางตู้เย็นเพิ่มอีก 1 ตู้ สำหรับใช้ในครัว
ส่วนฝั่งนี้เป็นประตูสำหรับเปิดออกไปยังลานซักล้าง
เปิดประตูครัวออกมาแล้วจะเป็นแบบนี้
พื้นที่ด้านหลังบ้านนี้ เป็น “Maid’s Zone” ครับ คือเป็นพื้นที่สำหรับคุณแม่บ้านอย่างแท้จริง ประกอบด้วยลานซักล้างขนาดใหญ่, ห้องนอนแม่บ้าน, ห้องน้ำแม่บ้าน แถมอยู่ติดกับครัวหลังบ้าน สามารถเข้าบ้านจากทางด้านหลังได้ โดยที่ไม่ต้องไปเดินผ่านส่วนหน้าบ้าน ไม่รบกวนห้องรับแขก
ลานซักล้างมีส่วนที่ต่อออกมาถึงด้านนอกชายคาบ้าน ให้สามารถรับแสงแดดได้เต็มที่ ปูพื้นด้วยกระเบื้องขนาด 30×30 ซม. มีโครงสร้างด้านล่างเชื่อมกับตัวบ้าน และลงเสาเข็มลึกเท่ากับตัวบ้านเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดรอย Crack ระหว่างลานซักล้างกับตัวบ้าน แต่วัสดุปูพื้นมันน่าจะมีดีกว่านี้นะ ถ้าเทียบกับราคาบ้านขนาดนี้
มีพื้นที่สำหรับให้วางเครื่องซักผ้าได้ 2 เครื่อง ต่อท่อน้ำดี-น้ำทิ้ง เอาไว้แล้ว
เคาน์เตอร์สำหรับติดก็อกที่วางอยู่ด้านหลังบ้าน สำหรับใช้ซักผ้า มีพื้นที่วางของเยอะดี ปูกระเบื้องมาให้แล้วเรียบร้อย ใช้ก็อกน้ำยี่ห้อ American Standard ครับ
ถังน้ำยี่ห้อ DOS ให้มา 2 ถัง ถังละ 1500 ลิตรครับ วางอยู่บนพื้นคอนกรีต
ถังน้ำต่อเข้ากับปั๊มน้ำ ยี่ห้อ Hitachi ขนาด 400 Watt ครับ บ้านที่นี่จะให้ปั๊มน้ำมา 2 ตัวนะครับ อีกตัวขนาด 300 Watt วางอยู่ถัดไปอีกหน่อย
ในรูปนี้ ประตูทางซ้ายคือที่ทางที่เดินออกมาจากครัวไทยครับ ส่วนทางขวานี้เป็นประตูทางเข้าห้องนอนแม่บ้าน
ห้องนอนแม่บ้าน เป็นห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา แต่ก็พอมีพื้นที่ให้วางเตียงคู่ 5 ฟุต หรือ เตียง 2 ชั้นได้ กรณีที่เราอาจจะมีแม่บ้านมากกว่า 1 คน ในห้องนอนแม่บ้านมีหน้าต่างบานกระทุ้งให้ 1 บาน
ห้องน้ำแม่บ้านอยู่นอกห้องนอนนะครับ มีฟังก์ชั่นครบ พื้นที่พอใช้งานได้ ไม่เล็กเกินไป มีหน้าต่างระบายอากาศได้ ถือว่าพื้นที่ก็พอใช้ได้เลยสำหรับแม่บ้าน
กลับเข้ามาในบ้าน ไปดูอีกด้านหนึ่งของโถงกลางบ้านกันบ้าง
ห้องเก็บของใต้บันได มีหน้าบานประตูสูงเท่าประตูปกติ
จากโถงกลางเดินมาทาง ห้องนอน#4 ที่อยู่ชั้นล่าง เราจะผ่านทางเข้าห้องน้ำทางซ้าย ซึ่งใช้ประตูห้องน้ำเป็นประตูบานเลื่อนหน้าตาแบบนี้ครับ
เมื่อเปิดประตูบานเลื่อนออกก็จะเจอกับห้องน้ำชั้นล่าง ที่ใช้ร่วมกันระหว่างห้องรับแขก กับห้องนอน#4
พื้นที่ในห้องน้ำก็จัดมาพอดีๆ มีฟังก์ชั่นอาบน้ำได้ และเพิ่มโถปัสสาวะชายมาให้ นอกเหนือจากโถสุขภัณฑ์
พื้นห้องน้ำลดระดับประมาณ 5 ซม.
พื้นและผนังห้องน้ำ ปูด้วยหินอ่อนธรรมชาติ ลวดลายสีขาวสลับดำลักษณะเดียวกับที่เห็นในบ้านตัวอย่างครับ ที่ผนังเหนือโถสุขภัณฑ์จะมีการเจาะช่องเพื่อเป็นชั้นวางของได้ ชุดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำนี้ใช้ของ American Standard ทั้งหมดครับ
โถปัสสาวะชาย ติดมาให้คู่กับโถสุขภัณฑ์เผื่อว่าบางทีห้องน้ำห้องนี้ต้องใช้รับแขกด้วย จึงอาจจะมีคนใช้งานห้องน้ำเยอะหน่อย การมีโถปัสสาวะก็ทำให้สะดวกกว่า โถอันนี้ติดระบบเซ็นเซอร์ Infrared ให้ทำความสะอาดตัวเองแบบอัตโนมัติด้วย แต่การดูแลรักษาก็จะมีขั้นตอนมากขึ้นนะครับ ส่วนตัวผมคิดว่าการใช้แบบ Manual น่าจะสะดวกกว่าสำหรับในบ้าน เพราะดูแลรักษาง่ายกว่า
ชุดอ่างล้างหน้า ที่มีตู้เก็บของด้านล่าง พร้อมกับติดกระจกเงาบานใหญ่มาให้ด้านบน ที่ผนังมีการเจาะช่องเข้าไป เพื่อให้สามารถวางอุปกรณ์พวกแปรงสีฟันหรือสบู่ล้างมือได้
อ่างล้างหน้า ท้อปเป็นหินควอซ มีพื้นที่วางของด้านข้างนิดหน่อย ติดหัวก็อกน้ำแบบฝังผนัง
ฝ้าด้านบน มีการดรอปเอาไว้ และฝังหลอดไฟใต้ฝ้าเอาไว้ให้ด้วย
Shower Box วางอยู่ทางด้านในสุด ติดฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัยมาให้แล้ว
พื้นที่อาบน้ำ ขนาดพอเหมาะ เผื่อระยะเปิดประตูให้เดินเข้าออกได้สะดวก และมีการกั้นส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยธรณีประตู (Curb)
มือจับประตูของฉากกั้น มียางติดอยู่ตรงปลาย ทำหน้าที่เป็น Door Stopper ตัวกันกระแทกและมือจับไปพร้อมกัน
หน้าต่างบานกระทุ้ง 2 บานภายในห้องน้ำ สำหรับเปิดระบายอากาศ ติดกระจกฝ้าให้แสงธรรมชาติส่องผ่านได้
ราวแขวนผ้าเช็ดตัว อยู่ด้านใน Shower Box … ซึ่งผมว่าตำแหน่งการวางมันจะทำให้ผ้าเช็ดเปียกเปล่าๆ ไปหาที่อื่นติดดีกว่าครับ
ชุดฝักบัวแบบ Rain Shower ที่ติดตั้งมาให้ ที่ผนังด้านหลังเจาะช่องสำหรับวางขวดสบู่, แชมพู
หน้าตัวก็อกสำหรับชุดฝักบัว ระบบน้ำของบ้านจะเป็นแบบติดเครื่องทำน้ำร้อน และใช้ผสมน้ำร้อน-น้ำเย็นครับ
หัวฝักบัว Hand Shower
ติดกับห้องน้ำชั้นล่าง คือ ห้องนอน#4 ซึ่งเป็นห้องนอนเดียวที่อยู่ชั้นล่าง พื้นที่ในห้องสามารถวางเตียง 6 ฟุตได้ และยังมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะหัวเตียงอีก 2 จุด ซ้าย-ขวา
พื้นที่ปลายเตียง มีเหลือพอให้สามารถวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งปลายเตียงได้ หรือใครจะติดทีวีปลายเตียงก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่การตำแหน่งการวางแบบนี้บางคนอาจจะไม่ชอบเท่าไหร่นะครับ เพราะว่ามีกระจกเงาอยู่ที่ปลายเตียงพอดี
ห้องนี้จะมีช่องแสงอยู่ขนาบ 2 ด้าน ด้านหลังบ้านกับหน้าบ้าน ส่วนที่อยู่หน้าบ้านจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ความสูงประตูตั้งแต่พื้นจรดฝ้า เปิดออกไปยังพื้นที่สวนด้านข้างบ้านพอดี
ชุดกรอบประตูและกรอบกระจกของโครงการนี้ จะใช้เป็นยี่ห้อ Tostem ครับ ซึ่งจะเป็นอลูมิเนียมเกรด Premium (ใช้ในบ้าน SCG Heim ด้วย) ถ้าถามว่าดีกว่าปกติยังไง ก็จะบอกว่าหน้าตามันก็จะคล้ายๆกับชุด Fitting ที่เราเห็นทั่วๆไปนี่แหละครับ แต่ข้อดีมันจะอยู่ที่ Feeling ในการเปิด-ปิด มันจะไม่ฝืด และปิดได้แน่น/สนิทกว่าปกติ (คือต้องไปลองจับของจริงมันถึงจะรู้สึก)
บริเวณช่องว่างของกรอบวงกบก็จะมีการ Seal ด้วยยางซิลิโคน เพื่อป้องกันเสียง ฝุ่น แมลงด้วย ปกติเรามักจะเห็นเป็นวัสดุขนๆ
จากห้องนอน#4 เดินออกมาจะเจอกับเฉลียงข้างบ้านที่ต่อกับสวน สามารถนำที่นั่งมาวางบริเวณนี้ เพื่อใช้นั่งพักผ่อนด้านนอกและชมสวนไปพร้อมๆกันได้ พื้นเฉลียงปูด้วยหินอ่อน เหมือนกับเฉลียงด้านหน้าบ้าน
เดินขึ้นบันไดไปดูชั้นสองกันต่อ พื้นบันไดปูด้วยไม้มะค่าแบบแผ่นเต็ม ไม่มีรอยต่อ ส่วนสีของไม้พื้นบันไดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบ้านนะครับ
โถงชานพักบันไดของบ้านตัวอย่าง ด้านหลังมีหน้าต่าง 1 บาน เป็นช่องแสงที่ส่องให้โถงบันไดสว่าง มีบานกระทุ้งเล็กๆสำหรับเปิดรับลมหรือระบายอากาศได้
เปรียบเทียบกับโถงชานพักบันไดของบ้านจริง จะมีส่วนที่แตกต่างคือ โคมไฟที่เค้าแถมให้จะหน้าตาไม่เหมือนกับที่แขวนอยู่บนบ้านตัวอย่างนะครับ
ด้านข้างผนังของบ้านตัวอย่างมีการกรุผนังเพิ่ม แต่บ้านของจริงจะไม่มีครับ จะได้เฉพาะบัวตรงขอบด้านล่างของผนัง
ชานพักบันไดสี่เหลี่ยมยาว
โถงบันไดอีกมุมหนึ่ง
เมื่อขึ้นมายังชั้น 2 แล้ว ส่วนแรกที่เจอก็จะเป็นโถงหน้าห้องนอน ที่อยู่ติดกับห้องพักผ่อนด้านบน โถงตรงกลางนี้จะเป็นพื้นที่ที่แยกไปเป็นห้องนอนห้องต่างๆ พื้นชั้นบนเป็นพื้นปาเก้ ไม้มะค่าทั้งหมดทุกห้องครับ
ตรงบริเวณหัวบันไดชั้นสอง จะมีสัญญาณกันขโมยติดไว้ด้วย โดยจะเป็นตัว Infrared Sensor จับการเคลื่อนไหวของวัตถุที่เดินผ่าน แล้วถ้าเราเปิดให้มันทำงาน มันจะร้องเสียงดัง เวลามีอะไรเคลื่อนไหวผ่านเซ็นเซอร์ และจะส่งสัญญาณไปยังป้อมรปภ.ด้านหน้าโครงการ และ มีสัญญาณไฟกระพริบบอกให้เพื่อนบ้านมองเห็นจากภายนอกได้ด้วย
ตัวสัญญาณกันขโมยนี้จะมีแผงควบคุมติดไว้ด้านข้างผนัง สามารถเปิด-ปิดได้จากตรงนี้ โดยใช้รหัสหมายเลขเป็นตัวล็อค … อย่าลืมเปิดทิ้งไว้แล้วเดินออกจากห้องตอนดึกๆก็แล้วกันนะครับ …
ห้องพักผ่อนชั้นสอง เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เชื่อมต่อกับโถงชั้นสองและโถงบันได ไม่ได้กั้นห้อง ซึ่งสมาชิกภายในบ้านอาจจะมาใช้พื้นที่ตรงนี้ร่วมกัน ในการนั่งดูทีวี, พูดคุย หรือทำกิจกรรมอื่นๆพร้อมๆกันได้ ในเวลาเย็นๆ หรือกลางคืน ในเวลาที่ทุกๆคนอยู่บ้านพร้อมหน้า
พื้นที่ของห้องพักผ่อน เชื่อมต่อไปยังโถงชั้นสองแบบนี้ ให้ดูเป็นพื้นที่โล่งๆ กว้างๆ ไม่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมากเกินไป
ด้านหลังห้องพักผ่อน มีพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับกั้นเป็นห้องพระได้ ของจริงพื้นที่ตรงนี้จะเชื่อมรวมกันเป็นก้อนเดียว ไม่ได้มีการกั้น Partition อย่างที่เห็นนะครับ ดังนั้นเราก็สามารถขยายพื้นที่ของห้องพักผ่อนให้ใหญ่ขึ้นได้ แล้วแต่เราจะจัดแบบไหน หรือใครจะกั้นห้องเพิ่มก็สามารถทำได้เหมือนกัน
ห้องพระนี้จะมีผนังด้านข้างที่มีหน้าต่างให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ 2 ด้าน ถ้าเราไม่ต้องการฟังก์ชั่นนี้ เราจะใช้พื้นที่ด้านนี้ทำอย่างอื่นนอกจากวางหิ้งพระก็ได้ เช่นวางชั้นวางทีวี หรือวางตู้โชว์
ติดกับห้องพักผ่อน จะมีประตูที่สามารถเปิดออกไปยังระเบียงฝั่งด้านหน้าบ้านได้ มีประตูกระจกอลูมิเนียมกั้นไว้ ใส่กระจกแบบสีเขียวตัดแสง
ที่กรอบวงกบประตู จะมีอุปกรณ์อีกอย่างที่ต่อกับสัญญาณกันขโมย นั่นก็คือ Magnetic Sensor ที่จะตรวจจับการเปิด-ปิด ของบานประตูและบานหน้าต่าง บานที่มีเซ็นเซอร์นี้ติดเอาไว้ ถ้าบานไหนถูกเปิดออก จะส่งสัญญาณไปให้สัญญาณกันขโมยทำงาน ถ้าเราเปิดให้มันทำงานนะ ในเวลาปกติก็ปิดไว้ จะได้ไม่ไปเผลอเปิดประตูมั่วซั่วแล้วทำให้สัญญาณกันขโมยมันร้อง
ระเบียงตรงนี้พื้นที่ใหญ่ใช้ได้เลย สามารถวางชุดโต๊ะน้ำชา หรือเก้าอี้นั่ง Outdoor ได้เลย มีพื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องแบบกันลื่น
ราวกันตกก่อขึ้นมาเป็นผนังคอนกรีต ผสมกับเหล็กดัด หน้าตาแบบนี้ ออกสไตล์ Colonial นิดๆ วางคู่กับ Grille แนวตั้งด้านข้าง
มองจากระเบียงตรงนี้ออกไปก็จะเห็นวิวทางฝั่งหน้าบ้าน ถ้าบ้านอยู่หน้าสวนก็จะเห็นสวนเขียวๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ร่มรื่นได้
ถัดจากห้องพักผ่อนชั้นสอง จะเป็นส่วนของห้องนอนเล็กทั้งสองห้อง ทางซ้ายจะเป็น ห้องนอน#2 และทางขวาเป็น ห้องนอน#3 ครับ (ยึดหมายเลข ตามที่เขียนใน Floor Plan รูปบนนะครับ แต่ต้องกลับซ้ายไปขวาด้วย เพราะรูป Floor Plan มันกลับด้านกับบ้านตัวอย่าง)
เริ่มจากห้องนอนที่เล็กที่สุดของชั้นนี้ก่อน คือ ห้องนอน#3 ด้านหน้าเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอกับทางเข้าห้องน้ำก่อนเลย ทางซ้ายมือ โดยที่ห้องนอนของชั้นบนนี้จะมีห้องน้ำในตัวทั้งหมด
ห้องน้ำของห้องนอน#3 หน้าตาแบบนี้ มีหน้าต่างบานกระทุ้งอยู่ 1 บานด้านหลัง
พื้นที่ใช้สอยในห้องน้ำ สามารถจัดวางฟังก์ชั่นได้ครบทั้ง 3 ฟังก์ชั่น มีอ่างล้างหน้า, โถสุขภัณฑ์ และ Shower Box แต่วัสดุปูพื้นและผนังจะไม่ได้เป็นหินอ่อนเหมือนกับห้องน้ำที่อยู่ชั้น 1 แต่จะเป็นพวกกระเบื้องเซรามิก และกระเบื้องแกรนิโต้แทน
อ่างล้างหน้าหินควอซเหมือนกับห้องน้ำชั้นล่าง ขนาดอ่างก็ใกล้เคียงกัน ลองเทียบกับขนาดมือผมดูนะ มีพื้นที่วางของรอบๆ Sink และติดกระเบื้องโมเสกที่ผนังด้านหลัง
หัวก็อกน้ำไม่ได้เป็นแบบฝังผนังเหมือนกับห้องน้ำด้านล่างนะครับ จะเป็นก็อกหน้าตาปกติ ยี่ห้อ American Standard เหมือนกัน
กระจกเงาขนาดใหญ่เกือบเต็มผนัง ฝังหลอดไฟไว้ด้านหลังด้วย ให้มาตามนี้เป๊ะ
โถสุขภัณฑ์หน้าตาเหมือนชั้นล่าง ด้านหลังมีการก่อเคาน์เตอร์เล็กๆ เป็นพื้นที่สำหรับวางของโน่นนี่นั่น เช่น … หนังสือการ์ตูนสำหรับอ่านในห้องน้ำ 😀
พื้นที่และขนาดของ Shower Box ใกล้เคียงกับที่อยู่ในห้องน้ำชั้นล่าง มีฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัยติดตั้งมาให้เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่วัสดุปูพื้นและผนัง
ชุดฝักบัวอาบน้ำแบบ Hand Shower โดนเอา Rain Shower ออกไป (ทั้งๆที่ห้องน้ำชั้นบนน่าจะได้ใช้อาบน้ำมากกว่าห้องน้ำชั้นล่างนะ) และเปลี่ยนรูปแบบหัวก็อกเป็นอีกแบบหนึ่ง (ที่ถูกกว่า) แต่ยังใช้ยี่ห้อเดิมคือ American Standard และมีช่องสำหรับวางขวดสบู่อยู่ในผนังเหมือนกัน
ห้องนอน#3 ห้องนี้ วางอยู่ในตำแหน่งมุมด้านหลังบ้าน จัดเป็นห้องหน้ากว้าง ทำให้มีพื้นที่ด้านข้างเตียงมากหน่อย วางเตียง 6 ฟุตได้ แต่ยังมีพื้นที่ข้างเตียงทั้งสองฝั่งเหลือเยอะอยู่ ผนังห้องทั้งสองด้าน มีหน้าต่างสำหรับรับแสงธรรมชาติ เป็นหน้าต่างหัวเตียงบานกระทุ้งเล็กๆ 2 บาน และหน้าต่างด้านข้างบานสไลด์อีกหนึ่งบานยาวเต็มผนัง
พื้นที่ปลายเตียงไม่กว้างมาก แต่สามารถวางตู้เสื้อผ้า, โต๊ะแต่งตัว และตู้เก็บของได้ หรือจะวางชั้นวางทีวีก็ทำได้ และยังคงมีพื้นที่เพียงพอให้สามารถเดินผ่านปลายเตียงได้โดยไม่เกะกะ เฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ ถึงเวลาเราสามารถเลือกตกแต่งได้ตามใจเราอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าคนที่นอนห้องนี้เป็นใคร, มีกี่คน
พื้นที่หัวเตียงยังพอมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออีกหน่อย อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะเอาพื้นที่ตรงนี้ไว้ทำอะไร จะใส่เป็นตู้เก็บของ Built-in เชื่อมรวมกับหัวเตียงไปเลยก็ได้นะ
ต่อมาเป็นห้องนอน#2 ห้องนี้ก็วางอยู่ในตำแหน่งมุมหลังบ้านเหมือนกันกับอีกห้อง แต่ว่าจะเป็นห้องหน้ากว้างกว่าห้องนอนเล็กอีกห้องหนึ่งมาก สามารถจัดเฟอร์นิเจอร์ใส่ได้หลากหลายรูปแบบมากกว่า
ด้านหน้าห้องเมื่อเดินเข้ามาก็จะพบกับห้องน้ำก่อนเหมือนกัน ฟังก์ชั่น และพื้นที่ของห้องน้ำห้องนี้ เหมือนกับห้องน้ำของห้องนอน#3 เลย แต่จะมีส่วนที่แตกต่างเป็นพวก สีกระเบื้อง สีของวัสดุ นิดๆหน่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบ้าน ดังนั้นผมจะขอข้ามไปเลยนะครับ
พื้นที่ในห้องนอน#2 ใหญ่กว่าห้องนอน#3 ขึ้นมาค่อนข้างมาก สังเกตได้จากเฟอร์นิเจอร์ที่ใส่เข้าไปจะแน่นกว่าเดิม แต่ยังมีพื้นที่ให้เดินผ่านได้ ไม่เกะกะ
วางเตียง 6 ฟุตลงไปแล้ว แต่ยังมีพื้นที่รอบๆเตียงให้สามารถจัดโต๊ะหัวเตียงได้สองฝั่ง และตู้เสื้อผ้าปลายเตียงเข้ามุมได้อีก
พื้นที่ปลายเตียง วางตู้เสื้อผ้า และตู้เก็บของ เรียงไว้แบบเข้ามุม ของจริงเราสามารถใส่เป็นชั้นวางทีวีก็ได้ หรือจัดเป็นตู้เก็บของ Built-in เต็มผนังแบบพื้น-จรดฝ้า ก็ทำได้ โดยที่ระยะความสูงพื้นถึงฝ้าของชั้นสองจะอยู่ที่ 3 เมตร
ด้านข้างตรงนี้ มีพื้นที่ที่เว้าเข้าไปเป็นแนวลึก สามารถจัดเป็นพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลายรูปแบบ อย่างในห้องตัวอย่างนี้เค้าจัดเป็นพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทำงาน ให้นั่งทำการบ้าน และรับแสงธรรมชาติได้จากหน้าต่างที่ผนังทั้งสองด้าน
โต๊ะทำงาน Built-in ยาวเต็มผนัง พอวางลงไปแบบนี้ก็จะได้เป็นมุมทำงานส่วนตัว เป็นอีกไอเดียหนึ่งนะครับ
ผนังด้านข้าง มีพื้นที่เหลือ สามารถใส่ตู้เก็บของ หรือวางเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมตรงนี้ได้
ในห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องจะติดแอร์เป็นแบบ Wall Type ยี่ห้อ Daikin
จบจากห้องนอนเล็กทั้งสองห้อง สุดท้ายจะเป็นห้อง Master Bedroom ครับ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของตัวบ้านละ เพราะเป็นห้องนอนของคนจ่ายเงิน ฮ่าๆๆ
ห้องนอน Master Bedroom กินพื้นที่ไปประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดบนชั้น 2 จัดว่าใหญ่เลยทีเดียว มีพื้นที่ให้สามารถวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตได้ แล้วสามารถวางโซฟาปลายเตียงสำหรับดูทีวีได้อีก
ห้องนอน Master Bedroom จะได้แอร์เป็นแบบ 4 ทิศทาง ฝังฝ้า เหมือนกับห้องนั่งเล่นด้านล่าง
ภายในห้องนอนใหญ่จะเหมือนกับมีห้องนั่งเล่นในตัว เพราะสามารถใส่โซฟาปลายเตียง โต๊ะกลาง และชั้นวางทีวีแบบนี้ได้ ซึ่งระยะดูทีวีก็สามารถจัดทีวีจอใหญ่ 60-70-80 นิ้วได้สบายๆ
พื้นที่สำหรับวางโซฟา จะใส่เป็นโซฟาตัว L ขนาดใหญ่ก็ได้ เพราะมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออยู่ โซฟาในบ้านตัวอย่างอันนี้เค้าจัดไว้ให้ดูระยะเฉยๆ ว่าสามารถวางโต๊ะกลางเพิ่มได้อีก แต่บางคนก็ไม่ใช้โต๊ะกลาง ผมก็แนะนำว่าใส่โซฟาใหญ่ๆไปเลย จะได้นั่งได้สบายๆ เรียกลูกๆหลานๆมานั่งดูทีวีด้วยกันในห้องนอนใหญ่ได้ด้วย ส่วนชั้นวางทีวี ไหนๆก็มีพื้นที่แล้ว ก็จัดขนาดใหญ่ Built-in ให้เต็มผนังไปเลย จะได้เป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บของภายในห้องด้วย
พื้นที่ข้างเตียง มีเหลือสำหรับวางตู้เพิ่มได้อีกในแนวขนานกับเตียง ใครอยากได้ตู้เสื้อผ้าเพิ่ม ก็เติมตรงนี้ได้เลย
ที่หัวเตียงนอนจะมีปุ่ม Emergency Alarm ด้วย เป็นปุ่มฉุกเฉินซ่อนไว้หลังโต๊ะหัวเตียง ถ้ากดแล้วสัญญาณเตือนภัยจะร้องทันที
ในห้องนอน มีประตูกระจก สำหรับเปิดออกไปยังพื้นที่ระเบียงนอกบ้าน ใส่เป็นประตูกระจกสไลด์แบบ Double Door
เปิดประตูออกแล้ว จะพบกับพื้นที่ระเบียงแบบนี้ ขนาดระเบียงในห้องนอนใหญ่จะเล็กกว่าระเบียงที่อยู่ตรงห้องพักผ่อนนิดนึง แต่ก็ยังมีพื้นที่พอให้ใส่ชุดโต๊ะ+เก้าอี้แบบนี้ได้ สำหรับออกไปนั่งพักผ่อน กินลมด้านนอก
ส่วนด้านนี้ ตรงข้ามกับระเบียง จะเป็นพื้นที่ที่ต่อไปยัง Walk-in Closet และห้องน้ำ Master Bathroom ซึ่งในห้องตัวอย่างนี้ เค้ามีการกั้นผนังเพิ่มนะครับ แต่ของจริงพื้นที่ตรงนี้จะเชื่อมต่อกันไปเลย โดยเราสามารถเลือกกั้นห้องเองได้ตามใจชอบ
ห้อง Walk-in Closet ห้องนี้วางตู้ไว้รอบๆ เข้ามุมเป็นรูปตัว L และมีพื้นที่พอให้สามารถวาง Island ขนาดเล็กๆตรงกลางห้องได้อีก 1 ตัว
โต๊ะ Island ตรงกลางนี้มักจะเอาไว้ใช้ใส่ของกระจุกกระจิก, เครื่องประดับ หรือพวกข้าวของเครื่องใช้อื่นๆที่มีขนาดเล็ก แล้วพื้นที่บนโต๊ะ Island ก็เอาไว้สำหรับ “จัดชุด” เวลาจะออกจากบ้าน หยิบเสื้อผ้าที่อยากจะใส่มากองไว้ก่อน แล้วค่อยเลือกอีกที อะไรแบบนี้เป็นต้น ผมคิดว่าคุณผู้หญิงหลายๆคนคงจะเข้าใจว่ามันเอาไว้ทำอะไร อย่างไรก็ดีของพวกนี้เค้าไม่ได้แถมมาให้ เราก็เลือกเองนะครับว่าอยากได้รูปแบบไหน
การปิด Walk-in Closet ด้วยผนังทึบแบบนี้ก็อาจจะทำให้ห้องแต่งตัวดูมืดลงไปนะครับ เพราะแสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ไม่เยอะมาก ถ้าปิดไฟก็คงจะมืดไปเลย ดังนั้น เวลาเราซื้อบ้านไปกั้นห้องเอง อย่าลืมคำนึงถึงรายละเอียดในการใช้งานจริงด้วยนะครับ
สุดท้ายของท้ายสุด คือห้องน้ำ Master Bathroom ที่เปิดเข้าจากทาง Walk-in Closet อีกที โดยมีประตูบานเลื่อนกั้นเอาไว้เป็นวัสดุมาตรฐานที่จะได้
ห้องน้ำห้องนี้จะพิเศษแปลกประหลาดกว่าห้องน้ำห้องอื่นๆ เพราะว่าพื้นและผนังจะใช้เป็นหินอ่อนสีดำ และแต่งโทนสีดำทั้งห้องเลย และพื้นที่ภายในห้องน้ำก็ใหญ่กว่าห้องอื่นๆเยอะด้วย
ชุดอ่างล้างหน้าแนวยาว มีก็อกน้ำมาให้ 2 จุด แบบ His & Hers ด้านล่างเป็นตู้สำหรับเก็บของ หน้าบานสีดำ กรอบกระจกเงาเป็นสีทอง เพื่อตัดสีดำของห้องน้ำให้ดูหรูหราขึ้น
เคาน์เตอร์ท้อปเป็นหินควอซสีดำ มีอ่างล้างหน้าที่มีดีไซน์แบบเท Slope เอียงให้น้ำไหลมารวมกันตรงกลาง ผนังด้านหลังมีการเจาะช่องสำหรับวางอุปกรณ์สำหรับใช้งานในห้องน้ำ
ตรงข้ามอ่างล้างหน้า เป็นพื้นที่ที่เว้าเข้าไป สำหรับวางอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ที่วางอยู่ติดกับหน้าต่างภายในห้องน้ำ ซึ่งติดเป็นกระจกฝ้า คือมองไม่เห็น แต่ยังคงได้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องน้ำในปริมาณมาก ผนังรอบๆติดพวกราวแขวนผ้าเช็ดตัวเอาไว้
อ่างอาบน้ำใช้สุขภัณฑ์ของ Bathroom Design เป็นแบบอ่าง Jacuzzi ด้วย มีพนักรองคอให้เรียบร้อย รอบๆอ่างมีพื้นที่ให้สามารถนั่งที่ขอบได้ ก่อนก้าวลงอ่าง
ชุดหัวก็อก และฝักบัวที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของอ่างอาบน้ำ
ด้านนี้เป็นห้องสุขา ที่กั้นด้วยประตูกระจกใส แยกฟังก์ชั่นออกไปเพื่อความสวยงาม
ด้านในวางโถสุขภัณฑ์เอาไว้ ซึ่งเป็น Washlet รุ่นที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ของ American Standard โดยจะมีแผงควบคุมอยู่ทางด้านข้าง เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ด้านหลังของโถสุขภัณฑ์มีการก่อเคาน์เตอร์สำหรับวางของได้เหมือนกัน
แผงควบคุมของโถสุขภัณฑ์ ทุกอย่างกดจากตรงนี้หมด ปรับตำแหน่งหัวฉีดได้ มีทั้งฉีดหน้า ฉีดหลัง เป่าลมให้ก้นแห้งได้ เพิ่มแรงดันน้ำได้ด้วย ไปซื้อมาลองเล่นกันดูเองละกันนะ
ในห้องสุขา มีหน้าต่างบานกระทุ้งอยู่ด้านบนอีก 1 บานด้วย สำหรับการระบายกลิ่น และการถ่ายเทอากาศในห้องน้ำ
อีกด้านหนึ่งเป็นห้องสำหรับอาบน้ำ หรือ Shower Box นั่นเอง อยู่คนละฝั่งกับห้องสุขา
พื้นที่ภายในห้อง Shower Box ไม่ค่อยใหญ่นัก ทำให้เวลาเปิดประตูกระจก ต้องดึงประตูออกมา แทนที่ควรจะเป็นผลักประตูเข้าไป ลองจินตนาการว่าเราพึ่งอาบน้ำเสร็จ ประตูมันก็จะมีหยดน้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ถ้าเราเปิดประตูออกมาด้านนอก ก็จะทำให้พื้นที่ด้านนอกที่ควรจะเป็นส่วนแห้ง ดันเปียกไปด้วย
ในห้องนี้จะติดฝักบัวอาบน้ำแบบ Hand Shower มาให้ อย่างที่เห็นนี้ มีหน้าต่างช่องแสงเหมือนกัน และที่ผนังจะมีก่อที่นั่งให้สามารถนั่งอาบน้ำได้ด้วย
ชุด Rain Shower ที่ตอนแรกไม่เห็น แต่จริงๆแล้วฝังอยู่บนเพดานเลย เป็นขนาดใหญ่ อาบกันให้สะใจไปเลย ใครดราม่า แล้วอยากจะเปิดฝักบัวเอานำ้ราดหัว อันนี้ก็จะได้น้ำที่ไหลลงมาเป็นห่าฝนเลยทีเดียวแหละ 😛
จบแล้วสำหรับการพาดูบ้านแบบ Marco ครับ ซึ่งเป็นบ้านหลังกลาง พื้นที่ใช้สอย 390 ตารางเมตร ซึ่งจริงๆยังมีบ้านอีก 2 แบบที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน (ไม่งั้นบทความนี้คงจะยาวเกินไป) ดังนั้นจะขอเปรียบเทียบให้ฟังกันคร่าวๆละกันนะครับ
แปลนชั้น 1F ของ Lalique ด้านหน้าที่แตกต่างชัดเจนคือ ลานจอดรถ ซึ่งบ้านหลังเล็กสุดจะต้องจอดแบบ 2×2 แทน คือมีรถ 2 คันที่อยู่ด้านหลัง และอีก 2 คันอยู่ด้านหน้า จะทำให้เอารถเข้า-ออกจากบ้านลำบากกว่าแบบ Marco และ Jardine แต่ยังไงๆก็ยังจอดในร่มได้ 4 คันอยู่นะ แล้วก็จะได้ความสะดวกเพิ่มมาตรงที่มีประตูเข้าบ้านที่เข้าจากทางโรงรถได้ ในขณะที่ Marco ไม่มี
พื้นที่ภายในบ้าน เมื่อเทียบกับ Marco จะมีส่วนโถงกลางบ้านที่ถูกตัดออกไป ไม่มีการกั้น Space ของห้องรับแขกออกมาด้านหน้าบ้าน และไม่มีห้องเอนกประสงค์ชั้นล่าง เพราะถูกยุบรวมกับห้องรับแขกไปแล้ว
พื้นที่ห้องนอน#4, ห้องครัว และส่วนแม่บ้านยังคงคล้ายๆเดิม ไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ห้องน้ำชั้นล่าง จะไม่ได้อยู่ติดกับห้องนอน#4 แล้ว ดังนั้น Flow การใช้ห้องน้ำของคนที่นอนชั้นล่างก็จะสู้แบบ Marco ไม่ได้ครับ
ส่วนพื้นที่ชั้น 2F ของ Lalique นั้น ฟังก์ชั่นหลักๆ แทบจะไม่ต่างจากแบบ Marco เลย คือมีห้องนอน 3 ห้อง ที่มีห้องน้ำในตัวทั้ง 3 ห้อง และมีห้องพักผ่อนอยู่ตรงกลางของโถงทางเดินชั้น 2F แต่จะแตกต่างตรงที่ ฟังก์ชั่นห้องพระจะถูกตัดออกไป (คือห้องพักผ่อนเล็กลงกว่าเดิมนั่นเอง), ไม่มีระเบียงที่ห้องพักผ่อน, ห้องนอนเล็กทั้งสองห้อง ขนาดจะเล็กกว่า และ ห้องนอนใหญ่จะเป็นห้องเดียวที่มีระเบียง แต่ยังคงมีพื้นที่สำหรับจัด Walk-in Closet อยู่ และห้องน้ำก็ยังได้อ่างอาบน้ำอยู่เหมือนเดิม
ส่วนแบบ Jardine จะเป็นบ้านหลังใหญ่สุด พื้นที่ 523 ตารางเมตร มีฟังก์ชั่นเป็น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ และ 4 ที่จอดรถ แต่ราคาของบ้าน Jardine มักจะกระโดดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นบ้านที่มีขนาดที่ดินใหญ่กว่าแบบเล็กทั้ง 2 แบบมาก และในบางหลังจะมีเรือนรับรองอยู่นอกบ้านหลักเพิ่มให้อีกหลังหนึ่ง ดังนั้นความแตกต่างของ Jardine กับ Marco จะค่อนข้างชัดเจนด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
แปลนบ้านชั้น 1F ของ Jardine จะถูกปรับให้เน้นพื้นที่ของห้องรับแขกและห้องเอนกประสงค์มากขึ้น โดยส่วนหน้าบ้านจะมีเฉลียงถึง 3 อันด้วยกัน (ไม่นับอันที่อยู่ที่ที่จอดรถนะ) ซึ่งเฉลียงแต่ละกันจะเชื่อมต่อเข้ากับ โถงทางเข้า, ห้องรับแขก และ ห้องเอนกประสงค์ ซึ่งเมื่อดูโดยรวมๆแล้ว จะเป็นพื้นที่ Common Area ที่เป็นเหมือนพื้นที่ “สาธารณะ” ของคนในบ้าน ที่มี Flow ที่ดีกว่าแบบ Marco
ห้องนอน#4 ที่อยู่ชั้นล่างจะมีห้องน้ำในตัวแล้ว และมีพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัวมากขึ้น แต่จะไม่ได้มาอยู่ติดสวนหน้าบ้านเหมือนกับแบบ Marco แต่ดูแล้วถ้าอยากให้ห้องนอนชั้นล่างใช้งานได้ดี ก็เลือกที่มีห้องน้ำในห้องนอนแบบนี้ดีกว่า เพราะการใช้งานของห้องนอน#4 นี้ ดูเหมาะสมที่จะใช้เป็นห้องนอนสำหรับแขกมากขึ้นด้วย
ส่วนพื้นที่ชั้น 2F ของ Jardine ก็จะเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนตำแหน่งการจัดวางของห้องต่างๆ อย่างห้องพระจะถูกให้ความสำคัญมากขึ้น ถูกนำมาไว้ในตำแหน่งที่หันออกหน้าบ้านเลย และมี Step บันไดยกหิ้งพระให้สูงขึ้นอีก Step หนึ่ง เพื่อให้เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดของบ้าน ห้องพักผ่อนก็ถูกแยกออกจากห้องพระไปอย่างชัดเจน
ห้องนอน#2 และ ห้องนอน#3 เดิมทีในแบบ Marco ดูเหมือนจะได้รับความสำคัญพอๆกัน แต่พอเป็นแบบ Jardine ห้องนอน#3 จะดูเด่นกว่าชัดเจน สังเกตได้จากตำแหน่งห้องถูกดันไปไว้ด้านซ้ายสุดของบ้าน ชิดผนังบ้าน 3 ด้าน และจัดฟังก์ชั่น Walk-in Closet ได้, ส่วนห้องนอน#2 เอามาไว้ตรงกลางบ้าน ติดผนังด้านหลังบ้านด้านเดียว แต่พื้นที่ของห้องทั้ง 2 เมื่อเปรียบเทียบกับ Marco ก็คือใหญ่ขึ้นกว่าเดิมทั้งคู่
ส่วนห้องนอน Master Bedroom และห้องน้ำ Master Bathroom จัดใหม่อย่างอลังการดาวล้านดวงมาก เทียบกับ Marco เพราะดัน Master Bedroom มาชิดผนังบ้านอีกฝั่งหนึ่ง เหมือนเป็นส่วนที่ยื่นแยกออกมาจากตัวบ้าน มีผนังรับแสง 4 ด้าน มีระเบียงส่วนตัว และวางเตียงนอนไปอยู่ติดระเบียงในส่วนที่สามารถรับวิว 3 ด้านได้พร้อมกัน, วางแปลนห้องน้ำกับห้องแต่งตัวเป็นรูปสมมาตร ให้จัด Walk-in Closet ตัว L ได้ 2 ชุด มีห้องน้ำที่ Grand กว่าเดิม แถมเดินเข้าห้องน้ำได้ 2 ด้านอีกด้วย
แต่ถ้าดูดีๆ บ้านแบบ Jardine นี้พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านและฟังก์ชั่นต่างๆก็ไม่ได้ต่างจาก Marco มากนะครับ แต่คือจัดเต็มสุด และมี Flow การใช้งานลงตัวสุด แต่ยังไงราคาก็แพงสุดเหมือนกัน และเวลาเลือกก็อย่าลืมคำนึงถึงพื้นที่ดินรอบบ้านด้วยนะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 23 July 2014
- บ้านเปล่า เฟสด้านหลัง
- Lalique พื้นที่ 321 ตารางเมตร 115.6 ตารางวา ราคา 25.50 ล้านบาท
- Marco พื้นที่ 390 ตารางเมตร 137.5 ตารางวา ราคา 32.00 ล้านบาท
- Marco (B) พื้นที่ 401 ตารางเมตร 138.4 ตารางวา ราคา 32.30 ล้านบาท
- Jardine พื้นที่ 523 ตารางเมตร 178.5 ตารางวา ราคา 45.00 ล้านบาท
- Lalique พื้นที่ 321 ตารางเมตร 139.90 ตารางวา ราคา 36.50 ล้านบาท
- Marco พื้นที่ 390 ตารางเมตร 150.00 ตารางวา ราคา 43.00 ล้านบาท (หลังที่รีวิวให้ดู)
- จอง 200,000 บาท
- ทำสัญญา 20%
- โอนกรรมสิทธิ์ 80%
- ค่าส่วนกลาง 50 บาทต่อตารางวาต่อเดือน จัดเก็บล่วงหน้าถึงวันที่ 31 ธ.ค. 58
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
ทำเลของนาราสิริ พระราม 2 ตั้งอยู่บนถนนพระราม 2 ฝั่งขาออก ประมาณ กม.13 ทำเลอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง แต่ถือว่าถ้าเปรียบเทียบกับพระราม 2 ด้วยกันเองแล้ว ถือเป็นทำเลที่เดินทางสะดวก เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้จุดกลับรถ และมีสะพานข้ามแยกวงแหวนให้ใช้ด้วย ใช้ทางด่วนวิ่งเข้าเมืองได้ ใช้วงแหวนกาญจนาภิเษกวิ่งไปกรุงเทพโซนนอกได้ วิ่งออกนอกเมืองไปต่างจังหวัดได้
สภาพแวดล้อมของทำเลในระยะใกล้ ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ก็คงไม่ได้พึ่งอะไรแถวๆนั้นมากนัก คนที่อยู่ที่นี่คงจะต้องขับรถเป็นหลักอยู่แล้ว และแต่ละบ้านก็ให้ที่จอดรถมาไม่ต่ำกว่า 4 คัน ความอุดมสมบูรณ์ในระยะที่ขับรถถึงจัดว่าดี เพราะมีห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำหลายแห่ง รวมถึงโรงพยาบาล และสถานศึกษา กระจายตัวกันอยู่ ทั้งบนถนนพระราม 2 และถนนกาญจนาภิเษก แต่ถ้าไม่มีรถก็เรียกว่าลำบาก เพราะต้องอาศัยรถแท็กซี่อย่างเดียวเลย ยังดีที่หน้าโครงการอยู่ติดถนนใหญ่ พอจะหาแท็กซี่ได้ไม่ยากจนเกินไปนัก
ตัวโครงการมีที่ดินราวๆ 35 ไร่ แต่จัดให้มีบ้านแค่ 57 ยูนิต หรือ 57 ครอบครัวเท่านั้น เรียกว่าเทียบจำนวนยูนิตต่อขนาดที่ดินแล้วถือว่าความหนาแน่นต่ำมาก, ขนาดแปลงบ้านแต่ละยูนิตเริ่มต้นที่ 115 ตารางวา แต่โดยปกติจะอยู่แถวๆ 130-140 ตารางวา ซึ่งก็จัดว่าใหญ่กว่าบ้านทั่วๆไปที่มักจะมีขนาดประมาณ 60-70 ตารางวา อยู่ประมาณ 2 เท่า พอบวกกับถนนในโครงการที่มีความกว้างประมาณ 11-13 เมตร ทำให้การวางผัง Master Plan ดูหลวมไปเลย
สภาพโครงการจัดออกมาได้ดีมาก พื้นที่สีเขียวในโครงการไม่เหมือนโครงการที่พึ่งเปิดมาไม่ถึงปี วางต้นไม้แน่น มีการดูแลสวนและพื้นที่ส่วนกลางดี บวกกับการฝังสายไฟทั้งหมดลงดิน ทำให้โครงการดูสะอาดสะอ้านตาดี แต่ก็ต้องบอกว่าโครงการนี้มันเป็นของราคาระดับ 30-40 ล้าน แถมยังสร้างไม่เสร็จทั้งหมดด้วย ช่วงแรกๆนี้แน่นอนว่าทางโครงการก็ต้องระมัดระวัง ประโคมงบดูแลโครงการไว้ให้สวยรอต้อนรับลูกค้าอยู่แล้ว เรื่องสภาพโครงการนี้จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์นะครับ 😀
โครงการเน้นเรื่องความปลอดภัย และ ความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านมาก เริ่มตั้งแต่รั้วรอบโครงการ ที่ต่อเติมเพิ่มให้สูง, ป้อมรปภ.ระบบ RFID, มีการแบ่งช่องรั้วกั้นไม้กระดกเป็น 2 ชุดสำหรับลูกบ้านและ Visitor แยกกัน, มีประตูรั้ว 2 ชั้นแบบ Double Gate, ติดระบบรักษาความปลอดภัยให้ในบ้านทุกหลัง มีทั้งแบบ Infrared, Magnetic และ Video Door Phone ที่เชื่อมระบบทั้งหมดเข้ากับป้อมรปภ.ด้วย ก็เรียกว่าให้มาเต็มที่ละ สำหรับหมู่บ้านจัดสรร ที่เหลือก็คือขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของนิติบุคคลแล้วแหละ
ในเรื่องสาธารณูปโภค มีการแบ่ง Facilities ส่วนกลางออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือส่วนคลับเฮาส์ด้านหน้าโครงการ ภายในคลับเฮาส์ จัดฟังก์ชั่นมาแบบเหลือๆเลย มีทั้งฟิตเนส, ห้องประชุม, สระว่ายน้ำ, และสวนหย่อม จัดรูปแบบออกมาใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งคิดว่าน่าจะครอบคลุมความต้องการของคนในหมู่บ้านได้ระดับหนึ่ง และเนื่องจากมีคนจากแค่ 57 ครอบครัวที่จะมาใช้งาน Facilities พวกนี้ ก็คงไม่ต้องห่วงว่าจะต้องมาแย่งกันใช้นะครับ
และ Facilities ส่วนที่สองก็คือพื้นที่สวนสาธารณะที่วางอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน มีเพื่อกระจายให้การใช้งานไปถึงบ้านที่อยู่โซนด้านหลังด้วย แต่ผมคิดว่าพื้นที่สวนสาธารณะตรงกลางหมู่บ้านดูธรรมดาไปหน่อย มันดูยังไม่ค่อยพิเศษสำหรับคนซื้อบ้านราคานี้ อย่างน้อยน่าจะมีบ่อน้ำ หรือการจัด Landscape ที่ทำให้ดูน่าสนใจกว่านี้ได้ แต่ตอนที่ผมไปดูมันยังไม่สมบูรณ์ คงต้องรอให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
ส่วนพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ด้วยความที่พื้นที่ในบ้านค่อนข้างเยอะ แม้แต่หลังเล็กสุดก็ยังมี 300 กว่าตารางเมตรแล้ว ทำให้การจัดเฟอร์นิเจอร์ทำได้ค่อนข้างลงตัว ไม่ได้พยายามยัดฟังก์ชั่นเกินๆลงไป ทำให้พื้นที่ของห้องแต่ละห้องมีขนาดใหญ่และจัดง่าย แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานของบ้านทั้ง 3 แบบคือใกล้กันมากนะครับ บ้านราคา 25 ล้าน กับ 35 ล้าน ราคาต่างกัน 10 ล้าน แต่ได้จำนวนห้องนอน, ห้องน้ำ, ที่จอดรถ เท่ากัน ส่วนที่แตกต่างกันเน้นๆ เป็นเรื่องของ Flow การใช้งาน และฟังก์ชั่นภายในของแต่ละห้องมากกว่า ซึ่งผมคิดว่าควรจะดูด้วยตัวเองมากกว่า ว่าการใช้งานแบบไหนที่มันเหมาะสมและเพียงพอกับการใช้งานของเรา เทียบกับเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่ม
และสิ่งที่ผมคิดว่ามีส่วนที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้คือพวกวัสดุของใช้ภายในบ้าน ซึ่งบางส่วนก็เห็นแล้วก็ทำให้ตื่นเต้นได้ เช่น ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ และห้องน้ำในห้องรับแขก เป็นต้น หรือพวกวัสดุโครงสร้าง พื้น, บันได, Fitting กรอบประตู-หน้าต่าง, และโครงสร้างของโรงรถกับลานซักล้างที่ผมคิดว่าให้ของมาดี แต่ที่ไม่ค่อยประทับใจจะเป็นพวก ห้องครัวไทยที่ให้ชุดครัวมาดูไม่สมกับฐานะเจ้าของบ้านเท่าไหร่, ห้องน้ำในห้องนอนเล็กทั้งสองห้อง ดูธรรมดาเกินไปเทียบกับห้องใหญ่สุด, กระเบื้องปูพื้นของลานซักล้าง ที่ดูธรรมดาเกินไปหน่อย ผสมปนเปกันไป
แต่โดยรวมทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ก่อนที่จะสรุปใน Bottom Line ผมอยากจะฝากว่า การจะหาซื้อที่อยู่อาศัยในราคา 25-60 ล้านบาทนั้น จริงๆแล้วมีตัวเลือกอื่นๆอีกเยอะมาก เราอาจจะหาบ้านลักษณะคล้ายๆกันนี้ได้ ในราคาที่แพงกว่านี้ หรือถูกกว่านี้ หรือในราคาเท่ากันแต่เป็นรูปแบบอื่น แต่ถ้าเราเอามาซื้อนาราสิริ พระราม 2 สิ่งที่จะได้กลับไปนอกจากที่ดินและตัวบ้านแล้ว มันยังมีเรื่องอื่นๆที่มันเป็น Value (หรือ Cost) ที่มองไม่เห็น อยู่ลึกๆด้วย เช่น การให้บริการหลังการขายของ Developer อย่างแสนสิริ, การดูแลรักษาของนิติบุคคลในหมู่บ้าน, มาตรฐานการดูแลความปลอดภัย, มาตรฐานการก่อสร้าง, สังคมและเพื่อนบ้านที่จะได้มา, หรือไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยที่จะตามมา ฯลฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ผมมองว่าเป็นเรื่องของความคิดเห็น และความเหมาะสมของการใช้ชีวิตแต่ละคนครับ ซึ่งแต่ละคนจะตีมูลค่าออกมาไม่เท่ากัน แต่อย่าลืมครับว่าเราต้องนำเอาปัจจัยเหล่านี้มาใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยด้วยครับ
Judgement
โครงการ นาราสิริ พระราม 2 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ที่มีราคาขายระดับ 25-60 ล้านบาทครับ ปัจจัยในการเลือกซื้อนอกจากจะต้องดูเรื่องความคุ้มค่าทางการเงินแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่สำคัญ เช่น ความชอบส่วนบุคคล อารมณ์ และความรู้สึกส่วนตัวของผู้ซื้อ ที่ต้องนำมาใช้ประกอบการพิจารณาครับ แต่ปัจจัยดังกล่าวมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ดังนั้นทางทีมงานจะไม่มีการให้คะแนนความคุ้มค่าแก่โครางการลักษณะนี้ครับ
BOTTOM LINE
คนที่จะเหมาะกับโครงการ นาราสิริ พระราม 2 อันดับแรกต้องเป็นคนที่ไม่เดือดร้อนทางการเงิน มองแล้วว่ามีงบประมาณในการหาซื้อที่อยู่อาศัยในมูลค่าอยู่ในช่วง 25 – 60 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลือกอื่นๆที่เงินจำนวนเท่ากันจะซื้อได้แล้วนั้น … เลือกที่จะอยู่บ้านในหมู่บ้านจัดสรร ที่มีพื้นที่ใช้สอยรองรับการใช้งานของครอบครัวใหญ่ ระดับ 5-8 คน และมีเนื้อที่ดินรอบๆบ้านระดับ 120-130 ตารางวาขึ้นไป ตั้งอยู่บนทำเลโซนพระราม 2 ที่ไกลหน่อยแต่เข้า-ออกตัวเมืองได้สะดวก โดยผ่านทางด่วนกับวงแหวน และมองหาหมู่บ้านที่มีความ Private สูง มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางให้ใช้ได้เต็มที่
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ