“หุ่นยนต์ดูดฝุ่น” เปรียบเสมือนผู้ช่วยตัวน้อย ที่จะคอยช่วยเราทำงานบ้าน ทำให้สะดวกสบายและประหยัดเวลาชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยแต่ละรุ่นก็จะมี Feature และความสามารถที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้มีความเหมาะสมกับการนำไปใช้งานในลักษณะพื้นที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงพฤติกรรมและอุปนิสัยส่วนตัวของผู้ใช้ก็มีผลด้วยเช่นกันครับ
ซึ่งในท้องตลาดปัจจุบันก็มีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้เลือกหลากหลายมากๆ ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายหมื่นบาท โดยการซื้อรุ่นในราคาประหยัดมาใช้ บางทีฟังก์ชันอาจยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานที่ดีได้นัก หรือการซื้อพวกรุ่นท็อปราคาแพงเกินไป ก็อาจได้ Feature ที่ไม่ค่อยจำเป็นกับเรามาด้วยก็ได้ ดังนั้นผมจึงได้รวบรวม 5 ประเด็นสำคัญ ที่เราควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อไว้ดังนี้
- ถ้าซื้อมาใช้แล้วจะเหมาะกับลักษณะพื้นที่ห้อง หรือเฟอร์นิเจอร์ของเรามั้ย?
- ความจุแบตเตอรี่ เพียงพอกับพื้นที่ห้องหรือเปล่า?
- ระบบการนำทางและเทคโนโลยี พึ่งพาได้มั้ย แบบไหนที่เรียกว่าฉลาด?
- Feature แบบไหนที่เหมาะกับสไตล์คนขี้เกียจ รักความสะดวกสบายแบบเรา?
- หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องแพงและดีที่สุด แต่ควรตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด จะต้องคิดจากอะไร?
1. ถ้าซื้อมาใช้แล้วจะเหมาะกับลักษณะพื้นที่ห้อง หรือเฟอร์นิเจอร์ของเรามั้ย?
ก่อนที่จะไปปวดหัวกับการเลือกสเปคหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในท้องตลาด ผมอยากให้เราพิจารณาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวก่อนครับ ว่าลักษณะพื้นที่ห้องและเฟอร์นิเจอร์ที่เราใช้อยู่เป็นแบบไหน? ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าเราเลือกซื้อหุ่นยนต์ที่มีขนาดไม่เหมาะกับการทำงานในห้องของเรา ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหุ่นนั้นๆลดลงได้ เกิดการติดขัดระหว่างทาง และทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง เป็นต้น โดยสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ
- ความสูงของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น
- ความสามารถในการข้ามสิ่งกีดขวาง
- ขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง
1.1 ) ความสูงของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น
เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นจะมีพื้นที่ข้างใต้ ที่ยกระดับสูงขึ้นมาจากพื้นนิดหน่อย กลายเป็นพื้นที่หรือช่องว่างที่เปิดโล่ง และอาจมีฝุ่นหรือเศษขยะอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใต้เตียง ใต้โซฟา หรือใต้ตู้ต่างๆ ซึ่งตรงจุดนี้เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็จะมุดเข้าไปทำความสะอาดให้เราได้ด้วย
แต่ก่อนที่จะไปซื้อมาใช้งาน ผมอยากให้ลองวัดความสูงของพื้นที่ข้างใต้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆด้วยตัวเองดูก่อนครับ ว่ามีความสูงน้อยสุดอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีความสูงเหมาะสมได้นั่นเอง เพราะเคยมีเคสจากผู้ใช้งานจริงหลายๆคน ที่ซื้อมาแล้วตัวเครื่องไม่สามารถลอดเข้าไปทำความสะอาดข้างใต้เฟอร์นิเจอได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องเสียเวลามานั่งทำความสะอาดเองต่ออยู่ดี
1.2 ) ความสามารถในการข้ามสิ่งกีดขวาง
พื้นห้องอาจไม่ได้เป็นวัสดุเดียวกันที่ราบเรียบเสมอไป บางคนก็อาจมีการปูพื้นด้วยพรม หรือบางห้องก็มีขอบพื้น/ประตู ที่ยกสูงต่างระดับจากพื้นปกติอยู่ด้วยครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นได้ เพราะถ้ามีความสูงของใต้ตัวเครื่องไม่มากพอ ก็อาจทำให้หุ่นยนต์ไปเกยตื้น หรือติดอยู่บนพรมบ้าง ธรณีประตูบ้าง จนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนต่อได้ สุดท้ายก็จะแบตหมดตายคาที่อยู่ตรงนั้น
โดยเวลาที่เราไปเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ในสเปค/รายละเอียดที่แนบมา บางทีก็จะบอกความสามารถในการข้ามสิ่งกีดขวางเอาไว้ด้วย ว่าสามารถข้ามได้สูงกี่เซนติเมตร แต่ปัญหาที่ผมมักจะเจอก็คือ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยมีสเปคส่วนนี้ให้ดูสักเท่าไหร่ (หา 10 รุ่น เจอบอกอยู่แค่ 2 รุ่นอะไรแบบนี้)
ดังนั้น ผมแนะนำให้สอบถามเพิ่มเติมกับผู้ขายโดยตรงอีกทีนะครับ ว่าสินค้าชิ้นนี้สามารถวิ่งบนพรมแบบนี้ได้มั้ย/ข้ามกรอบประตูสูงเท่านี้ได้หรือเปล่า? (ซึ่งส่วนใหญ่ก็พอจะวิ่งบนพรมขนสั้นได้ แต่จะไม่เหมาะที่จะใช้บนพรมขนยาว) เพื่อที่จะได้มีข้อมูลพิจารณาว่า สินค้าชิ้นนี้เหมาะที่จะนำมาใช้งานในห้องเราหรือไม่นั่นเอง
1.3 ) ขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง
ความกว้าง x ความยาว มีผลต่อการทำงานในพื้นที่ขนาดจำกัดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วยเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นใต้ตู้ใบเล็กๆ หรือใต้เก้าอี้ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ ซึ่งผมแนะนำให้เผื่อระยะเพียงพอที่ตัวเครื่องจะขยับตัวได้สะดวกหน่อยนะครับ โดยเราไม่ควรกะขนาดไว้พอดีเกินไป เพราะมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นบางเคสที่เดินเข้าไปทำความสะอาดใต้เก้าอี้ได้ แต่ออกมาเองได้ไม่ เพราะเซ็นเซอร์ตรวจเจอขาเก้าอี้ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน จะขยับไปตรงไหนก็ชนไปหมดทุกทาง สุดท้ายก็แบตหมดอยู่ใต้เก้าอี้นั่นเอง
นอกจากนี้บางคนก็อาจมีพฤติกรรมในการใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นเครื่องเดียว แต่ชอบที่จะย้ายไปหลายๆห้อง ซึ่งก็ต้องมีการยกหรือเคลื่อนย้ายอยู่บ่อยๆ จึงอาจเหมาะกับหุ่นยนต์ที่น้ำหนักเบา ขนาดกระทัดรัด และพกพาได้สะดวกก็ได้ครับ แต่ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่เล็กลง ก็อาจมีผลต่อประสิทธิภาพความแรงในการดูดฝุ่น ความจุของแบตเตอรี่ และขนาดของกล่องเก็บฝุ่น ที่เราจะต้องพิจารณาประกอบกันหลายๆอย่างอีกทีด้วยนะ
2. ความจุแบตเตอรี่ เพียงพอกับพื้นที่ห้องหรือเปล่า?
ที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทมีขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่เหมือนกัน บางคนอยู่คอนโดมิเนียมก็อาจมีพื้นที่กระทัดรัดหน่อย ทำความสะอาดแปปเดียวก็เสร็จ แต่บางคนที่อยู่บ้านเดี่ยวก็อาจมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ แน่นอนว่าตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็จะต้องใช้เวลาในการทำงานที่นานขึ้นพอสมควร
ซึ่งความจุของแบตเตอรี่จะมีผลต่อระยะเวลาการทำงานในส่วนนี้ครับ เพราะในสเปค/ข้อมูลรายละเอียดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่น จะมีตัวเลขที่ระบุไว้ชัดเจนว่า รุ่นนี้มีความจุแบตเตอรี่เท่าไหร่ / สามารถทำงานได้สูงสุดกี่นาที และครอบคลุมพื้นที่ประมาณกี่ตารางเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง โดยเราก็ควรพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ห้อง/บ้านของเราครับ
ซึ่งถ้าเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นขนาดเล็ก-กลาง ที่มีราคาจับต้องได้ง่ายสักหลักพันบาท ส่วนใหญ่ก็จะมีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 2,400 – 2,600 mAh ใช้งานได้สูงสุดประมาณ 100 – 180 นาที หรือพื้นที่ 100 – 150 ตร.ม. เหมาะกับคนที่อยู่ในคอนโดหรือทาวน์โฮม ที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่เยอะมากนัก
ในขณะที่ถ้าเป็นรุ่นที่แพงขึ้นมาหน่อย ก็จะมีความจุของแบตเตอรี่อยู่ที่ 5,200 mAh ใช้งานได้สูงสุดประมาณ 150 – 240 นาที หรือพื้นที่ 150 – 300 ตร.ม. ซึ่งก็จะเหมาะกับบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ๆ พื้นที่ใช้สอยเยอะๆนั่นเอง
แต่เพื่อความสะอาดที่แน่นอนมากขึ้น บางคนจะตั้งค่าให้เจ้าเครื่องหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำความสะอาดให้อย่างน้อย 2 รอบ เลยทำให้เราอาจต้องเผื่อเวลาในการทำงาน หรือคิดพื้นที่จริงๆเพิ่มเป็น 2 เท่าด้วยนะครับ
นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และมีผลต่อการใช้งานแบตเตอรี่ด้วยเหมือนกัน ได้แก่
- ระบบการนำทาง : ถ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมีระบบการนำทางและเทคโนโลยีที่ดี ก็จะช่วยให้สามารถทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น ประหยัดทั้งเวลาและแบตเตอรี่ไปได้เยอะเลยทีเดียวครับ
- ความแรงในการดูดฝุ่น : ในบางรุ่นจะมีโหมดให้เราสามารถปรับความแรงในการดูดได้ตามต้องการ และมักจะระบุไว้ด้วยว่า หากเราใช้โหมดนี้จะใช้งานได้ต่อเนื่องกี่นาที เช่น โหมด Eco ใช้ได้ 150 นาที / โหมดทั่วไปใช้ได้ 120 นาที / โหมด Turbo ใช้ได้ 90 นาที เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า “ความแรงในการดูดฝุ่น” มีผลต่อการใช้พลังงานของตัวเครื่องด้วยนั่นเองครับ
3. ระบบการนำทางและเทคโนโลยี พึ่งพาได้มั้ย แบบไหนที่เรียกว่าฉลาด?
นับว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญมากที่สุดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเลยก็ว่าได้ครับ เพราะถ้ามีระบบการนำทางที่ดี ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงานได้ดีอีกด้วย ซึ่งระบบการนำทางก็จะมีอยู่หลายแบบเลยครับ แต่หลักๆผมสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทคือ
- Mapping Camera
- Infrared Sensor
- Laser Distance Sensor (LDS) / SLAM Navigation
- LiDAR Sensor
- Gyroscope Navigation
3.1 ) Mapping Camera
เป็นการสร้างแผนที่จากกล้องขนาดเล็ก (คล้ายกล้องโทรศัพท์มือถือ) ที่จะถ่ายรูปเป็นเฟรมๆไปเรื่อยๆ เพื่อนำมาใช้ประมวลผลในการเคลื่อนที่ คือถ้าเดินไปข้างหน้าแล้วชนกับอะไร เค้าก็จะเปลี่ยนทิศทันที และมักจะเป็นลักษณะการเดินแบบสุ่มไปเรื่อยๆ ทิศไหนไม่มีสิ่งกีดขวางก็จะไปทางนั้น
ข้อเสียคือ พอเจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเดินไปแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้ การทำงานก็จะไม่สะอาดทั่วถึง แถมยังใช้เวลานานอีกต่างหาก เพราะบางทีก็จะเดินผ่านไป-มา ในจุดเดิมหลายรอบจนแบตหมดไปเอง แต่ข้อดีคือ “ราคาถูก” ซึ่งมักจะใช้อยู่ในรุ่นเริ่มต้นของหลายๆยี่ห้อ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างเก่าแล้วนั่นเองครับ
3.2 ) Infrared Sensor
เป็นการยิงสัญญาณอินฟราเรดออกไปรอบๆ เพื่อจับสัญญาญหาพื้นที่ว่างสำหรับการทำงาน โดยเมื่อเจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเดินไปชน/กระแทกกับอะไร ตัวเครื่องก็จะถอยออกมา พร้อมหาทิศทางที่ว่างสำหรับการทำงานต่อไป ลักษณะจะคล้ายกับการใช้กล้องในแบบแรกครับ ซึ่งก็ยังมีความมึนในการเคลื่อนที่อยู่พอสมควร เพียงแต่อาจจะหาที่ว่างได้แม่นยำขึ้นเล็กน้อย
3.3 ) Laser Distance Sensor (LDS) / SLAM Navigation
ลักษณะเด่นของหุ่นยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้คือ ที่ด้านบนตัวเครื่องจะมีแท่นกลมๆสำหรับยิงเลเซอร์ตั้งอยู่ โดยจะเป็นระบบการสร้างแผนที่จำลองขึ้นมาด้วยการยิงเลเซอร์ หรือสัญญาณต่างๆไปกระทบกับวัตถุรอบๆ เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ
อีกทั้งในบางรุ่นก็ยังมีการสแกนพื้นที่รอบๆอย่างต่อเนื่องแบบ Real Time คือถ้าเรามีการเคลื่อนย้ายวัตถุบางอย่างในห้องขณะที่ตัวเครื่องทำงานอยู่ เช่น เลื่อนเก้าอี้/ยกของที่วางอยู่บนพื้นไปเก็บ เค้าก็จะตรวจเจอพื้นที่ว่างที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด แล้วก็จะเคลื่อนตัวมาดูดฝุ่นบริเวณนั้นๆให้ด้วยนั่นเองครับ
3.4 ) LiDAR Sensor
ระบบเซ็นเซอร์วัดแสงที่จะช่วยสร้างแผนที่จำลองได้อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีความแม่นยำค่อนข้างสูง ขนาดที่ว่าสามารถรับรู้ได้ถึงขาเก้าอี้ทุกตัว หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในห้อง อีกทั้งยังรับรู้ถึงผ้าม่านได้อีกด้วย
คือปกติเวลาที่หุ่นยนต์สแกนเจอผ้าม่าน ก็มักจะคิดว่าเป็นวัตถุชิ้นใหญ่ แล้วจะไม่ยอมเข้าไปดูดฝุ่นใต้ผ้าม่านให้ใช่มั้ยครับ แต่ถ้าเป็นระบบ LiDAR จะตรวจเจอแสงแม้เพียงเล็กน้อยที่รอดผ่านม่านมาได้ ก็จะทำให้เค้ารู้ว่านี่คือผ้าม่าน และจะวิ่งชนเข้าไปทำความสะอาดพื้นใต้ผ้าม่านให้ด้วย ซึ่งนี่คือหนึ่งในความฉลาดของเทคโนโลยีนี้ครับ
นอกจากนี้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังรับรู้ว่าได้อีกว่า ตอนนี้ทำงานอยู่ตรงจุดไหน แล้วควรไปทางไหนต่อ? เลยทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้เวลาทำงานน้อยลงมากๆอีกด้วย ส่วนจุดด้อยเล็กน้อยของระบบนี้คือ หากเจอกระจกเงาเค้าจะคิดว่าห้องนั้นมีขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริง เนื่องจากแสงที่สะท้อนมาจากกระจกนั่นเองครับ
Gyroscope Navigation
เป็นระบบเทคโนโลยีเดียวกับพวกยานพาหนะไร้คนขับ ที่ใส่เข้ามาเพื่อให้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นรู้ทิศทางว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่ตรงจุดไหน และควรไปทางไหนต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ลักษณะการเดินจะเป็น Pattern ที่จะหมุน 90 องศาเป็นรูปตัว Z ไปเรื่อยๆจนครบทุกพื้นที่ จึงทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยฟังก์ชันนี้มักจะมีการนำไปใช้งานเสริม ร่วมกับระบบการนำทางอื่นๆ และเหมาะกับพื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ที่มีขาตั้งขวางเยอะ เพราะถ้าเค้าเดินชนอะไรก็จะเปลี่ยนทิศไปทางตรงข้ามทันที ซึ่งกว่าจะวนกลับมาหรืออ้อมไปอีกฝั่งได้ก็อาจต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่เลยทีเดียว
4. Feature แบบไหนที่เหมาะกับสไตล์คนขี้เกียจ รักความสะดวกสบายแบบเรา?
คนเรามีความต้องการและ Lifestyle ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งปัจจุบันหุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็ได้ถูกพัฒนา Feature หลายๆอย่าง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบาย และตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยจะมีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆดังนี้
- รุ่นแบบที่เชื่อมต่อและสั่งการผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา
- รุ่นแบบ Hibrid ที่สามารถทำงานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน
- รุ่นแบบที่มีแท่นชาร์จอัจฉริยะ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย
4.1 ) รุ่นแบบที่เชื่อมต่อและสั่งการผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา
เกือบทุกรุ่นของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นในปัจจุบัน มักจะสามารถเชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือได้แล้ว ซึ่งจะมีฟังก์ชันที่ปรับตั้งค่าได้ละเอียดและเยอะมากขึ้น กว่าหุ่นยนต์รุ่นเก่าๆที่สั่งการผ่านรีโมทซะอีกครับ ไม่ว่าจะเป็น
- สามารถติดตามดูการทำงานได้แบบ Real Time ทำให้เรารู้ว่าเค้าทำงานไปถึงไหนแล้ว ใกล้เสร็จหรือยัง?
- สั่งให้เริ่มทำงาน/หยุดผ่านมือถือได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น เราไม่อยู่ที่บ้าน แต่กำลังจะพาแขกเข้าไปในบ้าน ก็สามารถสั่งให้ตัวเครื่องเริ่มทำความสะอาดไว้รอล่วงหน้าได้นั่นเองครับ
- สามารถตั้งเวลาในการทำงานได้
- สามารถจดจำแผนที่ห้องได้เยอะมากขึ้น
- สามารถกำหนดขอบเขตในการทำงานได้ เช่น ถ้าตรงไหนที่เป็นพื้นพรม หรือเป็นจุดที่ไม่อยากให้เข้าไปยุ่ง เราก็สามารถตีกรอบในแผนที่เพื่อบอกเค้าได้เลยว่า ตรงบริเวณนี้ไม่ต้องทำความสะอาดนะ ซึ่งจะเป็นฟังก์ชันที่ช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินที่มีค่าได้ครับ
4.2 ) รุ่นแบบ Hibrid ที่สามารถทำงานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน
มีเครื่องดูดฝุ่นจำนวนไม่น้อยที่มีฟังก์ชันสามารถดูดฝุ่น และถูพื้นได้ภายในเครื่องเดียว เรียกได้ว่าทำงานได้แบบ 2 in 1 โดยเราไม่ต้องมาเหนื่อยถูพื้นเองอีกรอบ หรือเสียเงินซื้อมาถึง 2 เครื่อง และทำให้ช่วยให้เราประหยัดเวลาในการทำงานบ้านลงได้ ซึ่งฟังก์ชันนี้มีให้เลือกตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นท็อป แต่ประสิทธิภาพก็จะเป็นไปตามระดับราคานะครับ
โดยถ้าเป็นราคาประหยัดไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท ก็มักจะเป็น Mop ถูพื้นแบบใช้ผ้าหรือแผ่นทำความสะอาดแปะอยู่ข้างใต้ตัวเครื่อง ซึ่งในขณะที่กำลังเดินดูดฝุ่นอยู่ก็จะเป็นการถูพื้นไปด้วยในตัว และลักษณะของแผ่นผ้าที่เปียกน้ำ ก็จะถูกลากไปกับพื้นเรื่อยๆ เมื่อเค้าทำงานเสร็จ เราจะต้องนำแผ่นผ้าออกทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นบวมเสียหาย โดยเฉพาะพื้นไม้ต่างๆ รวมถึงป้องกันไฟช็อตในกรณีที่เค้าต้องวิ่งกลับไปชาร์จไฟที่แท่นด้วยนั่นเองครับ
ส่วนหุ่นยนต์ในรุ่นราคาหลักหมื่นขึ้นไป บางเจ้าจะมีการเพิ่มระบบ Hydraulic ตรงบริเวณ Mop ถูพื้นมาให้ด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงกดได้เหมือนกับคนถูพื้นเองจริงๆ และสามารถยกขึ้น-ลงทำให้ผ้าที่เปียกอยู่ไม่ต้องสัมผัสกับพื้นหรือพรมตลอดเวลา รวมถึงบางเจ้าก็มีการเพิ่มระบบสั่นสะเทือน ที่จะช่วยให้การถูพื้นที่สะอาดมากขึ้นได้อีกด้วยนะ
4.3 ) รุ่นแบบที่มีแท่นชาร์จอัจฉริยะ เพิ่มความสะดวกสบาย
หุ่นยนต์รุ่นแบบนี้เค้าจะมาพร้อมแท่นชาร์จไฟทรงสูงขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่ชาร์จไฟตามปกติแล้ว ยังเป็นแท่นกำจัดขยะที่จะดูดเอาเศษฝุ่นจากในตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เข้าไปเก็บไว้ที่ถัง/ถุงขยะในแท่นที่มีขนาดใหญ่กว่า (ใช้ได้นาน 3 – 4 เดือนกว่าจะเต็ม) ทำให้เราไม่ต้องมาคอยแกะกล่องเก็บฝุ่นจากตัวเครื่อง เพื่อเอาขยะไปทิ้งเองบ่อยๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งในบางรุ่นตัวแท่นชาร์จยังสามารถล้าง และทำความสะอาดตัว Mop ถูพื้นด้วยตัวเองได้ด้วยนะครับ ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้จะเหมาะกับคนที่ชอบความสะดวกสบาย และไม่อยากให้มือตัวเองต้องเปื้อนบ่อยๆ โดยหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีแท่นชาร์จแบบนี้ ก็มักจะเป็นรุ่น Top ที่มีราคาสมน้ำสมเนื้ออยู่พอสมควรทีเดียวครับ
5. หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องแพงและดีที่สุด แต่ควรตอบโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุด จะต้องคิดจากอะไร?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุดท้ายเราคงต้องมาตัดสินกันด้วย “ราคา” ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีงบในใจที่ไม่เท่ากัน โดยในท้องตลาดก็มีหลากหลายรุ่น และหลายระดับราคาให้เลือกเยอะมาก ขึ้นอยู่กับฟังก์ชัน ความสามารถในการทำงาน และเทคโนโลยีที่ใส่เข้ามา
แต่สิ่งที่น่าสนใจในตารางข้อมูลที่ผมได้ลองรวบรวมมาก็คือ หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีการใช้เทคโนโลยีระบบการนำทางที่ดี ที่จะทำให้ตัวเครื่องมีความฉลาดในระดับที่วางใจให้เค้าทำงานด้วยตัวเองได้ดีอย่าง LDS หรือ LiDAR จะเริ่มมีตั้งแต่ในรุ่นราคาประมาณหมื่นต้นๆ (ถ้าหาดูดีๆ ก็อาจเจอในหลักพันปลายๆด้วยก็ได้นะครับ)
ซึ่งส่วนตัวผมจะแอบให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากพอสมควร เพราะจะทำให้ตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะอาดทั่วถึง เราสามารถไว้ใจให้เค้าทำงานด้วยตัวเองได้ และยังใช้เวลาไม่นานเกินไปอีกด้วย ส่วนที่เหลือก็จะเป็นการพิจารณาจากสเปคต่างๆ ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ห้องและ Lifestyle ของเรานั่นเองครับ
…จบไปแล้วนะครับสำหรับ 5 ข้อที่เราควรพิจารณาก่อนซื้อ “หุ่นยนต์ดูดฝุ่น” ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเลือกซื้อหุ่นยนต์ที่มีฟังก์ชันเหมาะสม มาช่วยทุ่นแรงและประหยัดเวลาในการทำงานบ้านลงได้
โดยคำว่า “เหมาะสม” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นที่ดีที่สุด หรือแพงที่สุดเสมอไป แต่ต้องมีความพอดีในด้านการใช้งาน เหมาะกับพื้นที่ห้อง และมีราคาที่สมเหตุสมผล เพราะแต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป ถ้าเราเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้สามารถเลือกซื้อหุ่นยนต์ดูดที่เหมาะกับเราได้ไม่ยากแล้วครับ
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc