..ร้อนนน~!! จนอยากจะร้องดังๆเหมือนปาล์มมี่จังเลย นี่ขนาดว่าเราอยู่แต่ในบ้านก็ยังรู้สึกร้อนขนาดนี้เลยใช่มั้ยครับ ครั้นเราจะเปิดแอร์ทั้งวันก็คงเปลืองค่าไฟแย่ ซึ่งจริงๆแล้วสาเหตุหลักๆที่ทำให้ภายในบ้านของเรามีอุณหภูมิที่สูงขึ้นก็คือ “ความร้อนจากแสงอาทิตย์” นั่นเอง
ดังนั้นช่องแสงอย่าง “ประตู-หน้าต่าง” จึงเป็นจุดเดียวของบ้านที่แสงจะสามารถส่องผ่าน และนำความร้อนเข้ามาสู่ตัวบ้านได้โดยตรง ซึ่งเราสามารถป้องกันด้วยการ “ติดม่านกัน UV” ได้ครับ โดยในปัจจุบันนี้ก็มีผ้าม่านให้เลือกหลากหลายแบบเลย แต่สิ่งนี้จะเวิร์คจริงมั้ย จะช่วยลดความร้อนได้มากขนาดไหน บทความนี้ได้รวบรวมคำถามที่หลายๆคนสงสัยมาให้แล้วดังนี้ครับ
- ทำไมการติด “ม่าน” จึงช่วยลดความร้อนในบ้านได้?
- ม่านกันความร้อนมีทั้งหมดกี่แบบ?
- ผ้าม่านกัน UV แบบ DIMOUT กับ BLACKOUT ต่างกันอย่างไร?
- ม่านม้วนกัน UV (Roller Blinds) มีกี่แบบ สามารถใช้แทนผ้าม่านทั่วไปได้มั๊ย?
- มู่ลี่ (Blinds) ที่ป้องกันความร้อนได้ดี ควรทำมาจากอะไร?
- ผ้าม่านโปร่งจำเป็นมั้ย หรือมีดีแค่สวยงาม?
- เทียบม่านกัน UV (BLACKOUT / DIMOUT / ม่านม้วน / มู่ลี่ / ม่านโปร่ง) แบบไหนดีกว่ากัน?
- แชร์ไอเดียเทคนิคเลือกโทนสีผ้าม่านอย่างไร ..ไม่ให้อมความร้อน?
ทำไมการติด “ม่าน” จึงช่วยลดความร้อนในบ้านได้?
..อย่างที่เราได้เกริ่นไปแล้วว่า แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาภายในบ้านโดยตรง ผ่านทางช่องประตู-หน้าต่างนั้น มีส่วนที่ทำให้อากาศภายในบ้านมีอุณหภูมิสูงขึ้น เพราะคลื่นความร้อนที่มาพร้อมกับรังสี UV ต่างๆนั่นเอง
ดังนั้นการติดม่านเพื่อบดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้เข้ามาในบ้าน ก็เปรียบเสมือนเราได้ติดตั้งฉนวนกันความร้อน หรือได้ทำผนังบางๆขึ้นมาอีกชั้นนั่นเอง ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่หลายๆคนมักจะเข้าใจแบบนี้ครับ >> ..แต่นั่นก็ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
..จริงๆแล้วม่านที่เราติดตั้งเพิ่มเข้าไปนั้น จะมีส่วนช่วยลดการแผ่รังสีความร้อน (Radiation) ของแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่ม่านจะช่วยได้มากก็คือ การสร้าง Static Air ขึ้นมาระหว่างตัวมันเอง กระจก และผนังบ้านของเรา ซึ่งเจ้า Static Air นี่แหละครับที่เป็นฉนวนกันความร้อนตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
และนอกจากนี้ผ้าม่านก็ยังช่วยบังกระแสลมภายในห้อง ที่อาจมาจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ ไม่ให้สัมผัสกับผนังหรือกระจกที่มีความร้อนโดยตรง ซึ่งเป็นการช่วยลดการพาความร้อน (Convection) ไม่ให้กระจายไปสู่บริเวณอื่นๆของห้องได้นั่นเองครับ
ม่านกันความร้อนมีทั้งหมดกี่แบบ?
..สมัยก่อนหากเราต้องการเลือกซื้อม่าน ที่ช่วยในการป้องกันแสงและความร้อนได้นั้น ก็มักจะโฟกัสที่ตัวเนื้อผ้าหนาๆแบบที่แสงไม่สามารถผ่านได้ใช่มั้ยครับ รวมถึงม่านบางชนิดในอดีตก็ยังมีการใช้สารปรอทในการลดความร้อนด้วย ก็เลยทำให้บางคนอาจไม่มีความมั่นใจที่จะนำมาใช้งานกันสักเท่าไหร่
แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ม่านทุกแบบในท้องตลาดตอนนี้ มีความสามารถในการป้องกันแสงแดด และช่วยลดความร้อนได้ทุกระดับความต้องการ อีกทั้งยังลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับผู้บริโภคมากขึ้นอีกด้วย โดยม่านหลักๆที่ผมจะมาแนะนำก็มีดังนี้ครับ
- ผ้าม่านกัน UV แบบ DIMOUT และ BLACKOUT
- ม่านม้วนกัน UV (Roller Blinds)
- มู่ลี่ (Blinds)
- ผ้าม่านโปร่ง (Sheer)
ผ้าม่านกัน UV แบบ DIMOUT กับ BLACKOUT ต่างกันอย่างไร?
..ความแตกต่างของผ้าม่านทั้ง 2 ชนิด เกิดจากปัจจัยกระบวนการผลิต ชนิดของวัสดุที่ใช้ ความสามารถในการป้องกันแสง และอาจมีความสามารถอื่นๆ ที่ผู้ผลิตแต่ละเจ้าใส่เข้าเพิ่มเติมด้วย เช่น การทนไฟ การดูดซับเสียง ป้องกันฝุ่นไร หรือการป้องกันรังสี UV บางชนิดได้ เป็นต้น
แน่นอนว่าหากมองเรื่องความสามารถในการป้องกันแสง และความร้อนเข้าสู่ภายในบ้าน ผ้าม่านแบบ BLACKOUT จะมีภาษีที่ดีกว่าเยอะ เพราะสามารถป้องกันได้ถึง 100% ในขณะที่ผ้าม่านแบบ DIMOUT จะป้องกันแสงได้ 40 – 95% โดยประมาณ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผ้าม่านแบบ BLACKOUT จะเหมาะสมกับทุกๆห้องนะครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการใช้ฟังก์ชันนั้นๆในการทำกิจกรรมอะไร และต้องการความมืดมาก-น้อยขนาดไหนจึงจะเพียงพอ ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปเจาะลึกพร้อมๆกันเลยครับ
ผ้าม่าน DIMOUT (ดิมเอาท์) คืออะไร?
..ผ้าม่านดิมเอาท์ คือ “ผ้าม่านกันแสง” ต่างจากผ้าม่านแบบ BLACKOUT ตรงที่จะยอมให้แสงผ่านเข้ามาได้บางส่วน โดยเป็นผ้าที่ทอด้วยเทคนิคพิเศษ มีเส้นด้ายสีดำแทรกอยู่ระหว่างชั้นผ้า (บางคนก็เรียก ผ้าม่านแบบสอดด้ายดำ) ทำให้ผ้าชนิดนี้มีการซ้อนทับกันถึง 3 ชั้น จึงสามารถป้องกันแสงได้ประมาณ 40 – 95% เลยนั่นเอง
และถึงแม้ว่าผ้าม่านชนิดนี้จะกันแสงได้ไม่ดีเท่าม่านแบบ BLACKOUT แต่ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมใช้มากกว่าเยอะเลยครับ เพราะด้วยลักษณะของเนื้อผ้าที่เป็นวัสดุผืนเดียวกันทั้งหมด จึงมีความสวยงามทั้ง 2 ด้าน มีความพลิ้วไหว และมีน้ำหนักทิ้งตัวลงได้สวยเป็นธรรมชาติ รวมถึงยังดูแลรักษาได้ง่ายกว่า สามารถถอดออกมาซักได้ตามปกติ จึงทำให้ตัวม่านมีอายุการใช้งานที่ยาวนานครับ
สรุป
- จุดเด่น : เป็นที่นิยมมากที่สุด ดูแลรักษาได้ง่าย ถอดซักได้ตามปกติ อายุการใช้งานยาวนาน
- ป้องกันแสงและความร้อน : 40 – 95% ยอมให้แสงผ่านได้บางส่วน
- ราคา : 700 – 1,400 บาท (ขนาด 150 x 220 cm.)
ผ้าม่าน BLACKOUT (แบล็คเอาท์) คืออะไร?
..ผ้าม่านแบล็คเอาท์ คือ “ผ้าม่านทึบแสง” มีคุณสมบัติช่วยป้องกันแสงจากธรรมชาติอย่างแสงแดด และแสงจากดวงไฟส่องสว่างต่างๆ ไม่ให้ผ่านทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามาได้ จึงทำให้เป็นม่านที่สามารถป้องกันทั้งแสงและความร้อนได้ดีที่สุดในบรรดาม่านทุกแบบเลย
โดยผ้าม่าน BLACKOUT จะเป็นผ้าชนิดพิเศษที่ผ่านกระบวนการเคลือบด้านหลังผ้าด้วยโฟม 2 – 3 ชั้นเป็นอย่างน้อย และในบางรุ่นมีการเคลือบเพิ่มเติมด้วยซิลิโคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันแสงเข้าได้สูงถึง 100% จึงเหมาะสำหรับติดตั้งในห้องนอน หรือห้องที่ต้องการความมืดสนิทแบบสุดๆ ซึ่งโดยทั่วไปก็จะแบ่งออกเป็น 3 ชนิดดังนี้ครับ
1. ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบโฟม (FOAM COATING) :
..จะมีการเคลือบโฟมบริเวณด้านหลังผ้า จึงเป็นผ้าม่านที่มีลวดลายสวยงามเพียงด้านเดียว และให้สัมผัสคล้ายฟองน้ำบางๆเคลือบอยู่ โดยมีให้เลือกทั้งแบบเคลือบโฟม 2 ชั้น และ 3 ชั้น นับว่าเป็นม่านที่มีความหนามากกว่าม่าน BLACKOUT ชนิดอื่นๆ
รวมถึงอาจต้องระวังเรื่องการดูแลรักษาดีๆหน่อยนะครับ เพราะการนำผ้าม่านชนิดนี้ไปซัก อาจทำให้โฟมด้านหลังหลุดร่อนได้ง่าย และจะทำให้ประสิทธิภาพในการกันแดดลดลง อายุการใช้งานของผ้าม่านชนิดนี้จึงไม่ยาวนาน อีกทั้งยังเป็นผ้าที่หากมีรอยยับแล้วจะทำให้กลับมาเรียบได้ยากมากๆด้วยครับ จึงแนะนำเป็นวิธีดูดไรฝุ่นแทนจะเหมาะสมที่สุดครับ
2. ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดเคลือบซิลิโคน (SILICONE COATING) :
..พัฒนาขึ้นมาจากชนิดเคลือบโฟม โดยด้านหลังของผ้าจะเห็นเป็นเนื้อซิลิโคนที่เคลือบไว้ จึงไม่ค่อยยืดหยุ่นหรือนุ่มนวล แต่ก็ทำให้สามารถรักษารูปทรงได้ดี และมีการทิ้งตัวที่เป็นระเบียบสวยงาม สามารถใช้เป็นผ้าม่านกันแสงและผ้าม่านกั้นแอร์ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งอายุการใช้งานของผ้าชนิดนี้จะยาวนานกว่าแบบเคลือบโฟมหน่อยครับ และสามารถซักทำความสะอาดได้ตามปกติ แต่แนะนำให้ใช้เป็นโหมดถนอมผ้าสำหรับผ้าบางเบา ในน้ำอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศา เพื่อป้องกันไม่ให้ซิลิโคนเสียหายหรือหลุดร่อนไปนั่นเอง
3. ผ้าม่าน BLACKOUT ชนิดหลังผ้า (FABRIC BACKING) :
..เป็นการนำผ้า 2 ชั้นมาประกบกัน เลยทำให้ผ้าดูค่อนข้างหนากว่าปกติ และได้ผ้าที่มีลวดลายหรือสีสันสวยงามทั้ง 2 ด้าน ซึ่งแบบนี้มักจะเห็นกันได้บ่อยๆในโรงแรม 4 – 5 ดาว และยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่อยากใช้ผ้าม่านสีอ่อน แต่ยังต้องการม่านกันแสงได้เกือบ 100% คิดง่ายๆก็คือ ถ้าผ้าชั้นแรกกันแสงได้ 70% และผ้าชั้นที่ 2 กันแสงได้อีก 90% หากนำมารวมกันก็จะกลายเป็นผ้าที่มืดสนิทแน่นอน ทั้งนี้ก็แลกมากับราคาที่ค่อนข้างสูงมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
สรุป
- จุดเด่น : เป็นผ้าม่านที่กันแสงได้ดีที่สุด เหมาะกับห้องที่ต้องการความมืดสนิท
- ป้องกันแสงและความร้อน : 100%
- ราคา : 900 – 1,500 บาท (ขนาด 150 x 220 cm.)
ม่านม้วนกัน UV (Roller Blinds) มีกี่แบบ สามารถใช้แทนผ้าม่านทั่วไปได้มั๊ย?
..เป็นม่านที่ให้ความรู้สึก Minimal มีดีไซน์ที่เรียบง่ายและดูทันสมัย เหมาะกับการใช้ตกแต่งบ้านสไตล์ Modern เป็นที่สุด โดยจุดเด่นของม่านชนิดนี้ก็คือ “ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยมากๆ” จึงช่วยประหยัดพื้นที่ไปได้เยอะเลยทีเดียว อีกทั้งยังไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝุ่นเกาะ จึงทำให้ดูแลและทำความสะอาดได้ง่าย เพียงแค่นำผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดก็เป็นอันใช้ได้ครับ โดยม่านม้วน หรือ Roller Blinds ก็จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลักๆคือ
- ม่านม้วน Sunscreen : เป็นม่านที่แสงแดดสามารถลอดเข้ามาได้เล็กน้อย ม่านชนิดนี้เวลากลางวันผู้ที่อยู่ภายในจะมองเห็นบรรยากาศภายนอกได้ ส่วนคนภายนอกจะมองเข้ามาไม่เห็น แต่หากเป็นช่วงเวลากลางคืน ก็จะให้คุณสมบัติที่ตรงข้ามกับช่วงเวลากลางวันครับ
- ม่านม้วน Dimout : เป็นม่านที่แสงแดดสามารถลอดผ่านเข้ามาได้ประมาณ 40-80% เหมาะสำหรับห้องที่ยังคงต้องการแสงสว่างอยู่บ้างนั่นเอง
- ม่านม้วน Blackout : มีคุณสมบัติป้องกันแสงได้ 90 – 100% ทำให้ห้องมืดสนิท จึงช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวได้มาก
ดังนั้นด้วยคุณสมบัติต่างๆที่กล่าวมานี้ สามารถตอบคำถามข้างต้นได้ว่า ..ม่านม้วนสามารถใช้แทนผ้าม่านทั่วไปได้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งบ้านจริงๆ ว่าจะเหมาะสมกับการใช้งานม่านแนวนี้หรือไม่ เพราะจะให้ความรู้สึกเวลามองเห็นที่แตกต่างกันมากๆครับ
สรุป
- จุดเด่น : ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย เหมาะกับห้องสไตล์โมเดิร์น
- ป้องกันแสงและความร้อน : 90 – 100% ผืนผ้าจะค่อนข้างแนบสนิทไปกับผนัง
- ราคา : 600 – 1,000 บาท (ขนาด 100 x 160 cm.)
มู่ลี่ (Blinds) ที่ป้องกันความร้อนได้ดี ควรทำมาจากอะไร?
..เป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมทั้งในบ้านพักอาศัย และอาคารสำนักงานต่างๆก็มีใช้งานกันเยอะเหมือนกันครับ โดยจัดเป็นอุปกรณ์ที่มีความโดดเด่น และให้กลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไป ตามลักษณะขนาดของใบที่บังแสงและวัสดุที่เลือกใช้
แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆก็คือ “ความอรรถประโยชน์” เพราะเจ้าตัวมู่ลี่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้หลากหลายแบบมากๆ ด้วยระบบชักรอกที่เราสามารถกำหนดและควบคุมด้วยตัวเองได้ตามต้องการดังนี้
- เปิดช่องแสงแบบ 100% : จะเป็นการดึงมู่ลี่ทั้งหมดขึ้นไปเก็บอยู่เหนือช่องแสงด้านบน ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวภายนอก และเปิดถ่ายเทอากาศได้แบบเต็มที่ เหมือนไม่ได้ติดม่านเลยนั่นเองครับ
- เปิดช่องแสงแบบบางส่วน : ขณะที่นำมู่ลี่ลงมาปิดช่องหน้าต่างอยู่ เราสามารถควบคุมองศาของใบที่บังแสง ให้เปิดรับแสงเข้ามาในปริมาณเท่าไหร่ก็ได้ตามต้องการ โดยแสงที่ส่องเข้ามาก็จะเป็นลักษณะของการสะท้อนแสงให้กระจายสู่ในตัวห้อง จึงทำให้เหมาะกับห้องที่ต้องการความอบอุ่นสบายตา รวมถึงยังมีลวดลายของแสงที่ส่องเข้ามาเป็นเส้นแสงสวยงามอีกด้วย
- ปิดช่องแสงแบบ 100% : ด้วยความที่ตัวม่านเป็นวัสดุทึบแสง เมื่อเราปิดม่านลงทั้งหมดก็จะสามารถกันแสงได้ 100% เหมือนมีผนังเบาอีกชั้นหนึ่งมาป้องกันเอาไว้เลยครับ แต่ทั้งนี้ก็อาจมีแสงที่ลอดม่านช่องว่างบางส่วนเข้ามาได้อยู่บ้างเหมือนกัน
และอย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า วัสดุที่นำมาใช้ทำใบที่บังแสงของมู่ลี่มีหลากหลายมาก ซึ่งแต่ละอย่างก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป และเหมาะกับการใช้ตกแต่งในห้องที่มีสไตล์ไม่เหมือนกัน โดยผมจะแบ่งออกเป็น 3 วัสดุใหญ่ๆได้ดังนี้
มู่ลี่ไม้ :
..เป็นมู่ลี่ที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ได้แก่ ไม้ไผ่ ต้นกก และไม้เนื้อเบาอื่นๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ดูอบอุ่น และได้กลิ่นอายความเป็นเอเชียค่อนข้างเยอะ นิยมตกแต่งตามพวกร้านอาหาร หรือบ้านที่เป็นสไตล์จีน/ญี่ปุ่น เป็นต้น
อีกทั้งยังมีข้อดีในเรื่องการถ่ายเทอากาศได้ดีด้วยนะครับ โดยข้อจำกัดอย่างหนึ่งก็คือ อาจมีอายุการใช้งานที่น้อยหากเทียบกับวัสดุชนิดอื่นๆ และอาจมีปัญหาเกี่ยวกับแมลงมากัดกินได้ด้วย หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องและสม่ำเสมอนั่นเอง
มู่ลี่อะลูมิเนียม :
..ค่อนข้างเป็นที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากตัววัสดุมีความทนทานสูง จึงทำให้มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างยาวนาน และถึงแม้ว่าจะมีการระบายอากาศได้ไม่ดีเท่าวัสดุจากธรรมชาติ แต่ก็มีข้อดีที่สามารถป้องกันแสงได้ดีกว่า จึงมีส่วนช่วยลดความร้อนที่จะเข้ามาในห้องได้ดีที่สุดในบรรดาวัสดุมู่ลี่ทุกแบบครับ
มู่ลี่พลาสติก :
..วัสดุส่วนใหญ่มักจะเป็น PVC หรือโพลีโพรพิลีน เหมาะกับการใช้งานพื้นที่ในร่ม เพราะเค้าจะไม่ค่อยมีความทนทานต่อแสงแดดจัดๆสักเท่าไหร่ ซึ่งอาจเป็นห้องครัวหรือห้องน้ำที่มักจะมีความชื้น หรือต้องทำความสะอาดบ่อยๆก็ได้ครับ
โดยมู่ลี่ชนิดนี้จะมีจุดเด่นในเรื่องน้ำหนักที่เบา สามารถติดตั้งได้ง่าย อีกทั้งยังความหลากหลายในเรื่องของสีสันและลวดลาย ที่เราสามารถเลือกใช้ให้ตรงกับสไตล์ห้องที่ต้องการได้เลยครับ เพียงแต่บางคนอาจไม่ชอบเพราะมีความเป็นเหมือนพลาสติกมากๆนั่นเอง
สรุป
- จุดเด่น : ปรับองศาและปริมาณแสงตามที่ต้องการได้
- ป้องกันแสงและความร้อน : 70 – 80% ยังมีแสงที่เล็ดลอดมาตามช่องว่างได้ง่าย
- ราคา : 300 – 1,500 บาท (ขนาด 100 x 160 cm.)
ผ้าม่านโปร่งจำเป็นมั้ย หรือมีดีแค่สวยงาม?
..ผ้าม่านโปร่ง (Sheer Curtains) หรือบางคนเรียกว่าผ้าซับใน เป็นผ้าบางๆโปร่งใส ที่มักนิยมใช้เป็นผ้าม่านชั้นที่ 2 ซึ่งประโยชน์หลักๆของม่านชนิดนี้คือ ช่วยพรางสายตาจากภายนอก ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกรองแสงและทำให้บ้านดูสวยงามมากขึ้นด้วย
ส่วนในแง่ของการป้องกันแสงคงทำได้ไม่ดีเท่าม่านชนิดอื่นๆนะครับ เพราะตัวเนื้อผ้ามีความโปร่งใสที่แสงสามารถส่องผ่านได้ 80 – 90% แต่ทั้งนี้ก็ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการป้องกันความร้อน ไม่ให้เข้ามาสู่ภายในห้องได้อยู่นะ
เพราะตัวม่านจะสร้าง Static Air ที่เป็นฉนวนกันความร้อนขึ้นระหว่างตัวมันเองกับกระจก และยังช่วยลดการพาความร้อนของกระแสลม ไม่ให้พัดกระจายเข้ามาในห้องได้เหมือนที่อธิบายไปในตอนแรกนั่นเองครับ
ทีนี้เรากลับเข้ามาสู่คำถามสำคัญที่ว่าจำเป็นมั๊ย? อันนี้ต้องแล้วแต่เราเลยครับว่าอยากตกแต่งห้องยังไง และมีงบเพียงพอหรือไม่ เพราะการติดตั้งม่านโปร่งควบคู่กับม่านปกติ แน่นอนว่าเป็นการเสียเงินเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เพื่อแลกกับความสวยงามและทำให้พื้นที่ในบ้านดูอบอุ่นสบายตานั่นเอง
หรือเราอาจเลือกติดตั้งเฉพาะบางห้อง ไม่จำเป็นที่จะต้องติดหมดทั้งหลังก็ได้ เช่น ห้องที่ต้องใช้รับแขก ห้องที่ต้องไว้โชว์ความสวยงาม หรือบริเวณจุดที่โดนแสงแรงๆอย่าง ห้องทางทิศใต้ และห้องทิศตะวันตก เป็นต้น ซึ่งหากเรามีงบมากพอผมก็แนะนำให้จัดได้เลยครับ รับรองว่านอกจากความสวยงามแล้ว เราก็จะได้บ้านที่เย็นสบายมากขึ้นเป็นของแถมแน่นอน
สรุป
- จุดเด่น : กรองแสง พรางสายตา ตกแต่งห้องให้สวยงาม
- ป้องกันแสงและความร้อน : 20 – 30% มีส่วนช่วยกันความร้อนได้บางส่วน มากกว่าจะใช้เพื่อกันแสง
- ราคา : 400 – 1,000 บาท (ขนาด 120 x 130 cm.)
เทียบม่านกัน UV (BLACKOUT / DIMOUT / ม่านม้วน / มู่ลี่ / ม่านโปร่ง) แบบไหนดีกว่ากัน?
..หลังจากที่เราได้ทราบข้อมูลทั้งหมดกันไปแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าม่านแต่ละชนิดมีจุดเด่น และความเหมาะสมในการใช้งานที่แตกต่างกันใช่มั้ยครับ ทั้งนี้ก็คงฟันธงให้ไม่ได้ 100% ว่าแบบไหนดีกว่ากันหรอกนะ เพราะขึ้นอยู่กับความต้องการและการนำไปใช้งานของเราเป็นหลักครับ โดยผมจะขอสรุปอีกครั้งให้ฟังอีกทีดังนี้
- ผ้าม่านกัน UV แบบ DIMOUT : เป็นที่นิยมมากที่สุด เหมาะกับทุกห้องที่ยังคงต้องการให้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาอยู่บ้าง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องทานอาหาร อีกทั้งยังดูแลรักษาง่าย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
- ผ้าม่านกัน UV แบบ BLACKOUT : สามารถกันแสงได้ถึง 100 % เหมาะกับห้องที่ต้องการความมืดสนิทเป็นพิเศษ เช่น ห้องโฮมเทียร์เตอร์ หรือคนที่ต้องการนอนพักผ่อนในช่วงกลางวัน แต่จะต้องมีการดูแลรักษาที่เป็นพิเศษสักหน่อย เพราะมักจะมีการเคลือบด้วยวัสดุหลากหลาย จึงไม่สามารถถอดซักได้ และมีอายุการใช้งานที่น้อยกว่าม่านทั่วไปเล็กน้อย
- ม่านม้วนกัน UV (Roller Blinds) : ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อย และเหมาะกับห้องสไตล์โมเดิร์น มีการดูแลรักษาได้ง่าย และราคาไม่ค่อยแพง
- มู่ลี่ (Blinds) : เป็นม่านชนิดเดียวที่เราสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชัน และปริมาณการรับแสงได้ทุกองศาตามต้องการ อีกทั้งยังมีวัสดุให้เลือกหลากหลายที่สุด จึงสามารถเข้ากับห้องได้ทุกแบบ แต่ในแง่ของการกันแสงและความร้อนอาจทำได้ไม่ดีเท่าม่านปกติ เพราะจะมีแสงเล็ดลอดผ่านมาตามช่องได้ง่าย
- ผ้าม่านโปร่ง (Sheer Curtains) : มักใช้เป็นม่านชั้นที่ 2 เพื่อการตกแต่งให้สวยงาม ช่วยในการกรองแสง พรางสายตาเพิ่มความเป็นส่วนตัว รวมถึงยังมีส่วนช่วยป้องกันความร้อนส่วนหนึ่ง ไม่ให้เข้ามาสู่ภายในห้องโดยตรงได้ด้วยครับ
แชร์ไอเดียเทคนิคเลือกโทนสีผ้าม่านอย่างไร ..ไม่ให้อมความร้อน?
..สีของผ้าม่านก็เป็นหนึ่งอีกปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อความร้อนภายในบ้านครับ ซึ่งผ้าม่านที่มีโทนสีเข้มอย่าง สีดำ สีเทา สีน้ำตาล ล้วนเป็นสีที่สามารถป้องกันแสงได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสีที่ดูดแสงและสะสมความร้อนได้ง่ายด้วยเช่นกัน
ดังนั้นผมจึงแนะนำเป็นผ้าม่านโทนสีน้ำเงิน สีเขียว หรือสีเอิร์ธโทนต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกของการอยู่อาศัยที่เย็นสบายตา และไม่เป็นการสะสมความร้อนของตัวม่านมากเกินไป
ส่วนโทนสีอ่อนๆอย่าง สีขาว สีครีม สีชมพู สีฟ้า จะมีค่าการกระจายแสงค่อนข้างเยอะ จึงเหมาะกับห้องไซส์เล็กที่มีช่องแสงขนาดไม่ใหญ่มาก ซึ่งจะช่วยทำให้ห้องนั้นๆดูกว้างกว้างมากขึ้นได้ครับ แต่ไม่ควรใช้กับช่องแสงใหญ่ๆ เพราะอาจทำให้ห้องยิ่งรู้สึกร้อนจากการกระจายตัวของแสงที่เยอะก็เป็นได้ครับ
..จบไปแล้วนะครับสำหรับบทความเรื่อง “ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ด้วยการเลือกใช้ม่านให้ถูกประเภท” หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และมีส่วนช่วยทำให้บ้านของหลายๆคนเย็นสบายขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ
ซึ่งนอกจากวิธีเหล่านี้แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างเลย ที่จะสามารถช่วยลดความร้อนจากช่องหน้าต่างของเราได้ เช่น การต่อเติมกันสาด การปลูกต้นไม้ริมหน้าต่าง และการติดฟิล์มกรองแสง เป็นต้น
ส่วนถ้าใครสนใจการติดตั้งม่านขั้นต้นแบบ 101 เรายังมีอีกหนึ่งบทความให้อ่านชื่อว่า >> ประหยัดเงินหมื่น เลือกแต่งบ้านด้วยผ้าม่านสำเร็จรูป สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันได้นะครับ ซึ่งในนั้นก็จะมีทั้งวิธีการติดตั้งและราคาบอกเอาไว้อย่างครบถ้วนเลย
แต่หากเพื่อนๆคนไหนมีเทคนิคอะไรดีๆ หรือมีความคิดเห็นอย่างไรก็สามารถแชร์ไอเดียกันได้ที่ comment ด้านล่างนี้ได้เลยครับ ส่วนครั้งหน้าเราจะมีบทความอะไรดีๆมาฝากกันอีก ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc