ใครที่เคยเลี้ยงน้องหมาคงรู้สึกเหมือนกันใช่มั้ยคะว่าพวกเค้าทั้งน่ารัก ขี้อ้อน และยังซื่อสัตย์กับเราแบบสุดๆ อยู่ด้วยแล้วหายเหงาไปเลย จนหลายๆ ครอบครัวบอกว่าน้องหมาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ เค้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเช่นกัน

แม้ว่าหลายๆ คนจะมีความเห็นว่า พวกเค้าชอบเห่า เสียงดัง พังของใช้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าพวกเค้านิสัยไม่ดีหรอกค่ะ ขออธิบายแทนน้องๆ ว่า สุนัขแต่ละสายพันธุ์ก็มีนิสัยส่วนตัว และความต้องการที่แตกต่างกันไป ถ้าเราเข้าใจนิสัยเค้าตั้งแต่ตอนเลือกซื้อ เราก็จะเลือกสายพันธุ์ได้เหมาะกับพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา ความเข้ากันได้นี้เองจะทำให้เจ้าตูบแฮปปี้ ไม่สร้างปัญหา กวนใจ เจ้านายต้องรักต้องหลงอย่างแน่นอน

ลักษณะที่พักอาศัยของคุณควรเลือกน้องหมาสายพันธุ์ไหน?

สิ่งแรกที่คุณต้องดูก่อนนำสุนัขมาเลี้ยงเลยคือ คุณอยู่คอนโดหรือบ้าน? และถ้าเป็นบ้านมีพื้นที่ใช้สอยมากแค่ไหน มีพื้นที่สวนให้น้องวิ่งเล่นหรือไม่? เพราะน้องหมาแต่ละสายพันธุ์เค้ามีนิสัยที่แตกต่างกัน บางสายพันธุ์รักการนอน นิ่งๆ วิ่งไม่เยอะ ก็เหมาะกับการอยู่คอนโด เพราะมีพื้นที่ไม่มาก บางสายพันธุ์ถึงตัวเล็กแต่ไฮเปอร์ ชอบวิ่งเล่นก็เหมาะจะอยู่บ้านมากกว่า หรือบางสายพันธุ์ตัวใหญ่ บ้าพลัง ก็เหมาะจะอยู่บ้านที่มีบริเวณให้เค้าได้วิ่งเล่น ไม่อย่างนั้นน้องหมาจะเครียด และทำนิสัยไม่ดีให้คุณปวดหัวได้

เราแบ่งน้องหมาออกเป็น 3 กลุ่ม โดยใช้เกณฑ์จากลักษณะนิสัย ขนาดตัวของน้องๆ เพื่อหาที่พักอาศัยที่เหมาะกับพวกเขา ดังนี้ค่ะ

  1. น้องหมาสายพันธุ์เล็ก วิ่งเล่นไม่เยอะ ใช้พื้นที่ไม่มาก – อยู่คอนโดได้
  2. น้องหมาสายพันธุ์เล็ก – กลาง ออกกำลังกายบ้าง – เหมาะจะอยู่บ้านที่มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นได้ อยู่ทาวน์โฮม หรือบ้านขนาดเล็กได้
  3. น้องหมาสายพันธุ์กลาง – ใหญ่ ต้องการพื้นที่วิ่งเล่น และเวลาในการออกกำลังกายมาก – เหมาะจะอยู่บ้านใหญ่ ที่มีบริเวณบ้านให้วิ่งเล่น

1. สุนัขที่เลี้ยงในคอนโดได้ ซึ่งคอนโดส่วนใหญ่จะมีข้อกำหนดไว้ว่า อนุญาตให้เลี้ยงน้องหมาที่มีน้ำหนักไม่เกิน 15 kg. มากสุดที่เราเคยเห็นก็คือประมาณ 20 kg. ถึงน้ำหนักจะผ่านเกณฑ์ของคอนโด แต่การเลือกสายพันธุ์จะดูแค่น้ำหนักอย่างเดียวไม่พอนะคะ ต้องดูนิสัยของน้องๆ แต่ละพันธุ์ด้วยว่าเค้าชอบออกกำลังกายขนาดไหน? ดูว่าขนาดห้องของเรากว้างพอให้น้องอยู่ด้วยหรือเปล่า? และไลฟ์สไตล์ของน้องเข้ากับนิสัยเรามั้ยด้วยค่ะ

เราได้เลือกน้องหมา 6 สายพันธุ์ เป็นน้องที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 15 kg. และออกกำลังกายไม่มากนัก เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่เล็กๆ แบบคอนโดมาฝากกัน

  • ชิสุ เป็นพันธุ์ที่เรียกได้ว่ามาพร้อมฟังก์ชัน “เพื่อน” ของเราโดยเฉพาะ น้องไม่มีความดุใดๆ เข้ากันดีกับเด็กๆ ขี้เล่น ติดเจ้าของ มีหน้าตาน่ารัก ขนนุ่ม ยาวสลวย ไม่ได้ชอบออกกำลังกายเยอะ จึงใช้พื้นที่ไม่มาก แต่น้องเหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาดูแลขนให้เยอะหน่อย เพราะถ้าไม่มีเวลาทำความให้ดีแล้ว น้องจะกลายเป็น “หมาหน้าเหม็น” ได้ง่ายมาก
  • ปอมเมอเรเนียน หรือที่ใครๆ ชอบเรียกสั้นๆ ว่าน้องปอม จุดขายคือความน่ารัก ยิ่งสายพันธุ์แท้จะมีตัวเล็ก ขนแน่นฟูจนดูตัวกลม แต่พันธุ์นี้จะมีนิสัยหยิ่งนิดๆ เชิดหน่อยๆ รักที่จะเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคน จึงเห่าเก่ง ถ้าจะเลี้ยงในคอนโดต้องฝึกไม่ให้เห่าพร่ำเพื่อตั้งแต่ยังเล็ก และเค้ายังบอบบางเกินไปที่จะเล่นกับเด็กๆ ที่ออมแรงไม่เป็น รวมถึงหมาใหญ่ด้วยเช่นกัน เพราะปอมนั้นไม่ค่อยรู้ตัวเลยว่าขนาดตัวเองเล็กแค่ไหน
  • ชิวาว่า พันธุ์นี้แหละที่เรารู้สึกว่าเหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดมาก เพราะน้องพันธุ์นี้เค้าชอบอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย เช่น ในกระเป๋า และจะเห็นน้องซุกตัวใต้ผ้าห่มบ่อยๆ เพราะเป็นหมาที่ค่อนข้าง “ขี้หนาว” ด้วย เค้ามีนิสัยที่ค่อนข้างหวงเจ้านาย เหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาพาน้องไปเข้าสังคม เพื่อให้เค้าเข้าสังคมเป็น เพราะน้องอาจจะห้าวไปชวนหมาตัวอื่นทะเลาะด้วย แต่ลืมไปว่าตัวเองตัวเล็ก
  • มอลทีส เป็นอีกพันธุ์หนึ่งที่มีนิสัยคล้ายชิสุ คือเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนของมนุษย์โดยเฉพาะ น้องเค้าชอบอ้อนและให้เจ้าของกอดบ่อยๆ นิสัยขี้เล่น แต่ก็ไม่ได้เล่นเยอะจนเจ้าของเหนื่อย แค่เล่นด้วยวันละหน่อย หรือพาไปเดินเล่นบ้างพลังงานก็หมดแล้ว ภารกิจสำคัญในการดูแลมอลทีสก็คือเรื่องขน ที่ชอบพันกันจนเป็นสังกะตัง จึงต้องการเจ้านายที่มีเวลาแปรงขนให้เค้าได้
  • เฟรนซ์ บลูด็อก ขยับมาดูน้องที่บึกบึนขึ้นมาหน่อย แต่ก็ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงไม่เยอะ เพราะพันธุ์นี้เค้าชอบการนอนเป็นชีวิตจิตใจ และด้วยลักษณะจมูกและปากที่สั้น ทำให้น้องหายใจลำบาก จึงออกกำลังกายหนักๆ นานๆ ไม่ได้ แค่เดินเล่นเหยาะๆ ก็เพียงพอกับเค้าแล้ว จุดที่ต้องระวังคือ น้องค่อนข้างขี้ร้อน บางทีร้อนมากน้องจะหายใจไม่ทัน ต้องคอยเปิดแอร์เปิดพัดลมให้ ใครเคยเลี้ยงจะขำกับใบหน้าที่ดูกวนๆ ตลอด แถมชอบกรน และตดด้วยค่ะ
  • ปั๊ก ต้องบอกก่อนว่าเป็นพันธุ์ที่ไฮเปอร์และขี้เล่นกว่าพันธุ์อื่นที่เราเลือกมาให้อยู่คอนโด จึงเหมาะกับคอนโดที่มีพื้นที่กว้างหน่อย ให้เค้าวิ่งเล่นได้ ถึงจะพลังงานเยอะหน่อย แต่เค้าก็นอนเก่งและมีความขี้เกียจอยู่เหมือนกัน จุดอ่อนของปั๊กคือจมูกที่สั้น จึงต้องระวังในช่วงที่อากาศร้อน น้องจะหายใจไม่สะดวกค่ะ

2. สุนัขที่ต้องใช้พื้นที่ในการเลี้ยงเพิ่มขึ้นมาหน่อย อยู่ในบ้านไม่ใหญ่นักได้ เช่น ทาวน์โฮม หรือบ้านที่ไม่ได้มีพื้นที่นอกบ้านให้วิ่งเล่นได้ เราขอยกตัวอย่างน้องหมา 6 สายพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก-กลาง ที่สามารถเลี้ยงในบ้านได้ ซนขึ้นมาหน่อย เหมาะกับเจ้าของที่มีเวลา พาพวกเขาไปออกกำลังกายได้พอสมควร

  • บีเกิ้ล เป็นน้องที่ซนมากพันธุ์หนึ่ง เพราะเค้ามีทักษะในการดมกลิ่นได้ดีและจมูกไว ทำให้ชอบไปวิ่งไล่จับสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ขุดดินบ้าง หาของบ้าง เวลาฝึกจึงเสียสมาธิได้บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่สุนัขที่ดุร้ายอะไรนะคะ แค่ไม่เชื่องเกินไป ฝึกยากนิดหน่อย เพราะมีสัญชาตญาณนักล่านั่นเอง เหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาพาไปออกกำลังกาย และอยู่บ้านที่มีพื้นที่ให้ได้วิ่งเล่น ถ้าใครรักสวนสวยงามต้องทำใจเลยนะคะว่าสวนอาจจะพังได้
  • คอร์กี้ น้องหมาขาสั้นที่หลายคนมักเรียกน้องว่า ‘เตี้ย’ เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงจะขาสั้นแต่ก็มีความว่องไว และอดทนมาก สามารถเลี้ยงไว้ในบ้านแทนแมวได้ เพราะเค้าจับหนูได้เก่งไม่แพ้กัน^^ เห็นแบบนี้น้องเข้ากับเด็กๆ ได้นะคะ สิ่งหนึ่งที่เจ้าของต้องใส่ใจคือการแปรงขนที่ต้องทำเป็นประจำและให้น้องได้ออกกำลังกายทุกวัน อ้อ! น้องมีเสียงเห่าที่ดังมาก เหมือนหมาใหญ่เลยทีเดียว
  • บลูด็อก หรือ อิงลิช บลูด็อก น้องมีนิสัยค่อนข้างจะติดสบาย หรือเรียกว่าขี้เกียจก็ได้ ทำให้เค้าไม่ได้ต้องการออกกำลังกายเยอะ แต่ก็ต้องชวนเค้าเล่นและพาออกไปเดินบ้าง เพื่อไม่ให้ “น้องอ้วน” และต้องดูแลไม่ให้เค้าอยู่ในที่อากาศร้อนเกินไป เพราะจมูกสั้นๆ ทำให้หายใจไม่สะดวก เหมาะกับเจ้าของที่มีเวลา ทำความสะอาดผิวย่นๆ ให้ทุกวันและช่วยเช็ดหน้า เช็ดน้ำลายหลังทานน้ำ ทานอาหารทุกมื้อ ถึงจะดูแลยากหน่อยแต่น้องก็มีหน้าตาตลกๆ และมีท่าทางที่ทำให้ขำได้ตลอด
  • แจ็ค รัสเซล น้องหมาตัวเล็กๆ ขาสั้น แต่พลังงานของเค้าช่างเหลือล้น จนเรียกได้ว่าเป็นหมาไฮเปอร์พันธุ์หนึ่ง พวกเขามีความขี้เล่น กระโดดได้สูงจนหลายคนบอกว่าซนเหมือนลิง น้องแจ็คมีทั้งพันธุ์ที่ขนสั้นและขนยาว แต่ที่คนไทยนิยมเลี้ยงมักจะเป็นพันธุ์ขนสั้น เหมาะกับเจ้าของที่มีเวลาพาเค้าไปปลดปล่อยพลังงาน และมีบ้านที่รั้วรอบขอบชิด เพราะน้องอาจจะกระโดดออกนอกรั้วบ้านได้เลยค่ะ
  • เชา เชา ดูเผินๆ เหมือนปอมเมอเรเนียนที่โดนขยายขนาดขึ้นมา เป็นสุนัขที่สง่างาม และเรียบร้อย เค้าไม่ใช่สายพันธุ์ที่มีพลังงานเยอะ แค่พาเดินเล่นเช้า – เย็นก็เพียงพอแล้ว แต่ด้วยขนฟูและหนา น้องจึงต้องการเจ้าของที่มีเวลาช่วยดูแลแปรงขนให้ทุกวัน
  • พุดเดิ้ล น้องหมาหน้าแบ๊วที่แยกออกเป็น 3 ขนาด เล็กสุดคือ “ทอย พุดเดิ้ล” พุดเดิ้ลจิ๋ว มีความฉลาดและความดื้ออยู่ในตัวเดียว ถ้าฝึกฝนไม่ดีจะกลายเป็นหมาเอาแต่ใจ ไม่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็ก เพราะถ้าเล่นไม่ระวัง น้องจะบาดเจ็บได้ง่ายๆ ขยับขึ้นมาที่ขนาดกลางเรียกว่า “มิเนเจอร์ พุดเดิ้ล” ไซส์นี้มักถูกชมเชยอยู่เสมอว่า สุขุมที่สุดในบรรดา 3 ไซส์ และที่ใหญ่สุดคือ ” สแตนดาร์ด พุดเดิ้ล” เป็นขนาดที่ต้องการการออกกำลังกายมากกว่าไซส์เล็ก เจ้าของจึงต้องมีเวลาพาไปวิ่งเล่น เพราะน้องก็มีความซนตามสัญชาตญาณหมานักล่าเช่นกันค่ะ

3. สุนัขที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่ มีพื้นที่สวนให้วิ่งเล่นได้ สำหรับใครที่อยากเลี้ยงสุนัขขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ อยากให้ดูความเหมาะสมของเรื่องพื้นที่ใช้สอยในบ้านด้วยนะคะ เพราะน้องหมาขนาดใหญ่ก็ต้องการพื้นที่มากขึ้น และน้องหมาขนาดใหญ่ ก็มักต้องการพื้นที่ให้วิ่งเล่น ออกกำลังกาย เพราะพวกเขามีพลังงานที่เยอะทีเดียวค่ะ เรารวบรวม 6 สายพันธุ์น้องหมาสายพันธุ์ใหญ่มาฝากกัน ดังนี้ค่ะ

  • บางแก้ว เป็นสายพันธุ์ยอดนิยมที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความดุมากกกกกกก คนส่วนใหญ่จึงนิยมเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าสวน น้องเป็นพันธุ์ที่ดุ ฉลาดและไอคิวสูง ใครคิดจะเลี้ยงน้องจึงต้องมีเวลาให้ความรัก ความใกล้ชิด และการฝึกฝนค่อนข้างมาก น้องจะรักและหวงเจ้าของมาก แต่กับคนอื่นจะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ จึงไม่เหมาะกับผู้เลี้ยงมือใหม่นะคะ
  • ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นสายพันธุ์ที่ฉลาด แสนรู้ สุภาพ และอ่อนโยน ใครเคยได้เล่นด้วยจะรู้ว่าน้องมีชีวิตชีวามาก เวลาเล่นก็สุดพลัง เวลานอนก็เต็มที่เช่นกัน แถมยังดูแลง่าย ขนสั้น แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าน้องเค้าเล่นสุดพลัง จึงต้องมีเวลา มีพื้นที่ให้เค้าได้วิ่งเล่น และถ้าคุณเคยลองวิ่งแข่งกับเค้าจะรู้ว่าไม่มีทางตามทันแน่ๆ
  • โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ อีกหนึ่งพันธุ์ยอดฮิตในประเทศไทยที่มีหน้าตาใจดี น่ารัก และยังสง่างาม ซึ่งนิสัยของเค้าก็เป็นมิตรตามหน้าตานั่นแหละค่ะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครๆ ก็ต่างพากันเลี้ยงเจ้าโกลเด้น ซึ่งน้องจะมีพลังงานสูงมากจึงต้องได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเดินเล่น และควรมีกิจกรรมต่างๆ ให้เค้าได้ปลดปล่อยพลังงาน ไม่อย่างนั้นอาจสร้างปัญหาให้เจ้านายปวดหัวได้ และด้วยขนที่ยาว เค้าจึงต้องการทำความอาด แปรงขนและอาบน้ำเป็นประจำ
  • ไทยหลังอาน เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ไม่เหมาะกับมือใหม่หัดเลี้ยง เพราะน้องต้องการความใกล้ชิดเจ้าของและต้องได้รับการฝึกค่อนข้างมาก น้องมีนิสัยรักความท้าทาย เพราะเค้าขี้เบื่อจึงไม่เหมาะกับการฝึกอะไรซ้ำซาก ต้องคอยหาอะไรใหม่ๆ มาเรียนรู้เสมอ นอกจากหน้าตาที่ดุแล้ว ถ้าไม่ได้รับความรักที่เพียงพอก็จะทำให้น้องกลายเป็นหมาดุไปเลย ใครคิดจะเลี้ยงต้องมีบ้านที่รั้วรอบขอบชิด เพราะน้องกระโดดเก่ง อาจจะหนีออกไปเที่ยวเล่นได้
  • ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสายพันธุ์ที่ถูกผสมขึ้นมาเพื่อลากเลื่อน จึงเป็นน้องหมาที่ชอบวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ควรอยู่ในบ้านที่มีพื้นที่ให้วิ่ง และมีรั้วรอบขอบชิด เพราะน้องมีความรักอิสระ อารมณ์ศิลปิน ชอบเร่ร่อนไปทั่ว เหมือนคนมีโลกส่วนตัวสูง พูดไม่เก่ง จึงเห่าน้อยมาก เงียบๆ จนดูเหมือนขี้อาย หรือบางครั้งก็แสดงออกอะไรที่ดูไม่มีเหตุผล หลายคนที่เคยเลี้ยงบอกว่าน้องเพี้ยน แต่น้องคงอยากบอกว่า ไม่ใช่ เค้าเป็น “หมาคูลๆ” ต่างหาก^^
  • อลาสกัน มาลามิ้วท์ จะเรียกน้องหมาก็รู้สึกไม่เข้ากับขนาดตัว เพราะถ้าเค้ายืนสองขาขึ้นมานี่ตัวใหญ่กว่าคุณผู้หญิงซะอีกนะ สายพันธุ์นี้เหมือนไซบีเรียน ฮัสกี้ ขยายใหญ่ ไม่ใช่เหมือนแค่ภายนอก เจ้านี่ยังโลกส่วนตัวสูงเหมือนกันด้วย จึงเหมาะอยู่ในบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด พันธุ์นี้ชอบออกกำลังกายแนววิ่ง ปีนป่าย ถึงจะตัวใหญ่แต่เค้าเป็นมิตรกับคนเกินกว่าจะปกป้อง อารักขาใครได้ สามารถเข้ากับคนได้ดี ใจเย็น ไม่ขี้โวยวาย แต่ด้วยขนที่ทั้งเยอะและหนา ทำให้เค้าทนร้อนไม่เก่ง ใครคิดจะเลี้ยงต้องมีความพร้อมมากๆ เลย สำหรับเจ้าตัวนี้

การเตรียมบ้านเพื่อเตรียมตัวเลี้ยงน้องหมา

การเลี้ยงน้องหมาสักตัวหนึ่งก็เหมือนการเลี้ยงเด็ก ตรงที่เค้าก็ต้องมี “พื้นที่ที่เป็นส่วนตัว” เช่นกัน ซึ่งพื้นที่ส่วนตัวที่น้องหมาต้องการมีหลักๆ 3 พื้นที่ ได้แก่

  1. ที่นอนสุนัข
  2. พื้นที่ขับถ่าย
  3. พื้นที่วางชามอาหาร

ซึ่งเราควรจัดพื้นที่เหมาะสมให้เค้าและก็ไม่ควรไปย้ายที่บ่อยๆ เพื่อกันไม่ให้น้องสับสน ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เราควรเตรียมให้พร้อมก่อนจะนำสุนัขเข้ามาเลี้ยงในบ้านค่ะ

1. ที่นอนสุนัข การฝึกให้น้องหมานอนในที่นอนของตนเองตั้งแต่ยังเล็กๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขนอนบนเตียง ชุดรับแขกของผู้เลี้ยง หรือที่อื่นที่ไม่เหมาะสมได้

  • ตำแหน่ง เราควรเลือกตำแหน่งที่นอนให้น้องหมาเลยว่า จะอยู่มุมไหนของบ้าน ซึ่งต้องมองไกลไปจนถึงว่าเมื่อเค้าโตแล้วจะมีขนาดเท่าไหร่ เช่น น้องหมาพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ตอนโตจะมีส่วนสูงประมาณ 24 นิ้ว ลำตัวยาวประมาณ 26 นิ้ว ก็ควรเลือกพื้นที่ที่กว้างขวางพอให้น้องได้นอนเหยียดตัวได้เต็มพื้นที่

ส่วนเรื่องจะวางที่นอนไว้ตรงไหนนั้น ก็ควรวางในตำแหน่งที่โปร่ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อน ไม่เปียกชื้น ทำความสะอาดได้ง่าย และที่เราสังเกตมาคือ ถ้าเป็นตำแหน่งที่เค้าสามารถมองเห็นเจ้าของได้ เค้าจะมีความสุขมาก

  • วัสดุ แนะนำว่าอาจจะเลือกซื้อที่นอนเมื่อลูกสุนัขโตจนพ้นวัยที่ฟันกำลังขึ้น ระหว่างที่น้องยังเด็กยังชอบแทะอยู่นั้น ให้ใช้กล่องกระดาษหนาๆ หรือเบาะ ที่นอนเก่าที่ไม่ใช้แล้วให้ลูกสุนัขนอนไปก่อน ควรเลือกที่นอนที่ทำความสะอาดได้ง่าย ถ้าเป็นผ้าก็ควรเลือกแบบที่ถอดปลอกคลุมมาซักได้ เพราะ เจ้าพวกหมัดและเห็บที่เกาะตามผิวสุนัขก็ชอบวางไข่บนที่นอนนี่แหละค่ะ การซักและนำที่นอนออกมาตากแดดเป็นประจำ จะช่วยลดปัญหาเห็บหมัดไปได้เหมือนกัน

2. พื้นที่ขับถ่าย การฝึกน้องหมาให้ขับถ่ายในพื้นที่ที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระของคนเลี้ยงไปได้มาก ซึ่งควรฝึกตั้งแต่ยังเล็ก และควรแยกพื้นที่นอนกับพื้นที่ขับถ่ายออกจากกันอย่างชัดเจนด้วยการใช้วัสดุปูพื้นแตกต่างกัน น้องหมาจะได้จำกลิ่นและแยกได้ง่าย

  • ตำแหน่ง แนะนำให้หามุมสงบๆ ให้พวกเขาสักบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท แสงแดดส่องถึง ทำความสะอาดง่าย ถ้าอยู่บ้านก็คงหาพื้นที่แบบนี้ให้น้องได้ไม่ยากนัก แต่ถ้าอยู่ในคอนโดก็อาจจะแบ่งพื้นที่ส่วนแห้งในห้องน้ำให้ ก็ทำความสะอาดง่ายดี
  • วัสดุ ปัจจุบันมีให้เลือกหลายรูปแบบมากเลย ที่เราชอบเลยคือ ห้องน้ำสุนัข เป็นถาดที่ทำเสา ทำกำแพง จำลองไว้ ให้น้องได้ขับถ่ายอย่างสบายใจ นอกจากนี้ก็มีวัสดุอื่นๆ ให้เลือกหลากหลาย เช่น ถาดหญ้าเทียม, แผ่นรองฉี่สุนัขแบบซักได้, แผ่นรองกันเปื้อนแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เป็นต้น

3. พื้นที่ทานอาหาร น้องหมาแต่ละตัวควรมีภาชนะสำหรับใส่อาหารของตนเอง และควรให้อาหารในบริเวณเดิมๆ ค่ะ

  • ตำแหน่ง พื้นที่เหมาะสมจะวางชามอาหารและน้ำ ควรเป็นพื้นที่ที่ทำความสะอาดได้ง่าย แนะนำให้เลือกบริเวณที่เป็นพื้นกระเบื้อง ไม่ใช่พื้นไม้หรือลามิเนต เพราะเวลาน้องๆ ทานอาหารมักจะมีอาหารหกอยู่เป็นประจำ จะทำให้พื้นบ้านเสียหายได้ และควรวางจานอาหารในที่เดิมเป็นประจำทุกครั้ง ไม่ควรย้ายไปมาเช่นกัน
  • วัสดุชามอาหาร ควรเลือกวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย ทนทาน มีลักษณะเป็นชามสูงขึ้นจากพื้น ไม่ควรเป็นจานแบน เนื่องจากไม่เหมาะกับพฤติกรรมการกินอาหารของสุนัข แนะนำให้เลือกชามสเตนเลสที่มีแผ่นยางรองป้องกันการลื่นไถล ถือเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารที่ดี

หากเป็นชามเซรามิกจะช่วยเรื่องกลิ่นอาหารให้น่าทานมากขึ้น แต่ก็จะแตกร้าวง่าย ซึ่งควรเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากบริเวณที่บิ่นหรือแตกร้าวนี้อาจเป็นที่สะสมหรือเพาะพันธุ์แบคทีเรียได้ นอกจากนี้ควรเลือกภาชนะให้มีขนาดพอเหมาะกับสุนัข ที่สำคัญต้องดูแลความสะอาดอยู่เสมอ

การจัดบ้านและเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการเลี้ยงน้องหมา

  • สิ่งแรกที่เราควรคำนึงถึงในการจัดบ้านคือ “ความปลอดภัยของน้องหมา” โดยเริ่มจากการเก็บของในบ้านให้เรียบร้อย ไม่ให้มีของตกที่พื้น ซึ่งน้องหมาจะชอบเอาไปกัดเล่น บางทีกลืนลงคอไปแล้วย่อยไม่ได้ ก็ทำให้น้องปวดท้องได้เช่นกัน

การเลือกใช้ตู้ต่างๆ ก็ให้เลือกเป็นตู้บานปิด ที่จะช่วยให้ข้าวของปลอดภัย โดยเฉพาะใน “ห้องครัว” จะมีพวกของมีคม เช่น มีด ก็ควรเก็บในตู้ให้เรียบร้อย ไม่ควรแขวนหรือวางไว้ ในส่วนของ “ห้องน้ำ” น้องหมาก็จะชอบหลบเข้าไปนอนบ่อยๆ เพราะพื้นมันเย็น เราก็ควรเก็บกระดาษทิชชู่ให้พ้นมือหมา โดยเก็บไว้ในกล่องที่มีฝาปิด เป็นต้น

นอกจากนี้ยังต้องป้องกันจุดที่เป็นอันตราย เช่น ปลั๊กไฟก็ต้องมีจุกปิดปลั๊กให้เรียบร้อย สายไฟ ปลั๊กพ่วงก็ต้องเก็บขึ้นที่สูงหรือเดินสายให้เรียบไปกับผนัง บริเวณหลังตู้เย็นอย่าให้เกิดซอกให้เค้ามุดเข้าไปเล่นได้ค่ะ

อีกอย่างคือเรื่องของต้นไม้..ต้นไม้บางชนิดก็เป็นอันตรายกับน้องหมาด้วยเช่นกัน เพราะต้นไม้บางพรรณจะมีสารพิษหรือมีหนามแหลม เช่น ต้นไม้ตระกูลเฟิร์น, ลิลลี่, ว่านหางจระเข้, ปรง, กระบองเพชร เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเช็ครายชื่อของพรรณไม้ที่เป็นอันตรายกับน้องหมาได้ที่ลิงค์ Toxic and Non-Toxic Plant List – Dogs นี้เลยค่ะ

  • การเลือก “โซฟา” ที่เหมาะกับน้องหมา เพราะน้องหมาส่วนใหญ่จะชอบนั่งและนอนบนเฟอร์นิเจอร์ร่วมกับเรา ดังนั้นเราควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ทำความสะอาดง่าย และทนทาน สำหรับโซฟาแนะนำให้ใช้เป็นโซฟาไม้จะทำความสะอาดง่ายและทนทานที่สุด แต่ถ้าบ้านใครยังต้องการสัมผัสที่นุ่มก็เลือกเป็นโซฟาหนังแท้ เพราะสามารถใช้ลูกกลิ้งเก็บขนสัตว์ออกได้ง่าย และยังทนทานต่อเล็บของสัตว์เลี้ยง ไม่ขาดง่าย แต่ก็อาจจะทิ้งรอยไว้บ้าง

ถ้าที่บ้านใช้โซฟาผ้าและยังไม่อยากเปลี่ยนก็สามารถซื้อผ้าคลุมโซฟามาคลุมทับได้ จะได้ถอดไปซักได้บ่อยๆ เทคนิคในการเลือกสีเฟอร์นิเจอร์ก็เลือกให้คล้ายกับสีขนของสัตว์เลี้ยง จะได้ดูกลมกลืนไป ดูไม่สกปรกมากนักค่ะ

  • การเลือก “พื้นบ้าน” นอกจากจะต้องคำนึงถึงความทนทานและทำความสะอาดง่ายแล้ว ยังต้องคำนึงว่าเหมาะสมกับการวิ่งเล่นของน้องหมาหรือไม่ โดยเฉพาะบ้านใครที่ปูด้วย “พื้นกระเบื้องผิวมันจะมีความลื่น จึงไม่เหมาะกับการเดิน วิ่ง ของน้องหมา” และทำให้น้องหมาที่เดินพื้นกระเบื้องนานๆ เป็นโรคข้อสะโพกเสื่อมได้ จึงควรหา “พรม” หรือบางร้านก็เรียกว่า “แผ่นรองของน้องหมา” มาปูให้พวกเขา

ซึ่งพรมนี้ช่วยถนอมเท้าให้กับน้องหมาได้ แต่ลำบากคนเลี้ยงน่าดูเหมือนกัน เพราะต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นจะเกิดกลิ่นเหม็น และยังเป็นวัสดุที่เก็บแบคทีเรีย เห็บ หมัด ได้ดีอีกด้วย แนะนำให้เลือกใช้พรมที่ราคาไม่แพงนัก เผื่อเปลี่ยนได้บ่อยๆ ค่ะ

สำหรับ “พื้นไม้” ก็เป็นอีกวัสดุที่ใช้ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงพวกพื้นไม้ลามิเนตหรือแผ่นไม้เนื้ออ่อน เพราะจะทำให้เป็นรอยขีดข่วนจากเล็บของพวกเขาได้ง่าย ควรเลือกเป็นพื้นไม้เนื้อแข็งจะทนทานกว่าค่ะ

  • การ “กำหนดพื้นที่หวงห้าม สำหรับบ้านที่มีของสะสม” หรือของตกแต่งบ้านที่ตกแตกง่าย แน่นอนว่าช่วงแรกๆ เจ้าตูบเค้าไม่รู้หรอกค่ะว่าของชิ้นไหนเราหวง เราจึงมีหน้าที่เก็บให้พ้นมือหมา จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกับหมาทีหลัง^^ ถ้าเป็นกรอบรูป ก็ใช้วิธีแขวนติดผนังไว้ให้สูงพอที่เขาจะกระโดดไม่ถึง ถ้าเป็นของโชว์เล็กๆ น้อยๆ ก็ควรเก็บไว้ในตู้ ที่มีหน้าบานปิด หรือถ้าของเยอะเราก็จัดห้องเก็บของสักห้องหนึ่ง และฝึกให้เค้ารู้ว่าเราไม่อนุญาตให้เข้าไปในห้องนั้นก็ได้นะคะ

..ความตั้งใจของเราในการเขียนบทความนี้ เพื่ออยากให้การเลี้ยงน้องหมาเป็นการเติมความสุขให้กับครอบครัว เป็นเหมือนของขวัญ สร้างรอยยิ้มไม่ได้สร้างปัญหา หวังว่าบทความนี้จะช่วยทุกท่านได้เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะกับพื้นที่ใช้สอยในบ้านของตนเอง เหมาะกับเวลาที่เราสามารถใช้ดูแลพวกเขาได้ และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้เลี้ยง จะทำให้เราและน้องเค้าแฮปปี้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายค่ะ

หากใครมีข้อมูล หรืออยากแชร์ประสบการณ์ในการเลี้ยงน้องๆ สี่ขาเหล่านี้ ทาง Think of living ยินดี เป็นสื่อกลางให้เข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้กันได้นะคะ


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving