กลับมาอีกครั้งนะครับกับซีรีย์บทความคอนโดใกล้มหาลัย โดยครั้งก่อนผมได้พาเพื่อนๆไปดูคอนโดแถว ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กันมาแล้ว (สนใจอ่านบทความคลิก) และในตอนที่ 2 นี้ก็จะต่อเนื่องจากครั้งก่อนเลยครับ คือเราจะพาไปดูคอนโดแถว ม.กรุงเทพ รังสิต กันบ้าง ซึ่งต้องขอบอกว่าน่าตกใจทีเดียวสำหรับ Product คอนโดของ 2 ทำเล ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นโซนที่อยู่ใกล้ๆกันก็ตาม
และอย่างที่รู้กันผมได้อธิบายไปในตอนที่แล้วว่า คอนโดมิเนียม… ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยเฉพาะแต่ครอบครัวหรือคนวัยทำงานเท่านั้น สมัยนี้มีเด็กนักศึกษาหลากหลายคนเลือกที่จะเช่าคอนโดใกล้มหาลัย แทนที่จะอยู่หอพักแบบเดิมๆ เพราะเรื่องของความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่โครงการประเภทนี้มีให้นั้นแตกต่างจากหอพักนักศึกษาทั่วไป เพียงแต่อาจจะต้องแลกมากับค่าเช่าที่สูงขึ้นมาสักหน่อย ซึ่งหลายคนก็ยังมองว่าคุ้มอยู่ แล้วก็ไม่ใช่แค่กลุ่มนักศึกษายุคใหม่เท่านั้นที่เล็งเห็นถึงจุดนี้ ทั้งนักลงทุนหรือแม้แต่พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็เริ่มมองเห็นข้อได้เปรียบต่างๆ เหล่านี้เช่นกันครับ
ก่อนจะไปดูคอนโดเราลองมาทำความรู้จักกับมหาลัยกรุงเทพกันสักหน่อยนะครับ โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ศูนย์หลักๆนะ ที่แรกคือ City Campus ที่อยู่ตรงพระราม 4 (กล้วยน้ำไท) ซึ่งศูนย์นั้นจะเป็นที่เรียนของภาคอินเตอร์ซะเป็นส่วนใหญ่ มีเนื้อที่เพียง 26-3-86 ไร่เท่านั้น ส่วนอีกศูนย์หนึ่งคือ Mail Campus ตามชื่อเลยคือเป็นศูนย์หลักนั่นเองครับ ตั้งอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งก็คือที่ที่ผมจะพาเพื่อนๆไปดูกันนั่นเอง
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีจำนวนนักศึกษามากกว่า 30,000 คน และมีขนาดที่ดิน 441-1-67 ไร่ มีอาคารทั้งหมด 47 หลัง พื้นที่ใช้สอยรวม 150,625 ตารางเมตร ประกอบด้วย อาคารเรียน 11 อาคาร อาคารปฏิบัติการ 6 อาคาร โรงอาหาร 4 อาคาร และอาคารอื่นๆ 26 อาคาร ซึ่งลักษณะของมหาลัยจะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวยาวลึกเข้าไปด้านใน และมีทางเข้า-ออก 2 ทาง ซึ่งจะอยู่ด้านหน้าติดกับถนนพหลโยธิน
โดยบริเวณด้านหน้าที่เป็นตึกเพชรจะเป็นอาคารศูนย์ประชุมครับ และข้างๆกันจะเป็น Imagine Village ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ของมหาลัย มีร้านค้าร้านอาหารเยอะแยะเลย ทั้ง Starbuck, Amazon, 7-11, Watson เป็นต้น ถัดเข้ามาด้านในก็จะเป็นอาคารเรียนต่างๆครับ และจะมีโรงอาหารกลางอยู่ตรงกลางมหาลัยเลย ซึ่งตึกคณะที่เด่นๆก็จะประกอบด้วยตึกวิศวะ (เบอร์ 22) ซึ่งจะมีโรงอาหารเป็นของตัวเองด้วย และถัดเข้ามาด้านในอีกก็จะมีตึกคณะนิเทศ (เบอร์ 32) ซึ่งก็จะมีทั้งโรงอาหารและโรงละครเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน ส่วนด้านหลังสุดของมหาลัยก็จะเป็นพวกสนามกีฬาต่างๆและลานจอดรถขนาดใหญ่ครับ
มีภาพบรรยากาศภายในมหาลัยมาให้ชมกันด้วยครับ ซึ่งต้องขอบอกว่าเป็นมหาลัยที่มีบรรยากาศร่มรื่นมากครับ ทางเดินกว้างและมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมคอยให้ร่มเงา น้องๆนักศึกษาก็สามารถมานั่งติวหนังสือใต้ต้นไม้หรือริมสระน้ำกันได้ ซึ่งอาคารเรียนต่างๆ ก็จะสร้างอยู่ในสวนหรือริมสระน้ำเหล่านี้ เหมือนเป็นมหาลัยที่อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่เลยทีเดียว โดยการเดินทางภายในมหาลัยก็จะมีรถรางฟรี ที่จะวิ่งวนรอบมหาลัยไปตามคณะและอาคารต่างๆ เพราะตัวมหาลัยเองค่อนข้างลึกมากครับ จากถนนใหญ่ด้านหน้าไปจนถึงคณะสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังมีระยะทางกว่า 1.5 km. เลยทีเดียว แต่ก็มีน้องๆนักศึกษาบางคนเลือกที่จะปั่นจักรยานกันด้วยนะครับ เพราะบรรยากาศร่มรื่นสามารถปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายได้ เพียงแต่ว่ามหาลัยนี้จะไม่มีเลนปั่นจักรยานรอบมหาลัยให้เหมือนกันของธรรมศาสตร์ที่เราเคยไปดูกันนะครับ
(เกร็ดน่ารู้ : มหาวิทยาลัย Indonesia ประกาศผลการจัดอันดับ UI Green Metric ประจำปี 2556 โดยให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับที่ 77 ของโลกจากมหาวิทยาลัยจากทั่วโลกที่เข้าร่วม 301 มหาวิทยาลัย และเป็นอันดับ 9 ของประเทศไทยจากมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วม 14 มหาวิทยาลัย)
คราวนี้เรามาดูแผนที่โดยรอบของมหาลัยกันบ้างนะ ซึ่งการใช้ชีวิตของนักศึกษามหาลัยนี้จะอิงไปทางห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และเมเจอร์ เป็นส่วนใหญ่ โดยหากใครขับรถนั้นก็จะต้องไปกลับรถบริเวณถนนเชียงรากมาก่อนนะครับถึงจะมาที่ตัวห้างได้ ส่วนขากลับก็ไม่ยากครับเพราะบริเวณหน้าฟิวเจอร์จะมีสะพานกลับรถให้ย้อนกลับมาได้เลย แต่ถ้าสะดวกที่จะนั่งรถสาธารณะก็สามารถข้ามสะพานลอยมาเพื่อนั่งรถเมล์หรือรถตู้ก็จะง่ายกว่ามากครับ ส่วนหากต้องการจะเข้าเมืองนั้นก็จะมีทางด่วนให้ใช้ 2 จุดนะ จุดแรกคือทางด่วนอุดรรัถยา ซึ่งจะต้องไปขึ้นที่ถนนเชียงราก ข้างๆม.ธรรมศาสตร์ ส่วนอีกจุดหนึ่งคือขับเลยฟิวเจอร์พาร์คลงมาด้านล่างเรื่อยๆ ก็จะสามารถขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข หรือดอนเมืองโทลล์เวย์ เพื่อเข้าเมืองไปทางดินแดงได้เช่นกันครับ
จากแผนที่ก่อนหน้านี้ ตำแหน่งของคอนโดมิเนียมซึ่งผมได้ทำเป็นสีเหลืองแยกจากความอุดมสมบูรณ์โดยรอบเอาไว้ให้นั้น จะเห็นว่ามีอยู่ประมาณ 5 โครงการครับ โดยผมจะแบ่งออกเป็น 3 โซนง่ายๆ ตามลักษณะความยากง่ายของการเดินทางมายังมหาลัย และตามถิ่นพักอาศัยดั้งเดิมของนักศึกษานะครับ คือ
- โซนที่ 1 สีน้ำเงิน คือ ซอยรังสิตภิรมย์ และ Golf City
- โซนที่ 2 สีเขียว คือ ฝั่งตรงข้ามมหาลัย ซึ่งเป็นชุมชนชาวมุสลิม
- โซนที่ 3 สีชมพู คือ โซน Plum Comdo
ด้านหน้าของมหาลัยจะมีสะพานลอยอยู่ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับน้องๆนักศึกษาให้สามารถข้ามถนนกันได้สะดวกและปลอดภัย โดยภาพแรกนี้เป็นฝั่งที่หันไปทางถนนเชียงราก ซึ่งทางด้านซ้ายมือจะเป็นมหาลัยกรุงเทพ มีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหน้า ถัดไปในฝั่งเดียวกันก็จะเป็นซอยรังสิตภิรมย์และ Golf City ตามลำดับ ส่วนถ้าเราหันมามองทางขวามือ บริเวณตีนสะพานลอยที่มีรถแท็กซี่มาจอดเยอะๆ จะเป็นป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง และมีวินรถตู้อยู่ด้วยครับ ซึ่งน้องๆสามารถนั่งรถตู้เหล่านี้เพื่อเข้าเมืองไปฟิวเจอร์หรืออนุสาวรีย์ฯ ก็ได้นะ
โซนแรกที่เราจะพูดถึงคือ โซนสีน้ำเงิน ซึ่งยังเป็นทำเลที่น้องๆนักศึกษาสามารถเดินมาเรียนได้สะดวก หรือถ้าใครขับรถก็จะต้องไปกลับรถบริเวณเชียงรากก่อนนะ แล้วจึงค่อยขึ้นสะพานเกือกม้าที่อยู่บริเวณถัดจากตัวมหาลัยไปหน่อยนึงก็จะมาลงบริเวณหน้ามหาลัยได้พอดี ถือว่าเดินทางได้ไม่ลำบากเลยครับ
โดยโซนนี้จะประกอบไปด้วยซอยรังสิตภิรมย์ ซึ่งเป็นแหล่งพักอาศัยหลักของนักศึกษามหาลัยนี้ที่มีมานาน เรียกได้ว่าอยู่ติดกับรั้วมหาลัยเลยทีเดียว ถัดมาคือคอนโดใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างคือ Kave Town ซึ่งจะมีอยู่ 2 โครงการด้วยกัน ประกอบด้วย Kave Town Space และ Kave Town Shift สุดท้ายคือ Golf City ซึ่งก็จะมีนักศึกษาบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกันครับ
มาเดินไปดูของจริงแต่ละโซนพร้อมๆกันครับ เริ่มต้นที่บริเวณหน้ามหาลัย เดินไปทางขวาถัดจาก Imagine Village หรือคอมมูนิตี้มอลล์ของมหาลัยมาหน่อย ก็จะเจอกับซอยรังสิตภิรมย์ซึ่งจะมีเซเว่นและ Lotus Express ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า นอกจากนี้หน้าปากซอยยังมีพี่แท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสารทั้งวันทั้งคืนอยู่ริมถนนใหญ่ และมีวินมอไซค์อยู่หน้าปากซอยอีกด้วย แค่ตรงปากซอยก็อุดมสมบูรณ์กินขาดเลยครับ ต่อไปเราลองไปดูในซอยกันบ้าง
บรรยากาศภายในซอยก็จะมีทั้งตึก 8 ชั้นที่เป็นหอพัก และมีตึกแถวที่เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีมานาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการแบ่งห้องด้านบนเพื่อให้นักศึกษาเช่าอาศัยกันครับ ราคาค่าเช่าก็จะตามสภาพนะ อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 7,000 บาท แต่ทีเด็ดคือที่ด้านล่างของตึกแถว ตลอด 2 ข้างทางจะมีร้านค้าร้านอาหารเต็มไปหมดเลย ตอนเย็นๆและกลางคืนจะคึกคักมากครับ โดยข้อจำกัดของการอยู่ในซอยนี้คือ ถ้าไม่ใช่หอพักใหม่ๆใหญ่ๆ ก็จะไม่มีที่จอดรถให้นะครับ ถ้าคนที่อยู่ต้นๆซอยก็จะยังสามารถเดินไปมหาลัยได้อยู่นะ แต่ถ้าคนที่อยู่ในซอยลึกๆก็อาจจะต้องพึ่งพี่วินเอาเด้อ
ถัดจากซอยรังสิตภิรมย์ เลยปั้มน้ำมันบางจากมาหน่อยก็จะเจอกับทางเข้าโครงการ Kave Town ซึ่งบริเวณด้านหน้าทางเข้าจะมี McDonald’s Drive-Thru อยู่ด้วยครับ
ซึ่งก่อนเราจะเข้าไปดูตัวโครงการนั้น ผมจะขอพูดถึง McDonald’s นี้กันสักหน่อยนะ โดย McDonald’s นี้จะเปิด 24 ชม. ซึ่งก็เหมาะกับน้องๆนักศึกษาที่สามารถมานั่งทำงานติวหนังสือกันได้ เพราะด้านในก็มีที่นั่งอยู่ค่อนข้างเยอะเลยครับ โดยร้านนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย หอพัก หรือคอนโด Kave Town ซึ่งน้องๆสามารถเดินมาใช้บริการกันได้ง่ายๆ หรือถ้าใครจะขับรถมาก็มีที่จอดให้นะครับ สามารถจอดได้ฟรี 2 ชม. และชม.ต่อไปจะคิด 50 บาท/ชม.
คราวนี้เรามาดูคอนโดมิเนียมโครงการแรกกันเลยครับ ซึ่งต้องเกริ่นก่อนว่าโครงการ Kave Condo จาก AssetWise ก่อนหน้านี้ (ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาลัย) ค่อนข้างประสบความสำเร็จ และได้ผลตอบรับที่ดีเกินคาดเลยทีเดียว จึงทำให้เกิดโครงการ Kave Town แห่งนี้เป็นโครงการต่อมา เป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม 8 ชั้น ที่แบ่งพื้นที่การพัฒนาออกเป็น 2 เฟสคือ Kave Town Space และ Kave Town Shift โดยทั้ง 2 โครงการจะมีลักษณะการวางผัง และฟังก์ชันห้องต่างๆภายในที่เหมือนกันเลยครับ
แตกต่างกันที่ตำแหน่งที่ Kave Town Space จะอยู่ใกล้กับถนนใหญ่อย่างถนนพหลโยธินมากกว่า (เข้ามาประมาณ 100-150 เมตร) เเละจะอยู่ใกล้กับ Community Mall ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่า ดังนั้นราคาการขายของทั้ง 2 โครงการจะมีความแตกต่างอยู่บ้างตรงที่ Kave Town Space จะมีราคาโปรโมชันเริ่มต้นอยู่ที่ 1.54 ล้านบาท และราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 69,000 บาทต่อตารางเมตร (ซึ่งปัจจุบันได้ sold out ไปเรียบร้อยแล้วครับ) ในขณะที่ Kave Town Shift จะเปิดราคาอยู่ที่ 1.49 ล้านบาท และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 67,000 บาทต่อตารางเมตร
ส่วนด้านหน้าโครงการก็มีแผนจะสร้างเป็น Community Mall ซึ่งภายในจะเน้น Facilities แนว Sport ต่างๆมากมาย โดยผู้พักอาศัยทั้ง 2 โครงการจะสามารถมาใช้งานได้ฟรี แต่ถ้าเป็นบุคคลภายนอกมาใช้ก็อาจจะต้องเสียเงินนะครับ ส่วนตำแหน่ง Sale Gallery ในปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนให้กลายเป็น Co-working Space ไว้ให้นักศึกษาใช้งานได้ในอนาคต และก็อาจจะเปิดให้ใช้งานตลอด 24 ชม.ด้วยครับ (รอคอนเฟิร์มกันอีกทีในอนาคตนะ)
มาดูที่โครงการ Kave Town Space กันครับ ซึ่งโครงการนี้เราเคยได้ทำรีวิวเจาะลึกกันมาแล้ว ถ้าใครที่สนใจอ่านแบบละเอียดก็สามารถเข้าไปอ่านต่อได้ที่นี่ แต่ในบทความนี้เราจะพูดแต่เฉพาะจุดเด่นและเรื่องที่สำคัญๆเท่านั้นนะครับ โดยโครงการนี้จะเป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 1,073 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 9 ไร่ (รวม 2 โครงการก็ให้คูณทั้งหมดเป็น 2 เท่าเข้าไปนะครับ)
แต่ละอาคารจะเป็นรูปตัว L โอบล้อมพื้นที่ตรงกลางทั้ง 4 มุมเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นสวนส่วนกลางขนาดประมาณ 3 ไร่ มีสระว่ายน้ำ Pavillion และ Library อยู่ตรงกลาง พื้นที่จอดรถจะอยู่ที่ชั้น 1 รอบๆอาคาและใต้อาคาร มีทั้งที่จอดรถยนต์และที่จอดรถจักรยานยนต์รวมเเล้วประมาณ 46% เลยถือว่ากลางๆ แต่ก็ให้มากกว่าโครงการรอบๆที่เกิดขึ้นบริเวณนี้นะครับ
จุดเด่นของโครงการนี้นอกจากเรื่องทำเลคือ Facilities ที่ให้มาถือว่าเยอะมาก นอกจากจะมีภายในโครงการที่จะแยกการใช้งานออกจากกันทั้ง 2 โครงการแล้ว ยังมีส่วนกลางรวมที่สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่าง Community Mall ด้านหน้าอีกด้วย ซึ่งเป็น Facilities ที่จะพัฒนาในอนาคตคงต้องรอดูกันอีกทีว่าจะมีอะไรบ้างนะครับ
ส่วนภายในโครงการแต่ละเฟสจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำ 2 สระ ทั้งตรงกลางที่มีขนาด 12.8×30 เมตร ลึก 1.2 เมตร และอีกสระที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าของตึก C ขนาด 5.6×24.5 เมตร ลึก 1.2 เมตร พื้นที่ออกกำลังกายนอกจากฟิตเนสก็จะมีห้อง Yoga และ Cover Studio ห้องสมุด ห้องอ่านหนังสือแน่นอนว่าต้องมีมาให้หลายจุด เพราะโครงการนี้มีนักศึกษาอยู่จำนวนมาก จึงต้องกระจายการใช้งาน จะได้ไม่แออัดจนเกินไปครับ และยังมีพื้นที่แนว Entertainment ที่จัดมาให้ด้วยอย่าง Fun Space & VR Game , Theater Deck อีกด้วยครับ ส่วนแบบห้องห้องโครงการนี้หลักๆจะมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบคือ
- 1 Bedroom 23.77-25.36 ตร.ม.
- 1 Bedroom Extra 27.12-31.82 ตร.ม.
- 1 Bedroom Exclusive 24.42-28.50 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 38.43 ตร.ม.
แบบแรกคือห้อง 1 Bedroom ขนาด 24.50 ตารางเมตร จุดเด่นของห้องนี้คือผนังรูปตัว S ตรงกลางห้อง ที่จะทำให้เกิดพื้นที่เว้าให้ได้ใช้ประโยชน์ทั้ง 2 ด้านอย่างลงตัว ห้องนอนก็สามารถ Built ตู้เสื้อผ้าให้เสมอไปกับผนังได้ ดูเรียบร้อยและสะอาดตามากขึ้น ส่วนห้องครัวก็มีพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารได้อีกด้วย จึงทำให้ไม่ต้องนั่งทานอาหารในห้องนั่งเล่นแบบเดิมๆ แต่เราสามารถวางโต๊ะอเนกประสงค์ที่ห้องนั่งเล่นเพื่อไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้ครับ ส่วนครัวก็มีระยะที่สามารถกั้นผนังทำเป็นครัวปิด เพื่อกันกลิ่นเวลาประกอบอาหารหรือเวลาทานอาหารก็จะไม่เข้ามารบกวนพื้นที่ภายในห้องได้อีกด้วย โดยห้องนี้เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ซึ่งหากกรณีอยู่กัน 2 คน แล้วต้องใช้โต๊ะทำงานอ่านหนังสือในห้องพร้อมกัน คนนึงก็อาจจะใช้โต๊ะในห้องนั่งเล่น ส่วนอีกคนนึงก็อาจจะใช้โต๊ะทานอาหารในห้องครัวก็ได้ครับ เพราะห้องนี้มีโต๊ะอยู่ถึง 2 ตำแหน่ง ก็พอจะสลับๆกันใช้งานได้นะ
มีภาพห้องตัวอย่างให้ได้ชมกันด้วยครับ ซึ่งห้องนี้เค้าแต่งมาเป็นธีม Black Pink เอาใจวัยรุ่นซึ่งเป็นวงดนตรีที่กำลังดังในขณะนี้ (แต่ของจริงจะได้เป็นโทนสีและเฟอร์นิเจอร์แบบปกติทั่วไปนะครับ) สิ่งที่อยากจะให้สังเกตคือความโปร่งโล่งของห้อง ที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และในห้องนอนก็ไม่มีตู้เสื้อผ้าที่ Built ยื่นออกมาจากผนังให้เกะกะสายตา จึงทำให้ได้รับแสงธรรมชาติแบบเต็มๆและดูเรียบร้อยมากขึ้น มีโต๊ะเก้าอี้ 2 ชุด ซึ่งจะวางเอาไว้เป็นเซ็นเตอร์ของห้อง เพราะเป็นฟังก์ชันที่สำคัญสำหรับน้องๆนักศึกษา ที่อาจจะได้ใช้งานในการทำการบ้านอ่านหนังสือได้บ่อยที่สุด ซึ่งก็เป็นจุดเด่นที่มีมาให้ได้ถึง 2 ตำแหน่ง บางโครงการนั้นด้วยขนาดห้องเท่านี้อาจไม่มีฟังก์ชันโต๊ะทานอาหารด้วยซ้ำไปครับ
ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาด 27.26 ตารางเมตร เป็นอีกห้องที่มีขนาดเล็ก แต่ทางโครงการก็จัดฟังก์ชันสำหรับนักศึกษามาให้ดูกันนะ ด้วยการวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต 2 เตียงคู่กัน นั่นหมายความว่าห้องนี้จะสามารถอยู่ได้ถึง 2 คนเลยทีเดียว จุดเด่นของห้องนี้อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งมีระยะทีวีที่กว้างมากครับ เพราะไม่ต้องเสียพื้นที่ระยะให้กับห้องน้ำ กับอีกจุดหนึ่งคือผนังกระจกเข้ามุมตรงบริเวณตู้เสื้อผ้า ซึ่งจะทำให้ห้องโปร่งโล่งมากขึ้นนั่นเอง สิ่งที่แลกมาคือห้องนี้จะไม่เน้นการทำอาหารหรือทานข้าวในห้อง เพราะไม่สามารถทำครัวปิดได้ และไม่มีพื้นที่โต๊ะทานอาหารอีกด้วย ซึ่งถ้าใครจะทานอะไรบนห้องก็อาจจะต้องเป็นที่โซฟาแทนนะครับ ส่วนโต๊ะอเนกประสงค์จากในแปลนเค้าจะมีให้แค่จุดเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วตำแหน่งทีวีในห้องนอนเราก็สามารถทำเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้อีกชุดหนึ่งครับ เพราะห้องนี้อยู่กันได้แบบ 2 คนนะ ส่วนทีวีก็มีแค่ที่ห้องนั่งเล่นจุดเดียวก็น่าจะเพียงพอครับ
จากภาพบรรยากาศของจริงภายในห้องจะเห็นความโปร่งโล่งและเป็นสัดส่วนดีนะครับ แต่มีจุดสังเกตเล็กน้อยคือเตียงนอนที่วางคู่กัน ส่วนตัวผมคิดว่ามันเกือบจะชิดกลายเป็นเตียงเดียวกันอยู่แล้วนะครับ ซึ่งถ้าน้องๆไม่ค่อยได้ออกไปใช้งานระเบียงบ่อยนักก็ อาจเลื่อนเตียงทางซ้ายไปชิดประตูกระจกบานเลื่อนเลยก็ได้นะ ทางขวาก็เลื่อนให้สุดไปเลยได้เช่นกัน จะได้มีพื้นที่ตรงกลางเหลือให้ได้ระยะห่างความเป็นส่วนตัวจากเพื่อนร่วมห้องอีกสักหน่อย แล้วยังทำให้ขึ้นลงเตียงได้สะดวกทั้งคู่อีกด้วยนะ
ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 38.43 ตารางเมตร จุดเด่นของห้องนี้คือห้อง Plus ที่เพิ่มเข้ามาครับ ซึ่งจะแตกต่างจากโครงการอื่นที่เรามักจะเห็นเป็นห้องประตูกระจก ที่มีพื้นที่พอให้วางได้แค่เตียง 3.5 ฟุตก็เต็มแล้วใช่มั๊ยครับ แต่สำหรับห้องนี้จะถูกกั้นด้วยผนังทึบจึงได้ความเป็นส่วนตัวสูง และยังมีพื้นที่ให้ทำเป็นโต๊ะอเนกประสงค์หรือตู้เสื้อผ้าได้ รวมถึงยังมีระเบียงในตัวอีกด้วย และอีกส่วนหนึ่งคือห้องน้ำครับ โดยฟังก์ชันของห้องนี้จะมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งจะใช้อ่างล้างหน้าเป็นตัวคั่นกลางระหว่างโถสุขภัณฑ์และพื้นที่อาบน้ำ มีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นแยกเป็นสัดส่วนทั้งคู่ เนื่องจากห้องนี้สามารถอยู่ได้มากกว่า 1 คน จึงออกแบบห้องน้ำให้สามารถใช้งาน 2 ฟังก์ชันได้พร้อมกันนั่นเองครับ
บรรยากาศภายในห้องตัวอย่างซึ่งก็เป็นอีกห้องที่ไม่เน้นพื้นที่ทำครัวนะครับ แต่จะมีโถงห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน และจะมีห้องนอนกับห้องน้ำแยกออกไปเป็นสัดส่วน โดยห้องน้ำจะมีฉากกั้นแยกฟังก์ชันมาให้พร้อมอย่างที่บอก เพียงแต่ว่ามันเป็นกระจกใสนะ ถ้าต้องการใช้งาน 2 คนพร้อมกันก็อาจต้องติดม่านหรือทำเป็นกระจกฝ้าเพิ่มเติมเอาครับ ส่วนในห้อง Plus ทางโครงการมีการตกแต่งให้ดูเป็นไอเดียที่น่าสนใจ โดยการใช้เตียง 2 ชั้น และทำพื้นที่ด้านล่างให้เป็นโต๊ะทำงานมาให้ดู ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้ประหยัดพื้นที่ เพราะอีกด้านหนึ่งของห้องเราจะมีพื้นที่เหลือให้วางตู้เสื้อผ้าได้นั่นเองครับ แต่ของจริงห้องนี้เราจะได้เป็นเตียง 3.5 ฟุตที่วางกับพื้นธรรมดานะครับ
Fact @ 18 May, 2019
- ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019
- 1 Bedroom ขนาด 24.50 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 12,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Extra ขนาด 27.26 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 12,000 – 14,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Plus ขนาด 38.43 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 16,000 – 18,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom ขนาด 24.50 ตร.ม. เริ่มต้น 1.71 ล้านบาท หรือประมาณ 70,000 บาท/ตารางเมตร
- 1 Bedroom Extra ขนาด 27.26 ตร.ม. เริ่มต้น 1.88 ล้านบาท หรือประมาณ 69,000 บาท/ตารางเมตร
- 1 Bedroom Plus ขนาด 38.43 ตร.ม. เริ่มต้น 2.56 ล้านบาท หรือประมาณ 66,000 บาท/ตารางเมตร
สรุปแล้วโครงการนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ทำเลซึ่งใกล้มหาลัยมากครับ น้องๆนักศึกษาสามารถเดินเพื่อไปเรียนได้เลย ภายในมี Facilities ค่อนข้างเยอะและหลากหลาย ซึ่งในอนาคตยังจะมี Community Mall เกิดขึ้นมาให้ได้ใช้งานกันอีกด้วย ส่วนฟังก์ชันภายในห้องทางโครงการได้ออกแบบมาสำหรับการอยู่อาศัยของน้องๆนักศึกษาโดยเฉพาะ เช่น การเน้นพื้นที่ทำงานภายในห้อง การอยู่อาศัยมากกว่า 1 คน หรือฟังก์ชันห้องน้ำที่สามารถใช้งานได้พร้อมๆกัน และแน่นอนว่าโครงนี้มีค่าเช่าค่อนข้างสูง หากเทียบกับหอพักหรือโครงการอื่นๆในย่านเดียวกัน แต่หากน้องๆเน้นความสะดวกสบายและครบครันเป็นหลัก โครงการนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์เลยทีเดียวครับ
ถัดจาก Kave Town มาหน่อยก็จะเป็น Golf City ซึ่งถือเป็นอีกโซนหนึ่งที่มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเลือกมาพักอาศัยที่นี่ เพราะหอพักมีราคาถูก และอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยครับ ถ้าเป็นระยะเดินจากบริเวณด้านหน้านี้ไปจนถึงมหาลัยก็ประมาณ 500 m. ซึ่งพอจะเดินได้อยู่นะ
บรรยากาศภายในจะเป็นกลุ่มอาคารสูง 8 ชั้น เรียงต่อๆกันเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มอาคารเหล่านี้จะมีการแบ่งโซนการอยู่อาศัยออกเป็น 2 ฝั่ง และมีถนนหลักคั่นกลางตามภาพ ทางฝั่งขวามือจะเป็นฝั่งที่มีนักศึกษาอยู่อาศัย และจะมีคนวัยทำงานอยู่อีกนิดหน่อย ส่วนทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นแรงงานต่างด้าว (ส่วนมากเป็นชาวกัมพูชา) ซึ่งโดยปกติเค้าก็จะอยู่ในส่วนของเค้าครับ ไม่ค่อยมายุ่งอะไรกับคนไทยมากนัก นอกจากนี้ด้านล่างก็จะมีร้านอาหารมาเปิดขายกันตอนเย็นที่ฝั่งขวามือกันเต็มไปหมด อารมณ์คล้ายๆกับซอยรังสิตภิรมย์เลยครับ แต่อาจจะไม่คึกคักเท่า ทำให้เป็นโซนที่หาของกินได้ไม่ยาก ค่าหอก็ถูกมากครับ ประมาณ 2,800 – 4,400 บาท/เดือน เท่านั้นเอง
โซนต่อมาที่เราจะพูดถึงกันคือฝั่งตรงข้ามมหาลัย ซึ่งจะมีคอนโดอยู่ทั้งหมด 2 โครงการด้วยกันคือ Kave Condo และ Attitude BU จุดเด่นของทำเลนี้คือ ถึงแม้จะต้องข้ามถนนพหลโยธินซึ่งเป็นถนนใหญ่ก็ตาม แต่ก็มีสะพานลอยให้ข้ามได้สะดวกและปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นโซนที่ใช้รถยนต์ได้สะดวกอีกด้วยครับ เพราะเราสามารถไปกลับรถที่เชียงราก และขึ้นสะพานเกือกม้าที่หน้า Attitude BU เลยได้ และถ้าใครจะไปฟิวเจอร์หรือขึ้นวินรถตู้ก็ทำได้ไม่ยากเลยครับ
กลับมาที่สะพานลอยด้านหน้ามหาลัยกันอีกครั้ง โดยภาพทิศนี้เป็นทางที่มุ่งหน้าเข้าเมืองไปทางฟิวเจอร์และกรุงเทพ ซึ่งไกลๆโน้นคือ Plum Condo ซึ่งจะเป็นโซนสุดท้ายที่เราจะไปดูกันทีหลังนะ
แต่พอเราหันมามองทางซ้ายมือก็จะเห็นคอนโด 2 โครงการตั้งอยู่ โดย Kave Condo เป็นโครงการที่ก่อสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ส่วน Attitude BU จะอยู่ถัดออกไปอีกหน่อย และอยู่ในระหว่างการก่อสร้างครับ
ซูมแผนที่ให้ดูชัดๆกันสักหน่อย ซึ่งต้องของเกริ่นไว้ก่อนนะครับว่าชุมชนฝั่งตรงข้ามมหาลัยนี้เดิมทีเป็นชุมชนของชาวมุสลิม ซึ่งเราจะเห็นพวกร้านอาหารฮาลาลหรืออาหารอิสลามอยู่เยอะ และจะมีมัสยิด อะลา (ตั้งอยู่ตรงสะพานข้ามคลองทางขวามือ) จึงทำให้ทำเลนี้อาจได้ยินเสียงละหมาดอยู่บ้างครับ
มาต่อกันที่เรื่องคอนโดในทำเลนี้กันบ้างครับ โดยโครงการ Kave Condo จะตั้งอยู่ติดกับสะพานลอย และมีเซเว่นกับวินรถตู้อยู่ใกล้ๆ ส่วน Attitude BU นั้น ก็จะอยู่ถัดออกไป ห่างจากสะพานลอยประมาณ 130 m. ซึ่งก็ยังเป็นระยะที่สามารถเดินได้สบายๆอยู่ครับ เพียงแต่ว่าการข้ามสะพานและเดินริมถนนทางฝั่งนี้ในเวลากลางคืนนั้นจะมืดและอันตรายหรือป่าว อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับเพราะเคยไปแต่เฉพาะตอนกลางวัน ถ้าใครรู้ก็อย่าลืม comment แชร์กันที่ด้านล่างด้วยนะครับ
เริ่มกันที่ Kave Condo จาก AssetWise ซึ่งผมได้เกริ่นไปแล้วในพาร์ทของ Kave Town ว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นมาได้ เพราะความสำเร็จจากโครงการนี้นี่แหละครับ แน่นอนว่าเป็นโครงการที่ Sold Out ไปอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน ซึ่งทาง Think of Living เราเคยได้ทำรีวิวพาชมตึกเสร็จกันไปแล้วนะครับ หากใครสนใจก็สามารถตามไปอ่านรายละเอียดกันได้โดยคลิก แต่ถ้าใครอยากอ่านพาร์ทสรุปเร็วๆก็ตามผมมาครับ
โครงการนี้ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ และสามารถข้ามถนนด้วยสะพานลอยไปยังฝั่งมหาลัยได้ง่ายๆ อีกทั้งยังมีอาคาร Club House ตั้งอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งภายในจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ฟิตเนส และห้อง Co-Working ต่างๆ ให้น้องๆนักศึกษาได้ใช้งานกันได้สะดวก
Kave Condo เป็นโครงการคอนโด Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 589 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 4-3-71.6 ไร่ และมีที่จอดรถประมาณ 31% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ซึ่งแต่ละอาคารจะมีสะพานที่ชั้นดาดฟ้าเชื่อมต่อกัน ทำให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ให้ได้ใช้งานต่อเนื่องกันได้ และมี Facilities แต่ละอาคารที่แตกต่างกันออกไป ประกอบไปด้วย
- อาคาร A อยู่หน้าสุด ถ้าใครเลือกอาคารนี้จะเดินเข้า-ออกโครงการได้ง่าย ใกล้ถนนใหญ่กับอาคาร Clubhouse ซึ่งบรรยากาศอาจจะพลุกพล่านหน่อย เพราะเป็นจุดที่ทุกอาคารจะต้องเดินผ่าน ที่ชั้นบนสุดของอาคารนี้จะมีสวนให้ได้ใช้งานด้วย
- อาคาร B อยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร A และ C อาคารนี้ที่ชั้น 8 จะมี Facilities หลักได้แก่ สระว่ายน้ำ, Game Room และ Library Room ใครที่อยู่อาคารนี้ก็จะสามารถเข้ามาใช้ส่วนกลางเหล่านี้ได้สะดวก ซึ่งบรรยากาศจะค่อนข้างจะคึกคักเลยทีเดียว
- อาคาร C อยู่ด้านในสุด ชั้นบนจะมีสวนหย่อมและ Fitness มาให้ใช้งานโดยไม่ต้องเดินออกไปใช้ไกลถึงอาคาร Clubhouse ด้านหน้า ซึ่งพออาคารอยู่ด้านหลังแบบนี้อาจจะต้องเดินไกลมากกว่าเพื่อนหน่อย แต่ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบมาแทน
มีภาพบรรยากาศในโครงการมาฝากกันด้วยครับ เริ่มจากภาพแรกที่ซ้ายมือจะเป็นสวนและศาลานั่งเล่นอยู่ด้านบนอาคาร A ซึ่งเวลาเย็นๆน้องๆสามารถมานั่งเล่นและทำงานอ่านหนังสือได้ครับ ส่วนภาพที่ 2 และ 3 จะเป็นห้อง Library Room และสระว่ายน้ำ โดยทั้ง 2 ส่วนจะแยกโซนกันชัดเจนไม่รบกวนกัน เพราะพื้นที่สระว่ายน้ำจะถูกยก step ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ทำให้ห้อง Library Room มีความเป็นส่วนตัว เพื่อให้น้องๆได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ ส่วนภาพสุดท้ายเป็นห้อง Fitness ที่อาคาร C ซึ่งจะมีเครื่องออกกำลังกายหลายชิ้นเลยทีเดียว โดยแบบห้องของโครงการนี้จะมี 3 แบบ ประกอบด้วย
- 1 Bedroom Extra 24.27-25.85 ตร.ม
- 1 Bedroom Exclusive 24.10-25.14 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 34.19 – 37.24 ตร.ม
ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาด 24.85 ตารางเมตร ลักษณะของห้องนี้จะคล้ายกับห้องของ Kave Town ก่อนหน้านี้เลยครับ ซึ่งจะมีจุดเด่นอยู่ตรงผนังรูปตัว S ที่อยู่กลางห้อง จึงทำให้ห้องเล็กขนาดนี้มีฟังก์ชันที่ค่อนข้างลงตัวและเป็นสัดส่วน แตกต่างกันตรงที่ห้องนี้จะวางเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหารให้นั่งข้างกัน แล้วหันหน้าเข้ากับผนัง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ต้องใช้ระยะโต๊ะทานอาหารที่ค่อนข้างกว้างกว่าการนั่งแบบเข้ามุมครับ จึงกินพื้นที่ตู้เสื้อผ้าทำให้มีขนาดเล็กลงด้วย ดังนั้นโครงการ Kave Town ตัวใหม่จึงได้มีการพัฒนาฟังก์ชันในส่วนนี้ให้ดีมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง และแน่นอนว่ายังคงอยู่ในขนาดพื้นที่เท่าเดิม และกั้นครัวปิดเพิ่มเติมได้ครับ
บรรยากาศภายในห้องจัดได้ว่าโปร่งโล่งเลยทีเดียว ห้องได้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาทั่วถึงทุกฟังก์ชัน และกั้นห้องด้วยประตูกระจกบานเลื่อนไม่อึดอัด แต่หากใครต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถติดผ้าม่านเพิ่มเติมได้นะครับ ซึ่งก็เหมาะกับน้องๆที่ชอบดูทีวีหรือเล่นเกมส์ในห้องมืดๆอีกด้วยนะ (เพราะผมก็ชอบ) โดยห้องนี้สามารถอยู่ได้ 1 – 2 คน สบายๆครับ
ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 37.24 ตารางเมตร ฟังก์ชันของห้องนี้จะเหมือนๆกับห้อง Plus ทั่วๆไปอย่างที่เกริ่นเอาไว้ในพาร์ทของ Kave Town ซึ่งจะเป็นห้องเล็กๆที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และมีพื้นที่พอให้วางเตียง 3.5 ฟุตได้แบบพอดีๆ โดยครัวก็ไม่สามารถกั้นห้องได้ เพราะน้องๆนักศึกษาก็ไม่ค่อยทำอาหารทานบนห้องกันบ่อยนักอยู่แล้ว อย่างมากก็ใช้อุ่นอาหารง่ายๆทานแค่นั้นครับ แต่ที่ชอบสำหรับห้องนี้คือโต๊ะ 2 ตำแหน่ง ซึ่งด้านซ้ายจะเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้ ส่วนโต๊ะทางขวาเป็นโต๊ะทานอาหาร ซึ่งในเวลาที่ไม่ใช้งานก็สามารถกลายเป็นโต๊ะอเนกประสงค์ได้เช่นกัน โดยในเวลาปกติก็จะนั่งแยกกันคนละมุมห้องทำให้มีสมาธิได้ดี แต่ในเวลาต้องทำงานกลุ่มร่วมกันหรือจัดปาร์ตี้อะไรสักอย่าง เราก็สามารถเลื่อนโต๊ะทั้ง 2 ให้มาต่อกันตรงกลางห้องได้อีกด้วยครับ ห้องนี้จึงเหมาะจะอยู่อาศัย 1 – 2 คน หรืออาจจะ 3 คนเลยก็ยังได้ ถ้าหาที่วางตู้เสื้อผ้าเพิ่มเติมได้นะ
บรรยากาศภายในห้องจัดว่าโอเคอยู่นะครับ ซึ่งเราจะเห็นถึงความแตกต่างจากห้อง 24 ตารางเมตรก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะส่วนห้องนั่งเล่นจะไม่ได้โปร่งโล่งมากนัก เพราะอยู่ติดกับห้องนอนซึ่งกั้นด้วยผนังทึบ จึงทำให้ส่วนนี้ได้แสงธรรมชาติน้อยกว่าปกติ แต่แสงก็จะเข้ามาได้จากห้อง Plus แล้วส่องผ่านเข้ามาถึงหน้าห้องได้อยู่ครับ
Fact @ 18 May, 2019
- ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019
- 1 Bedroom Extra ขนาด 24.85 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000 – 12,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Plus ขนาด 37.24 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 16,000 – 18,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Extra ขนาด 24.85 ตร.ม. เริ่มต้น 2.5 ล้านบาท หรือประมาณ 100,000 บาท/ตารางเมตร
- 1 Bedroom Plus ขนาด 37.24 ตร.ม. เริ่มต้น 2.8 – 3 ล้านบาท หรือประมาณ 75,000 – 80,000 บาท/ตารางเมตร
สรุปแล้วโครงการนี้ถือเป็นโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมอยู่ ซึ่งน้องๆนักศึกษาหรือผู้ปกครองสามารถเข้ามาดูโครงการจริงได้ว่าชอบหรือไม่ และโครงการจะเหมาะกับเราหรือป่าวได้ด้วยตัวเอง ส่วนจุดที่น่าสนใจจริงๆคือเรื่องของทำเลที่ค่อนข้างสะดวก ทั้งการเดินเท้าเพียงแค่ข้ามสะพานลอย ใกล้วินรถตู้ และใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ง่ายครับ เพราะสามารถกลับรถที่สะพานเกือกม้าได้ทันอยู่นะ อีกทั้งยังมี Facilities ที่เรียกได้ว่าให้มาเยอะถ้าเทียบกับจำนวนยูนิต มีการเชื่อมต่อส่วนกลางกันด้วยสะพานบนชั้นดาดฟ้า ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องกันได้ แต่ก็ยังแยกโซนทำให้มีความเป็นส่วนตัวและเป็นสัดส่วนชัดเจนดี ฟังก์ชันห้องถือว่าเหมาะสม เพียงแต่ถ้าอยากหาซื้อเป็นของตัวเองก็อาจจะต้องซื้อเป็นแบบ Resale แทนนะครับ เพราะเป็นโครงการที่ Sold Out ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าราคาอาจจะสูงกว่าช่วงเปิดตัวครับ
(ปล.ขอบคุณข้อมูลราคาและการให้เข้าชมสถานที่จากคุณ Cha ด้วยนะครับ หากใครสนใจซื้อขายหรือเช่าโครงการนี้ก็สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 0869931356 หรือไลน์ @bhd4278m ครับ)
ถัดจาก Kave Condo เดินเลยมาอีกหน่อยประมาณ 130 m. ก็จะเจอกับโครงการ Attitude BU จาก The Urban Property ซึ่งตั้งอยู่ติดริมถนนใหญ่พหลโยธินเช่นเดียวกัน และกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอยู่นะครับ ส่วนพื้นที่ว่างทางด้านซ้ายของโครงการในอนาคตก็อาจมีโครงการอื่นขึ้นมาบังวิวทางทิศนี้ได้นะ ต้องรอดูกันต่อไปครับ แต่ปัจจุบันยังคงเป็นที่ว่างซึ่งได้วิวเปิดโล่งอยู่ โดยโครงการนี้ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทาง Think of Living เราเคยทำรีวิวเจาะลึกตัวโครงการมาแล้วนะครับ ถ้าใครสนใจอ่านแบบละเอียดก็สามารถคลิกไปอ่านได้ที่นี่
Attitude BUเป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 544 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-2-0 ไร่ และมีที่จอดรถ 24% ไม่รวมซ้อนคัน จุดเด่นจองโครงการนี้นอกจากทำเลที่สะดวกไม่แพ้โครงการเพื่อนบ้านแล้ว ก็ยังมี Facilities ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มไม่แพ้กันอีกด้วย ประกอบด้วย
- อาคาร A (Active Building) จะอยู่ใกล้กับด้านหน้าโครงการมากที่สุด ทำให้เข้าออกสะดวก มี Lobby และ Cafe ขนาดใหญ่เอาไว้ใช้เป็นส่วนต้อนรับ ด้านบนมี Co-Working Space ขนาดใหญ่ ทำให้น้องๆนักศึกษาสามารถชวนเพื่อนๆมานั่งทำงานร่วมกันได้ ดังนั้นอาคารนี้จึงอาจมีคนภายนอกเข้ามาใช้งานร่วมด้วย ซึ่งก็จะพลุกพล่านมากหน่อย แต่ก็เหมาะกับคนที่รักความสะดวกสบายหรืออาจต้องพบปะเพื่อนภายนอกบ่อยๆครับ
- อาคาร B (Creative Space Area) จะอยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร A และ C ซึ่งจะมี Facilities ขนาดใหญ่อย่าง Co-Working Space, Gym และห้อง Yoga แต่ทีเด็ดอยู่ที่มีห้องสตูดิโอถ่ายภาพที่ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กิจกรรมยุคโซเชียล ให้น้องๆทั่วไปได้ถ่ายภาพและอัพรูปสวยๆ หรือจะเป็นพวกคณะนิเทศก็เหมาะเลยครับ ซึ่งคนที่เลือกอาคารนี้ก็จะมีความสะดวกในการใช้งานส่วนกลางเหล่านี้ และตัวอาคารก็จะมีความคึกคักไม่แพ้อาคาร A แต่จะแตกต่างกันที่คนมาใช้งานส่วนใหญ่จะเป็นคนในโครงการ และยังเหมาะกับคนที่ชอบใช้ Facilities ที่มีความหลากหลายครับ นอกจากนี้ก็ยังเป็นอาคารยอดฮิตที่ขายดีที่สุด และได้ Sold Out ไปก่อนเพื่อนอีกด้วย
- อาคาร C (Reflective Area) ซึ่งจะอยู่ด้านในสุด มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบมากกว่าอาคารอื่นๆ ชั้นล่างมีสระว่ายน้ำยาว 50 m. และด้านบนมี Sky Lounge ที่มีผนังกระจกล้อมรอบ ทำให้ได้รับวิวแบบพาโนราม่า น้องๆสามารถมานั่งทำงานอ่านหนังสือแบบสงบๆและชมวิวไปด้วยได้ เหมาะกับคนชอบความเป็นส่วนตัว ความเงียบสงบ หรือชอบอ่านหนังสือ ซึ่งอาคารนี้เป็นอาคารที่ขายดีรองลงมาครับ แต่ก็ยังจะพอมีห้องมือ 1 ให้เลือกซื้ออยู่นะ
อีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการนี้นอกจาก Facilities ที่กระจายอยู่ในอาคารแต่ละชั้นแล้ว ยังมี Facilities บนชั้นดาดฟ้าที่ทางโครงการมีการเชื่อมสะพานบนชั้นดาดฟ้าเอาไว้ ทำให้พื้นที่ส่วนกลางเชื่อมต่อกันขนาดใหญ่ และใช้งานต่อเนื่องกันได้ดีเหมือนโครงการก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่กิจกรรมทั้งหมดจะเน้นความ Active กลางแจ้งอย่างสนามฟุตซอลท์ สนามชกมวย ลานโยคะ และลู่วิ่งในสวนที่สามารถวิ่งต่อเนื่องกันได้ยาวประมาณเกือบ 1 รอบสนามฟุตบอลอีกด้วย ส่วนแบบห้องพักของโครงการนี้จะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 แบบ ประกอบด้วย
- Studio Type A ขนาด 23.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom Type B ขนาด 27 ตร.ม.
- 1 Bedroom Type C ขนาด 30 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus Type E ขนาด 34.5 ตร.ม.
- Creative Type E ขนาด 34.5 ตร.ม.
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 27.50 ตารางเมตร จุดเด่นของห้องนี้จะมีความเป็นสัดส่วน กั้นห้องและโซนให้ชัดเจนมากขึ้นครับ จึงทำให้เป็นโครงการที่มีห้อง Type เล็กเริ่มต้นที่สามารถทำอาหารบนห้องได้จริงจัง เพียงแต่ว่าโต๊ะอเนกประสงค์ตรงกลางห้องอาจจะต้องใช้สลับกันระหว่างโต๊ะทำงานอ่านหนังสือกับโต๊ะทานอาหารแทนนะครับ โดยสามารถนั่งได้สูงสุด 2 คน ซึ่งอีกคนก็อาจต้องนั่งบนโซฟาแทนครับ ส่วนตัวผมจะชอบฟังก์ชันห้องแบบนี้ตรงพื้นที่ใช้งานฝั่งขวาของห้อง ซึ่งประตูห้องน้ำจะอยู่ตรงกับครัวและประตูระเบียงกระจก นั่นหมายความว่าถ้าเราปิดประตูครัว แล้วเปิดประตูระเบียงกับห้องน้ำไว้ ก็จะสามารถระบายอากาศ กลิ่น และความชื้นได้ดี โดยที่จะไม่เข้าไปรบกวนพื้นที่พักผ่อนในห้องเลยครับ
บรรยากาศภายในห้องตัวอย่างทางโครงการตกแต่งมาให้ดูได้น่าสนใจเลยทีเดียวครับ ให้สังเกตภาพในห้องครัวดีๆนะ ด้านขวาสุดจะมีการต่อเติมโต๊ะตัวยาวเพิ่มมาจนสุดผนังห้องน้ำ ทำให้เราสามารถนั่งอาหารในห้องครัวได้ ซึ่งกลิ่นอาหารก็จะไม่เข้าไปรบกวนในห้องนั่งเล่น และโต๊ะอเนกประสงค์กลางห้องก็จะไม่ต้องใช้เป็นที่ทานอาหารอีกต่อไป สามารถนั่งทำงานอ่านหนังสือได้เต็มที่ และยังอยู่ในตำแหน่งกลางห้องซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของห้องพักนักศึกษาที่จะได้ใช้งานกันบ่อยๆแน่ๆครับ โดยรวมห้องนี้ถือว่าโปร่งโล่ง และยังเหลือพื้นที่ยืดหยุ่นพอให้วางเฟอร์นิเจอร์อื่นๆเพิ่มเติม เช่น วางตู้รองเท้าตรงตู้ข้างทีวี เป็นต้น
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 30.42 ตารางเมตร ห้องนี้เพิ่มพื้นที่จากแบบเมื่อสักครู่แค่ 3 ตารางเมตร แต่ก็ทำให้ได้พื้นที่ห้องนอนแบบปิดแยกออกเป็นส่วนตัวมากขึ้น ห้องครัวจะกั้นแยกเป็นสัดส่วนและทำอาหารจริงจังได้เช่นเดิม แต่จะต้องนั่งทานอาหารด้านหลังโซฟาแทนครับ ซึ่งตำแหน่งนี้ค่อนข้างดี เหมาะที่จะใช้เป็นโต๊ะนั่งทำงานไปด้วยแล้วดูทีวีไปด้วยมากกว่า จุดเด่นอีกอย่างคืออยู่ที่ห้องน้ำ ซึ่งมีการแยกฟังก์ชันของโถสุขภัณฑ์และส่วนอาบน้ำออกจากกันชัดเจนด้วยผนังทึบ ทำให้เป็นห้องที่สามารถใช้ห้องน้ำได้พร้อมกันมากกว่า 1 คน ห้องนี้น้องๆจึงสามารถอยู่อาศัยแบบแชร์ค่าห้องกันได้นะ
มาดูบรรยากาศของห้องตัวอย่าง ซึ่งต้องขอบอกว่าโครงการนี้เค้าแต่งห้องมาได้เหมาะกับนักศึกษามากๆครับ ใครที่ซื้อห้องนี้ไปก็สามารถนำไอเดียนี้ไปแต่งห้องต่อได้นะ เพราะเค้าไม่ได้แถมมาให้แบบนี้ทั้งหมด อย่างที่เห็นว่าในห้องนอนเค้าตกแต่งด้วยเตียง 3.5 ฟุต ให้นอนรวมกันได้ 3 คน ซึ่งก็สอดคล้องกับห้องนั่งเล่นที่โซฟาจะสามารถนั่งได้ 2 คน แล้วยังนั่งที่โต๊ะอเนกประสงค์ด้านหลังได้อีก 2 คน รวมเป็น 4 คน ซึ่งนี่เป็นเพียงไอเดียเท่านั้นนะครับ ถามว่าอยู่กันได้มั๊ย…มันก็ได้นะ แต่ผมมองว่าอาจจะอึดอัดไปสักหน่อย อย่างมากแค่ 2 คนก็พอครับ
และอีกด้านหนึ่งของห้องที่เป็นจุดเด่นคือห้องน้ำ ที่ด้านหน้าตรงกลางจะเป็นอ่างล้างหน้า ด้านซ้ายเป็นโถสุขภัณฑ์ และด้านขวาเป็นห้องอาบน้ำ แยกออกจากกันด้วยผนังทึบ ทำให้มีความเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัว สามารถใช้งานพร้อมๆกัน 2 คนได้เลยครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 34.50 ตารางเมตร ถึงจะบอกว่าเป็น 1 Bed แต่ทางโครงการแต่งมาให้ดูเป็นเตียง 2 ชั้น 2 ชุด รวมเป็น 4 ที่นอนเต็มผนังทางด้านขวาเลยครับ นั่นหมายความว่าห้องนี้สามารถอยู่ได้ถึง 4 คนเลยทีเดียวนะ ฟังก์ชันที่ผมชอบคือ Common area ตรงกลางห้องที่ใช้โต๊ะทานอาหารเป็นศูนย์กลาง ซึ่งน้องๆทั้ง 4 คนในห้องจะสามารถทานอาหารร่วมกันหรือทำการบ้านอ่านหนังสือ และทำงานกลุ่มร่วมกันได้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนโซฟาจะวางไว้ติดหน้าต่าง แต่จะไม่ตรงกับทีวี เอาไว้ใช้นั่งทำงานหรือนอนอ่านหนังสือชิลๆได้นะครับ เพราะจะได้แสงธรรมชาติเข้ามานั่นเอง
ส่วนครัวก็เอาไว้อุ่นอาหารเบาๆทานได้เนาะ และแน่นอนว่าจำนวนผู้พักอาศัยเยอะขนาดนี้ ห้องน้ำก็ต้องมีการแยกออกจากกัน เพื่อให้สามารถใช้งานหลายๆคนได้พร้อมกัน คนนึงล้างหน้าแปรงฟัน คนนึงอาบน้ำ อีกคนก็ทำธุระส่วนตัวกันไป แล้วคนที่ 4 จะทำไรดี ก็อาจแต่งตัวใส่เสื้อผ้ารอที่ตู้เสื้อผ้าหน้าห้องน้ำเลยก็ได้นะ ซึ่งนี่เป็นการยกตัวอย่างการใช้งานของน้องๆทั้ง 4 คนที่อาจเรียนคลาสเดียวกันและต้องออกจากห้องพร้อมๆกันหมดอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงถ้าห้องนี้อยู่กันแบบคละคณะ คละชั้นปี แล้วเรียนคนละเวลากัน ก็อาจเหมาะสมกว่าครับ
บรรยากาศภายในห้องตกแต่งด้วยสีสันค่อนข้างสดใส แสดงถึงความ Active และความสนุกสนาน ซึ่งห้องนี้จะมีแพ็คเกจเฟอร์นิเจอร์ให้เลือก โดยถ้าเราสามารถเลือกแบบห้องตัวอย่างนี้ซึ่งทางโครงการก็จะแต่งมาให้แบบนี้เลยครับ เตียง 4 เตียง มีโต๊ะ โซฟา ตู้เสื้อผ้าพร้อมเลย ส่วนผมตัวมองว่าสามารถอยู่กันได้จริงนะ และน่าสนุกดีด้วย ชวนให้นึกถึงสมัยตอนอยู่หอในของมหาลัยเลยล่ะครับ
Fact @ 18 May, 2019
- ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 (ราคาคาดการณ์จากทางโครงการตอนตึกเสร็จ)
- Studio Type A ขนาด 23.5 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Type B ขนาด 27 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Type C ขนาด 30 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 14,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom Plus Type E ขนาด 34.5 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท/เดือน
- Studio Type A ขนาด 23.5 ตร.ม. ราคา 1.82 – 1.97 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 77,000 – 83,000 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom Type B ขนาด 27 ตร.ม. ราคา 2.01 – 2.17 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 74,000 – 80,000 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom Type C ขนาด 30 ตร.ม. ราคา 2.29 – 2.46 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 74,000 – 80,000 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus Type E ขนาด 34.5 ตร.ม. ราคา 2.66 – 2.83 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 78,000 – 83,000 บาท/ตร.ม.
สรุปแล้วโครงการนี้มีจุดเด่นอยู่เรื่องทำเลที่ยังคงใกล้มหาลัย เดินทางสะดวก มี Facilities กระจายตัวอยู่ตามชั้นและอาคารต่างๆ จึงทำให้แต่ละอาคารมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นต่างกันออกไปชัดเจน รวมถึงมี Facilities ที่ชั้นดาดฟ้าขนาดใหญ่อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหมาะกับคนชอบใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง และยังมีฟังก์ชันห้องที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของนักศึกษาที่อาจอยู่ร่วมกันมากกว่า 1 หรือ 2 คนอีกด้วยครับ
โซนสุดท้ายนักศึกษาจะรู้จักกันในชื่อ Plum Condo ครับ เนื่องจากโครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เกิดขึ้นในทำเลนี้เมื่อ 3 – 4 ปีก่อน จุดเด่นของทำเลนี้คือขาไปมหาลัยนั้นจะค่อนข้างสะดวกมากๆ เพราะไม่ต้องไปเสียเวลากลับรถมากนัก เพียงแต่ก็จำเป็นต้องพึ่งรถยนต์ในการเดินทางเป็นหลักนะ เพราะมีระยะห่างจากตัวมหาลัยมาประมาณ 1 km. ไม่สามารถเดินได้เหมือนโซนอื่น แต่ข้อเสียคือตอนขากลับเนี่ยแหละครับ เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมในโซนนี้จะอยู่ตรงบริเวณข้างสะพานเกือกม้าพอดี ทำให้ไม่สามารถกลับรถ ณ จุดแรกได้ทัน จึงต้องไปกลับรถบริเวณหน้าฟิวเจอร์แทนครับ โดยระยะห่างก็ไกลเอาเรื่องอยู่นะ ประมาณ 16 km. ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาเย็นๆหลังเลิกงานล่ะก็ รถแถวๆฟิวเจอร์จะค่อนข้างติดหนักพอสมควรเลยล่ะครับ
มาซูมแผนที่ดูใกล้ๆกันบ้าง อีกหนึ่งข้อสังเกตของโซนนี้คือจะมีโรงงานอุตสาหกรรมกระดูกสัตว์ตั้งอยู่ครับ เป็นที่รู้กันดีของนักศึกษามหาลัยนี้ว่าในบางช่วงบางฤดูกาล ที่มีลมพัดขึ้นมาทางทางเหนือนั้น อาจจะมีกลิ่นของโรงงานพัดลอยมาด้วย และบริเวณนี้จะมีคอนโดมิเนียมอยู่ทั้งหมด 2 โครงการ ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของทั้งคู่จะอยู่บริเวณด้านข้างของสะพานกลับรถเกือกม้าพอดีๆ ทำให้ไม่สามารถกลับรถได้ทันครับ ถ้าใครที่ใช้รถใช้ถนนก็อาจต้องไปอ้อมไกลหน่อยนะ แต่สำหรับคนที่ใช้รถสาธารณะก็จะสะดวกกว่าหน่อย เพราะจะมีสะพานลอยให้ข้ามกลับมาได้ไม่ยากนักครับ
โครงการแรกขอพูดถึง Be Condo จาก เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ โครงการนี้มีประเด็นนะ ซึ่งถ้าใครที่เห็นแผนที่ก่อนหน้านี้ก็จะพบว่า ที่ดินโครงการนี้อยู่ติดกับโรงงานกระดูกสัตว์ที่ผมได้พูดไปก่อนหน้านี้ ซึ่ง ณ วันที่ผมไปเยือนโครงการนี้นั้นผมได้กลิ่นอยู่เหมือนกัน แต่ตอนที่ไปเดินในมหาลัยผมกลับไม่ได้กลิ่นนะ แต่ปกติถ้าเราอยู่คอนโดก็อาจจะปิดประตูหน้าต่างอยู่แล้ว ก็อาจไม่ได้กลิ่นเข้ามาในห้องมากมายนัก (ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับ ว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น ถ้าเพื่อนๆหรือน้องๆคนไหนมีความคิดเห็นต่างยังไง หรือมีประสมการณ์ตรงก็มาสามารถช่วยกันแชร์ประสบการณ์กันได้ที่ comment ด้านล่างได้นะครับ)
ตัวโครงการตึกแรกก่อสร้างเกือบจะแล้วเสร็จแล้วครับ ส่วนตึกที่สองกำลังตกแต่งภายในกันอยู่ ซึ่งในวันที่ผมไปดูนั้นเค้ายังไม่อนุญาติให้เข้าไปถ่ายรูปในตึกให้ดูนะ เลยมีแต่ภาพภายนอกมาให้ได้ชมกันว่าเป็นยังไงบ้าง ส่วนทางด้านขวามือก็กำลังมีการก่อสร้างอยู่เช่นกันครับ ซึ่งเค้าจะทำเป็นพื้นที่ร้านค้ายาวไปตลอดแนว ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างดี
โครงการ Be Condo เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 472 ยูนิต จอดรถได้ 30% ไม่รวมซ้อนคัน ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-0-27 ไร่ สำหรับโครงการนี้ทางเรายังไม่มีรีวิวแบบเจาะลึกนะครับ แต่จะมีเป็นพรีวิวข้อมูลเบื้องต้นให้ชมกันคลิกดูได้ที่นี่ จุดเด่นของโครงการนี้จะเน้นพื้นที่ Commercial บริเวณด้านหน้าและด้านข้างโครงการ ยาวไปตลอดแนว เป็นพวกพวกร้านค้า ร้านอาหาร และร้านซักรีด ซึ่งเรียกได้ว่าครบวงจรเลยทีเดียว น้องๆสามารถอยู่ในโครงการได้อย่างสบายๆ เพียงแต่โครงการนี้จะไม่ค่อยเน้น Facilities เหมือนโครงการอื่นๆนะครับ จะมีแค่ Fitness แบบแยกอาคารให้เท่านั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว และมีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ คือ
- Studio ขนาด 24-28 ตร.ม.
- 1 Bedroom 30 ตร.ม.
- 2 Bedroom 40 ตร.ม.
ห้อง Studio ขนาด 24 ตารางเมตร ซึ่งลักษณะเด่นของห้องแบบ studio คือจะได้ความโปร่งโล่งและมีพื้นที่เชื่อมถึงกันทั้งหมด โดยจะไม่มีผนังกระจกกั้นแยกให้แบบห้อง 1 Bedroom ทั่วไป เหมาะกับคนที่ชอบใช้พื้นที่กว้างๆ หรือชอบใช้ชีวิตในห้องนอนขนาดใหญ่ แต่ก็ยังได้ความเป็นสัดส่วนของพื้นที่ใช้งานที่แยกออกไป ซึ่งยังสามารถทำครัวได้จริงจัง และเปิดระบายอากาศจากห้องน้ำออกสู่นอกระเบียงได้โดยที่ไม่รบกวนพื้นที่พักผ่อนภายในห้องอีกด้วยครับ
มาดูบรรยากาศห้องตัวอย่างของโครงการกันครับ ซึ่งต้องขอบอกอีกอย่างนะครับว่าโครงการนี้เป็นโครงการเดียวที่ขายแบบ Fully Fitted คือจะได้เฉพาะชุดเคาน์เตอร์ครัวกับแอร์เท่านั้น อย่างอื่นทางโครงการเค้าตกแต่งเอาไว้ให้ดูเป็นไอเดียเท่านั้นครับ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมก็ค่อนข้างโปร่งโล่งตามสไตล์ห้อง Studio type ถ้าจะให้ดีและเหมาะกับการอยู่อาศัยของน้องๆนักศึกษาก็แนะนำให้หาพื้นที่วางโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือสักหน่อยจะดีนะครับ เช่นพื้นที่ข้างเตียงฝั่งที่อยู่ติดกับหน้าต่างเป็นต้น เพราะได้แสงธรรมชาติทำให้เหมาะแก่การนั่งทำการบ้าน อ่านหนังสือ และชมวิวไปด้วยได้ครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 30 ตารางเมตร ห้องนี้จะเป็นห้องหน้ากว้างที่ได้ความเป็นสัดส่วนมากขึ้น โดยห้องนอนจะถูกกั้นด้วยผนังทึบแยกออกไปอีกด้าน และมีห้องน้ำในตัวให้ได้ใช้งานได้สะดวก ส่วนห้องนั่งเล่นก็จะได้แสงส่องผ่านมาจากห้องครัวที่อยู่ติดกับระเบียง โดยที่ผนังห้องครัวจะถูกกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนทั่งผนัง ทำให้ห้องดูไม่อึดอัดจนเกินไป แล้วยังได้พื้นที่ระเบียงที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ภาพบรรยากาศห้องตัวอย่างซึ่งต้องขอชมสักหน่อยนะครับว่าโครงการนี้จัดห้องมาได้ดูดีเลยทีเดียว คือมันไม่ได้สวยมากจนเกินไป แต่อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นไปได้ในการซื้อของมาตกแต่งให้สวยตามนี้ได้ไม่ยาก และอยู่ในงบประมาณที่เหมาะสมน่าลงทุน ซึ่งสิ่งที่ยังขาดไปสำหรับห้องนี้ก็คือโต๊ะอเนกประสงค์ให้น้องๆได้นั่งทำงานอ่านหนังสือเช่นเดิมนั่นเอง ถ้าจะให้ผมหาที่ให้นะก็คงจะเป็นในห้องนอนเลยครับ เพราะห้องนอนเมื่อวางเตียงกับตู้เสื้อผ้าไปแล้ว ก็ยังมีพื้นที่เหลือค่อนข้างกว้าง ถ้าจัดดีๆก็สามารถวางโต๊ะได้ 2 ชุด แล้วอยู่ร่วมกันได้ 2 คนเลยทีเดียวนะ
แบบสุดท้ายคือห้อง 2 Bedroom ขนาด 40 ตารางเมตร ซึ่งก็เป็นอีก 1 type ที่ต่างจากโครงการอื่นๆที่จะไม่มีห้องแบบนี้ครับ ลักษณะห้องนี้จะให้ความสำคัญแต่ละฟังก์ชันเท่าๆกันนะ พื้นที่ Common area อยู่ตรงกลางเป็นส่วนใช้งานร่วมกันของคนในห้อง ในขณะที่ห้องครัวผมมองว่ามีขนาดที่ใหญ่ไปหน่อยถ้าเทียบกับความจำเป็นและความต้องการของนักศึกษา แต่ก็อาจจะเหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารทานเองในห้องนะครับ ห้องน้ำอยู่ด้านนอกใช้งานร่วมกันนะ ส่วนห้องนอนก็มีขนาดใกล้เคียงกัน เพียงแต่ห้องนอนเล็กจะมีกระจกเข้ามุมช่วยเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้น ห้องนี้จึงเหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน หรืออาจจะเป็น 3 คนก็ได้นะ โดยห้องนอนใหญ่อาจนอนกับเพื่อน 2 คน หรืออยู่ด้วยกันกับแฟน ส่วนอีกห้องก็นอน 1 คนโสดๆไปครับ
Fact @ 18 May, 2019
- ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019
- Studio ขนาด 24 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 9,000 บาท/เดือน
- 1 Bedroom ขนาด 30 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท/เดือน
- Studio ขนาด 24 ตร.ม. ราคา 1.10 – 1.20 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 45,800 – 50,000 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom ขนาด 30 ตร.ม. ราคา 1.39 – 1.53 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 46,000 – 51,000 บาท/ตร.ม.
สรุปแล้วโครงการนี้จุดเด่นที่สุดของเค้าเลยคือราคาครับ ถือได้ว่าถูดที่สุดในย่านนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะขายแบบ Fully Fitted ที่เราอาจต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์มาเพื่อแต่งห้องเพิ่มเติม ซึ่งถ้าคิดค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มเข้าไปก็ยังถือว่าถูกสุดอยู่ครับ รวมถึงมีพื้นที่ร้านค้าต่างๆครบครันภายในโครงการ มีห้องแบบ 2 Bedroom ให้เลือก และยังมีรถตู้รับ-ส่งไปยังมหาลัยและฟิวเจอร์ได้อีกด้วย แต่ก็ต้องแลกมากับเรื่องทำเลที่ต้องบอกว่าก็ไม่ได้สะดวกมากนักในเรื่องการเดินทางขากลับ และยังมีเรื่องกลิ่นที่อยู่ติดกับโรงงานอีกด้วย
โครงการสุดท้ายคือ Plum Condo ที่เรียกได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกคอนโดมิเนียมทำเลนี้โครงการแรก และได้แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 เฟส ประกอบด้วย Plum Condo Park Rangsit ตัวแรก ที่เปิดตัวไปเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน และได้เกิดเฟสที่ 2 ชื่อว่า Plum Condo Rangsit Alive 1 และล่าสุดก็คือ Plum Condo Rangsit Alive 2 ที่พึ่งเปิด Presale ไปเมื่อ 9 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยราคาเริ่มต้นตอนนั้นประมาณ 1.05 ล้านบาทเท่านั้นเองครับ และได้รวมกันจนกลายเป็นอาณาจักร Plum Condo ที่ใหญ่มากๆ แต่ละเฟสจะมีลักษณะคล้ายๆกัน มีเฟสละ 4 อาคาร รวมกันเป็น 12 อาคาร และมีจำนวนยูนิตรวมกันประมาณ 3,000 ยูนิตครับ
และโครงการที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้คือ Plum Condo Rangsit Alive 2 ตัวใหม่ล่าสุด (โดยผังโครงการและแปลนห้องนี้ ผมนำมาจากในโบว์ชัวร์ที่เค้าแจกกันนะครับ) ซึ่งลักษณะอาคารจะเป็นตึกรูปตัว L ทั้งหมด 4 อาคาร โอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น 1 เอาไว้ และมีจำนวนยูนิตรวม 1,032 ยูนิต ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 ซึ่งอยู่ติดกับสวนส่วนกลาง เวลามองออกมาจากหน้าต่างก็จะได้วิวสวนแบบใกล้ชิด แลกกับความพลุกพล่านที่คนอื่นๆก็อาจลงมาใช้งานและเดินผ่านหน้าต่างห้องเราได้ และอีกจุดเด่นของโครงการ Plum เฟสนี้คือจะมีเซเว่นอยู่ที่ท้ายโครงการอีกด้วยครับ ทำให้เฟสที่อยู่ด้านในก็ไม่จำเป็นต้องเดินไกลเพื่อไปซื้อของถึงเฟสด้านหน้าครับ ส่วนเฟส 2 ก็จะสามารถเดินไปใช้งานร้านค้าเฟส 1 ได้ไม่ยากนัก
ส่วน Facilities ของโครงการนี้ก็เด่นไม่แพ้โครงการอื่นๆเช่นกันครับ เท่าที่ผมทราบคือจะมี Creative Studio และ Workout Studio ที่จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชม. เหมาะกับน้องๆนักศึกษาที่ชอบทำงานตอนกลางคืน หรือจะเป็นช่วงสอบที่ต้องอ่านหนังสือดึกๆก็ได้ครับ ส่วน Facilities อื่นๆจะประกอบด้วย Alive Pool, Alive Track, Alive Park, Cooking Studio, Refereshing Pond, Social Pool, Sauna, Guest Lobby, Resident Lobby, Movie Studio, Play Studio, Multi Studio, Vending Machine, Wash Coin, Box 24, Free Wifi ทุกพื้นที่ส่วนกลาง และมี Shuttle Bus รับส่งไปมหาลัยอีกด้วย เรียกได้ว่าให้มาแบบจัดเต็มมากๆ
ส่วนแบบห้องของโครงการนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แบบ ซึ่งจะเน้นหนักไปทางห้อง 1 Bedroom ขนาด 26.25 ตารางเมตร ที่จะมีจำนวนมากที่สุดในโครงการ เป็นห้องตอนลึกที่มีการจัดวางฟังก์ชันในห้องนอนต่างจากห้องทั่วไปเล็กน้อยครับ คือจะดันเตียงให้ไปชิดอยู่ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้พื้นที่ด้านข้างแบบใหญ่ๆ ที่จะสามารถทำเป็นโต๊ะนั่งทำงานอ่านหนังสือ และวางตู้เสื้อผ้าได้อีกด้วย ส่วนห้องครัวก็จะแยกออกอย่างเป็นสัดส่วน ซึ่งพื้นก็จะเปลี่ยนเป็นกระเบื้องจึงทำให้สามารถประกอบอาหารจริงจังได้
ต่อมาเป็นห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34.50 ตารางเมตรเป็นห้องหน้ากว้างที่มีความเป็นส่วนตัวกว่าห้อง Plus กระจกทั่วๆไป ส่วนที่ผมชอบคือห้อง Plus ที่ถึงแม้ว่าจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับ Common area เต็มๆเลยซะทีเดียว แต่ทางเข้าจะหลบไปอยู่ตรงกับครัว ซึ่งจะมีความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกหน่อย โดยหากใครเลือกห้องแบบนี้แล้วอยู่คนเดียวก็อาจปรับห้อง Plus ให้กลายเป็นห้องทำงานอ่านหนังสือก็ได้นะครับ หรือจะอยู่กันแบบ 2 คนพี่น้องก็ได้นะ
สุดท้ายคือห้อง Combined เป็นการรวมห้อง 1 Bedroom 2 ห้องให้กลายเป็นห้องเดียว มีขนาดพื้นที่ 52.50 ตารางเมตร และมีห้องนอน 2 ห้องที่กั้นด้วยผนังทึบได้ความเป็นส่วนตัว เน้นพื้นที่ Common area ขนาดใหญ่ และมีห้องน้ำเพียงแค่ห้องเดียวซึ่งก็น่าจะเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน รวมถึงมีการลดขนาดพื้นที่ระเบียงที่ไม่ค่อยจำเป็นลงเพื่อเพิ่มพื้นใช้สอยภายในอีกด้วย สำหรับห้อง Type นี้จำเป็นจะต้องแจ้งกับทางโครงการก่อนการก่อสร้างนะครับ เค้าจะได้ทุบเชื่อมผนัง และกั้นห้องเป็น Type นี้ให้ตั้งแต่แรก สิ่งที่ผมติดอยู่อย่างเดียวเลยคือห้องนอนเล็กไม่มีช่องแสงเลยนอกจากพื้นที่ประตูนั่นเองครับ
Fact @ 18 May, 2019
- ราคาค่าเช่าปัจจุบันปี 2019 (เฟสเก่า)
- 1 Bedroom ขนาด 21.50 – 26.00 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 6,500 – 7,500 บาท/เดือน
- 1 Bedroom ขนาด 26.25 ตร.ม. ราคา 1.36 – 1.53 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 51,800 – 58,000 บาท/ตร.ม.
สรุปแล้วโครงการนี้มีจุดเด่นในเรื่องของ Facilities โดยเฉพาะส่วนที่เปิดให้บริการ 24 ชม. ครับ และนอกนั้นก็จะมีฟังก์ชันที่ค่อนข้างหลากหลายให้ได้เลือกใช้งาน มีร้านค้าไว้คอยบริการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับน้องๆได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีรถรับส่งไปยังมหาลัยอีกด้วย ส่วนเรื่องฟังก์ชันห้องก็มองว่าเป็นมาตรฐานดี น้องๆสามารถอยู่ได้จริง มีแบบห้อง Combined ให้เลือก และยังมีราคาที่ถูกอีกด้วยครับ ค่อนข้างเหมาะสำหรับนักลงทุนเลยทีเดียว
ตารางสรุป
เรื่องแรกที่เราจะมาคุยกันคือลักษณะภายนอกของตัวโครงการ เริ่มจากจำนวนยูนิตจะเห็นได้ว่าโครงการ Be Condo จะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ในขณะที่ Kave Town Shift กับ Plum Condo Rangsit Alive 2 จะมีจำนวนมากพอๆกันเป็นหลัก 1,000 ยูนิต แต่หากนับทั้งโครงการจริงๆตัว Plum Condo จะมีมากสุดอยู่ที่ 3,000 กว่ายูนิต ในขณะที่ Kave Town จะมีจำนวนประมาณ 2,000 กว่ายูนิตครับ ซึ่งส่วนต่างของจำนวนห้องพักขนาดนี้นอกจากจะส่งผลต่อความพลุกพล่านและความแออัดในการใช้ Facilities แล้ว ยังมีผลต่อความเสื่อมโทรมของโครงการอีกด้วย ยิ่งมีคนใช้งานเยอะก็ยิ่งต้องมีการบำรุงรักษากันให้ดีมากกว่าปกตินะครับ
แต่โครงการใหญ่ๆแบบนี้ ก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางมาให้แบบจัดเต็มเช่นกัน ซึ่งแต่ละโครงการก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเน้นเรื่องพื้นที่ทำงาน เน้นพื้นที่สวนพักผ่อน เน้นการแยกพื้นที่และกระจายพื้นที่ออกเป็นหลายๆส่วน เน้นพื้นที่ร้านค้า และเน้นพื้นที่ส่วนกลางเปิด 24 ชม. ซึ่งอันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความชอบของน้องๆแต่ละคนและแต่ละคณะแล้วล่ะครับ ว่าจะชอบใช้ฟังก์ชันแบบไหน หรือเน้นใช้งานพื้นที่อะไรเป็นพิเศษมากกว่ากัน
ส่วนเรื่องของ Location ส่วนตัวผมชอบโซนแรกของ Kave Town เพราะน้องๆสามารถเดินมาเรียนได้ง่ายๆ และยังมี McDonald’s ที่เปิดตลอด 24 ชม. ให้ได้ใช้งานกันอีกด้วย รองลงมาคือโซนฝั่งตรงข้ามมหาลัย เป็นโซนที่น้องๆเดินไปเรียนได้ง่ายเพียงแค่ข้ามสะพานลอย และมีวินรถตู้อยู่ไม่ไกล สามารถเข้าเมืองได้สะดวก เพียงแต่อาจเป็นโซนที่ได้ยินเสียงจากมัสยิดอยู่บ้างนะครับ แต่ถ้าอยู่ในห้องแล้วปิดประตูหน้าต่างดีๆ ก็อาจจะไม่ได้ยินนะ ส่วนโซนสุดท้ายคือ Plum Condo โซนนี้ถ้าขับรถเองก็จำเป็นจะต้องกลับรถไกลสักหน่อย ดีที่โครงการมี Shuttle Bus รับส่งให้ฟรี เพียงแต่สำหรับโครงการ Be Condo ก็อาจได้กลิ่นจากโรงงานอยู่บ้างนะครับ
สุดท้ายเรามาดูเรื่องขนาดห้องและราคากันบ้าง จะเห็นได้ว่าโครงการคอนโดทำเลนี้จะเน้นไปที่ห้อง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งราคาก็จะแบ่งแยกตามโซนอย่างชัดเจนครับ อย่างโซนที่ใกล้มหาลัยก็จะมีราคาขายที่แพงหน่อย แถมยังมีค่าเช่าที่สูงด้วย ซึ่งแต่ละโครงการก็ช่วยแก้ปัญหาด้วยการออกแบบห้องพักให้สามารถอยู่ร่วมกันได้มากกว่า 2 คน ซึ่งพอน้องๆนักศึกษามาแชร์ค่าเช่าห้องด้วยกันแล้ว ก็จะทำให้มีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป พอที่จะจ่ายไหวครับ แต่ถ้าเป็นโซนที่ไกลออกมาหน่อยก็จะมีราคาและค่าเช่าที่ถูกกว่า ซึ่งก็เป็นราคาที่จะสามารถจ่ายคนเดียวไหว สามารถอยู่ได้แบบเป็นส่วนตัว ซึ่งหากลองสังเกตราคาของ Be Condo ดีๆก็จะพบว่า ถึงแม้ทำเลและส่วนกลางจะดูด้อยกว่าเพื่อน แต่ก็มีราคาที่ถูกกว่าใคร สามารถหยิบจับได้ง่ายมากกว่า และได้ราคาเช่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยล่ะครับ ซึ่งอันนี้เพื่อนๆน้องๆก็ต้องลองพิจารณาและชั่งใจกันดูนะครับว่าเราควรจะเลือกหรือเหมาะกับโครงการไหน
สุดท้ายแล้วพอผมได้ลงพื้นที่สำรวจคอนโดของทั้ง 2 มหาลัย ก็พบถึงความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยครับ โดยในส่วนของมหาลัยกรุงเทพนั้นเรียกได้ว่าแข่งกันที่ Facilities กันอย่างเห็นได้ชัด แต่ละโครงการนั้นจัดเต็มมาให้แบบไม่มีกั๊กกันเลยทีเดียว ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ความชอบและความจำเป็นของแต่ละคนแล้วล่ะครับว่าชอบสไตล์ของโครงการไหนมากกว่ากัน ส่วนเรื่องของราคาและฟังก์ชันห้องก็จะเป็นไปตามทำเลครับ ใกล้หน่อยก็แพงหน่อย และอาจจะต้องแชร์กันอยู่หลายๆคนถึงจะเหมาะ แต่ถ้าไกลหน่อยก็จะอยู่คนเดียวก็ได้ มีความเป็นส่วนตัวไปอีกแบบ
ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจเลือกคอนโดใกล้มหาลัยกรุงเทพให้แก่น้องๆนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือนักลงทุนไม่มากก็น้อยนะครับ และคราวหน้า Think of Living จะพาไปส่องคอนโดใกล้มหาลัยไหน หรืออยากให้เราพาไปส่องมหาลัยอะไรอีกก็สามารถ comment ด้านล่าง และอย่าลืมติดตามรับชมกันด้วยนะครับ ^^