เคยเห็นมั้ย? คนที่ทุ่มเงินเก็บจนหมดไปกับการซื้อบ้านหลังสวย จนตอนเข้าอยู่จริง ไม่มีงบซื้อเฟอร์นิเจอร์ ต้องนอนบนหนังสือพิมพ์ นั่งกับพื้น ใช้กล่องลังแทนโต๊ะกินข้าว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก แต่เอาเข้าจริงขำไม่ออกเหมือนกันนะ
เพราะหลายๆคนมักวางแผนค่าใช้จ่ายต่างๆในการซื้อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเงินจอง+ทำสัญญาคอนโด/บ้าน เตรียมเงินดาวน์ จ่ายค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอนบ้านทุกอย่างเป๊ะ!! คิดว่าโอนบ้านเสร็จแล้ว ทุกอย่างก็น่าจะจบ เตรียมฉลองขึ้นบ้านใหม่ แต่ดันลืมไปว่ายังมีค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากโอนบ้านอีกเพียบบบบ
ถ้าใครไม่อยากเป็นคนที่ต้องนอนพื้นในบ้านโล่งๆไปหลายเดือน งั้นมาอ่านบทความนี้เลย เพราะเราจะช่วยให้มุมมองแบบครบทุกมุมว่า หลังการโอนบ้านยังมีค่าใช้จ่ายแฝงอะไรอีกบ้างที่ควรรู้และเตรียมตัวไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่สะดุดตอนเริ่มต้นชีวิตในคอนโดหรือบ้านหลังใหม่ค่ะ
ค่าใช้จ่ายในการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์
หลายๆคนมักจะเตรียมค่าใช้จ่ายในการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์มาอย่างรอบคอบกันอยู่แล้ว เพราะหากไม่มีเงินก้อนนี้ก็ซื้อบ้านหรือคอนโดไม่ได้เลยนะ แต่เราอยากจะมาขอมาทบทวนกันหน่อยว่าการซื้อบ้านหรือคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไร ก่อนที่เราจะพาไปดูค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อบ้านกัน
สำหรับการซื้อขายบ้าน และที่ดิน ณ กรมที่ดินในวันโอน จะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการโอนอยู่แล้วเป็นปกติ โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายจะประกอบด้วย ดังนี้
- ค่าจองและทำสัญญา (ค่ามัดจำ) : ค่าใช้จ่ายนี้ขึ้นอยู่กับทางผู้ขายหรือโครงการเลย ส่วนใหญ่มีราคาหลักหมื่นขึ้นไป สำหรับค่าจองเป็นการวางเงินจำนวนนึงเพื่อเป็นการจองคอนโดหรือบ้านหลังนี้ไว้ก่อน ส่วนค่าทำสัญญา คือ หลังจากวันจองแล้วจะมีการนัดทำสัญญาจะซื้อจะขาย และจ่ายเงินอีกจำนวนนึงเพิ่ม โดยปกติแล้วจะมีการกำหนดวันทำสัญญาหลังจากวันจองภายใน 7 วัน
Remark
– การซื้อบ้านพร้อมอยู่ การจองจะทำพร้อมกับการทำสัญญา โดยรวมเงินเป็นก้อนเดียวที่ใหญ่ขึ้นค่ะ
– หลายๆโครงการอาจมีโปรโมชันยกเว้นค่าจองและทำสัญญาให้ด้วย - เงินผ่อนดาวน์ 5-10% ของราคาขาย (เฉพาะโครงการที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง) : จำนวนเงินที่โครงการกำหนดให้ผู้ซื้อจ่ายในช่วงระหว่างที่โครงการยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยจะเป็นการผ่อนแบบไม่มีดอกเบี้ย เพราะเป็นการผ่อนกับโครงการตามจำนวนเดือนก่อนโครงการจะสร้างเสร็จนั่นเอง
- ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้ : หากวางเงินกู้เกิน 500,000 บาทจะต้องเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 1 ส่วนวงเงินกู้น้อยกว่า 500,000 บาทจะได้รับการยกเว้นในบางธนาคาร
- ค่าประเมินและสำรวจ : เป็นการประเมินและสำรวจมูลค่าของบ้านหรือคอนโด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคา ซึ่งจะพิจารณาจากปัจจัยหลายๆอย่าง เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาวงเงินกู้ที่เราจะได้รับจากการขอสินเชื่อบ้านกับทางธนาคาร ราคาประมาณ 1,800 – 3,000 บาทขึ้นไป
- ค่าธรรมเนียมการโอน 0.01%* ของราคาประเมินหรือราคาขาย (ปกติจะคิดอยู่ที่ 2%) : ยึดราคาประเมินหรือราคาขายที่สูงกว่าเป็นหลักในการคำนวณ
ตัวอย่าง ราคาประเมิน 1,500,000 บาท ราคาขายอยู่ที่ 2,000,000 บาท จะใช้ราคาที่สูงกว่า นั่นก็คือ 2,000,000 บาท
ค่าธรรมเนียมการโอนอยู่ที่ 2,000,000 x 0.0001 (0.01%) = 200 บาท - ค่าจดจำนอง 0.01%* ของยอดเงินที่กู้ทั้งหมด (ปกติจะคิดอยู่ที่ 1%) : จ่ายเฉพาะกรณีที่กู้ธนาคารเท่านั้น
ตัวอย่าง ยอดเงินกู้อยู่ที่ 2,000,000 บาท ดังนั้นค่าจดจำนองอยู่ที่ 2,000,000 x 0.0001 (0.01%) = 200 บาท - ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย (ไม่ต้องจ่ายหากจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว) : ค่าอากรจะไม่ต่ำกว่าราคาประเมิน
ตัวอย่าง ราคาประเมิน 1,500,000 บาท ราคาขายอยู่ที่ 2,000,000 บาท จะใช้ราคาที่สูงกว่า นั่นก็คือ 2,000,000 บาท
ค่าอากรแสตมป์อยู่ที่ 2,000,000 x 0.005 (0.5%) = 10,000 บาท - ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน : เป็นค่าภาษีสำหรับบ้านมือสองที่ผู้ขายถือครองไม่ถึง 5 ปี (ไม่ต้องจ่ายหากจ่ายค่าอากรแสตมป์แล้ว)
Remark : หากผู้ขายมีการถือครองบ้านเกิน 5 ปีหรือมีการย้ายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่จะโอนนี้เกิน 1 ปี จะไม่ต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์แทนค่ะ - ค่าภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด) : มีการคิดแบบขั้นบันไดภาษี หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามจำนวนปีเป็นเจ้าของ
Remark : หากบ้านหรือที่ดินที่ซื้อขายกันไม่ได้ซื้อด้วยเงินสด มีการจำนองกับธนาคาร จะเสียค่าจำนอง 0.01%* ของมูลค่าจำนองตามที่เราบอกไปด้านบนนะ - ค่าประกันอัคคีภัย : เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายของตัวบ้านจากเหตุไฟไหม้ทุกรูปแบบ ทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือจากมนุษย์ โดยจะคุ้มครองเฉพาะตัวบ้าน ไม่รวมที่ดิน ซึ่งสำหรับบ้านที่ซื้อด้วยเงินสดจะไม่ได้บังคับทำประกันตัวนี้ แต่หากเป็นการกู้ซื้อบ้านจะบังคับทำประกันอัคคีภัยนี้ตามที่กฎหมายกำหนดค่ะ ซึ่งเราควรเลือกวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 70% ของราคาบ้านนะ เพราะหากทำประกันต่ำกว่า 70% และเกิดความเสียหาย เราจะต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนที่เกินจากทุนประกันเองค่ะ สำหรับค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยจะอยู่ประมาณ 0.1% ต่อปีของทุนประกัน หรือล้านละ 1,000 บาทค่ะ
หมายเหตุ :
*มีการประกาศมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% สำหรับซื้อบ้านใหม่ และซื้อบ้านต่อ ที่ราคาซื้อขาย วงเงินจำนอง และราคาประเมินกรมที่ดิน ไม่เกิน 7 ล้านบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2569
ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน
เราได้ยกตัวอย่างมาประกอบให้ทุกคนเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น สมมติว่าเราต้องการซื้อบ้านเดี่ยวมือหนึ่ง สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ขนาดที่ดิน 50 ตร.วา ราคา 6 ล้านบาท เราจะต้องเตรียมงบสำหรับการซื้อบ้านหลังนี้เท่าไหร่
- ค่าจองและทำสัญญา (ค่ามัดจำ) : 150,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ : 6,000 บาท
- ค่าประเมินและสำรวจ : 3,000 บาท
- ค่าจดจำนอง 0.01%* : 600 บาท
- ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ 0.01%* : 600 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 0.5% : 30,000 บาท
- ค่าประกันอัคคีภัย : 6,000 บาท
- สรุปรวมค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน : 196,200 บาท
ดังนั้นการซื้อคอนโดหรือบ้านสักหลังนึง เราจะต้องมีเงินหลักแสนเตรียมเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อและโอนบ้านไว้เลยนะคะ แต่นอกจากเราจะเก็บเงิน เดินเรื่องจนซื้อบ้านมาเป็นของเราแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อบ้านที่หลายๆคนมักมองข้ามไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะโฟกัสในบทความนี้นั่นเอง จะเป็นอะไรบ้าง ตามอ่านกันต่อเลยค่ะ
ค่าใช้จ่ายหลังจากซื้อ-โอนบ้านที่หลายๆคนมักมองข้าม
หลังจากเรารู้แล้วว่าค่าใช้จ่ายในการเตรียมซื้อบ้านหรือคอนโดมีอะไรบ้าง จนเราได้คอนโดหรือบ้านมาครอบครองแบบพูดได้เต็มปากแล้วว่านี่แหละคือบ้านของเรา ก็ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงที่หลายๆคนลืมนึกถึงกัน ไม่ได้เตรียมใจและเตรียมเงินพวกนี้ในการใช้จ่าย ทำให้ต้องนอนอยู่บ้านเดิมหรือเช่าคอนโดต่อไปอีกสักพักเลย เพื่อรอเก็บเงินก้อนใหม่สำหรับค่าใช้แฝงเหล่านี้เลย หรือที่เราจะชอบเห็นคนแซวกันตลกๆแบบแอบปาดน้ำตาว่า “ซื้อบ้านจนเงินหมดแล้ว แต่ไม่มีเงินแต่งบ้าน ต้องนอนบนพื้นในบ้านโล่งๆแทน” ถ้าใครไม่อยากเป็นแบบนี้ งั้นเราจะพาไปเตรียมตัวกันว่าค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อคอนโดหรือบ้านจะมีอะไรอีกบ้าง โดยเราได้แบ่งเป็นทั้งหมด 8 กลุ่มด้วยกัน ดังนี้
ค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์
พอเราซื้อบ้านหรือคอนโดใหม่ก็จะจินตนาการว่าอยากจะตกแต่งพื้นที่แต่ละมุมออกมาเป็นสไตล์ไหน เป็นพื้นที่สำหรับการใช้งานยังไง ทำให้เวลาย้ายเข้าบ้านใหม่ ถึงแม้จะมีข้าวของบางอย่างที่เราขนย้ายมาจากที่อยู่อาศัยเดิม แต่ก็จะมีการซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้ง Built-in และลอยตัวใหม่ๆมาเติมในที่อยู่อาศัยใหม่ด้วยอยู่ดี สำหรับคนที่ซื้อคอนโดตกแต่งแบบ Fully Furnished หรือบ้านตัวอย่างก็จะเสียค่าตกแต่งเพิ่มเติมไม่มากนักก็เข้าอยู่อาศัยได้เลย หากใครที่ซื้อบ้านเปล่าแล้วอยากซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ตกแต่งทั้งหลังก็จะต้องเตรียมเงินเยอะด้วยเหมือนกัน
นอกจากจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ Built-in และลอยตัว อย่างเช่น พวกตู้เก็บรองเท้า, ชั้นวางของ, ตู้เสื้อผ้า, โต๊ะ, เก้าอี้, โซฟา และเตียงแล้ว ยังมีพวกผ้าม่าน, มู่ลี่และ Wallpaper ด้วยนะ รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วย เช่น เครื่องปรับอากาศ, พัดลม, ไมโครเวฟ, เตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน, เตาอบ, หม้อทอดไร้น้ำมัน, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, เครื่องอบผ้า, เตารีด, เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องดูดฝุ่น, หุ่นยนต์ทำความสะอาด, ทีวี เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งบ้านและซื้อเฟอร์นิเจอร์จะอยู่ประมาณ 10% ของราคาบ้าน โดยเราอ้างอิงจากการกู้เพื่อตกแต่งบ้านที่กู้เพิ่มเติมจากวงเงินกู้ซื้อบ้านนะคะ อย่างบ้านที่เราสมมติมีราคา 6 ล้านบาท ก็มีงบสำหรับค่าตกแต่งประมาณ 600,000 บาทนะ
แต่เราเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะแต่งบ้านเพลินจนเกินงบนี้ได้ง่ายมากๆ เอาจริงๆเราไม่จำเป็นต้องซื้อของทุกอย่างให้ครบตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านใหม่วันแรกเลย แต่เราสามารถอยู่อาศัยไปก่อนสักพัก ซื้อของเท่าที่จำเป็นแล้วค่อยๆซื้อของอื่นๆมาเติมทีหลังได้ค่ะ ก็จะช่วยทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น
ค่าแก้ไขบ้านเพิ่มเติม
หลังจากเราซื้อบ้านหรือคอนโดแล้ว แต่วัสดุและฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านก็อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของเราเท่าไหร่ ทำให้อาจจะต้องเตรียมงบส่วนนึงสำหรับปรับเปลี่ยนบ้านเพิ่มเติมให้เราอยู่อาศัยได้สะดวกสบายมากขึ้น
- งานแก้ไข-ปรับฟังก์ชัน : ติดตั้ง Digital Door Lock เพิ่มความปลอดภัย, ติดฟิล์มตรงประตูกระจกและหน้าต่าง ป้องกัน-ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านและสะท้อนแสงแดด, ซีลขอบประตู-หน้าต่างสำหรับกันฝุ่น-กันแมลง, การเพิ่มและย้ายจุดปลั๊ก-สวิตช์ไฟให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ทำให้ใช้งานได้ง่าย, การเดินสายไฟฟ้าเพิ่ม สำหรับการต่อสาย LAN กล้องวงจรปิดหรือจุดชาร์จ EV และติดตั้งไฟส่องทางเดินรอบบ้านในตอนกลางคืน
- รองรับการอยู่อาศัยร่วมกับเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ : ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น อย่างอุปกรณ์ปลอดภัยสำหรับเด็ก เช่น ติดตั้งประตูป้องกันเด็ก (Baby Gate) ที่บันไดหรือทางออก, ที่อุดปลั๊กไฟ, ยางกันมุมโต๊ะ-มุมเฟอร์นิเจอร์, ตาข่ายกันตกบริเวณราวบันไดและช่องตรงราวระเบียง ส่วนของผู้สูงอายุจะเน้นเป็นห้องน้ำที่ควรเลือกใช้เป็นประตูบานเลื่อนให้เปิด-ปิดได้ง่าย ไม่ต้องออกแรงเยอะ รวมถึงติดตั้งติดตั้งราวจับในห้องน้ำ ช่วยพยุงเวลาลุก-นั่งและปูกั้นลื่นตรงพื้นห้องน้ำด้วย
- อุปกรณ์เสริมในบ้าน : ค่าติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV), เครื่อง EV Charger, ค่าระบบสัญญาณกันขโมย, ค่าระบบกริ่งหน้าประตูแบบมีจอภาพ, ค่าติดตั้งระบบ Smart Home อย่างระบบเปิด-ปิดไฟ, Smart Door Lock และควบคุมแอร์-ผ้าม่านอัตโนมัติ รวมถึงการติดตั้ง Solar Cell เพื่อประหยัดค่าไฟในระยะยาวด้วย
หากใครสนใจติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน เราก็เคยเขียนบทความ ติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ใช้งบเท่าไหร่ ใช้ยี่ห้อไหนดี มาให้อ่านกันด้วยนะ
ค่าส่วนกลางโครงการ
ค่าใช้จ่ายที่ผู้อยู่อาศัยหรือเจ้าของบ้าน-คอนโด จำเป็นต้องจ่ายให้กับนิติบุคคลโครงการ โดยนำเงินส่วนนี้ไปบริหารจัดการดูแลส่วนต่างๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมถึงจ่ายเงินเดือนให้กับคนที่ทำงานในโครงการ เช่น รปภ., แม่บ้าน, ช่างซ่อม และฝ่ายนิติบุคคล เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยนั่นเอง โดยส่วนใหญ่จะเก็บค่าส่วนกลางเป็นรายปีและจะเก็บค่าส่วนกลางครั้งแรกล่วงหน้า 1-3 ปี ในวันที่โอนกรรมสิทธิ์เลย แต่ก็มีหลายๆโครงการเหมือนกันที่มีโปรโมชันฟรีค่าส่วนกลาง 1-2 ปี หรือมาจ่ายทีหลัง เราจึงขอรวมค่าส่วนกลางมาไว้ในกลุ่มค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากโอนบ้านนะคะ
- คอนโดมิเนียม : คำนวณค่าส่วนกลางเป็น ราคา/ตารางเมตร/เดือน
- ที่อยู่แนวราบ : คำนวณค่าส่วนกลางเป็น ราคา/ตารางวา/เดือน
ตัวอย่าง บ้านเดี่ยวที่ดิน 50 ตร.วา โดยโครงการคิดค่าส่วนกลางอยู่ที่ 45 บาท/ตารางเมตร/เดือน
ค่าส่วนกลางที่ต้องจ่าย = 50 x 45 = 2,250 บาท/เดือน หรือ 27,000 บาท/ปี
นอกจากนั้นสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมจะมีค่ากองทุนด้วย เป็นเงินเผื่อสำรองไว้บำรุงรักษาพื้นที่ส่วนกลางที่ต้องการการปรับปรุงครั้งใหญ่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือเร่งด่วน รวมถึงการซื้อทรัพย์สินที่มีความจำเป็น ซึ่งการใช้เงินก้อนนี้จะต้องได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าของร่วมคอนโดก่อนเสมอ โดยจะจัดเก็บครั้งแรกครั้งเดียว ณ วันโอนกรรมสิทธิ์เลย ส่วนใหญ่จะคิดราคาอยู่ที่ 500 บาท/ตร.ม.ค่ะ
ค่าดูแลบ้าน
สำหรับค่าดูแลบ้านก็เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามหลังจากซื้อบ้าน-คอนโดแล้วเหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้วมีค่าใช้จ่ายประจำที่เราจะต้องเตรียมงบไว้ เพราะการดูแลที่ดีก็จะช่วยทำให้บ้าน-คอนโดน่าอยู่อาศัยและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ไม่เสื่อมโทรม ไม่ดูเก่า เราได้ลิสต์มาให้ดูเป็น Guideline ด้วยนะคะว่าจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
- การดูแลภายในบ้านทั่วไป :
– ค่าจ้างแม่บ้านทำความสะอาด ทั้งปัด-กวาด-ถูพื้นบ้าน, งานเช็ดกระจก, ทำความสะอาดฝุ่นตามเฟอร์นิเจอร์อย่างพวกโต๊ะ-ตู้-เก้าอี้ ราคาประมาณ 2,000-5,000 บาทต่อเดือน
– ค่าทำความสะอาดถังเก็บน้ำ ควรล้างทุก 1 ปี ราคาประมาณ 1,000-3,000 บาท
– ค่าล้างเครื่องปรับอากาศ ควรล้างแอร์ทุก 6 เดือน ราคาเริ่มต้น 650-2,100 บาทต่อเครื่อง (เราได้ทำบทความรวม Application บริการล้างแอร์มาให้แล้วนะ คลิกอ่านได้ที่นี่เลย) - การดูแลสวน : ค่าจ้างรดน้ำ ทำสวน ตัดหญ้า แต่งกิ่งไม้ สามารถจ้างเป็นรายครั้งหรือรายเดือนก็ได้ ราคาต่อเดือนประมาณ 2,000-5,000 บาท
- การป้องกันสัตว์รบกวน : ค่าฉีดพ่นยุง-แมลงและค่าฉีดกำจัดปลวก ราคาประมาณ 3,000 บาทไปจนถึงหลักหมื่น
ค่าสาธารณูปโภค
หลังจากเราซื้อบ้านแล้ว ก็ต้องมีจ่ายค่าสาธารณูปโภคด้วยนะ เพราะถือเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยนั่นเอง หลักๆแล้วจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตและค่าเก็บขยะนั่นเอง
- การติดตั้งมิเตอร์และค่าประกันมิเตอร์น้ำ-ไฟ
โดยส่วนใหญ่หมู่บ้านใหม่ในโครงการจะติดตั้งมิเตอร์น้ำ-ไฟมาให้เรียบร้อยเลย โดยทางโครงการจะดำเนินการขอมิเตอร์นี้และชำระเงินล่วงหน้าให้แล้ว หลังจากเรารับโอนบ้าน ทางโครงการก็จะเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆที่ได้ชำระไปล่วงหน้าจากลูกบ้านในวันโอนบ้านนะคะ แต่มีบางโครงการ รวมถึงบ้านที่ปลูกสร้างเองที่เราจะต้องไปดำเนินเรื่องติดต่อขอมิเตอร์น้ำ-ไฟด้วยตัวเองนะ โดยจะมีค่าใช้จ่ายดังนี้
มิเตอร์ไฟฟ้า
– มิเตอร์ขนาด 5(15) : บ้านพักขนาดเล็ก ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มาก
ค่าตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า 700 บาท + เงินประกัน 300 บาท = 1,000 บาท
– มิเตอร์ขนาด 15(45) : ขนาดมิเตอร์ที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ใช้กัน
ค่าตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า 700 บาท + เงินประกัน 2,000 บาท = 2,700 บาท
– มิเตอร์ขนาด 30(100) : บ้านพักขนาดใหญ่ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด
ค่าตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า 700 บาท + เงินประกัน 4,000 บาท = 4,700 บาท
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://www.pea.co.th/our-services/tariff
มิเตอร์น้ำ
– ประเภทบ้านพักอาศัย สำหรับมาตรวัดน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ½ นิ้ว ราคา 5,000 บาท + ค่าประกัน 500 บาท = 5,500 บาท
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://www.mwa.co.th/services/users-should-know/water-and-service-rates/rate-installing-new-plumbing/
- ค่าบริการอินเทอร์เน็ตภายในบ้าน/คอนโด
เป็นค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายให้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็น AIS, True หรือ Dtac เพื่อขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตภายในบ้านหรือคอนโดเรานั่นเอง โดยจะมีแพกเกจที่หลากหลายให้เลือกได้ตามการใช้งานของเราเลย ราคาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ประมาณ 500 บาท/เดือนค่ะ
- ค่าเก็บขยะ
สำหรับค่าเก็บขยะจะไม่ได้อยู่ในค่าส่วนกลางที่ลูกบ้านจ่ายให้กับทางนิติบุคคลของโครงการนะคะ ทำให้ทางลูกบ้านจะต้องเสียค่าขยะเพิ่มเองให้กับเจ้าหน้าที่เขต หรือ อบต. จังหวัด (สำหรับชาวคอนโดจะไม่ต้องเสียค่าขยะเพิ่มเพราะถือว่าการจัดเก็บขยะนี้รวมอยู่ในค่าส่วนกลางแล้ว) แต่ก็มีหมู่บ้านบางโครงการเหมือนกันที่มีการจัดเก็บค่าขยะรวมอยู่ในค่าส่วนกลางแล้ว ต้องสอบถามกับทางโครงการโดยตรงค่ะ
สำหรับปัจจุบันนี้ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร มีการปรับขึ้นค่าเก็บขยะตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. 2568 โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 นี้
กลุ่มที่ 1 บ้านพักอาศัยทั่วไป : ขยะทั่วไป (ไม่เกิน 20 ลิตร/วัน)
– กรณีคัดแยกขยะและลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ที่กรุงเทพมหานครกำหนด จะจ่ายค่าธรรมเนียมเท่าเดิมที่เคยจ่าย = 20 บาท/เดือน (ค่าเก็บและขนเดือนละ 10 บาท ค่ากำจัดเดือนละ 10 บาท)
– กรณีไม่คัดแยกขยะ ปรับขึ้นเป็น 60 บาท/เดือน (ค่าเก็บและขนเดือนละ 30 บาท ค่ากำจัดเดือนละ 30 บาท)
กลุ่มที่ 2 ร้านค้า / SME : ขยะทั่วไป (มากกว่า 20 ลิตร แต่ไม่เกิน 1 ลบ.ม./วัน)
– ค่าธรรมเนียม = 120 บาท/20 ลิตร
กลุ่มที่ 3 สถานประกอบการขนาดใหญ่ : ขยะทั่วไป (เกิน 1 ลบ.ม./วัน)
– ค่าธรรมเนียม = 8,000 บาท/1 ลบ.ม. (ค่าเก็บและขน 3,250 บาท และค่ากำจัด 4,750 บาท)
ค่าประกันบ้าน
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวบ้าน หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทางบริษัทประกันจะเข้ามาประเมินความเสียหายและชดเชยความเสียหายตามที่กรมธรรม์กำหนดไว้นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยนะว่าจะทำประกันนี้มั้ย เพราะเราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแรงอะไรขึ้นบ้าง อย่างเร็วๆนี้อยู่ดีๆก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประเทศเมียนมาร์ส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยหลายคนเลย โดยเฉพาะคอนโด High rise นอกจากนั้นยังเป็นประกันที่คุ้มครองไปถึงเหตุการณ์อื่นๆ เช่น ไฟไหม้, น้ำท่วมและลมพายุ เป็นต้น
ทำให้อย่างน้อยเราก็ยังได้รับเงินประกันที่ได้จากความคุ้มครองนี้ เพื่อนำมาซ่อมแซมความเสียหายตัวบ้านนั่นเอง สำหรับบ้านหรือคอนโดที่เรายื่นกู้เงินจากทางธนาคารจะบังคับให้ทำ “ประกันอัคคีภัย” อยู่แล้วนะ แต่ก็ยังมีประกันบ้านแบบอื่นให้เลือกซื้อเพิ่มได้ด้วย
- ประกันคุ้มครองภัยพิบัติ
คุ้มครองความเสียหายของตัวบ้านจากภัยธรรมชาติต่างๆอย่างเหตุการณ์น้ำท่วม, แผ่นดินไหวหรือลมพายุรุนแรง และต้องได้รับการประกาศว่าเป็นภัยพิบัติรุนแรงตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ถึงจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของประกัน สำหรับการคุ้มของประกันประเภทนี้จะไม่สามารถซื้อความคุ้มครองได้เต็มจำนวนของมูลค่าบ้านและขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ทางบริษัทประกันกำหนดเท่านั้น เบี้ยประกันจ่ายเป็นรายปี ไม่เกิน 0.5% ของความคุ้มครอง - ประกันทรัพย์สินภายในที่อยู่อาศัย
คุ้มครองความเสียหายของทรัพย์สินภายในบ้าน เช่น เฟอร์นิเจอร์ และของมีค่าต่างๆภายในบ้าน เพราะประกันอัคคีภัยและประกันภัยพิบัติมักจะคุ้มครองเฉพาะตัวบ้านหรือโครงสร้างบ้านเท่านั้นนั่นเอง - ประกันภัยคุ้มครองโจรกรรม
ประกันตัวนี้จะแตกต่างกับการประกันภัยทรัพย์สินภายในบ้าน เพราะจะเน้นไปที่สินทรัพย์มูลค่าสูงภายในบ้าน โดยจะให้ความคุ้มครองทรัพย์สินเมื่อมีเหตุโจรกรรมเกิดขึ้น รวมไปถึงการคุ้มครองในส่วนความเสียหายที่เกิดจากเหตุโจรกรรมด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีการคุ้มครองแบบพิเศษเพิ่มขึ้นมาด้วย เช่น การคุ้มครองบุคคลเมื่อเกิดภัยต่อร่างกาย ซึ่งการคุ้มครองนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดในกรมธรรม์ของประกันภัยแต่ละบริษัทค่ะ - ประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ MRTA (Mortgage Reducing Term Assurance)
คุ้มครองในส่วนของสินเชื่อบ้านเป็นหลัก โดยผู้ขอสินเชื่อเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ในขณะที่อยู่ในระหว่างการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านกับธนาคารอยู่ ทางบริษัทประกันจะเป็นผู้ชำระหนี้ให้กับธนาคารต่อตามที่ระบุในกรมธรรม์ ทำให้คนในครอบครัวของผู้ขอสินเชื่อไม่ต้องแบกรับภาระหนี้สินต่อนั่นเอง นอกจากนั้นหากมียอดการคุ้มครองเกินวงเงินสินเชื่อ เงินส่วนต่างนี้ก็จะถูกส่งต่อให้ผู้รับผลประโยชน์ลำดับถัดไปด้วยค่ะ
หากใครอยากรู้รายละเอียดแบบเจาะลึกของประกันบ้าน สามารถอ่านต่อได้ที่นี่ >> ประกันบ้านและคอนโด อยู่แล้วพังไม่ต้องซ่อมเอง
ค่าใช้จ่ายในการย้ายบ้าน
หลังจากซื้อบ้านเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวพร้อมจะย้ายเข้าบ้านใหม่ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าแค่จ้างรถขนของแล้วจบนะ เพราะจริงๆแล้วยังมีค่าใช้จ่ายยิบย่อยเยอะกว่าที่คิดไว้ ตั้งแต่ค่ากล่อ, แพ็กของ, ค่าเหมารถ, ค่าแรงคนยก ไปจนถึงค่ารื้อแอร์ ติดม่านและล้างบ้านใหม่อีก งั้นมาดูรายละเอียดกันว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่มักเกิดขึ้นในวันย้ายบ้าน
- ค่าขนย้ายของ :
– ค่ารถขนย้าย (เช่ารถหรือใช้บริการบริษัทรับจ้างขนย้าย), ค่าแรงคนยกของ (มีของเยอะ ของชิ้นใหญ่ ย้ายไปอยู่คอนโดสูงหรือกรณีที่ไม่ได้ใช้บริการบริษัทขนย้ายที่มีพนักงาน), ค่าวัสดุสำหรับการย้ายของและแพ็กของ (กล่องกระดาษ, ลังพลาสติก, พลาสติกกันกระแทก (Bubble Wrap), เทปกาว, เชือก, ถุงสำหรับสายไฟและอุปกรณ์เล็กๆ)
– ค่าประกันของเสียหาย (หากใช้บริการบริษัทขนย้าย)
– ค่ารื้อ-ติดตั้งและถอดประกอบอย่างการรื้อเฟอร์นิเจอร์ Built-in, ค่ารื้อ-ติดตั้งแอร์, ค่ารื้อผ้าม่าน / ติดผ้าม่านใหม่ และค่ารื้อและติดตั้งจานดาวเทียม / Wi-Fi / กล้องวงจรปิด
Remark : หากจ้างบริษัทขนย้ายแบบครบวงจร ราคาบริการจะรวมทั้งงานแพ็กของ ยกของ และขนย้ายเลยค่ะ - ค่าทำความสะอาด : โดยส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการตามพื้นที่ใช้สอยของบ้าน มีราคาตั้งแต่ประมาณ 3,000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นเลยค่ะ มีให้เลือกทั้งการทำความสะอาดบ้าน/คอนโดเดิม (ก่อนขายหรือส่งคืนเจ้าของ), การทำความสะอาดบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็นงานเช็ดคราบฝุ่นและสิ่งสกปรกจากการก่อสร้าง, ขัดพื้น, ทำความสะอาดฝ้า, เช็ดกระจก, บริการอบโอโซนฆ่าเชื้อ-กำจัดกลิ่นฆ่าเชื้อ, บริการพ่นฆ่าเชื้อโรค-เชื้อราและบริการล้างถังเก็บน้ำ-ปั๊มน้ำ ก่อนใช้งานจริง
ภาษีที่ดิน
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นการเรียกเก็บภาษีตามกฎหมายที่มาแทนที่ภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ โดยภาษีที่ดินนี้จะคำนวณจากมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีไว้ในครอบครอง กำหนดจ่ายในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี เราจะขอโฟกัสแค่ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยอย่างบ้านแนวราบและคอนโดเท่านั้นนะคะ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 0-50 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้นภาษี
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.03% = ล้านละ 300 บาท
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 75-100 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05% = ล้านละ 500 บาท
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.1% = ล้านละ 1,000 บาท - เป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้างหลังเดียว ไม่มีที่ดิน
– บ้านหรือคอนโด มูลค่า 0-10 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้นภาษี
– บ้านหรือคอนโด มูลค่า 10-50 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.02% = ล้านละ 200 บาท
– บ้านหรือคอนโด มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.03% = ล้านละ 300 บาท
– บ้านหรือคอนโด มูลค่า 75-100 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05% = ล้านละ 500 บาท
– บ้านหรือคอนโด มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.1% = ล้านละ 1,000 บาท - เป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง 2 หลังขึ้นไป
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 0-50 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.02% = ล้านละ 200 บาท
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.03% = ล้านละ 300 บาท
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 75-100 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05% = ล้านละ 500 บาท
– บ้านและที่ดิน มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.1% = ล้านละ 1,000 บาท
ทาง Think of Living เคยเขียนบทความของภาษีที่ดินแบบละเอียดไว้แล้วนะ ตามไปอ่านกันได้ที่ >> เจาะลึก 4 เรื่องต้องรู้ก่อนจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ตัวอย่างค่าใช้จ่าย “หลัง” จากการซื้อบ้าน
หลังจากเราพาไปดูค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อบ้านแล้ว เราก็มายกตัวอย่างว่าหากต้องการซื้อบ้านเดี่ยวมือหนึ่ง สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ขนาดที่ดิน 50 ตร.วา ราคา 6 ล้านบาท จะคิดคำนวณค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อบ้านภายใน 1 ปี รวมอยู่ที่เท่าไหร่ โดยค่าใช้จ่ายที่คำนวณได้อาจจะมีราคาถูกลงหรือเพิ่มขึ้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยว่าเลือกซื้อของตกแต่งบ้านมากน้อยแค่ไหนนะคะ
- ค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ : 600,000 บาท
- ค่าแก้ไขบ้านเพิ่มเติม : 32,000 บาท
– ติดตั้ง Digital Door Lock : 10,000 บาท
– ติดตั้งกล้องวงจรปิด : 2,000 บาท
– เครื่อง EV Charger : 20,000 บาท - ค่าส่วนกลาง : 27,000 บาท (2,250 บาทต่อเดือน)
- ค่าดูแลบ้าน : 85,000 บาท
– ค่าจ้างแม่บ้านทำความสะอาด : 36,000 บาท (3,000 บาทต่อเดือน)
– ค่าทำความสะอาดถังเก็บน้ำ 1,500 บาท
– ค่าล้างเครื่องปรับอากาศ : 6,500 บาท (650 บาทต่อเครื่องต่อครั้ง)
– ค่าดูแลสวน : 36,000 บาท (3,000 บาทต่อเดือน)
– ค่าฉีดกำจัดปลวก : 5,000 บาท - ค่าสาธารณูปโภค : 14,440 บาท
– ค่ามิเตอร์ไฟ : 2,700 บาท
– ค่ามิเตอร์น้ำ : 5,500 บาท
– ค่าอินเทอร์เน็ต : 6,000 บาท
– ค่าเก็บขยะ : 240 บาท - ค่าประกันบ้าน (คุ้มครองภัยพิบัติ) : 30,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายในวันย้ายบ้าน : 19,000 บาท
– บริการขนย้ายครบวงจร : 4,000 บาท
– ทำความสะอาดบ้าน : 15,000 บาท - ค่าภาษีที่ดิน : ได้รับการยกเว้นภาษี (บ้านราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท)
- รวมค่าใช้จ่ายแฝงหลังจากซื้อบ้าน : 783,400 บาท
สำหรับราคาที่เราคิดคำนวณจะเป็นราคาประมาณการจากข้อมูลทั่วไปและประสบการณ์จากผู้ซื้อบ้าน ราคาจริงอาจแตกต่างตามพื้นที่ ขนาดที่อยู่อาศัย วัสดุและบริการที่เลือกใช้ค่ะ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายแฝงคร่าวๆว่ามีราคาหลายแสนบาทเลยนะ มีจำนวนที่มากกว่าตอนโอนบ้านซะอีก จึงถือเป็นค่าใช้จ่ายที่เรามองข้ามไม่ได้เลย ถ้ามารู้ตัวทีหลังว่าต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้ก็คงทำคิดไม่ตกเหมือนกันนะ ดังนั้นนี่คือความตั้งใจของเราที่อยากให้ทุกคนอย่าลืมคำนึงถึงและต้องเตรียมงบสำหรับค่าใช้จ่ายแฝงเหล่านี้เอาไว้ด้วยนั่นเอง
จบแล้วนะคะสำหรับบทความ “โอนบ้านจบ อย่าใช้เงินหมด! ค่าใช้จ่ายแฝงเพียบ” ถือเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินและการทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆที่หลายๆคนมักมองข้าม เพื่อช่วยให้ทุกคนเตรียมตัวซื้อคอนโดหรือบ้านได้อย่างราบรื่นและไม่สะดุดตอนเริ่มต้นชีวิตในคอนโดหรือบ้านหลังใหม่ค่ะ ไว้ครั้งหน้าทาง Think of Living จะมีบทความน่าสนใจอะไรอีกบ้าง ติดตามกันต่อได้เลย 😊