ถ้าพูดถึงเงินดาวน์เราเชื่อว่าหลายๆคนที่อยู่ในแวดวงอสังหาฯหรือเคยผ่านการซื้อขายบ้านหรือคอนโดมาบ้างคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่พอผ่อนดาวน์ไปสักระยะหนึ่ง บางคนกลับ “กู้ไม่ผ่าน” แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ เราจะขอเงินดาวน์คืนได้หรือไม่ โครงการมีสิทธิ์ยึดเงินดาวน์หรือเปล่า มีคำตอบให้ในบทความนี้ค่ะ

จากตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่หลายๆคนคงเคยคือการที่ “กู้ไม่ผ่านและทางโครงการแจ้งมาว่าจะไม่คืนเงินให้” ตรงนี้ต้องขอบอกเลยว่า

ทางโครงการไม่สามารถยึดเงินดาวน์และจะต้อง “คืนเงินดาวน์” ทั้งหมดให้แก่เรา  มิฉะนั้นเราสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องคดีต่อศาลเรียกให้โครงการคืนเงินดังกล่าวได้ เพราะปัจจุบันประเทศไทยไม่มีกฎหมายออกมาบังคับให้ทางโครงการยึดเงินดาวน์

กรณีที่เรากู้ไม่ผ่าน เราก็สามารถขอคืนเงินดาวน์ทั้งหมดจากโครงการได้ตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้เราจะได้รับเงินทำสัญญาและเงินจองคืนด้วยหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของโครงการ ดังนั้นก่อนที่จะทำการจอง ทำสัญญา และจ่ายเงินดาวน์ แนะนำให้ยื่นขอ Pre-approve กับธนาคารต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบในเบื้องต้นว่ามีโอกาสได้รับอนุมัติเงินกู้หรือไม่ และจะได้วงเงินกู้เท่าไร หรือถ้าเรารู้ตัวว่าน่าจะกู้ไม่ผ่านตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ดังนี้ 

  • หาคนมากู้ร่วม

หากธนาคารพิจารณาแล้วว่าความสามารถในการผ่อนชำระของเราไม่พอ เราอาจจะหาคนมากู้ร่วมได้ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการกู้ผ่านมากขึ้น โดยถ้าเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องจะยิ่งดี เพราะถ้าผู้ที่จะมากู้ร่วมมีฐานเงินเดือนหรือรายได้ที่มากกว่า  ก็อาจจะกลายมาเป็นผู้กู้หลักได้ 

  • ประกาศขายดาวน์ 

หากยังพอมีเวลาอีกทางเลือกหนึ่งแนะนำว่าให้ประกาศขายดาวน์ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากขายแต่ก็ต้องจำใจ และควรรีบปล่อยให้เร็วที่สุด ถ้าคอนโดยังเป็นที่ต้องการของตลาดก็อาจจะขายได้กำไรนิดหน่อย แต่ก็ต้องเผื่อในในกรณีที่ขายแล้วขาดทุนไว้ด้วยค่ะ 

มาถึงตรงนี้เราขอเสริมเกร็ดความรู้ให้คุณผู้อ่านสักนิดนึงนะคะ จะได้ทำความรู้จักเจ้าเงินดาวน์ให้มากขึ้น 

การผ่อนดาวน์ถือเป็นด่านแรกว่าเราจะสามารถผ่อนเงินกู้จากธนาคารได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

ธนาคารจะทำการประเมินความสามารถในการผ่อนชำระโดยดูผ่าน Statement และภาระหนี้สิน ย้ำ!! ว่าหนี้สินด้วยนะคะ ดังนั้นถ้าใครต้องผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ผ่อนบ้านอีกหลัง ธนาคารจะเอาตรงนี้มาพิจารณาด้วย ทางที่ดีควรเก็บเงินออมและเคลียร์ตัวเองให้ปลอดจากหนี้สิน อันจะส่งผลให้การคำนวณศักยภาพในการผ่อนคอนโดเราลดลง ซึ่งอาจจะทำให้เรากู้ไม่ผ่านได้ 

ใช้เพื่อประกอบบทความเท่านั้น

แล้ว “เงินดาวน์” มันแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ต้องจ่ายประมาณเท่าไร และถ้าไม่จ่ายจะส่งผลอย่างไรบ้าง ด้วยความไม่รู้นี้เอง จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนที่กำลังตัดสินใจจะซื้อคอนโดหลงไปกับป้ายโฆษณาจูงใจที่บอกว่าผ่อนในราคาถูกแสนถูก จนทำให้ไม่ได้เตรียมตัวสำรองค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆเอาไว้ พอมารู้อีกทีว่ามีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คิดก็คือวันที่กำเงินไปจองซึ่งบางรายอาจจะยกเลิกการจองและกลับบ้านด้วยความผิดหวัง เสียใจและเสียเวลา หรือซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือกลุ่มที่กัดฟันจองไปแล้วด้วยความอยากได้บังตา แต่ถึงเวลาผ่อนจริงๆกลับผ่อนไม่ไหว เนื่องจากไม่ได้พิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองนั่นเอง 

ผ่อนดาวน์คืออะไร? 

การผ่อนดาวน์คือ การผ่อนชำระเงินดาวน์เป็นงวดๆ ก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ตกลงกันไว้ระหว่างกับผู้ขายและผู้ซื้อ ปกติแล้วที่เราเห็นกันบ่อยๆจะแบ่งออกเป็นงวดปกติ และ งวดพิเศษ (งวดบอลลูน) แต่ต้องสอบถามให้ดี เพราะแต่ละโครงการอาจมีเงื่อนไขในการผ่อนดาวน์ที่ไม่เหมือนกัน บ้างก็ให้ผ่อนดาวน์เท่ากันทุกงวด บ้างอาจมีงวดบอลลูนระหว่างการผ่อนดาวน์ บ้างก็ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในงวดสุดท้าย ซึ่งอาจจะทำให้เราเตรียมเงินไม่ทันได้ถ้าวางแผนไม่ดี 

ข้อดีของการซื้อโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่คือเราไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่ สามารถผ่อนดาวน์เป็นงวดๆได้ พอเราผ่อนดาวน์ครบกำหนดก็จะพอดีกับเวลาที่ โครงการสร้างเสร็จ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็สามารถยื่นกู้และผ่อนกับทางธนาคารต่อได้ค่ะ 

ปกติแล้วเค้าผ่อนกันกี่งวด งวดละเท่าไร?

โดยทั่วไปเราจะคุ้นเคยกับคำว่า “ผ่อนดาวน์” ในกรณีที่เราซื้อคอนโดมิเนียม แต่ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่า ไม่ได้มีแต่คอนโดมิเนียมเท่านั้นที่มีการผ่อนดาวน์ โครงการแนวราบไม่ว่าจะเป็นทาวน์โฮม บ้านแฝด หรือ บ้านเดี่ยวก็มีเงินดาวน์กับเค้าได้เหมือนกันถ้าเป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากระยะเวลาในการผ่อนดาวน์นั้นจะอ้างอิงกับระยะเวลาในการก่อสร้างของโครงการ พูดง่ายๆคือพอผ่อนดาวน์เสร็จก็ถึงเวลาโอนพอดี แต่ที่เราไม่เห็นโครงการแนวราบมีเงินดาวน์นั้นเพราะโครงการสร้างบ้านเสร็จเป็นเฟสแล้วค่อยขาย พอเราจองและทำสัญญาก็สามารถไปขอกู้ธนาคารได้เลย แต่บางโครงการที่เปิดให้จองก่อน เค้าก็จะมีเก็บเงินดาวน์ค่ะ 

ทรัพย์แต่ละประเภทจะมีระยะเวลาในการจ่ายเงินดาวน์ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการก่อสร้างโครงการ หลักๆแล้วแบ่งได้ดังนี้  

  1. Low Rise (10 – 18 เดือน) 
  2. High Rise (2 – 3 ปี)
  3. บ้านแนวราบ (6 เดือน – 1 ปีกว่า)

โดยเฉลี่ยแล้วจำนวนเงินดาวน์โครงการจะอยู่ที่ 10-30% ของราคาขาย เช่น คอนโดราคา 2 ล้านบาท ก็จะต้องจ่ายงวดดาวน์ 10% รวมประมาณ 2 แสนบาท เป็นต้น

หลายๆคนคงสงสัยว่าถ้างวดในการจ่ายเงินดาวน์อ้างอิงจากระยะเวลาการก่อสร้าง แล้วถ้าเราซื้อโครงการในช่วงใกล้โอน เราจะยังจ่ายเงินดาวน์เท่าเดิมอยู่หรือไม่ 

คำตอบก็คือ ถ้าเราซื้อโครงการตั้งแต่ช่วงแรกๆที่เปิดตัวหรือเปิดขาย ระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ก็จะยาวกว่า ดังนั้นจึงผ่อนด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่า แต่ถ้าเราผ่อนดาวน์ในช่วงที่คอนโดหรือบ้านใกล้เสร็จหรือใกล้โอนกรรมสิทธิ์ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องผ่อนเงินดาวน์ในจำนวนที่มากกว่าเพราะจำนวนงวดเหลือน้อยลง ซึ่งเราอาจจะต้องเตรียมเงินเอาไว้เผื่อ หรือทางโครงการอาจจะให้เราผ่อนต่องวดในจำนวนที่ใกล้เคียงกับของเดิม แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์จะเหลือมากหน่อยนั่นเอง

อ่านกันมาถึงตรงนี้เราจะรู้ได้ว่า หากมีการศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆอย่างถี่ถ้วนก่อนจะทำการจอง ใช้เหตุผลในการเลือกบ้านมากกว่าอารมณ์ และสามารถประเมินตัวเองได้ว่ามีความสามารถในการผ่อนชำระเท่าไร ก็จะหมดปัญหากลุ้มใจเรื่องเงินดาวน์แน่นอนค่ะ

การผ่อนดาวน์จึงเปรียบเสมือนการจำลองความสามารถในการผ่อนชำระของเรากับธนาคารหรือคือการซ้อมผ่อนคอนโดนั่นเองดังนั้นเราจึงควรประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของตัวเองว่าสามารถผ่อนไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หากผ่อนดาวน์ได้สบายๆ การผ่อนคอนโดของจริงก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นเดียวกันค่ะ


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving