รีวิวฉบับที่ 177 … The Rajdamri เป็นโปรเจคคอนโดมิเนียมที่ถือกรรมสิทธิ์ด้วยการ “เซ๊ง” หรือการเช่าช่วงในระยะยาวสูงสุด 30 ปี (ปัจจุบันเหลือ 27 ปี) คล้ายๆกับโปรเจค Chamchuri Square Residence ที่เราเคยทำรีวิวกันไปแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งที่ดินในเวิ้งเดียวกันนี้ล้วนถือกรรมสิทธิ์ชั่วคราวทั้งสิ้น ตั้งแต่ St. Regis, Hansar, The Rajdamri หรือแม้กระทั่ง Magnolias ราชประสงค์ที่กำลังจะเปิดโครงการใหม่ ดังนั้นราคาของ The Rajdamri จะค่อนข้างถูกกว่าโปรเจคอย่าง 185 Rajadamri ที่เป็นการขายขาดอยู่มากพอสมควรครับ
Fact @ 8 June 2012
- The Rajdamri (เดอะ ราชดำริ)
- Pan Thai Real Estate, Plc.
- LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- คอนโด 29 ชั้น 1 ตึก High Rise 278 กว่ายูนิต
- ที่ดินประมาณ 2 ไร่กว่า
- 1 Bedroom – 2 Bedrooms – Duplex – Penthouse
- พื้นที่ใช้สอย 45 – 234 ตารางเมตร
- ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท (Q2/2012)
- ราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้น 88,000 บาท
- www.therajdamri.com
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง
เดอะราชดำริ (The Rajdamri) ตั้งอยู่ในซอยมหาดเล็กหลวง 2 ถนนราชดำริ ใกล้ๆกับ BTS ราชดำริ ฝั่งตรงข้ามกับ Royal Bangkok Sports Club ที่กินพื้นที่ไปครึ่งฝั่ง (อีกครึ่งเป็นของจุฬาฯ และ รพ. ตำรวจไปเสียเกือบหมด) ซึ่งตัวโปรเจคนั้นอยู่ห่างจากหน้าถนนใหญ่และสถานีรถไฟฟ้าประมาณ 120 เมตร ห่างจากแยกราชประสงค์อันเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้าอย่าง Central World ประมาณ 500 เมตร และพื้นที่โดยรอบล้วนแล้วแต่เป็นโรงแรมชั้นนำทั้งสิ้น อย่าง St. Regis, Four Seasons, Peninsula, Grand Hyatt ดังนั้นการใช้ชีวิตที่ทำเลนี้จะค่อนข้างไปทางไฮโซ ไม่ค่อยมีตลาดบ้านๆขายของโน่นนี่ ไม่ใช่แหล่งชุมชน เหมือนกับทำเลอื่นๆครับ
จากสีลมวิ่งตรงไปยังสยามจะเป็นถนนราชดำริ ถนนเส้นสั้นๆที่เชื่อมระหว่างถนนพระราม 4 ไปจรดถนนเพชรบุรี มีความยาวประมาณ 2.3 กิโลเมตร แต่มูลค่าของที่ดินริมถนนเส้นนี้จัดว่ามหาศาล ไม่แพ้ถนนวิทยุหรือเพลินจิตเลยทีเดียว
วิ่งตรงมาเรื่อยๆจะถึงสามแยกถนนสารสิน ที่ตัดเลียบสวนลุมพินีสามารถวิ่งไปออกถนนวิทยุได้ ตรงนี้จะเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมแบบถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ 2 โครงการ คือ 185 ราชดำริและบ้านราชดำริ
วิ่งตรงๆไปเรื่อยๆ ด้านซ้ายเลียบ Sport Club ผ่านหน้า Pub ชื่อดังอย่าง Falla Bella มาถึงสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ ก็ให้ชิดขวาเตรียมเลี้ยว
ซอยมหาดเล็กหลวง 2 ตั้งอยู่ที่จุดกลับรถพอดี แต่เราไม่กลับรถนะครับจะใช้การเลี้ยวขวาเข้าซอยแทน ทำให้ซอยนี้เดินทางได้สะดวก ไม่ติดปัญหาเรื่องกลับรถไกล
หน้าปากซอยมีโรงแรมและโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Lease Hold ชื่อดังอีกโปรเจคหนึ่ง ก็คือ St. Regis ซึ่งเป็นทำเลทองที่ทางขึ้นลงสถานีรถไฟฟ้าเชื่อมมาถึงหน้าตึกเลย
เลี้ยวเข้าไปจากหน้าปากซอย วิ่งตรงเข้าไป 120 เมตร
ทางซ้ายเป็นโรงแรมหรรษา ทางขวาเป็น The Rajdamri
หน้าตาของ HANSAR หรือโรงแรมหรรษา เป็นตึกที่มี Vertical Garden ปกคลุมรอบข้าง ดูแล้วก็เพลินๆสบายตาดี
เราจะยังไม่เข้าโครงการ แต่จะเดินสวนกลับไปปากซอยเสียหน่อย มองเห็นรางรถไฟฟ้าอยู่ในระยะนิดเดียว
ก่อนจะถึงตึก The Rajdamri เป็นตึกชื่อ The Grand
ฝั่งตรงข้าม The Grand เป็นโรงแรม Four Seasons
ตึกที่ติดกับอีกฝั่งหนึ่งของโครงการคือ The Royal Place ที่มีร้านสะดวกซื้อโน่นนี่อยู่ใต้ตึกครับ
เจาะลึกตัวสินค้า
Lobby ของที่นี่ก็ต้องบอกว่าอลังการไม่แพ้โรงแรม 5 ดาว จัดเป็นรูปวงรีโค้ง เอาน้ำล้อม Lobby มี Sculpture ให้น้ำไหล บรรยากาศออก Zen ผสม Modern ผมไปยืนอยู่สักพักรู้สึกได้เลยว่าลมพัดเย็นมาก นั่งอยู่ข้างนอกก็ไม่ร้อน
ฝ้าเพดานของ Lobby สูงโปร่ง ตกแต่งแบบเรียบๆ ไม่เยอะ แต่หรู มีที่นั่งบ้างให้พักผ่อนได้อย่างสบายๆ
หน้าตึกมีจุด Drop Off พร้อมสวนโดยรอบ มองออกไปเห็นโรงแรมหรรษาอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี
ท้ายตึกมี Management Office บริหารโดยบริษัทที่ Developer ตั้งขึ้นมาดูแลโปรเจคนี้โดยเฉพาะ
ที่จอดรถด้านหลังก็โปร่ง ทำให้ลมพัดจากที่จอดรถลอดใต้ตึกไปออกข้างนอกได้ดี
หน้าตาของ Grand Lobby เวลาเดินเข้ามาจากข้างนอก ตรงกรวยสีส้มๆนั้นคือจุด Drop Off ครับ
ก่อนเข้า Lift ก็ต้องมี Access Card กลายเป็นสิ่งที่ “ต้องมี” สำหรับโปรเจคระดับ Luxury แบบว่าขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว
โถงลิฟท์มองเห็นน้ำล้อมอยู่รอบๆ ถ้ามองทะลุกระจกออไปจะเห็นภาพเขียนที่ประดับอยู่บริเวณผนังตึกเป็น Background รอบนอกอีกครั้งหนึ่ง
ห้อง Mail Box สะท้อนกันวิบวับเลย แต่ไม่ได้เป็น Mail Box แยกชั้นนะครับ
เราขึ้นไปดูกันที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นส่วนกลางของตึก The Rajdamri ตรงนี้เป็น Counter บริการสระว่ายน้ำให้กับลูกบ้าน
มีการออกแบบโถงลิฟท์ให้โปร่งโล่งกว่าโปรเจคปกติ เว้นพื้นที่ช่องใหญ่มาก เพื่อให้แสงและลมพัดผ่านตึกได้อย่างสบาย
หน้าตาของส่วนพักผ่อนรอบๆสระว่ายน้ำ
มีห้อง Squash ไว้ออกกำลังกาย
สระว่ายน้ำมองออกไปเห็น Vertical Garden ของโรงแรมหรรษา เขียวสบายตาไปอีกแบบ แม้ว่าจะไม่ดีเท่าต้นไม้ใหญ่ก็ตาม
ขอบสระว่ายน้ำมี Counter เอาไว้จัดบริการลูกบ้าน หากต้องการจัดงาน Party ก็สามารถจ้างแม่บ้านมาวางอาหาร เสริฟโน่นนี่ เป็น Pool Party ได้ โดยเสียค่าบริการแม่บ้านเป็นครั้งคราว
พื้นที่รอบสระเยอะมาก เพียงพอให้จัดปาร์ตี้ 50 คนสบายๆ
มาดูที่สระน้ำกันบ้าง มีส่วนที่เป็น Jacuzzi และส่วนที่เป็นสระว่ายน้ำแบบออกกำลังกาย โดยใช้ระบบเกลือ
เตียง Daybed ข้างสระ ตั้งอยู่บนระแนงไม้หันหน้าเข้าหา Lift
เพื่อนบ้านตึก Royal Place
เพื่อนบ้านตึกบ้านราชประสงค์ รอบๆสระมีพื้นยางสีเขียวเอาไว้วิ่ง Jogging ได้ ด้านหลังมีสวนที่ปูด้วยพื้นยาง วิ่งแล้วจะไม่เจ็บข้อเท้า และป้องกันเด็กๆวิ่งหกล้ม
มีห้อง Laundry ไว้บริการ
ห้องฟิตเนสมีเครื่องเล่นปประมาณ 7 ชิ้น
ประมาณเท่านี้ โอเคอยู่นะ
ด้านข้างมีห้อง Steam
บรรยากาศในห้อง Steam / Shower
ห้องสมุด Library สามารถใช้เป็นโต๊ะประชุมได้
หรือจะนั่งอ่านพักผ่อนก็พอได้
ห้องนี้ทาง Developer จะรื้อทำใหม่เป็นห้องสำหรับเด็กเล่น
หน้าตาลิฟท์ของนอก จาก Mitsubishi มีทั้งหมด 4 ตัว มี Service Lift อีก 1 ตัว
ทั้งหมด 29 ชั้น (P29 เป็นชั้น Penthouse Duplex)
โถงลิฟท์ก็เอาห้องออกไปห้องนึง ปล่อยแสงธรรมชาติให้เข้ามาในโถงลิฟท์ได้ ตรงนี้ดีมาก ทำให้ลิฟท์ไม่อับ ไม่ทึบ
สิ่งอำนวยความสะดวก
- ห้องออกกำลังกายที่ชั้น 5
- สระว่ายน้ำที่ชั้น 5 มี Jacuzzi
- ห้อง Squash ที่ชั้น 5
- ห้อง Steam ที่ชั้น 5
- ห้อง Library ที่ชั้น 5
- ห้อง Laundry Service ที่ชั้น 5
- สนามเด็กเล่นที่ชั้น 5
- Jogging Track พื้นยางที่ชั้น 5
- ห้องเด็กเล่นที่ชั้น 5 (ยังไม่เสร็จ)
- Free Wifi Access ที่ชั้น 5 และชั้น G
- Lobby ที่ชั้น G
- ลิฟท์โดยสาร 4 ตัว, Service Lift 1 ตัว
- สวนตามชั้น G และชั้น 5
- ที่จอดรถ 100%
- ระบบ CCTV / Access Card
Product Walkthrough
วันนี้เราหยิบ 2 ห้องขนาดกลางมาให้ชมนะครับเป็น 1 Bedroom Duplex ขนาด 58 ตารางเมตร และห้องแบบ 2 Bedrooms ขนาด 112 ตารางเมตร ซึ่งเราจะรีวิวห้องแบบ 2 Bedrooms ที่เป็น Standard Room กันก่อนนะครับ จากนั้นจะต่อด้วยห้องแบบ 1 Bedroom Duplex ทีหลัง
ห้องแรกที่เรากำลังจะรีวิวเป็นห้องมุมแบบ 2 Bedrooms ที่อยู่ทั้ง 4 มุม ขนาด 112 ตารางเมตร ไม่มีระเบียงครับ
ต่อจากตู้รองเท้าหน้าห้องก็จะเป็นโซนของครัวนะครับ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าบ้าน
Top และขอบด้านบนของ Top ทั้งหมดทำด้วยหินเทียมสีขาวต่อกันเป็นเนื้อเดียวไม่มีรอยต่อ
เตาใช้แบบ 4 หัวของ Franke
เครื่องดูดควันก็ของ Franke
ิซิงก์ 2 หลุมของ Franke เรียกว่า Franke เหมาหมด
บานตู้ทั้งหมดเป็นระบบ Soft Close
เตาไมโครเวฟ Electrolux
มีลิ้นชัก 3 เซ็ตพร้อมที่แบ่งช่อง
ตู้เย็น Samsung
ตู้เก็บของ Built-in
โซนห้องรับประทานอาหาร
พื้นปูด้วยแกรนิตโต้และลามิเนต 12 มม. หนากว่าลามิเนต 8 มม. แต่ยังไม่เท่ากับพื้น Engineer / ไม้จริง
มี Counter ข้างโต๊ะทานข้าวเป็น Built-in ยกเซ็ต
หน้าตาของม่านบังแดดและมู่ลี่
มองไปที่โซนห้องนั่งเล่น ด้านหลังมีพื้นที่กึ่งระเบียงปลูกต้นไม้ได้
ชั้นวางทีวีทั้งหลาย
ระบบแอร์เป็นระบบฝังฝ้า
วิวส่วนใหญ่ของโครงการนี้จะต้องมอง “ลอดช่อง” ออกไป เพราะซ้ายขวาหน้าหลังล้วนถูกตึกอื่นประกบอยู่ติดๆกันทั้งหมด
เช่นช่องนี้จะเห็น Royal Place และ Sport Club
ห้องนั่งเล่นบรรยากาศดูดีมาก โล่ง ไม่แคบ ไม่อึดอัด พื้นที่เหลือเฟือ
ด้านนอกส่วนที่เป็นพื้นที่กึ่งระเบียงปูด้วยวัสดุกระเบื้องแกรนิตโต้สีขาว
มี Partition กั้นส่วน แยกจุดที่เป็นห้องรับรองและโซนปลูกต้นไม้ออกจากกัน ใช้เป็นตำแหน่งกรองแสงแดดบางส่วนด้วย ไม่ให้ห้องร้อนเกินไป
ตู้ต่างๆที่เปิดได้
ห้องน้ำแขกใช้ร่วมกับห้องนอน 2 บานเปิดฝั่งห้องรับแขกเป็นบาน Slide ใช้กรอบประตูและวงกบไม้ทำสีน้ำตาลเข้ม สวยกว่าประตูห้องน้ำ HDF ทั่วๆไป
ด้านในใช้สุขภัณฑ์ ซิงก์ของ American Standard ดีไซน์รูปวงกลม ดีไซน์สวยแต่ความเห็นส่วนตัวคิดว่าขนาดเล็กไปนิดนึงสำหรับคอนโดระดับ Luxury ดีที่ว่ามีพื้นที่ Counter ด้านข้างให้วางของได้โอเคหน่อย
ด้านในห้องน้ำตกแต่งด้วยกระเบื้องสีเรียบๆ ยกเว้นส่วนที่เป็นห้องอาบน้ำที่ใช้โมเสก
กรอบห้องอาบน้ำทำด้วย Tempered Glass ด้านบนติด Down Light และพัดลมดูดอากาศ
ประตูเปิดสองทาง ด้านขวาเปิดเข้าห้องนอนเล็ก
ด้านล่างของบานประตูมีช่องแสง ระบายอากาศและที่หยุดประตูเรียบร้อย
หน้าตาของระบบควบคุมฝักบัว
ที่นี่มีแต่ฝักบัวไม่มี Rain Shower
โถสุขภัณฑ์และสายฉีดชำระ แต่ไม่มีที่แขวนทิชชู่ ต้องวางไว้ข้างบนโถ (หามาติดเองไม่ยาก)
ห้องนอนเล็กเปิดเข้าไป
ด้านซ้ายมี Built-in Sofa ติดหน้าต่าง และเตียง 5 ฟุต
ด้านขวาเป็นทางเปิดเข้าห้องน้ำและโต๊ะข้างเตียงขนาดเล็ก ดูเหมือนว่าเตียงจะใหญ่คับห้องไปหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นเตียง 3.5 ฟุต อะไรๆจะโล่งกว่านี้มาก
ปลายเตียงวางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะทำงาน
ประตูมี Door Stop ให้หมดแล้วทุกจุด
มาดูห้องนอนใหญ่กันบ้าง นี่เป็น Closet
ห้องนอนใหญ่ วางเตียงแกรนด์เลย
ฝ้าม่านโปร่งและทึบสองชั้น
Counter วางทีวีและกระจก
ฝ้าริมขอบผ้าม่านดรอปไว้ให้สำหรับซ่อนรางม่าน
ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ วัสดุของห้องน้ำจะครบและดูแกรนด์กว่ามาก เช่นโถสุขภัณฑ์ที่ดูดีกว่าใหญ่กว่า สายฉีดชำระ ที่แขวนกระดาษทิชชู่ และ Counter วางของด้านหลังโถ
ชุดอาบน้ำมีสองชุด จะยืนอาบหรือนอนอาบในอ่างก็ได้
โดยเปิดประตูที่เป็นบานกระจกนิรภัยเข้าไป
ซิงก์ใหญ่กว่าเดิมมาก มีที่วางของเพียบ ใช้งานสะดวกสบาย
ยังใช้แบรนด์เดิม American Standard
ส่วนนี้เป็นส่วนที่เอาไว้ล้างโน่นนี่ได้ (มีปลั๊กให้ด้วย)
บรรยากาศห้องรับประทานอาหาร มองออกไปยังไงก็ไม่พ้นเพื่อนบ้าน
สุดท้ายเป็นตู้รองเท้าหน้าบ้านก่อนที่จะเดินออก มีการทำ Shelves ตรงและเอียงไว้ให้แล้ว
ตัวล็อคและมือจับเป็นแบบธรรมดา มี Dead Lock ไม่ใช่ระบบ Digital Doorlock
ช่องตาแมวมองออกไปข้างนอกได้
โถงลิฟท์ดูดี แสงเยอะ ไม่ทำทึบ ไม่อึดอัด
ต่อจากนี้เรามาดูห้อง 1 Bedroom Duplex ตำแหน่ง D1-D4 กันบ้าง
ชั้นสองของ Duplex เป็นห้องนอน
ห้องนี้เปิดประตูเข้าไปจะได้บรรยากาศ Modern กว่าหน่อย และแต่งไปในทางเดียวกันคือสีขาวๆดูแล้วสบายตา แต่โคมไฟอันนั้นอาจจะดูรกตาไปบ้าง
ด้านข้างห้องเป็นห้องไฟ มีตู้ Breaker และเอาไว้วางของได้
ต่อมาเป็นห้องน้ำ มีทั้งชั้นล่างและชั้นบน ชั้นล่างจะอาบไม่ได้
โถสุขภัณฑ์ มีที่วางทิชชู่และสายฉีดชำระ
Counter Sink มีให้เป็นแบบสี่เหลี่ยม
วางของและเสียบปลั๊กด้านข้างบนชั้นไม้แทน
ด้านบนกระจกมีบานเกล็ดระบายอากาศได้ แต่ไม่มีพัดลมดูดอากาศ
ตู้รองเท้าและทางเดินไปห้องนั่งเล่น
บรรยากาศของห้องนั่งเล่นจะอบอุ่นสบายๆ
โต๊ะรับประทานอาหารใช้กระจกนิรภัย นั่งได้สองคน
เซ็ตของครัวและตู้เย็น
ยังใช้ Franke เหมือนเดิม เตาเซรามิค
ไมโครเวฟ
ซิงก์ถูกลดเหลือ 1 หลุม
เครื่องดูดควัน
บันไดเปิดเก็บของได้สองบาน บานอื่นปิดหลอกเปิดไม่ได้
ห้องนี้สูงโปร่ง 5 เมตรกว่า แต่เช่นกันไม่มีระเบียง ด้านนอกเลยทำเป็นสวนแนวดิ่งแทน
แอร์ใช้แบบ Casette Type ฝังฝ้าเพดาน เป่าลงมา ดรอปฝ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยิง Downlight 4 จุด
สวนแนวดิ่งด้านนอก แขวนๆเอาไว้ ออกไปไม่ได้ เพราะด้านล่างเอาไว้วาง Air Compressor
โซฟาและโต๊ะนั่งเล่น
เพื่อนบ้านต้องมองลอดๆออกไป ตึกนี้ Q หลังสวน ไว้มีโอกาสจะเข้าไปรีวิวนะคร้าบ
ระบบ Home Theatre
ห้องนอนเก๋ดีอยู่ชั้นบน ต้องเดินบันไดขึ้นไป
บันไดทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีราวจับไม้ โครงเหล็ก
ห้องนอนชั้นบนเปิดบานเลื่อนเข้าไป
มีห้องน้ำที่ใช้ American Standard เหมือนเดิม แต่ไม่มีพื้นที่วางของข้างซิงก์ ห้องน้ำเล็กไปหน่อย
มีอ่างอาบน้ำแต่ไม่มีตู้อาบน้ำ
เตียงห้องนอนใหญ่
บรรยากาศในห้องนอนใหญ่
ประตูหนีไฟออกได้จากห้องน้ำ (เดินทะลุห้องนอน ออกห้องน้ำ วิ่งไปลิฟท์ได้เลย)
ทางซ้ายเข้าห้องน้ำ ทางขวาออกไปยังบันได
เรามาดูบรรยากาศส่วน Living Room จากบนบันไดกันบ้าง
กระจกเข้ามุมเล็กน้อยแต่มองไม่ค่อยเห็นอะไรนอกจากเพื่อนบ้านครับ ต้องหาช่องมองลอดออกไปดีๆ
สำหรับห้องที่ยังเหลือขายอยู่ในปัจจุบัน วิวส่วนใหญ่จะค่อนข้างถูกบัง จากทั้งตึก St. Regis, Hansar, Royal Place และบ้านราชประสงค์ที่ล้อมอยู่ทั้ง 4 ด้านครับ
Price vs Performance
- 1 Bedroom Duplex ชั้น 25 ห้อง D2 เนื้อที่ 58 ตารางเมตร ราคา 7.366 ล้านบาท หรือ 127,000 บาทต่อตารางเมตร
- 1 Bedroom Duplex ชั้น 24 ห้อง D2 เนื้อที่ 58 ตารางเมตร ราคา 5.846 ล้านบาท หรือ 100,800 บาทต่อตารางเมตร
- 2 Bedrooms ชั้น 23 ห้อง A4 เนื้อที่ 112 ตารางเมตร ราคา 12.61 ล้านบาท หรือ 112,600 บาทต่อตารางเมตร
- 2 Bedrooms ชั้น 10 ห้อง A4 เนื้อที่ 112 ตารางเมตร ในราคา 9.552 ล้านบาท หรือ 85,300 บาทต่อตารางเมตร
- Fully Furnished ตามห้องตัวอย่าง ถ้าไม่เอาลดได้ 500,000 บาทสำหรับ 1 Bedroom และ 1,000,000 บาท สำหรับ 2 Bedroom
- จอง 50,000 บาท
- ทำสัญญา 20%
- ค่ากองทุน 500 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 45 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
- ค่าธรรมเนียมโอนสิทธิ์การเช่าช่วง
เจาะลึกรวบยอด
The Rajdamri เป็นโครงการสำหรับ “เช่า” ไม่ใช่โครงการสำหรับ “ซื้อ” ดังนั้นการคิดเปรียบเทียบจะต้องคิดเพิ่มมูลค่าเข้าไปอีก 30-40% (ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขสมมุติว่าทางผู้อ่านแคร์เรื่องสิทธิการเป็นเจ้าของมากขนาดไหน ถ้าแคร์มากก็ควรใช้ 40% แต่ถ้าแคร์น้อย ใช้แค่ 30% ก็น่าจะพอ) ทั้งนี้จะต้องปรับฐานราคาเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกับโครงการอื่นได้ เช่นราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นที่ 85,300 บาท พอคูณเพิ่มเข้าไป 30% แล้วจะได้แถวๆ 110,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นต้น หรือห้อง Duplex ที่ราคา 100,800 ก็จะคิดอยู่ที่ 130,000 – 140,000 บาทต่อตารางเมตร
แต่ในกรณีของ The Rajdamri ที่ระยะเวลาการเช่าช่วงเหลือ 27 ปี เพราะตึกสร้างเสร็จมา 3 ปีแล้ว (Q2/2012) ทำให้ต้องคูณเพิ่มเข้าไปอีก 10% ด้วยนะครับ เพราะไม่ใช่สัญญา 30 ปีเต็ม
ทำเลของโครงการ The Rajdamri นั้นดีมาก ตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานคร เรียกว่าอีก 500 เมตรก็จะถึงแหล่งศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯแล้วก็ว่าได้ สภาพแวดล้อมรอบข้าง สะอาด น่าอยู่ สะดวก ปลอดภัย เหมาะกับการเป็นที่ตั้งของโรงแรม 5 ดาวทั้งหลายของประเทศ แต่สิ่งที่ขาดไปนั้นก็คือความมีชีวิตชีวาและความคึกครื้นของ “ย่านชุมชน” เช่นพวกตึกแถวร้านรวงขายของ ภาพที่คนเดินไปเดินมาขวักไขว่ซื้อของตามข้างทางอย่างที่เราเห็นกันชินตาในโซนทองหล่อ อ่อนนุช พร้อมพงษ์เป็นสิ่งที่โซนราชดำรินี้ไม่มี ในทางกลับกันโซนนี้จะได้เรื่องของความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความร่มรื่นของสวน ทั้งสวนลุมพินี, Royal Sport Club และต้นไม้ต่างๆใน Landscape ที่โรงแรมชั้นนำปลูกเอาไว้
การเดินทางโดยใช้รถสะดวกแต่ต้องบอกว่าถนนราชดำรินี้รถติดนะครับ ติดสาหัสด้วยนะครับถ้าบางวันการจราจรจากแยกราชประสงค์เป็นอัมพาต ยิ่งวันศุกร์เย็นที่คนจะไป Siam Paragon และ Central World ยิ่งทำให้รถติดมากเป็นพิเศษ ดีตรงที่ว่าซอยมหาดเล็กหลวง 2 นั้นสามารถเลี้ยวเข้าซอยได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปกลับรถไกลถึงต้นถนนราชดำริ ทำให้ซอยนี้ค่อนข้างโอเคอยู่เหมือนกัน และทางหนีทีไล่สำหรับขาออกจากบ้านก็ยังพอใช้ถนนสารสิน ทะลุไปออกวิทยุ เข้าสาทร สีลมหรือจะตรงไปเพชรบุรีเพื่อขึ้นทางด่วนก็ยังพอทำได้ ส่วนขากลับก็ต้องลงทางด่วนเพลินจิตฝั่งใต้ผ่านหน้า รร. มาแตร์เพื่อเลี้ยวเข้าถนนราชดำริ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รถติด อาจจะใช้ทางเดิมเข้าวิทยุทะลุสารสินก็พอทำได้ครับ เสริมอีกนิดคือที่จอดรถมีครบ 100% ไม่ Fix ช่องจอดนะครับ สามารถเข้าจอดได้ห้องละ 1 คัน ยกเว้นห้องแบบ 2 Bedroom Duplex และ Penthouse
การเดินทางโดยไม่ใช้รถก็ไม่ยากเลย เดินออกมา 120 เมตรถึงหน้าปากซอยก็มีรถไฟฟ้ามารออยู่ตีนสะพานอยู่แล้ว วินมอเตอร์ไซค์แถวนี้ก็มีอยู่ ถ้ารีบก็บึ่งไปได้ รถ Taxi, สามล้อ ทั้งหลายหาง่าย ไม่ยาก เพราะเป็นถนนใหญ่เส้นสำคัญที่จะมีรถวิ่งผ่านมาเสมอๆ ทำให้การเดินทางโดยไม่ใช้รถทำได้ดี
วัสดุอุปกรณ์เป็น Spec ที่ดีไซน์ออกมาสำหรับราคาช่วงเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งราคาต่ำกว่าปัจจุบันมาก (ตารางเมตรละ 70,000 บาทมีให้เห็น) ทำให้วัสดุบางอย่างเช่นพื้นลามิเนตและกรอบอลูมิเนียมสีธรรมชาติจะดูต่ำกว่าระดับคอนโด Luxury ที่ใช้พื้นไม้จริงไปหน่อย ส่วนวัสดุอื่นๆก็เรียกว่าได้มาตรฐานของคอนโดมิเนียมระดับ Luxury ไม่ได้ให้เยอะกว่าราคาแต่ก็ไม่ได้ให้ด้อยกว่าราคา
สำหรับแบบห้องนั้น ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 112 ตารางเมตร ออกแบบมาได้ดี ใช้งานสะดวก แบ่งเป็นฟังก์ชั่นต่างๆได้อย่างลงตัว ทำตู้เก็บของ เก็บรองเท้า พื้นที่กึ่งระเบียงไว้วางกระถางต้นไม้ ตลอดจนการเลือกใช้ Interior Design / Furniture ทำออกมาได้ดี ทำให้ห้อง 2 Bedrooms โดดเด่นมาก ส่วนห้องแบบ 1 Bedroom Duplex นั้นยังขาดๆเกินๆในหลายๆจุด เช่นห้องนอนที่เล็กไปและห้องน้ำชั้นบนที่ฟังก์ชั่นไม่ลงตัว จึงทำให้ห้อง 2 Bedrooms ดูโดดเด่นมากกว่าเยอะครับ
สาธารณูปโภคของที่นี่มีให้เยอะ มีให้ใหญ่ และมีให้เพียงพอต่อความต้องการแน่นอน ด้วยจำนวนห้องเพียง 278 ยูนิต แต่ได้สาธารณูปโภคระดับนี้ก็ต้องยกนิ้วให้ว่าทำได้ดี โดยเฉพาะพวกช่องแสงช่องลม ตามโถง Lift และพื้นที่ชั้น G, 5 ที่มีใช้ประโยชน์ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีพื้นที่สีเขียวใช้ยากๆอย่างพวกสวนลอยบนดาดฟ้้าเหมือนโครงการอื่น
Judgement
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคาที่ปรับฐานแล้ว ประมาณเทียบเท่า 130,000 บาทต่อตารางเมตร, Q2/2012
- ทำเล 8.5/10 – ทำเลดีมาก 500 ม. จาก Central World ติดตรงที่วิวถูกบังแทบทุกด้าน ต้องมองทะลุช่องเอา
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – ราชดำริ รถติด แต่พอมีทางเลี่ยงได้นิดหน่อย
- ไม่ใช้รถ 9/10 – 120 เมตรจาก BTS
- วัสดุ 7/10 – คุณภาพวัสดุกลางๆ
- แบบ 8/10 – แบบห้องและแบบตึกทำออกมาได้ดี ชอบห้องแบบ 2 Bedrooms
- สาธารณูปโภค 10/10 – ให้มาเยอะมาก
- LUXURY CLASS
- 8.38 / 10.00
BOTTOM LINE
The Rajdamri เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการ “เช่า” ในระยะเวลา 27 ปี ที่ได้ “บ้าน” ใจกลางเมืองในราคาที่ย่อมเยากว่าโครงการระดับ Super Luxury รอบข้าง
ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ