รีวิวโครงการ
รีวิว THE LINE Phahonyothin Park (เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค) คอนโด High Rise บนถนนพหลโยธิน ใกล้ BTS ห้าแยกลาดพร้าว จาก Sansiri [รีวิวฉบับที่ 2333]
31 มกราคม 2022
วิวฉบับที่ 1717 … สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาไปดูโครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค คอนโด High Rise ตัวใหม่ใกล้ห้าแยกลาดพร้าวและ MRT พหลโยธิน ตัวใหม่จากเเสนสิริที่ร่วมมือกับ BTS โครงการมาพร้อมกับ Concept : Magical Tree และ พื้นที่ส่วนกลางที่มีมาให้ใช้ครบครันทั้ง สวน, Co-working, Co-Living, Co-Kitchen, Co-Playing พร้อมกับฟิตเนสและสระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้าเปิดรับวิวเมือง การออกแบบห้องก็ออกแบบมาได้ค่อนข้างลงตัวเลย มีให้เลือกแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedrooms และ Duplex ในราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท ไปชมรายละเอียดโครงการกันเลยดีกว่าค่ะ
Fact @ 20 October 2018
- The Line Phahonyothin Park (เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค)
- บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)
- HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : จตุจักร
- คอนโด High Rise 1 อาคาร สูง 32 ชั้น จำนวน 880 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 31 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 520 คัน ไม่รวมซ้อนคัน คิดเป็นประมาณ 60%
- ที่ดินประมาณ 2 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : October 2018
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : August 2022
- 1 Bedroom 31.75 – 41.25 ตร.ม.
- 2 Bedroom 58.75 – 79.5 ตร.ม.
- Duplex 79.50 – 82.25 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 139,000 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 1685
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ
ทำเลที่ตั้ง
พิกัดโครงการ : 13.818082, 100.564830
พิกัด Sale Gallery : 13.825631, 100.566979
แผนที่จากทางโครงการค่ะ โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค ที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนพหลโยธินขาเข้า ใกล้ๆกับบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ทางเข้าจะเป็นทางเดียวกับทางเข้าของ Tesco Lotus ตรงกันข้ามกับ Central ลาดพร้าวค่ะ ส่วน Sale Gallery นั้นจะตั้งอยู่คนละที่กันนะคะ โดยตัว Sale Gallery เนี่ย จะตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม บริเวณปากซอยพหลโยธิน 29 ตรงกันข้ามกับตึกช้างนั่นเองค่ะ
โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค อยู่ใกล้กับห้าเเยกลาดพร้าวเลย ขึ้นชื่อว่าห้าแยกลาดพร้าวเเล้ว ต้องนับว่าเป็นทำเลที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในแง่เเหล่งงาน(เราจะเห็นสำนักงานขนาดใหญ่ทั้งเส้นพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต) ตัวอย่างก็เช่นสำนักงานใหญ่ของไทยพาณิชย์, ปตท., ธนาคารทหารไทย, การบินไทย เเละอาคารสำนักงานอีกหลากหลายอาคารละเเวกนี้ ส่วนด้านสถานศึกษานั้นบริเวณลาดพร้าวตอนต้นนี้มีสถานศึกษาชื่อดังอยู่หลายเเห่งนะคะอย่างโรงเรียนหอวัง โรงเรียนเซนต์จอห์นและมหาลัยเซนต์จอห์น ราชภัฏจันทรเกษม หรือจะเดินทางไปยังมหาลัยเกษตรศาสตร์หรือมหาลัยหอการค้าก็ถือว่าเดินทางไปไม่ไกลมากค่ะ นอกจากนี้ตรงลาดพร้าวตอนต้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเเหล่งช็อปปิ้งที่มากมาย ทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ บิ๊กซี โลตัส หรือจะเป็นตลาดชื่อดังระดับโลกอย่างสวนจตุจักร ก็นับว่าถ้าอยากไปช็อปปิ้งอะไรก็เดินทางไปได้สะดวกมาก นอกเหนือไปจากนั้น บริเวณห้าเเยกลาดพร้าวยังเป็นที่ตั้งของสวนขนาดใหญ่ อย่างสวนจตุจักร สวนรถไฟที่สามารถมาออกกำลังกายหรือพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ นับว่าเป็นทำเลที่ครบครันเลยนะคะ
ในแง่ของการเดินทาง โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค นั้นตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินขาเข้า ใกล้ห้าแยกลาดพร้าวอย่างที่บอกไป ซึ่งพอพูดถึงห้าแยกลาดพร้าวแล้ว หลายๆคนคงขยาดกับถนนหนทางแถวนี้กันแน่นอนถูกต้องไหมค่ะ แต่ถ้าเราตัดเรื่องรถติดออกไป ห้าแยกลาดพร้าวถือเป็นจุดตัดของถนนสำคัญหลายๆเส้นกันเลยทีเดียวและสามารถใช้เข้า – ออกเมืองได้สะดวกมากๆ โดยพื้นที่บริเวณนี้จะเกิดจากการตัดกันของถนน วิภาวดีรังสิต ถนนพหลโยธิน และถนนลาดพร้าว โดยถนนวิภาวดีรังสิตเป็นเส้นทางที่ใช้เดินทางเข้าเมืองไปยังดินแดง ต่อเนื่องไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้ หรือจะใช้เดินทางเพื่อออกไปยังรังสิตได้ ตามชื่อเลยค่ะ เเละยังเป็นถนนหลักที่ใช้เดินทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับคนที่ต้องการเดินทางภายในประเทศ หรือสายการบินโลว์คอสส่วนใหญ่ก็ต้องมาขึ้นที่ดอนเมืองนี้ค่ะ ส่วนถนนพหลโยธินนั้น ซึ่งเป็นถนนหลักที่โครงการของเราใช้เดินทาง จะเป็นถนนที่ขาออกเชื่อมต่อไปยังบางเขน ส่วนขาเข้าเมื่อผ่านห้าเเยกนี้ไป ก็จะเป็นเส้นที่รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยกันตั้งอยู่ค่ะ ส่วนถนนอีกเส้นนึงที่มาบรรจบตรงห้าแยกนี้พอดีจะเป็นถนนลาดพร้าว ที่จะยาวต่อเนื่องไปยังบางกะปิ ลำสาลี เเละสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนรัชดาภิเษก ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา หรือเมื่อสุดถนนลาดพร้าวเส้นนี้เเล้ว ก็จะไปเชื่อมต่อกับถนนรามคำแหงอีกทีนึงค่ะ เมื่อรวมทุกอย่างเเล้ว ในการเดินทางด้วยรถยนต์นั้น ถนนหนทางก็เรียกได้ว่าสามารถใช้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้ค่อนข้างสะดวกเลย แต่ก็อย่างที่รู้กันเนอะ เเม้ถนนหนทางจะสะดวกสบายอย่างไร แต่การจราจรก็ไม่เป็นใจเท่าไหร่สำหรับคนที่ใช้งานถนนบริเวณนี้ ส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนให้ใช้ตัวเลือกอื่นๆก็น่าจะดีกว่านะคะ
ตัวเลือกอื่นๆที่ว่าก็คือเส้นทางรถไฟฟ้าค่ะ บริเวณนี้ถือว่าเป็นทำเลที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนประเภทรถไฟฟ้ากันอย่างเข้มข้นเลย ขอเริ่มจากปัจจุบันกันก่อน ตอนนี้การใช้งานที่สะดวกสุดคงเป็นรถไฟฟ้า MRT สถานีพหลโยธิน จากสถานีเดินไปยังโครงการก็จะเป็นระยะทางประมาณ 1 กม.พอดี (ระยะทางไปถึงหน้าตึกเลยนะคะ) ซึ่งรถไฟฟ้าเส้นนี้ จะเป็นเส้นที่สะดวกกับคนที่ทำงานในโซนรัชดาภิเษก พระราม 9 อโศก หรือจะไปยังสีลมเลยก็นับว่าสะดวกอยู่นะคะ แต่ถ้าใครที่ถนัดใช้รถไฟฟ้า BTS กันมากกว่า จากสถานีพหลโยธินไป 1 สถานี ก็จะเป็นสถานี interchange ไปยังรถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิตได้ด้วย
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแผนการหลังจากนี้มากกว่า ในอนาคตอันใกล้สุดก็จะมีสถานีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวส่วนต่อขยายเกิดขึ้น ส่วนต่อขยายที่ว่าคือจะต่อมาจากสถานีหมอชิตเเล้วก็ตัดผ่านหน้าโครงการเราไป ถ้าเส้นนี้เกิดขึ้น สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้กับโครงการเรามากที่สุดจะเปลี่ยนมาเป็นสถานีห้าแยกลาดพร้าวเเทนนะคะ ซึ่งปัจจุบันที่เดินผ่าน ตัวสถานีก็นับว่าก่อสร้างใกล้จะเสร็จเเล้วค่ะ ตามเเผนเนี่ย ส่วนต่อเติมคาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2563 ค่ะ เราคงต้องมารอดูนะคะว่าจะมีการเลื่อนอะไรหรือไม่? นอกจากสายสีเขียวนี้ยังมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองอีกหนึ่งสายที่อยู่ใกล้กับโครงการ เส้นนี้มีความสำคัญคือสามารถใช้เดินทางไปตามเส้นลาดพร้าว-ลำสาลี-ศรีนครินทร์-สำโรงได้ โดยสถานีต้นสายคือสถานีรัชดา(ตรงบริเวณอาคารจอดรถใต้ดินลาดพร้าว) ปัจจุบันก็มีการเริ่มก่อสร้างตลอดถนนลาดพร้าวอยู่ ซึ่งเมื่อสถานีต่างๆเปิดให้บริการเเล้ว ทำเลนี้คงสะดวกสบายมากขึ้นอีกเยอะเลยนะคะ แต่ระหว่างการก่อสร้างนี้คงต้องทนสภาพการจราจรที่ติดขัดเพราะการปิดถนนก่อสร้างกันอีกซัก 2-3 ปีค่ะ T T
เส้นทางการเดินทางเเนะนำ
สำหรับเส้นทางการเดินทางเเนะนำของโครงการนี้ เราขอเเนะนำเส้นทางการเดินทางจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีพหลโยธิน ซึ่งเป็นสถานีที่เปิดให้บริการอยู่เลย ณ ปัจจุบัน ตัวสถานีนี้มีทางขึ้นอยู่ค่อนข้างหลายทางนะคะ แนะนำให้ออกตรงทางออกที่ 4 ซึ่งจะขึ้นมาตรงกับหัวมุมของ ห้าแยกลาดพร้าวพอดี เเล้วเดินตามทางมาเรื่อยๆ ตรงอย่างเดียว ตัวโครงการจะเข้าทางเดียวกันกับ Tesco Lotus ค่ะ เดี๋ยวเราไปดูบรรยากาศของเส้นทางนี้กันเลยดีกว่า จะได้เห็นภาพกันชัดขึ้น
ก่อนจะออกจากสถานีพหลโยธินกัน ภายในสถานีนี้ก็จะมี Metro Mall ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทาง BMN ให้เช่าที่ทำ Retail ค้าขาย นานมาแล้วพื้นที่ตรงนี้จะดูไม่ค่อยบูมเท่าไหร่ อาจเพราะว่าสถานีนี้จะมีห้างใหญ่อยู่อย่าง Central ลาดพร้าว และมี แหล่งช็อปปิ้งอย่าง Union Mall อยู่เเล้ว ทำให้คนนิยมไปเดินในห้างกันมากกว่า แต่พอเรามาคราวนี้ก็เริ่มจะมีร้านใหม่ๆมาเปิดกันมากขึ้น ซึ่งเราคิดว่าดีเลยนะคะ
ตัวอย่างร้านที่มาเปิดก็เช่นร้านกาแฟ Starbucks หรือจะเป็นร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson 108 ทำให้คนที่ใช้สถานีนี้เพื่อเดินทางไปทำงานหรือเรียนก็สามารถเเวะซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มก่อนไปทำงานได้ เหมาะสำหรับช่วงที่ห้างยังไม่เปิดหรือเราขี้เกียจที่จะเดินเข้าห้างมาก เเวะซื้อเเล้วก็ขึ้นรถไฟทำงานได้เลย สบาย และสำหรับคนที่ช็อปเยอะหรือนักท่องเที่ยวที่สัมภาระเยอะ บริเวณทางออกที่ 5 หรือหน้ายูเนียนมอลล์ก็จะมีตู้ล็อคเกอร์ให้บริการ วางของก่อนเเล้วเดินเที่ยวเล่นต่อได้ ค่อยมาเอาของก่อนกลับห้อง ก็สะดวกไปอีกแบบนะคะ
เอาล่ะค่ะ เรามาดูเส้นทางการเดินทางของเรากัน จากสถานีรถไฟฟ้าไปยังโครงการให้เรามุ่งหน้าไปยังทางออกที่ 4 ทางออกนี้ก็ค่อนข้างสะดวกเลย มีทั้งบันไดเลื่อนขึ้น-ลง และยังมีลิฟต์ให้ใช้บริการอีกด้วย คนที่เดินทางเเล้วใช้กระเป๋าลาก ก็ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดีเลยค่ะ
พอขึ้นมาจากตัวสถานีเราก็จะเจอกับแยกถนนพหลโยธินตัดกับถนนลาดพร้าวพอดี ให้เราเลี้ยวขวา เดินไปตามทางของถนนพหลโยธินเลย
บริเวณนี้ก็จะมีร้านกาเเฟเเละก็ร้านอาหารตั้งอยู่ ดึกๆหน่อยก็จะมีร้านอาหารเปิดหลายร้านเลย อาหารรสชาติถูกปากราคาไม่เเพงด้วยค่ะ
ตรงหัวมุมถนนก็มีพี่วินให้บริการอยู่ด้วย ถ้าเราข้าวของเยอะ เเล้วขี้เกียจเดินก็เรียกใช้บริการพี่ๆเค้าได้เลย
หันหลังกลับมาก็จะเจอห้างอย่าง Union Mall เป็นห้างที่เน้น Retail ขายเสื้อผ้าราคาถูก วัยรุ่นชอบเดิน ใช่ค่ะ เหมาะกับคนเเบบเรามาก #เรื่องช้อปเราจริงจังค่ะ
โอเคค่ะ ช่วงกลางๆถึงปลายเดือนเเบบนี้อย่าเพิ่งเเวะให้เสียทรัพย์กันดีกว่านะคะ เดินตรงไปโครงการกันเลยน่าจะดีกว่า เราะเลี้ยวขวาเดินตามทางไปเลย ถนนเส้นนี้มีทางเท้าให้เดินอยู่ค่ะ ขนาดกว้างขวางเดินสบาย
บริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีร้านอัดรูปตั้งอยู่เยอะมาก คือถ้าใครเรียนสถาปัตย์มาอาจจะต้องเคยเเวะเเถวนี้เพื่อปริ้นงานส่งอาจารย์กันทั้งนั้น สมัยเรียนเราก็จะต้องมาปริ้นกันที่นี่เลย ไม่ว่าเพื่อนคนไหนจะอยู่ที่ไหน พระราม 2 หรืออะไรก็จะต้องมาที่นี่ เพราะว่าที่นี่จะเปิดถึงเที่ยงคืนค่ะ (แน่นอนว่ากว่าเราจะทำเสร็จก็สามสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว)
บริเวณข้างทางเดินตรงนี้ก็จะมีสภาพเป็นตึกแถวเเละมีข้าวของขายริมทางเยอะเลย แล้วก็มีสะพานลอยที่สามารถใช้เดินข้ามไปยัง Central ลาดพร้าวได้ โดยสะพานนี้ก็จะเดินเชื่อมเข้า union mallได้โดยตรงเลย
ใต้สะพานลอยที่ว่าก็จะมีทางออกสำหรับคนที่มาจอดรถที่ union mall ค่ะ
เลยสะพานมาซักหน่อยข้างทางตรงนี้ก็จะมีพวกร้านอาหาร แผงขายอาหาร และแผงขายผลไม้เยอะเลย
คนก็ค่อนข้างคึกคักเเม้ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันบ่ายๆที่คนยังไม่เลิกงานเลยก็ตามค่ะ
เดินมาซักพักเราจะเจอกับ 7-eleven ซึ่งจะเป็นจุดเดียวกันกับป้ายรถเมล์พอดีค่ะ คนเลยจะเยอะๆหน่อย
พอเลย 7-eleven มาก็ยังมีพวกร้านอัดรูปอยู่นะคะ เเต่ผู้คนก็จะเริ่มบางตาลง
เดินมาเรื่อยๆเราจะเห็นการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าเเละตัวสถานีอยู่ตลอดทางเลยค่ะ สถานีนี้จะมีชื่อสถานีว่า “ห้าแยกลาดพร้าว” ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จก็จะเป็นสถานีที่ใกล้กับโครงการเรามากที่สุดค่ะ
ระหว่างนั้นก็จะมีการก่อสร้างตลอดทาง บางช่วงก็จะเดินลำบากนิดนึงนะคะ
ตรงตามทางมาบริเวณนี้ก็จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายอยู่ด้วยค่ะ
เดินมาเรื่อยๆจะเจอกับ Show room รถยนต์ Toyota
เลย Toyota มาก็จะเจอกับ Tesco Lotus อยู่ทางขวามือเเล้วค่ะ
หน้า Tesco Lotus ก็จะมีป้ายรถเมล์ สะพานลอย และพี่วินมอไซด์ให้บริการอยู่ วันไหนตื่นสายรีบไปรถไฟฟ้าก็มาเรียกใช้บริการกันได้
Tesco Lotus นี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 8.00-22.00 น.นะคะ และด้านหลังป้ายโลตัส เราจะเห็นป้ายของโครงการ Abstracts อยู่ด้านหลัง
ทางเข้า The LINE พหลโยธิน พาร์ค ก็จะใช้ทางเดียวกันกับทางเข้าที่จอดรถของโลตัสเเละโครงการ Abstracts ค่ะ
เราเดินเลียบโลตัสไปได้เลย
พอสุดทางก็จะถึงพื้นที่โครงการเเล้วค่ะ เราจะเจอกับวงเวียนเเบบนี้ก่อน เราเลี้ยวหรือเดินเข้าไปได้เลย
โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 21 ไร่ ที่ถูกแบ่งออกเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหลายอาคาร แต่ต้องใช้พื้นที่ส่วนกลางอันได้แก่สวนหย่อมและที่จอดรถร่วมกัน แต่เดิมทีพื้นที่บริเวณนี้มีแผนที่จะก่อสร้างเป็นอาคารประเภทคอนโดมิเนียมตึกสูงทั้งหมด 3 อาคารด้วยกันและมีพื้นที่สีเขียวอยู่ด้านหน้า ดังนั้นการออกแบบผังบริเวณของโครงการเดิมทีจะจัดให้มีการใช้พื้นที่ส่วนกลางเช่นสวนและที่จอดรถด้วยกัน ดังนั้นถนนหลักที่ใช้เข้าออกจะเป็นถนนที่ใช้รวมกันอยู่ด้านหลังอาคารหรือทางทิศใต้นั่นเองค่ะ การเข้าออกโครงการนี้สามารถเข้าออกได้ทางเดียวคือถนนตรงโลตัสนะคะ พอเข้ามาอาคารที่เราเจอเป็นอันดับแรกคือ Abstracts พหลโยธิน พาร์ค ถัดมาจึงจะเป็นอาคารที่เป็นส่วนของโครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค ซึ่งการก่อสร้างจะสร้างบนฐานรากเดิมซึ่งแต่เดิมถูกเรียกว่าอาคาร B ค่ะ ตำแหน่งจะอยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร A กับอาคาร C ดังนั้น ถ้าเรามองสภาพเเวดล้อมรอบๆตัวโครงการเช่นสวน ที่จอดรถ ก็จะเป็นพื้นที่ที่นิติบุคคลของทุกอาคารดูเเลร่วมกันค่ะ
- ทิศเหนือ จะติดกับสวนขนาดใหญ่ของโครงการรวม เเละมีอาคารสำนักงานของกองปราบที่ก่อลังก่อสร้างอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ความสูงไล่เลี่ยกันค่ะ
- ทิศใต้ จะติดกับถนนหลักของโครงการที่ใช้เข้า-ออกโครงการไปยังที่จอดรถ และเป็นบ้านพักอาศัยเเนวราบ
- ทิศตะวันออก ติดกับอาคาร C ซึ่งปัจจุบันจะเป็นที่ดินเปล่าที่มีการลงฐานรากอาคารไว้นานเเล้ว รอการพัฒนาต่อในอนาคต ถัดออกไปจะเป็นอาคารจอดรถรวมของทั้ง 3 อาคาร สูง 16 ชั้น
- ทิศตะวันตก ติดกับอาคาร A หรือโครงการคอนโด Abstracts ขนาดเเละความสูงเท่ากันกับโครงการเรา เนื่องจากเดิมทีออกเเบบพร้อมๆกันค่ะ
ทิศเหนือ ติดกับสวนหน้าอาคาร ถัดออกมาจะเป็นอาคารสำนักงานของกองปราบที่กำลังก่อสร้างอยู่ค่ะ
ทิศใต้ จะติดกับอาคารแนวราบเเทบทั้งหมดสูงไม่เกิน 6-7 ชั้นค่ะ
ทิศตะวันออก ติดกับอาคาร C เป็นที่ดินเปล่า มีการก่อสร้างฐานรากเอาไว้ รอพัฒนาต่อในอนาคตค่ะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Tesco Lotus ~ 250 m.
- MRT พหลโยธิน ~ 1.0 km.
- Union Mall ~ 1.1 km.
- โรงเรียนเซนต์จอห์น ~ 1.4 km.
- ธนาคาร TMB สำนักงานใหญ่ (พหลโยธิน) ~ 1.7 km.
- บริษัท การบินไทย จำกัด ~ 1.9 km.
- บริษัท บางกอกแอร์เวย์ ~ 2.0 km.
- Sun tower ~ 2.0 km.
- Big C Super Center ลาดพร้าว ~ 2.1 km.
- Central Plaza ลาดพร้าว ~ 2.2 km.
- สวนรถไฟ ~ 2.4 km.
- โรงเรียนหอวัง ~ 2.4 km.
- สวนจตุจักร ~ 2.6 km.
- ปตท. สำนักงานใหญ่และบริษัทในเครือ ~ 2.6 km.
- Major รัชโยธิน ~ 3.4 km.
- SCB Park ~ 3.8 km.
- สวนลุมไนท์บาซาร์ รัชดาภิเษก ~ 5.2 km.
- ปูนซีเมนต์ไทย (SCG) และบริษัทในเครือ ~ 7.2 km.
โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค เป็นคอนโด High Rise สูง 32 ชั้น 880 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ บนถนนพหลโยธิน ใกล้กับห้าแยกลาดพร้าว การออกแบบโครงการได้แรงบันดาลใจมาจากพื้นที่สีเขียวด้านหน้าที่มีขนาดประมาณ 8 ไร่ จึงออกแบบอาคารออกมาผ่านเเนวคิด “magical tree” ซึ่งถ้าเรามองจากหน้าตาอาคารและการออกแบบ Facade เราจะเห็นโครงร่างของต้นไม้ที่เหมือนเป็นเงาสะท้อนทาบอยู่บนอาคาร และมีการนำเอาคอนเซปต์นี้ไปเล่นกับพื้นที่ส่วนต่างๆทั้ง interior และ exterior ของโครงการอีกด้วย อย่างโทนสีที่เลือกใช้ก็จะมีการใช้สีเขียวเป็นหลักค่ะ
มาดูที่ Master Plan กันก่อน เดิมทีพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ดินที่เคยมีการวางเเผนสร้างคอนโดมิเนียม 3 อาคาร สูง 32 ชั้นและอาคารจอดรถ 1 อาคาร มาก่อนค่ะ ดังนั้นการออกแบบผังโครงการจึงถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อการใช้ Facilities หรือพื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน ซึ่งปัจจุบัน มีอาคาร A ซึ่งกลายเป็นคอนโดที่มีชื่อว่า Abstracts พหลโยธิน พาร์ค เป็นคอนโดที่สร้างเสร็จเเละมีผู้อยู่อาศัยเเล้ว ต่อมาพื้นที่อาคาร B จึงได้ทางเเสนสิริ ร่วมมือกันกับ BTS เข้ามาพัฒนาต่อภายใต้แบรนด์ The Line อย่างที่เราจะมารีวิวกันอยู่ในวันนี้ค่ะ ดังนั้นด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างที่มีมาตั้งแต่เดิม เช่นโครงสร้างอาคารที่ถูกออกแบบมาให้เป็นห้องพักอาศัย การยื่นขออนุญาตก่อสร้างต่างๆ จึงต้องยึดแบบเดิมเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถจะดัดเเปลงอาคารให้มีพื้นที่จอดรถชั้นล่างได้ เป็นต้นค่ะ เเละพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวนที่อยู่หน้าอาคารเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ กับพื้นที่อาคารจอดรถ จึงเป็นพื้นที่ที่อาศัยการดูแลร่วมของนิติบุคคลของทั้ง 3 อาคารนั่นเองค่ะ พื้นที่โครงการจริงๆของ The Line พหลโยธิน พาร์คนี้จะมีอยู่ 2 ไร่ คือตัวอาคารเท่านั้นนะคะ แต่การใช้งานพื้นที่สวนและที่จอดรถลูกบ้านก็สามารถใช้งานได้ตามปกติและไม่มีคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใดค่ะ
มาดูโมเดลประกอบกันไปค่ะ ที่ดินของโครงการนี้จะเป็นเเนวลึกเข้าไป ที่ดินถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนึงพัฒนาเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อีกฝั่งเป็นเเนวอาคาร 3 อาคารเรียงกัน โดยหันหน้าไปทางเหนือ-ใต้ เเละมีอาคารจอดรถสูง 16 ชั้นอยู่ด้านในสุดของโครงการค่ะ
พื้นที่ด้านหน้าของทั้ง 3 อาคารจะถูกจัดเป็นพื้นที่สวนส่วนกลางที่ทุกอาคารสามารถมาใช้ร่วมกันได้ โดยสวนนี้จะมีพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 8 ไร่
เราจะพาเดินดูบรรยากาศรอบๆของโครงการที่มีอยู่ปัจจุบันนะคะ จากทางเข้าโครงการจะมีวงเวียนอยู่ ซึ่งบรรยากาศทางเข้าบริเวณนี้ก็ Green สมกับคำว่า พหลโยธิน พาร์คเลยค่ะ วงเวียนนี้ถ้าขับรถตามทางไปจะเป็นถนนที่ไปยังอาคารจอดรถของทั้ง 3 อาคาร โดยตัวถนนจะเลาะไปทางด้านหลังของอาคารค่ะ ส่วนทางด้านหน้าจะเป็นสวนขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ค่ะ
วนตามวงเวียนมาจะเจอกับไม้กั้นกระดกที่คอยสกรีนรถเข้าออกค่ะ
เมื่อผ่านไม้กั้นกระดกเลี้ยวมาตามทางจะเป็นถนนด้านหลังของอาคารทั้ง 3 อาคาร โดยถนนนี้จะเป็นถนน 2 เลน รถวิ่งสวนกันได้ ริมรั้วมีปลูกต้นไม้เเละไม้พุ่มเรียงเป็นเเนวขนาบกับรั้วทึบเเละรั้วโปร่งรอบๆโครงการค่ะ ต้นไม้ถูกตัดแต่งต้นไม้ดูเรียบร้อยสะอาดตา ทางซ้ายมือพื้นที่ล้อมรั้วสีน้ำเงินอยู่จะเป็นที่ของอาคาร B หรือโครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค ของเรานั่นเองค่ะ ขับไปเรื่อยๆจนสุดทางจะเป็นอาคารจอดรถค่ะ
นอกจากต้นไม้เเล้วยังมีไฟทางตลอดเเนวถนนด้วยค่ะ
มองจากถนนไปสุดตาเมื่อซักครู่จะเป็นอาคารจอดรถใช่ไหมค่ะ สำหรับใครที่กลัวว่าจะเดินไกล กลัวร้อนหรือขี้เกียจเดิน ภายในโครงการจะมีรถกอล์ฟขับรับส่งอยู่ค่ะ
ทางเข้าที่จอดรถจะต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อขึ้นอาคารค่ะ
การเข้า-ออกอาคารจอดรถจะเป็นทางเดินรถทางเดียวนะคะเข้าด้านหน้าเเละวนออกทางด้านหลัง
ตัวอาคารจอดรถจะเป็นอาคารสูง 16 ชั้น ซึ่งถ้านับพื้นที่จอดรถทั้งหมดของอาคารนี้จะสามารถจอดรถได้ทั้งหมดประมาณ 1,500 คัน โดยที่จอดทั้งหมดจะต้องถูกแบ่งออกเป็นที่จอดรถของทั้ง 3 อาคาร ซึ่งจำนวนที่จอดรถของโครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค จะสามารถจอดรถได้ 520 คัน หรือประมาณ 60% ค่ะ ทางโครงการเเจ้งว่าเมื่อเปิดใช้งานเเล้วคาดว่าน่าจะมีการเเบ่งที่จอดรถแยกออกกันเป็นชั้นๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ
บรรยากาศของที่จอดรถในปัจจุบันค่ะ
จากที่จอดรถเราสามารถเดินเข้ามาสู่ตัวอาคารได้ 2 ทาง คือด้วยรถกอล์ฟจากทางถนนด้านหลัง ส่วนทางด้านหน้าอาคารก็จะมีทางเดินที่มีหลังคาปกคลุมตลอดทาง
ในวันที่อากาศดีๆ เราก็สามารถเดินไปตามทางชมสวนไปด้วยเเละได้ออกกำลังกายไปด้วยได้เช่นกันค่ะ
มองจากสวนเข้ามาอาคาร The Line พหลโยธิน พาร์ค จะอยู่ทางซ้ายมือตามภาพ ส่วนทางขวามือจะเป็นคอนโด Abstracts ที่ขึ้นมาก่อนหน้า
มาดูที่ภาพรวมของอาคารกันค่ะ ตัวอาคารจะมีทั้งหมด 32 ชั้น โดยจะมี Facilities อยู่ที่ชั้น 1 , 2 , 22 และชั้น 32 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าค่ะ ส่วนห้องพักอาศัยจะเริ่มต้นที่ชั้น 2 ไปจนถึงชั้น 31 เลย
จาก Concept ของโครงการที่มีชื่อว่า “magical tree” ถูกแตกออกมาเป็น 4 ส่วนโดยดึงทั้ง 4 ส่วนนี้มาเป็นแนวคิดในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการคือ
- ส่วนชั้นล่าง เกี่ยวเนื่องกับรากของต้นไม้ ถ้ำ ก้อนหิน
- ส่วนกลางอาคาร (Exterior Facade) ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงลักษณะของลำต้นของต้นไม้ หรือกิ่งก้านต้นไม้
- ส่วนชั้น 22 แทนด้วยโพรงของต้นไม้ ที่มีสัตว์ต่างๆมาอยู่อาศัย
- ส่วน Rooftop เปรียบกับยอดของต้นไม้ที่จะมีเเสงสว่างส่องถึง บรรยากาศโปร่ง โล่ง สบาย
เดี๋ยวเราจะพาคุณผู้อ่านไล่ไปดูกันทีละชั้นจากรากไม้ด้านล่างไปสู่ยอดไม้ชั้นบนกันนะคะ
ชั้น Ground Floor หรือชั้น 1 จาก Concept ที่เปรียบชั้นนี้เป็นรากของต้นไม้ ดังนั้นเราจะเห็นการออกแบบตั้งแต่ Landscape รอบๆโครงการที่มีเส้นสายเหมือนกับรากต้นไม้ใหญ่ ที่จะมีบางส่วนอยู่ใต้ดิน บางส่วนใหญ่พ้นชั้นดินขึ้นมา โดยพื้นที่สวนรอบๆนี้ก็จะถูกเชื่อมต่อจากสวนขนาดใหญ่ด้านหน้า มายังสวนที่เป็นพื้นที่ของโครงการ เเละเข้ามายังพื้นที่ข้างในโครงการด้วย(บริเวณ Lobby) โดยพื้นที่ชั้นนี้จะถูกจัดเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด มี Lobby , Mail room , Laundry และ Service อื่นๆ
การเข้าออกอาคารและที่จอดรถนั้นสามารถเข้าออกได้ทางเดียวนะคะ เป็นถนนที่ใช้ร่วมกันกับทางเข้าที่จอดรถของ Tesco Lotus ที่อยู่ข้างหน้าค่ะ โดยถนนภายในโครงการจะเลาะไปด้านหลังของอาคาร ทำให้พื้นที่สีเขียวที่อยู่ด้านหน้าจะเป็นสวนที่ไม่มีถนน ฝุ่น ควัน และเสียงจากรถยนต์มารบกวน
ด้านหลังอาคาร B หรืออาคาร The Line เมื่อขับรถผ่านจะมีที่จอดรถชั่วคราวกับจุด Drop off ให้ เป็นจุดที่ Drop คนทางซ้ายมือลงพอดีเดินเข้าโครงการได้เลย และคาดว่ารถกอล์ฟที่รับส่งอาคารจอดรถก็จะมาจอดรับคนขึ้นลงบริเวณนี้เช่นกันค่ะ
พื้นที่ชั้น 1 ของอาคารด้านหน้าจะเป็น Lobby , Lift Lobby และ Retail ที่ออกแบบให้สวนเชื่อมต่อกัน
มาดูภาพจำลองบรรยากาศกันดีกว่า ชั้น 1 ด้านหน้าอาคารจะเน้นพื้นที่เปิดโล่งโดยใช้กระจกบานใหญ่ เพื่อเปิดมุมมองไปยังสวนที่อยู่ด้านหน้าขนาด 8 ไร่ ทำให้บรรยากาศของพื้นที่ตรงนี้จะดูร่มรื่น ตัดกับความวุ่นวายของถนนห้าแยกลาดพร้าวภายนอก
พื้นที่บริเวณ Lobby นี้จะถูกออกแบบมาให้เหมือนกับปากถ้ำ โดยการที่เล่นกับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอย่างฝ้าเพดานและเสาที่ถูกบิด (Distort) ด้วยสีสันเเละวัสดุ เลือกใช้ไม้สีอ่อนสลับกับอลูมิเนียมเส้นตั้งสีน้ำตาลเข้ม สร้างมิติและบรรยากาศเหมือนอยู่ภายในถ้ำ พื้นที่ตรงนี้สามารถเปิดหน้าต่างด้านหน้าที่ติดกับสวนได้ ซึ่งเมื่อเปิดออกไปแล้วพื้นที่ตรงนี้ก็จะถูกเชื่อมต่อไปยังสวนด้านหน้าต่อเนื่องกันไปค่ะ
พื้นชั้น 2 ขึ้นไปจนถึงชั้น 31 จะเป็นพื้นที่ห้องพักนะคะ โดยหลักการออกแบบหลักๆจะเหมือนกัน คือ Core Lift จะอยู่ตรงกลางประกอบไปด้วยลิฟต์โดยสาร 6 ตัว และ Service Lift อีก 1 ตัว มีบันไดหนีไฟอยู่ 3 จุด ตรงลาง 1 จุดเเละปลายสุดทางเดินทั้ง 2 ฝั่งอีกฝั่งละจุด ทางเดินเป็น Double Corridor เเจกออกไปทั้ง 2 ฝั่งซ้าย-ขวา เเอบเสียดายเล็กน้อยที่ประตูห้องชนกันนะคะ ส่วนห้องพักเกือบทุกห้องจะถูกวางไปยังทิศเหนือ-ใต้ ทำให้การระบายอากาศดี และจากชั้น 2 ถึงชั้น 23 ห้องพักจะมีเป็นห้อง 1 Bedroom จัดอยู่ตรงกลาง และห้องแบบ 2 Bedrooms อยู่หัวมุมทั้ง 4 มุมของอาคารค่ะ
The Line Re Tive Plan Room18
ส่วนชั้น 3-21 รวมๆก็จะเหมือนเดิมค่ะ แต่จะมีการ Random ห้องในแต่ละชั้นที่ต่างกันบ้าง เช่น ชั้นนี้จะมีห้อง Type ที่มีระเบียง สลับชั้นกับ ห้อง Type ที่ไม่มีระเบียงค่ะ
บนชั้นที่ 22 จะเป็นอีกหนึ่งชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางตั้งอยู่ โดยชั้นนี้ที่บอกไปแนวความคิดที่แตกออกมาคือจะเปรียบเหมือนโพรงต้นไม้ที่จะมีอยู่ตามลำต้น เป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ชุมนุมของสัตว์ต่างๆ (Animal Habitat) ดังนั้นในแง่ของการใช้งานพื้นที่ตรงนี้จึงรวบรวมพื้นที่ Co ต่างๆนานาไว้มากมาย เพื่อให้ลูกบ้านได้มาใช้เเละมาทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน มีส่วน Co-living Lounge, Co-Playing Space, Co-Cooking Studio, Co-working space (ประกอบด้วย 3 โซน Working Area, Photo Studio และ Meeting&Workshop Zone) และพื้นที่สวนพักผ่อนภายนอก
ถ้ามองจากภายนอกอาคาร พื้นที่ชั้นนี้ที่เป็นชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางกับชั้นดาดฟ้า จะมีการออกแบบที่แตกต่างออกไปโดยการเลือกใช้แถบอลูมิเนียมดัดโค้งมาล้อมรอบพื้นที่ตรงนี้เอาไว้ด้วยค่ะ
คือถ้ามองจากโมเดลพื้นที่ด้านข้างอาคารจะใช้โทนสีเขียว และยังมีการเล่นลวดลายกราฟฟิกโค้งที่แทนลวดลายของเปลือกไม้ที่อยู่บนลำต้นด้วย เห็นได้ว่า ทั้งหมดถูกออกแบบมาให้เข้ากับ Concept หลักของโครงการ “Magical tree”
พื้นที่ส่วนกลางของชั้น 22 นี้จะมีทั้งส่วนที่อยู่ในอาหารเป็นห้อง กับส่วนที่เปิดโล่งเป็นสวนนะคะ เยื้องๆกันไปเหมือนโพรงภายในต้นไม้ ซึ่งการออกแบบนี้ก็จะมีข้อดีตรงนี้พื้นที่ที่เป็นสวนนั้น ยังอยู่ในร่ม สามารถเดินออกมาใช้งานได้แทบทั้งวันโดยไม่ร้อน และพื้นที่ Semi-outdoor ตรงนี้มีทั้งด้านหน้าและด้านหลังอาคาร ต่อเนื่องเยื้องกันไป เป็นช่องที่ลมสามารถพัดผ่านได้ รับรองว่าพื้นที่ตรงนี้ลมเย็นสบายเเน่นอนค่ะ นอกจากนี้ พื้นที่ส่วนกลางตรงนี้จะกินพื้นที่ของทั้งชั้น 22 และ ชั้น 23 ไว้ด้วยกัน ทำให้พื้นที่ส่วนกลางตรงนี้จะมีความสูงเเบบ Double space ด้วยค่ะ
มาดูที่ Co-Living lounge กันก่อน พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่สามารถจะมาจัดปาร์ตี้ ดูหนัง หรือเล่นเกมส์ได้
ต่อมาที่ Co-Kitchen ตรงนี้จะมีการออกแบบที่ดูพิเศษขึ้นมาหน่อยโดยหน้าบานครัวจะเลือกใช้วัสดุ Stone Veneer ของแบรนด์ Hacker เป็นการลดใช้หินธรรมชาติ แต่ยังได้สัมผัสเหมือนหินอยู่ พื้นที่ตรงนี้จะอยู่โซนเดียวกันกับ Co-Living โดยจะมีเคาน์เตอร์กึ่งบาร์พร้อมอุปกรณ์ครัว และเครื่องใช้ไฟฟ้ามาให้ เหมาะกับการมาทำอาหารจัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆได้ และอีกหนึ่งจุดน่าสนใจคือฝ้าเพดานของพื้นที่ Co-kitchen จะมีการออกแบบโดยการหยิบเอา Pattern ของใบไม้ซ้อบทับลงบนกระจก และใช้ lighting ส่องลงมาช่วย ทำให้เกิดเเสงเงาเหมือนเราที่ยืนหลบเเดดอยู่ใต้ต้นไม้ค่ะ
โดยจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นไฮไลท์อย่างถังขยะย่อยเศษอาหารของ Smart CARA
และตู้เย็น LG Instaview Door-in-Door สามารถเปิดตู้เย็นได้ 2 แบบ เพื่อลดการใช้พลังงานค่ะ และนี่คือตัวอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นไฮไลท์นะคะ ตรงนี้โครงการพยายามสื่อสารเรื่อง ธรรมชาติ Sustainable ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของอาคารด้วยค่ะ
การออกแบบส่วนพื้นที่ Co-working space จะมีการเลือกใช้หิน Terrozzo มาทำเป็นวัสดุพื้น และมีการใช้ Aluminium Chains Art มาเป็นส่วนหนึ่งในหลายๆพื้นที่ของชั้นนี้ โดยตัวโซ่นี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการเเบ่งเเยกพื้นที่ใช้งานต่างๆให้เป็นสัดส่วน แต่ก็ยังบังตา พรางตา แต่พื้นที่ยังคงต่อเนื่องกันอยู่ให้อารมณ์เหมือนเงาไม้ในป่าค่ะ
ห้อง C0-Playing Studio มาใน Theme แมลงตัวน้อย โดยการออกแบบจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนพัฒนาสมอง ส่วนเล่น และส่วนที่ผู้ปกครองเข้าถึงได้ โดยได้รับการรับรองจากรพ.สมิติเวชด้วย ทุกอย่างในห้องนี้จะออกแบบมาให้เป็น Scale ใหญ่เพื่อเปิดโลกจินตนาการเด็กได้มากขึ้น
ขึ้นมายังชั้น 23 พื้นที่ครึ่งนึงจะเป็นห้องพักอาศัย ส่วนอีกครึ่งนึงจะเป็นพื้นที่ Double Space ของพื้นที่ส่วนกลางชั้น 22 ค่ะ โดยจำนวนยูนิตชั้นนี้จะค่อนข้างน้อยคือมี 14 ยูนิต เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว
ชั้น 24-31 จะเป็น Typical Floor อีกชุดนึง ที่จะมีห้องแบบ Duplex แทรกเพิ่มเข้ามาค่ะ
The Line Re Tive Plan Room23
สามารถกดที่รูปดูผังชั้นอื่นๆเพิ่มเติมได้
มาถึงชั้นสุดท้าย ชั้นดาดฟ้ากันบ้าง ชั้นนี้ตาม Concept จะเปรียบเป็นยอดของต้นไม้นะคะ ที่จะมีแสงสาดส่องเข้ามา ดังนั้นในการออกแบบจึงจะเน้นพื้นที่เปิดโล่ง โดยชั้นนี้จะมีพื้นที่หลักๆอยู่คือ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสวนค่ะ
มุมเเรกจะเป็นจุดชมวิวเมืองที่ชั้น 32 นะคะ เรียกว่า Vista point และมีสนามเด็กเล่นบนชั้นดาดฟ้าที่เรียกว่า Rabbit Hole ให้คุณหนูๆสามารถมาวิ่งเล่นท่ามกลางธรรมชาติบริเวณนี้ได้
อีกฝากนึงของสวนดาดฟ้าจะมีชื่อว่า Floating nest ที่จะมีที่นั่งเป็นโซนๆ เหมือนนั่งพักผ่อนบนยอดไม้ เเถมมีลูกเล่น Solar Charger นอนเล่นมือถือไป ชาร์จไฟไปได้ด้วย
พื้นที่ส่วนสระว่ายน้ำของโครงการนี้ก็จะออกแบบมาในรูปแบบ freeform มีการเล่นระดับต่อเนื่องกัน ความยาวส่วนที่ว่ายจริงจะอยู่ที่ 28 เมตร แต่ถ้านับรวมกับสระเด็กและจากุชชี่จะมีความยาวสระรวม 38 เมตรค่ะ ส่วนพื้นที่ความกว้างที่แคบสุดจะอยู่ที่ 4 เมตร แต่ส่วนที่กว้างสุดจะอยู่ที่ 6.5 เมตร ปลายสุดของสระในเวลากลางคืนผนังจะอยู่ออกแบบให้มีแสงกระทบเหมือนเวลากลางคืนที่มีหิงห้อยบินผ่านด้วยค่ะ
ส่วนสุดท้ายเป็นส่วนที่เรียกว่า Starry Gym โดยจะเเบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.Smarttechnology equipment พื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามใจ สามารถเล่น Yoga ได้ และมีอุปกรณ์เครื่องเล่นใหม่ๆเช่น Reax Board, Reax Light และ Smart Mirror
2.Exercise Machine ที่ประกอบไปด้วย Treadmills และจักรยานพร้อมจอส่วนตัว
3. Weight Training การออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พร้อมอุปกรณ์ให้มา
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
สิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารชุด
- พื้นที่โถงต้อนรับ
- สวนหย่อมชั้น 2, 22
- พื้นที่ทำงานส่วนกลาง
- พื้นที่สตูดิโอ
- พื้นที่กิจกรรมเวิร์คชอป
- ห้องประชุม
- ห้องพักผ่อนอเนกประสงค์
- พื้นที่ครัวส่วนกลาง
- ห้องเด็ก
- สระว่ายน้ำและจากุซซี่ ขนาดส่วนที่เเคบสุด 4×28 เมตร
- สระเด็ก
- ห้องออกกำลังกาย พร้อมอุปกรณ์
- สวนชั้น 32 และสนามเด็กเล่น
- ห้องซักผ้า
- อินเตอร์เน็ตไร้สาย (โถงต้อนรับ, พื้นที่ทำงานส่วนกลาง,พื้นที่ถ่ายภาพอเนกประสงค์,พื้นที่กิจกรรมเวิร์คชอป, ห้องประชุม, ห้องพักผ่อน เอนกประสงค์,พื้นที่ครัวส่วนกลาง,พื้นที่สันทนาการสาหรับเด็ก, บริเวณสระว่ายน้า,ห้องออกกำลังกาย, สวนและสนามเด็กเล่น ชั้น 32)
- จุดบริการชาร์ตแบตเตอรี่ สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
- ที่จอดรถชั่วคราว
- ลิฟท์โดยสาร 6 ตัว/อาคาร
- Service Lift 1 ตัว
- ระบบ CCTV / Access Card
สิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นทรัพย์ส่วนกลางร่วม
- สวนขนาดใหญ่และสวนหย่อม
- อาคารจอดรถยนต์ (แบ่งใช้งานแยกชั้นในแต่ละอาคารไม่คิดเงินเพิ่ม) สามารถจอดได้ 520 คัน ไม่รวมซ้อนคัน คิดเป็นประมาณ 60%
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง
- กล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง
แล้วก็มาถึงที่ตัวห้องกันบ้างค่ะ โครงการนี้จะมีห้องให้เลือกหลักๆคือ 3 แบบ เป็น 1 Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) , 2 Bedrooms (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) และ Duplex (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) ค่ะ โดยในแต่ละเเบบเนี่ย ก็จะมีการวางผังห้องที่แตกต่างกันไปอีกนะคะ โดยเฉพาะห้องแบบ 1 Bedroom ซึ่งเป็น Type หลักของโครงการนี้ ก็จะมีห้องแบบ 1A ไปจนถึง 1D เลย เดี๋ยวเราจะมีแปลอธิบายให้ฟัง ซึ่งรูปแบบห้องที่มีเนี่ย ที่เราบอกว่าหลากหลาย คือตัวผังถูกออกแบบมาให้ตรงกับความชอบที่หลากหลายจริงๆ เช่นบางคนชอบห้องที่มีระเบียง แต่บางคนไม่ชอบ บางคนอยากให้ครัวและพื้นที่ทางข้าวใกล้กับหน้าต่างและชอบที่จะให้เตียงนอนอยู่ด้านในห้องหน่อยเพราะจะได้ไม่ร้อนจนเกินไป หรือบางคนชอบที่จะให้ห้องนอนอยู่ชิดริมหน้าต่าง ความชอบเหล่านี้ถูกส่งผ่านมายังการออกแบบผังของห้องที่โครงการนี้จริงๆค่ะ และอีกอย่างคือห้องพักภายในโครงการนี้จะเริ่มต้นที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เลยนะคะ อย่าง 1 Bedroom ที่เป็น Type เล็กสุดขนาดเริ่มต้นก็อยู่ที่ 31.75 ตร.ม.แล้ว และที่น่าสนใจอีกอย่างของห้องพักโครงการนี้คือห้องแบบ Duplex แท้ๆค่ะ เดี๋ยวส่วนนี้เราจะอธิบายในแปลนอีกทีข้างล่างนะคะ ว่า Duplex แท้ๆนี่มันมีหน้าตาเป็นยังไง แล้วข้อดีคืออะไรค่ะ
ส่วนห้องตัวอย่างที่เราจะพาไปดูนั้น ในรีวิวนี้เรามีห้องมาให้ชมกันอยู่ 2 แบบ เป็นแบบ 1 Bedroom Type 1AM-1 เป็นห้องที่ไม่มีระเบียงแต่มีพื้นที่ห้องนอนกว้างขึ้นเเทน และห้องแบบ 2 Bedrooms Type 2A ค่ะ โครงการนี้ขายเป็นเเบบ Fully Furnished นะคะ เรียกได้ว่าสร้างเสร็จมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมอยู่หรือปล่อยเช่าได้เลย เกริ่นมาเยอะแล้ว เราว่าเราไปดูตัวห้องกันเลยดีกว่าค่ะ
ห้องตัวอย่างแรกที่เราจะพาไปดูเป็นห้อง 1AM-1 ขนาดห้องจะอยู่ที่ 32.50-32.75 ตร.ม. เป็นห้องหน้าแคบแต่ลึกนะคะ โดยพื้นที่ทั้งหมดจะถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน ตามความ privacy ของการอยู่อาศัยเลย คือเมื่อเข้ามาจะเจอกับครัวก่อนทางขวามือและมีตู้วางของชั้นวางรองเท้าให้ทางซ้ายมือ ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่ทานอาหารและนั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งมีขนาดกว้างขวางเลยเพราะเต็มหน้ากว้างของห้องซึ่งมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 3.6 เมตร มองย้อนกลับมาจะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ ที่ภายในแบ่งส่วนเปียกและส่วนแห้งออกจากกันชัดเจน และมีรายละเอียดของประตูที่เค้าจะเลือกใช้ประตูบานเลื่อนตัวบานเป็นกระจกฝ้า เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถเข้ามายังพื้นที่ตรงนี้ได้ด้วย ถัดเข้ามาในสุดจะเป็นพื้นที่ห้องนอน โดยมีประตูบานเลื่อนกระจก 3 ตอนขนาดใหญ่คั่นพื้นที่ไว้เป็นสัดส่วน ภายในห้องนอนของ Type นี้จะไม่มีระเบียงให้ แต่ก็จะได้พื้นที่ห้องนอนที่กว้างขึ้นเเทน เเละจะมีพื้นที่สำหรับวาง Condensing Unit และเครื่องซักผ้าอยู่ภายนอกห้อง กั้นปิดเป็นสัดส่วนค่อนข้างเรียบร้อย
สำหรับห้อง Type นี้จะมีเฟอร์นิเจอร์ให้มาทั้งหมด 9 ชิ้น หน้าตาตามภาพเลยค่ะ มีหลายๆชิ้นที่ดูน่าสนใจดีนะคะ อย่างเช่นชั้นวางทีวีก็ให้มาทั้งชิ้นบนเเละล่างเลย ชั้นวางรองเท้าก็มีชั้นวางสำหรับวางกุญแจ จดหมายอะไรต่างๆได้ และตัว Daybed ที่เหมาะกับการวางข้างหน้าต่างนอนอ่านหนังสือเล่นอีกมุมนึงของห้องได้ค่ะ ข้อดีของการที่โครงการขายแบบ Fully Furnished ก็มาจากปัญหาของผู้อยู่อาศัยนี่ล่ะค่ะ หลายๆคนก็ไม่แน่ใจกับขนาดพื้นที่ๆเรามี ตอนซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็จะซื้อแบบลอยตัว ซึ่งก็จะไม่พอดีกับพื้นที่ หรือร้ายไปกว่านั้นคือซื้อมาเเล้วใหญ่กว่าพื้นที่ที่มีก็เคยเจอค่ะ ไหนจะเรื่อง Design หรือจะเลือกโทนสีให้คล้ายกันไปอีก การที่โครงการขายพร้อมแบบนี้ก็เรียกได้ว่าดีเเละสะดวกไปอีกแบบค่ะ แต่สำหรับใครที่ต้องการความ Unique และมีเซนส์ที่ดีในการเลือกตกแต่ง ก็ถือว่าโชคดีนะคะ เราสามารถตกแต่งห้องให้เป็นห้องของเราเพียงคนเดียวไม่มีใครเหมือนได้ 🙂 นับถือค่ะ
มาเริ่มกันที่ประตูกันดีกว่า โครงการนี้จะให้มาเป็นบานประตูลามิเนต 2 โทนสีแบบนี้เลย ให้มาพร้อมกับ Digital Door Lock
Digital Door Lock ที่ได้จะเป็นของ Samsung นะคะ สามารถใช้งานได้โดยกุญแจ Keycard และกดรหัสผ่าน มือจับเป็นก้านโยกแบบในภาพ
สวิตซ์ไฟภายในห้องจะให้เป็นแบบ Touch นะคะ ของยี่ห้อ Somfy ซึ่งจะสามารถสั่งงานจากระบบ Home Automation ผ่าน Application บนมือถือได้อีกด้วย
เข้ามาในห้องจะเจอกับพื้นที่ส่วนครัวก่อนเลยอันดับเเรก เคาน์เตอร์ครัวจะตั้งอยู่ทางขวามือค่ะ ถัดไปจึงจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ และ ห้องนอน ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอนแต่ก็มีความโปร่ง เนื่องจากผนังที่กั้นระหว่างห้องเป็นบานกระจกอลูมิเนียมทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านถึงกันได้
ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่สำหรับวางรองเท้า มีความกว้างประมาณ 90 ซม. พื้นที่ตรงนี้จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ให้มานะคะ ไม่ใช่ตู้ Built-in แบบในห้องตัวอย่าง
ทางเดินและระยะการใช้งานของส่วนนี้จะอยู่ที่ 1.1 เมตร ถือว่าเป็นระยะที่ใช้งานได้ค่อนข้างสะดวกเลย พื้นของห้องที่ให้มาเป็นพื้นลามิเนตหนา 8 มม.ค่ะ
พื้นที่ครัวจะมี Smoke Detected ให้มาและบริเวณประตูก็จะมี Door Stop เป็นแบบแม่เหล็กค่ะ ซึ่งจริงๆเเล้วเราว่า พื้นที่บริเวณครัวนี้เราสามารถติดตั้งประตูบานเลื่อนกระจกเพิ่มอีกบาน เพื่อให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นครัวปิดเลยก็ได้นะคะ ควัน กลิ่นจากการทำอาหารจะได้ไม่ลอยไปติดเฟอร์นิเจอร์อื่นๆด้วยเช่น ผ้าม่านหรือโซฟาค่ะ
มาดูที่ครัวกันบ้าง ตัวเคาน์เตอร์ครัวมีความกว้างประมาณ 1.45 เมตร ลึก 80 ซม.เลย (หลายๆที่จะลึกแค่ 60 ซม.เอง ซึ่งเเปลว่าเราก็จะได้พื้นที่ใช้งานบริเวณเคาน์เตอร์เยอะขึ้นด้วย) ช่องเปิด ช่องวางของต่างๆก็มีทั้งบนและล่าง ให้มาหลากหลายพอสมควรค่ะ ชุดครัว Built-in พร้อมเคาน์เตอร์ครัวกรุแผ่นหิน ควอทซ์ มีผนังกันเปื้อนกรุกระจกสีเขียว(หรือเทียบเท่า) มีอ่างล้างจานเเบบฝังใต้เคาน์เตอร์ และเตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควันให้มาครบเซทค่ะ
ชุดอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้าและเครื่องดูดควันจะได้ของ MEX นะคะ
บริเวณ Backsplash มีราวเเขวนให้มาด้วย เราจะเเขวนผ้าเช็ดมือ หรือซื้อฮุกมาเเขวนพวกแก้วน้ำเพิ่มก็ได้ค่ะ
ช่องเปิดด้านบนได้แบบนี้ ไฟภายในตู้เเละไฟบริเวณ Backsplash ก็ติดตั้งมาให้ค่ะ
ตัวบานเปิดจะเป็นกระจกลวดขุ่น ทางโครงการตั้งใจให้ได้บรรยากาศเหมือนเราไปตั้ง CAMP ในป่ากันนะคะ แต่จริงๆเเล้วตัววัสดุนี้จะมีคุณสมบัติที่มากกว่านั้นคือการต้านทานการแตกหลุดร่วงของแผ่นกระจก และช่วยในการชลอการลุกลามของเปลวไฟ และควันไฟนอกจากนี้เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกทำให้สามารถป้องกันขโมยได้อีกด้วย
ช่องเปิดด้านล่างจะเป็นลิ้นชักแบบนี้ วางช้อนส้อม อุปกรณ์ครัว ถังขยะได้ และมีพื้นที่สำหรับวางไมโครเวฟได้
จบจากส่วนครัว ถัดมาจะเป็นพื้นที่ทานอาหารเเละนั่งเล่นพักผ่อนค่ะ โดยพื้นที่ส่วนนี้จะสามารถต่อเนื่องไปยังพื้นที่ของห้องนอนเลยก็ได้ เนื่องจากประตูที่แบ่งพื้นที่นี้เป็นประตูบานเลื่อนกระจก ทำให้ภายในห้องจะได้รับเเสงสว่างจากภายนอกเข้ามายังภายในได้อยู่ค่ะ ส่วนพื้นยังคงเป็นพื้นไม้ลามิเนตหนา 8 มม.เหมือนเดิม ผนังจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาวเฉยๆนะคะ เหมือนกับฝ้าเพดาน ส่วนไฟในห้องจะติดให้เป็นไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้าค่ะ ด้วยความที่ห้องหน้ากว้าง 3.6 เมตร ทำให้พื้นที่ตรงนี้ที่มีความกว้างเต็มหน้ากว้างห้องดูกว้างขวาง เดินสบายอยู่นะคะ
พื้นที่ฝั่งนึงที่ต่อเนื่องจากครัวมาก็จะเป็นตำเเหน่งของชั้นวางทีวีเเละที่นั่งทานอาหารสำหรับ 2 ที่นั่ง ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่ให้จะเป็นแบบข้างบนนะคะ ซึ่งจะเป็นโต๊ะทำงานที่สามารถเลื่อนออกมาเป็นที่นั่งทานอาหารได้ แต่เราว่าถ้าเราจะเลือกใช้งานเเบบห้องตัวอย่างก็ถือว่าโอเคเหมือนกันนะคะ เพราะระยะเมื่อเลื่อนเก้าอี้ออกมาใช้งานเเล้วก็จะไม่เกะกะขวางทางเดินอะไร ใช้งานได้สะดวกอยู่
สามารถปรับพื้นที่ตรงนี้เป็นได้ทั้งโต๊ะทำงานก็ได้ หรือโต๊ะทานอาหารก็ได้ค่ะ
ส่วนอีกฝั่งนึงจะเป็นพื้นที่สำหรับวางโซฟาและโต๊ะกลางนะคะ พื้นที่ตรงนี้กว้าง 2.7 เมตร สามารถวางโซฟาเเบบ 2 ที่นั่งสบาย
ระยะดูทีวีก็มากถึง 2.5 เมตรเลยค่ะ เลือกทีวี 55 นิ้วกำลังดีเลย หรือจะ 60 นิ้วก็สามารถนะคะ
มองย้อนกลับมาเราจะเจอกับทางเข้าห้องน้ำทางขวามือนะคะ ตรงนี้จะเป็นประตูบานเลื่อนกระจกฝ้า
โครงการตั้งใจออกแบบให้เป็นแบบนี้ ซึ่งมีข้อดีที่เราจะได้รับแสงธรรมชาติภายในห้องน้ำ และยังเป็นการประหยัดพื้นที่การใช้งานเนื่องจากเป็นประตูบานเลื่อน ไม่ใช่ประตูบานสวิงอีกด้วย
ภายในห้องน้ำจะถูกออกแบบให้แยกส่วนเปียกและส่วนแห้งออกจากกัน พื้นจะใช้เป็นกระเบื้องลายไม้ ส่วนผนังจะใช้เป็นกระเบื้องโทนสีขาว ธรณีประตูเเละธรณีเเยกพื้นที่ส่วนเปียกและส่วนแห้งจะใช้เป็นหินเทียมค่ะ
เข้ามาจะมีพื้นที่ทางเดินอยู่ประมาณ 75 ซม. ทางซ้ายมือเป็นอ่างล้างหน้า ส่วนทางขวามือเป็นโถสุขภัณฑ์
ผนังด้านหลังอ่างล้างหน้าจะพิเศษขึ้นเล็กน้อย ตรงที่กระเบื้องด้านหลังนี้จะเป็นกระเบื้องสีเขียว นำเข้ามาจาก Spain ค่ะ ชุดเคานท์เตอร์อ่างล้างมือ กระจกเงา จะได้เป็นเเบบนี้นะคะ ถือเป็นมาตรฐานของโครงการนี้ คือจะมี Built-in ด้านล่างเคาน์เตอร์ให้มา ตัวอ่างจะเป็นตั้งบนเคาน์เตอร์ของ Cotto กระจกเงามีตู้เก็บของอยู่ด้านหลังบานกระจก และด้านบนมีติดไฟให้ สะดวกสำหรับแต่งหน้า
พื้นที่เคาน์เตอร์อ่างจะมีขนาดประมาณ 60 x 60 ซม. พอมีพื้นที่สำหรับวางข้าวของบ้าง มีที่เเขวนผ้าเช็ดมือให้มาด้านข้างและปลั๊กไฟพร้อมฝาครอบ ถือว่าดีเเละครบเลยนะคะ เข้าใจถึงกิจกรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่น ผู้หญิงที่มักจะมาเเต่งหน้าก็มีไฟเพิ่มมาให้ หรือมักจะใช้ไดร์เป่าผมก็มีปลั๊กไฟไว้ให้อีก
หลังบานกระจกเงาก็จะมีพื้นที่สำหรับเก็บของได้ เช่นพวกครีมต่างๆ หรือจะเป็นสบู่ ยาสระผม อุปกรณ์อาบน้ำต่างๆที่เราซื้อตุนไว้ช่วงลดราคาหรือไม่ลดราคา ก็มาวางเก็บไว้ก่อนได้ตรงนี้ค่ะ
ขาช็อปที่คิดว่าที่เก็บของด้านบนไม่พอ มาวางด้านล่างก็ได้นะคะ เช่นกระดาษทิชชู่ น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำอะไรต่างๆ ถือว่ามีช่องให้เยอะดีค่ะ และถ้าเราสังเกตดีๆ ใต้อ่าง เราจะเห็นว่าโครงการนี้เดินท่องานระบบสำหรับน้ำร้อน และน้ำเย็นไว้ให้เรียบร้อย
หันหลังมาอีกฝั่งนึงกันบ้าง ฝั่งนี้จะเป็นโถสุขภัณฑ์ค่ะ ของ COTTO เหมือนกันพื้นที่กว้างประมาณ 1 เมตร ระยะด้านข้างถือว่าสบายนะคะ สำหรับพื้นที่ตรงนี้จะมีที่ใส่กระดาษชำระให้มา เเต่จะไม่ได้ให้สายฉีดชำระนะคะ มีการเดินท่องานระบบไว้ให้ แต่ตัวสายฉีดต้องไปเลือกซื้อและติดตั้งเองทีหลังค่ะ
พื้นที่ส่วนอาบน้ำจะอยู่ข้างในสุด มีฉากกั้นกระจกติดตั้งมาให้ เป็นกระจกใส Tempered เเบบไม่มีขอบ บานประตูเป็นบานเปิดเข้า ทำให้เมื่อใช้งานเสร็จน้ำก็จะไม่หยดเลอะเทอะออกมายังพื้นที่ส่วนเเห้งอีกด้วยค่ะ
พื้นที่ใช้งานจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1 x 1.2 เมตร เป็นระยะที่ใช้งานหมุนตัวสะดวกค่ะ
ภายในห้องน้ำจะได้มาเป็นฝักบัวมือจับสเตนเลสเเบบนี้นะคะ จับถนัดมือ และที่น่าสนใจคือทุกห้องภายในโครงการนี้จะให้ Rain Shower มาให้ด้วย และมีช่องสำหรับวางอุปกรณ์อาบน้ำมาให้ ซึ่งตรงนี้เราเเนะนำว่าสามารถติดตั้งชั้นวางเพิ่มก็ได้นะคะ ในกรณีที่เราชอบจุดเทียนอาบน้ำ หรือมีครีมอาบน้ำหลายๆแบบ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเวลาใช้งานก็ดีค่ะ
ห้องนอนจะถูกแบ่งด้วยประตูบานเลื่อนกระจก 3 ตอน ทั้งความกว้างเเละความสูงเต็มพื้นที่ผนังเเละฝ้าเพดานเลย ทำให้ได้พื้นที่ที่ดูแล้วโล่ง ต่อเนื่องกันไปตั้งแต่ครัว พื้นที่ห้องนั่งเล่น ไปจนถึงห้องนอน
ตัวรางเลื่อนมีทั้งรางบนเเละล่าง แต่รางล่างจะถูกฝังไว้ให้อยู่ระดับเดียวกับพื้น ทำให้เวลาเดินจะไม่รู้สึกเจ็บเท้าเมื่อเหยียบ หรือสะดุดด้วยค่ะ
ห้องนอนจะมีขนาดประมาณ 3.4 x 3.6 เมตร ด้วยความที่หน้ากว้างค่อนข้างกว้างนะคะ เมื่อจัดพื้นที่ใช้งานจะทำให้มีพื้นที่ปลายเตียงเหลืออยู่มีทางเดินกว้างประมาณ 95 ซม. เดินเข้า-ออก ใช้งานสะดวกค่ะ
สามารถวางเตียงแบบ King Size ได้สบายเลย เเละเนื่องจากห้องนี้เป็นห้องที่ไม่มีระเบียง ทำให้ได้พื้นที่ภายในห้องนอนที่กว้างมากขึ้น ห้องก็เลยจะดูอยู่อาศัยสบายนะคะ ไม่อึดอัด
อย่างที่บอกไป ปลายเตียงเหลือทางเดินประมาณ95 ซม. ถึงเเม้เราเลื่อนเก้าอี้โต๊ะเครื่องเเป้งออกมา ก็ยังเหลือพื้นที่สำหรับเดินอยู่ ส่วนพื้นที่ข้างเตียงฝั่งที่ติดกับประตูกระจกจะมีขนาดเล็กหน่อยประมาณ 20 ซม. เราสามารถติดตั้งผ้าม่านเพิ่มขึ้นได้ เผื่อเวลาใช้งานจริง มีเเขกของเเฟนเรามา เราก็สามารถกั้นม่านปิด และยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ในห้องนอนเเละห้องนั่งเล่นได้ค่ะ ส่วนพื้นที่อีกฝั่งที่ติดกับผนังด้านนอก ตรงนี้จะมีพื้นที่เยอะหน่อย กว้างประมาณ 1.5 เมตรเลย จะวางโต๊ะทำงานเพิ่มก็ได้ค่ะ แต่เฟอร์นิเจอร์ที่ให้มาตรงนี้โครงการจะให้ Daybed มานะคะ
พื้นที่ปลายเตียงจะเป็นตำแหน่งของตู้เสื้อผ้าเเละโต๊ะเครื่องแป้ง
ตู้เสื้อผ้าที่ให้มาจะหน้าตาเเบบนี้เลย กว้าง 1.2 เมตรค่ะ เป็นบานเปิดสวิง ฝั่งนึงหน้าบานเป็นกระจกใส่สีชาอีกฝั่งนึงเป็นกระจกเงา ข้างในก็จะมีราวเเขวน ช่องเก็บของ และลิ้นชักเบบนี้ค่ะ
ชอบดีเทลตรงลิ้นชักทีเค้ามีสีเขียวหลบอยู่ด้านใน ให้คงคอนเซปต์ Green ไปทางเดียวกันกับโครงการ
และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ให้มาคือ Well Air ค่ะ เป็นเครื่องวัดอากาศภายในห้อง คอยวัดค่า CO2, VOCs and Relative Humidity ซึ่งปกติก็จะขึ้นว่า Good แต่ถ้าค่าต่างๆตกลงกว่าเกณฑ์ ระบบระบายอากาศก็จะทำงานเองอัตโนมัติค่ะ
มาดูอีกจุดน่าสนใจของห้องแบบนี้กันคือหน้าต่างนั่นเองค่ะ หน้าต่างของห้องจะเป็นบานเปิดสวิง 3 บานเเบบนี้ ที่ยาวจรดพื้นเลย เปิดได้ทั้งบาน แต่เปิดได้สุดตามภาพนะคะ ตรงนี้จะมีราวกันตกติดตั้งไว้ด้านในอีกที ช่วยในเรื่องความปลดภัย ถือว่าเป็นการออกแบบที่ดูเชื่อมต่อกับภายนอกได้เต็มที่เลยค่ะ
สาเหตุที่ไม่สามารถเปิดกระจกได้มากก็เนื่องมาจากความปลอดถัยของอาคารสูงค่ะ เพราะเมื่ออยู่ที่สูง ลมก็จะพัดเเรงขึ้น เเรงลมสามารถพัดกระจกปลิวไปได้เหมือนกันค่ะ ดังนั้นในอาคารสูงส่วนมากมักจะถูกออกแบบให้เป็นกระจกบานกระทุ้งหรือกระจกบานปิดตายไปเลยมากกว่า
มาดูด้านข้างกันบ้าง ตรงนี้จะเป็นตำแหน่งที่วาง Condensing unit ค่ะ
บานประตูจะเป็นบานทึบ มีมือจับหน้าตาเเบบนี้ หมุนเปิดได้
มีธรณีประตูกั้น กันน้ำและฝุ่นผงจากภายนอกเข้ามายังภายในห้องค่ะ
พื้นที่ตรงนี้เป็นตำแหน่งที่วาง Condensing Unit ใช่ไหมค่ะ เป็นการวางเเขวนผนังไว้หันหน้าออก มี Facade บังเรียบร้อย และถ้าเราสังเกตห้องมาตั้งแต่ต้น ใช่คะ ภายในห้องจะไม่มีตำเเหน่งสำหรับวางเครื่องซักผ้า ดังนั้นพื้นที่ที่สามารถวางได้ก็จะเป็นพื้นที่ตรงนี้เเทน แต่ก็เนื่องด้วยห้องนี้ไม่มีระเบียงค่ะ ดังนั้นพื้นที่สำหรับตากผ้าก็จะไม่มีไปด้วย เราก็อาจจะหาที่เเขวนเเถวนี้ หรือเเขวนบริเวณราวกันตกภายในห้องนอนแล้วเปิดหน้าต่างระบายอากาศแทน
โดยส่วนตัวเเล้วเราชอบห้องนี้นะคะ เพราะเราไม่ค่อยจะใช้พื้นที่ระเบียงเท่าไหร่ และสำหรับคนที่ไม่ค่อยซักผ้าเอง(อย่างคนที่ซื้อคอนโดไว้เพื่อทำงานหรือเดินทางไปเรียนสะดวก ขนเสื้อผ้ากลับบ้านไปซักช่วงสุดสัปดาห์แทน) ห้องนี้ก็นับว่าตอบโจทย์เรื่องการได้พื้นที่ใช้สอยที่เต็มที่เหมือนกันค่ะ
มาดูห้องตัวอย่างอีกห้องหนึ่งกันบ้างนะคะ ห้องนี้จะเป็นห้องแบบ 2 Bedrooms Type 2A ขนาดจะอยู่ที่ประมาณ 58.75-60.75 ตร.ม. ห้องนี้เป็นอีกห้องนึงที่เราถือว่าออกแบบออกมาได้ลงตัวเลยนะคะ ห้องแบบนี้ตำแหน่งของห้องจะเป็นห้องที่อยู่หัวมุมของอาคาร และเป็นห้องหน้ากว้าง เมื่อเข้ามาจะเจอกับครัวก่อนเลยซึ่งจะได้เป็นครัวปิด ฝั่งนึงเป็นเคาน์เตอร์ครัว อีกฝั่งนึงจะเป็นเคาน์เตอร์ บาร์สูง และชั้นวางรองเท้า ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหารเเละพื้นที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะต่อเนื่องกัน ถือเป็นพื้นที่ส่วนกลางของครอบครัว โดยการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ก็ถือว่าไม่อึดอัดเลยนะคะสำหรับการวางโต๊ะทานอาหารได้ 4 ที่นั่งแบบไม่เกะกะทางเดิน เเละมีพื้นที่ดูทีวีที่อยู่ข้างใน ไม่มีทางเดินตัดหน้าโซฟาเเละทีวี ส่วนพื้นที่ระเบียงก็เป็นระเบียงเข้ามุมกว้างอยู่ และมีพื้นที่วาง Condensing unit แยกออกมาอีกจุดนึงดูเรียบร้อยสะอาดตา ห้องน้ำของยูนิตนี้จะมีทั้งหมด 2 ห้อง โดยห้องนึงจะเป็นห้องสำหรับห้องนอนเล็กใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง โดยจะมีประตูที่สามารถเข้าได้ 2 ฝั่ง เเละยังคงคอนเซปต์ที่ห้องน้ำทุกห้องของโครงการนี้จะต้องได้รับเเสงจากธรรมชาติ โดยจะมีผนังกระจกอยู่ข้างๆตำแหน่งอ่างล้างมือ ซึ่งจะเป็นตำเเหน่งที่เยื้องๆกับประตูระเบียงส่วนห้องนั่งเล่นพอดี แสงส่องถึงอยู่ค่ะ ในส่วนของห้องนอนนั้นจะมีทางเดินเล็กๆแยกเข้ามา เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการเข้าถึงพื้นที่ส่วนนี้ ในส่วนของห้องนอนเล็กก็มีขนาดที่สามารถวางเตียง Queen Size ได้ และมีพื้นที่เหลือรอบๆอยู่นะคะ และมีหน้าต่างเอาไว้รับแสงเเละระบายอากาศได้ด้วยค่ะ ส่วนห้องนอนใหญ่จะเป็นห้องที่มีห้องน้ำในตัว เมื่อเข้ามาจะเป็นทางเดินเเละตำแหน่งสำหรับวางตู้เสื้อผ้า ขนาดเป็นสัดส่วนเปรียบเสมือนเป็น Walk-in Closet เล็กๆ ตรงข้ามกันจะเป็นตำเเหน่งของห้องน้ำ การวางผังคือเเบ่งส่วนเปียกและส่วนเเห้งออกจากกันชัดเจน แต่ที่น่าสนใจของห้องนี้คือมีผนังกระจกฝ้าเข้ามุมเพื่อรับเเสงธรรมชาติ และได้บรรยากาศภายในห้องที่ดูสวยเเปลกตาไปอีกแบบค่ะ ส่วนห้องนอนใหญ่นี้เป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างเลยนะคะ พื้นที่ปลายเตียงเดินสบาย และที่น่าสนใจคือการที่ผนังข้างหัวเตียงทึบเล็กน้อย ไม่ให้เเสงเเยงตาในตอนเช้า ขณะเดียวกันก็มีกระจกเข้ามุมเป็น Bay Window อีกด้วย เราว่าไปดูห้องจริงกันดีกว่าว่าการจัดวางพื้นที่พอเห็นเป็น 3 มิติเเล้วจะเป็นอย่างไรกัน
หน้าตาของ Furniture Package ที่ให้มาภายในยูนิตนี้ค่ะ ที่เราอาจจะต้องหาซื้อเพิ่มคงจะเป็นตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนเล็กและก็พวกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
เมื่อเข้าห้องนี้มาก็จะเจอกับพื้นที่ส่วนครัวกันอันดับเเรกเลยค่ะ โดยห้องนี้จะได้ห้องครัวเป็นแบบครัวปิด
หน้าตาของเคาน์เตอร์และชุดครัวยังเหมือนเดิมนะคะ แต่จะได้ขนาดที่กว้างมากขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1.8 เมตรเลย
หน้าตาของช่องเก็บของบานเปิดสวิงด้านบน ใส่อุปกรณ์ครัวพวกหม้า จานชาม เครื่องปั่นอะไรต่างๆได้
ส่วนพื้นที่ด้านล่างจะเป็นบานเปิดเเบบลิ้นชักนะคะ และอีกข้อดีของห้องนี้คือมีตำแหน่งวางเครื่องซักผ้าไว้บริเวณนี้ค่ะ
Backsplash เป็นกระจกสีเขียว มีราวเเขวนติดตั้งมาให้พร้อมไฟเเสงสว่าง อ่างล้างมือเเบบฝังใต้เคาน์เตอร์ตัว Top เคาน์เตอร์เป็นหินควอทซ์ เเละมีเตาไฟฟ้า 2 หัวติดตั้งพร้อมเครื่องดูดควันของยี่ห้อ MEX ค่ะ
ห้องนี้พื้นจะปูเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้แทน มีระยะทางเดินอยู่ที่ประมาณ 1.2 เมตร เดินสวนกันระหว่างคนนึงใช้งานได้นะคะ
อีกฝั่งนึงจะเป็นตำแหน่งของชั้นวางรองเท้าเเละมีโต๊ะทรงสูงเคาน์เตอร์บาร์ ให้มาอีกหนึ่งชิ้นค่ะ สามารถเก็บของ เก็บรองเท้า วางของพวกกุญแจ จดหมาย เอกสารต่างๆตรงนี้ได้ค่ะ
พื้นที่ตรงนี้มีหน้ากว้างอยู่ที่ประมาณ 2.4 เมตร ประตูบานเลื่อนที่กั้นพื้นที่ครัวเเละพื้นที่ครอบครัวด้านในจะถูกแบ่งออกจากกันด้วยประตูบานเลื่อนกระจก 3 ตอน ยาวเต็มพื้นที่ทั้งความกว้างเเละความสูงค่ะ โดยตัวรางจะฝังพื้นอยู่ที่ระดับเดียวกันกับพื้นเหมือนห้องที่เเล้ว เดินสะดวก ไม่สะดุดค่ะ
บานประตูนี้สามารถเปิดได้ทั้ง 2 ฝั่งนะคะ เเละถ้าเราเปิดสุด ระยะระหว่างประตูกับขอบเคาน์เตอร์ก็ยังเหลือทางเดินอยู่ประมาณ 80 ซม. ถือว่ายังเป็นระยะเดินสบายค่ะ
เมื่อเข้ามาเราจะเจอกับพื้นที่รับประทานอาหารเเละพื้นที่นั่งเล่นของครอบครัว โดยเราสามารถจัดโต๊ะทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่งชิดผนังฝั่งนึงได้ และมีมุมสำหรับจัดโซฟารับแขกและทีวีเป็นสัดส่วนใช้งานสะดวกไม่รบกวนกัน ซึ่งพอเข้ามายังพื้นที่ส่วนนี้เเล้ว พื้นจะเป็นพื้นไม้ลามิเนตหนา 8 มม. ผนังเเละฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว ไฟใช้เป็นไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า
มุมสำหรับวางชุดทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่ง โดยในห้องตัวอย่างจะวางโต๊ะขนาด 150 x 75 ซม.ไว้ เเละมีระยะสำหรับเลื่อนเก้าอี้ทานอาหารอยู่ที่ฝั่งละประมาณ 70 ซม. ถือว่าเป็นระยะถอยที่โอเคนะคะ ไม่ชนกับประตูข้างหลัง และเป็นระยะไม่ได้เดินเข้า-ออกเพื่อใช้งานลำบากอะไร
ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น พื้นที่ตรงนี้ถูกแยกออกมาเป็นสัดส่วนอยู่ เวลาใช้งานเเละมีคนเดินเข้าออกห้องนอนก็จะไม่มีการเดินสวนตัดหน้ากับให้สูญเสียอรรถรสในการชมทีวีกันค่ะ พื้นที่บริเวณนี้ก็ถือว่ากว้างขวางเลย มีขนาดอยู่ที่ประมาณ 3.25 x 2.4 เมตร
พื้นที่ตรงนี้อย่างที่บอกไปมีความกว้างอยู่ที่ 2.4 เมตรค่ะ สามารถวางโซฟาเเบบ 2-3 ที่นั่งได้เลย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่จะให้มาจะเป็นแบบโซฟารูปตัว L3 ที่นั่ง นั่งนอนดูทีวีได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ
อีกฝั่งนึงจะเป็นพื้นที่สำหรับวางชั้นวางทีวีค่ะ โดยระยะดูทีวีจะอยู่ที่ 2.5 เมตรเลย
รอยต่อระหว่างฝ้าเพดานกับผนังตรงประตู จะมีการทำหลืบฝ้าเพดานไว้ให้ ในกรณีที่ต้องการติดตั้งผ้าม่านเพิ่มเติมก็จะทำให้ดูเรียบร้อย ไม่เห็นรางผ้าม่านค่ะ
ประตูระเบียงจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน เปิดได้ทั้ง 2 ฝั่งนะคะ
ตรงนี้จะมีธรณีประตูขึ้นมากันฝุ่นเเละน้ำจากภายนอกไหลเข้ามาภายในตัวห้องได้ ส่วนพื้นที่ระเบียงก็จะมีขนาดประมาณ 0.90×2.30 เมตรค่ะ
ห้องนี้จะได้เป็นระเบียงเข้ามุมนะคะสามารถใช้งานชมวิวได้สบาย
อีกฝั่งนึงจะเป็นตำแหน่งสำหรับวาง Condensing Unit มีประตูกั้นเเยกออกเป็นสัดส่วน ความร้อนเป่าออกค่ะด้านหลังเป็นผนังทึบ ทำให้การใช้งานภายในมองออกมาไม่เห็นตรงนี้ดูเรียบร้อยสวยงาม
จากระเบียงมองย้อนกลับออกมาค่ะ ข้างๆประตูครัวเราจะเป็นทางเข้าห้องน้ำ และผนังกระจกฝ้า เพื่อให้เเสงธรรมชาติจากภาพนอกเข้าไปยังพื้นที่ห้องน้ำได้ด้วย
ฝั่งตรงกันข้ามกับโต๊ะทานอาหารจะเป็นทางเดินไปยังห้องนอนทั้ง 2 ห้อง ทำให้พื้นที่ส่วนที่เป็น Semi-Private แยกออกจากส่วน Private ชัดเจนค่ะ
มาดูที่ห้องน้ำกันก่อน ห้องน้ำนี้วัสดุภายในจะเป็นเหมือนกันกับห้องแบบ 1 Bedroomค่ะ มีการแบ่งส่วนเปียกส่วนเเห้งออกจากกัน
ห้องนี้จะมีทางเข้า 2 ทาง จากห้องนอนเล็ก 1 ทางและจากทางเดินส่วนกลางอีก 1 ทาง โดยพื้นที่ใช้สอยภายในอย่างพื้นที่ส่วนแห้งก็มีพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 1.5×1.7 เมตร ถือว่ากว้างอยู่นะคะ ใช้งานสะดวก
กระเบื้องสีเขียวเป็นกระเบื้อง Import จาก Spain ชุดสุขภัณฑ์ต่างๆของ COTTO มีชั้นวางของใต้เคาน์เตอร์และหลังกระจกเงาค่ะ
ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะอยู่ด้านในลึกเข้าไป มีขนาดประมาณ 1.35 x 0.95 เมตร ใช้งานสะดวก หมุนตัวสบาย มีฉากกั้นอาบน้ำเเบบไม่มีเฟรมเป็นกระจก Tempered ภายในห้องเป็นฝักบัวอาบน้ำและมี Rain Shower ให้มาด้วยค่ะ
มองจากห้องน้ำออกมาก็จะเห็บถึงผนังกระจกฝ้าข้างๆเคาน์เตอร์พอดี ตรงนี้จะช่วยให้ภายในห้องน้ำนี้ยังได้รับเเสงธรรมชาติขณะใช้งานในช่วงเวลากลางวันอีกด้วยนะคะ
เรามาดูห้องนอนเล็กกันบ้างค่ะ สำหรับห้องนอนนี้มีขนาดอยู่ที่ประมาณ 2.70 x 3.00 เมตร ค่ะ พื้นยังคงเป็นพื้นลามิเนตต่อเนื่องจากข้างนอกเข้ามา
สำหรับเตียงที่โครงการให้มาจะเป็นเตียงขนาด 5 ฟุตนะคะ ถ้าเราวางชิดหน้าต่างก็จะเหลือพื้นที่อีกฝั่งใช้งานได้เยอะค่ะ
ห้องนี้หน้าต่างจะเป็นช่องเเสงสุดพื้นเเละมีหน้าต่างบานสวิงเเบบในภาพ เป็นการออกแบบช่องเเสงที่ได้รับเเสงเข้ามาในห้องเต็มที่อยู่นะคะ
ตัวอย่างระยะต่างๆภายในห้องตัวอย่างก็จะเหลือพื้นที่ปลายเตียงอยู่ประมาณ 60 ซม. เราสามารถติดทีวีเเบบเเขวนผนังได้ และมีระยะทางเดินปลายเตียงที่สามารถเดินได้โอเคอยู่ค่ะ ส่วนพื้นที่ที่ติดกับหน้าต่างนั้นห้องตัวอย่างก็เว้นระยะไว้ประมาณ 20-30 ซม. เป็นระยะสำหรับติดตั้งผ้าม่านนั่นเอง ส่วนข้างเตียงอีกฝั่งก็จะเหลือพื้นที่เยอะหน่อยค่ะ เพราะเป็นทางเดินหลักของห้อง สามารถวางตู้เสื้อผ้าแบบบานเปิดสวิงได้ หรือเราจะจัดมุมสำหรับโต๊ะทำงานเพิ่มตรงนี้ก็ได้เหมือนกันค่ะ
มุมสำหรับวางตู้เสื้อผ้าเเละโต๊ะทำงานภายในห้องจะอยู่ติดกับประตูทางเข้าห้องน้ำนั่นเองค่ะ
เรามาดูห้องนอนใหญ่กันบ้างนะคะ ห้องนี้เมื่อเข้ามาเราจะเจอกับตู้เสื้อผ้าทางซ้ายมือ ส่วนทางขวามือจะเป็นห้องน้ำ ก่อนที่เข้าไปข้างในจะเป็นพื้นที่เตียงนอนพักผ่อนค่ะ
ระยะตรงนี้มีความกว้างของทางเดินประมาณ 1.65 เมตรเลย ถือว่าเป็นระยะที่ติดตั้งตู้เสื้อผ้าบานเปิดได้ และมีระยะให้เรายืนส่องกระจกเงาได้ด้วยนะคะ
ตู้เสื้อผ้าอันนี้จะมีความกว้างอยู่ที่ประมาณ 1.50 เมตรเลย แต่หน้าตาดีไซน์จะเหมือนกันกับห้องตัวอย่างเเรกที่พาไปดูค่ะ
หันกลับมาอีกฝั่งจะเป็นตำแหน่งของห้องน้ำค่ะ โดยเมื่อเข้ามาเราจะเจอกับส่วนแห้งก่อน และทางขวามือจะเป็นส่วนเปียกค่ะ ตัวหน้าตาสุขภัณฑ์ต่างๆจะได้ของ COTTO เหมือนเดิมนะคะ
ระดับภายในห้องน้ำจะลดลงมากันน้ำไหลเข้าห้อง และช่วยในเรื่องง่ายต่อการทำความสะอาดด้วยค่ะ
พื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1.60 x 1.55 เมตร ใช้งานสะดวกนะคะ อย่างระยะระหว่างโถสุขภัณฑ์ไปยังผนังก็มีขนาดประมาณ 90 ซม. นั่งเเล้วเข่าไม่ชนผนังเเน่นอนค่ะ รับรอง
ส่วนไฮไลท์ของห้องน้ำนี้ก็จะอยู่ที่ผนังกระจกฝ้าเข้ามุมค่ะ ที่มีในทุกห้องน้ำ ช่วยให้บรรยากาศในห้องน้ำดูเเปลกตามากขึ้น เเละช่วยให้เเสงสว่างจากภายนอกเข้ามาได้อีกด้วย ในหลายๆโครงการหรูจะมีห้องน้ำที่มีกระจกนี้อยู่เหมือนกันนะคะ แต่จะเป็นกระจกใสเรียกว่า SEXY bath แต่หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่ามันวาบหวิวไปนิด แบบนี้เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ
ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ด้านในสุด ทุกองค์ประกอบเหมือนเดิมนะคะ พื้นที่มีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1.20×0.95 เมตรค่ะ
ออกมาจากห้องน้ำไปยังพื้นที่เตียงนอนพักผ่อนค่ะ ทางเดินตรงนี้จะมีขนาดประมาณ 60 ซม.นะคะ เดินได้สบายอยู่ค่ะ
บรรยากาศพื้นที่ส่วนพักผ่อนจะมีพื้นที่ที่เเบ่งเป็นผนังทึบเเละช่องเปิด ซึ่งออกแบบมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ คือข้างหัวเตียงจะเป็นผนังทึบ ที่ทำให้เเสงไม่แยงตาเกินไปในเวลาเช้า ส่วนปลายเตียงเป็นผนังทึบทำให้สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์เช่นโต๊ะเครื่องเเป้ง ชั้นวางทีวีได้ เเละยังมีแนวกระจกยาวต่อเนื่องกันเป็น Bay Window เอาไว้ระบายอากาศ เป็นช่องเเสง เเละเปิดรับวิวได้เต็มที่ ความสูงหน้าต่างก็ยาวเต็มจรดพื้นเลย
และแน่นอนค่ะ มีระบบ Well Air ตรวจจับสภาพอากาศติดตั้งมาให้
ห้องนี้จะมีขนาดกว้างหน่อยนะคะ พื้นที่ตรงนี้มีขนาดประมาณ 3.50×3.00 เมตร ทำให้เหลือพื้นที่รอบๆเมื่อเราวางเตียง 6 ฟุตลงไปค่อนข้างกว้างเลย อย่างปลายเตียงคือเหลือๆ 1.1 เมตรเลยค่ะโดยประมาณ หรือจะเป็นอีกฝั่งที่ติดกับผนังภายนอกก็เหลือพื้นที่ประมาณ 50 ซม.ค่ะ
มองจากมุมห้องเข้ามา บรรยากาศห้องก็ดูกว้างขวาง สบาย น่าพักผ่อนนะคะ ประทับใจห้องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ ซึ่งราคาเฉลี่ยของห้องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.8 ล้านบาทเท่านั้นเองค่ะ(เสียงสู้ง)
นอกเหนือจากห้องตัวอย่างที่พาไปชมกันเเล้ว จริงๆเเล้วในโครงการนี้มีห้องให้เลือกค่อนข้างหลากหลายเเบบเลยค่ะ เดี๋ยวเราจะลองยกตัวอย่างผังห้องที่เราว่าน่าสนใจมาให้ดูกันนะคะ
ห้องเริ่มต้นของโครงการนี้เลยจะเป็นห้องเเบบ 1A ค่ะ ขนาดจะอยู่ที่ 31.75-32.75 ตร.ม. อันที่จริงผังของห้องนี้จะเหมือนกับห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ที่เราพาไปดู โดยจะมีความแตกต่างอยู่ที่ห้องนี้จะได้ระเบียงหน้ากว้างแทนนั่นเองค่ะ สำหรับคนที่ใช้งานระเบียงเป็นหลัก ห้องนี้ก็สามารถเป็นหนึ่งในตัวเลือกได้นะคะ
ห้องแบบ 1B นี้จะมีผังที่ค่อนข้างเเปลกตาออกไปเลยค่ะ คือห้องนี้จะมีความเหมือนผังห้องญี่ปุ่นมากมากคือเค้าจะเเยกห้องอาบน้ำกับห้องสุขาออกจากกันค่ะ ซึ่งห้องนี้เป็นเเบบนั้น นอกจากการเเยกพื้นที่ห้องน้ำใช้งานออกจากกันเเล้วยังมีการวางพื้นที่ครัวเเละทานอาหารเป็นตำแหน่งที่ติดกับพื้นที่กระจกภายนอกอีกด้วย จริงๆการวางฟังก์ชันเเบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนะคะ เรื่องเเรกคือพื้นที่ครัวก็จะได้การระบายกากาศที่ดีด้วย และอีกเรื่องคืออันที่จริงพื้นที่นอนและพื้นที่นั่งดูทีวีนี่ จริงๆเป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องการเเสงสว่างที่มากกมายอะไรมาก ดังนั้นการนำมาไว้ตรงกลางก็จะไม่ทำให้ร้อนจนเกินไป อาจจะเหมาะกับคนที่นอนในเวลากลางวันเเล้วไม่ต้องการเเสงกับไอร้อนมากค่ะ เป็นอีกรูปแบบนึงที่ดูเเล้วน่าสนใจเลยทีเดียว
ห้องเเบบ 1C จะเป็นห้องที่มีหน้ากว้างเพิ่มขึ้นมา ทำให้สามารถเเบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในห้องได้ลงตัวมากขึ้น คือสามารถทำเป็นครัวปิดได้ มีประตูกั้นห้องนอนกับส่วนนั่งเล่นพักผ่อน มีพื้นที่สำหรับ Walk-in Closet เล็กๆ มีระเบียงหน้ากว้าง ถือว่าจัดวางฟังก์ชันได้ค่อนข้างครบเเละลงตัวเลยค่ะห้องType นี้
และห้อง 1 Bedroom Type สุดท้าย 1D เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่เลยเกือบ 40 ตร.ม.ได้ การวางผังอันที่จริงก็คล้ายๆกับห้องเบบ 1C นะคะ แต่พื้นที่ส่วนครัวกับพื้นที่นั่งเล่นจะมีความต่อเนื่องกันมากกว่า ซึ่งตรงนี้ก็เเล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนั่นเองค่ะ
มาดูที่ห้อง 2 Bedrooms อีกType กันบ้าง 2B อันที่จริงเเล้วจะเหมือนกับห้องแบบ 2A เลยค่ะ แต่ว่าจะมีพื้นที่ที่ลึกมากขึ้น ทำให้พื้นที่ระเบียงเดิมจะกลายเป็น Multi Purpose Area กึ่ง indoor-outdoor และมีห้องนอนใหญ่ที่ใหญ่มากขึ้นอีกค่ะ
ส่วนห้อง 2C นั้นจะเป็นห้องแบบ Duplex แท้ๆเลยค่ะ ห้อง Duplex แท้ๆ คือห้องที่มี 2 ชั้นค่ะ สามารถเข้าได้ทั้ง 2 ชั้นเลย สมมุติว่าห้องอยู่ที่ชั้น 20 เราก็สามารถเข้ามาในยูนิตเราได้ทั้งชั้น 20 และชั้น 21 ได้อารมณ์เหมือนมีทาวน์โฮมขนาดเล็กนั่นเองค่ะ การออกแบบของทั้ง 2 ชั้นนี้จะไม่มีพื้นที่ที่เจาะช่องพื้นเพื่อทำเป็น Double space ด้วยนะคะ คือจะเป็นพื้นที่ใช้งานเต็มทั้ง 2 ชั้นเลย โดยจะเเบ่งออกให้ชั้นเเรกเป็นชั้นพักผ่อนรับเเขก มีครัวปิด ห้องน้ำ ห้องเก็บของใต้บันได้ ห้องนั่งเล่นทานอาหาร และพื้นที่กึ่ง indoor-outdoor ที่เป็น multi purpose area ไว้ใช้งานหรือทำสวนเล็กๆได้ พอขึ้นมาชั้น 2 ก็จะเป็นส่วนห้องนอนที่มีความเป็นส่วนตัวค่ะ โดยทั้งสองห้องนอนก็จะได้พื้นที่ที่ใหญ่เลย ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ประตูห้องน้ำเข้าได้ 2 ทาง เเละมีอ่างอาบน้ำให้เพิ่มมาเป็นพิเศษสำหรับ Type นี้ค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 20 October 2018
- ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.ทั้งโครงการ 139,000 บาทต่อตร.ม.
- ห้อง 1 Bedroom 1A ขนาด 31.75-32.75 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 4.3 ล้านบาท หรือราคา 135,000 บาทต่อตร.ม. โดยประมาณ
- ห้อง 1 Bedroom 1B ขนาด 32.5-32.45 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 4.5 ล้านบาท หรือราคา 138,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยประมาณ
- ห้อง 1 Bedroom 1C ขนาด 36.75-37.5 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 4.9 ล้านบาท หรือราคา 132,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยประมาณ
- ห้อง 1 Bedroom 1D ขนาด 39.75 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 5.4 ล้านบาท หรือราคา 136,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยประมาณ
- ห้อง 2 Bedroom 2A ขนาด 58.75-60.75 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 7.8 ล้านบาท หรือราคา 130,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยประมาณ
- ห้อง 2 Bedroom 2B ขนาด 64.75-66.75 ตร.ม. ราคาห้องโดยเฉลี่ย 8.6 ล้านบาท หรือราคา 130,000 บาทต่อ ตร.ม. โดยประมาณ
- Fully Furnished
- ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง n/a บาท
- ทำสัญญา n/a บาท
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ซึ่งทางโครงการให้ข้อมูลมาเป็นโดยเฉลี่ยของห้องแต่ละแบบเท่านั้น ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ สามารถสอบถามโดยตรงกับทางโครงการเพื่อความมั่นใจดีกว่าค่ะ
ทำเล – โครงการ The Line พหลโยธิน พาร์ค ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินใกล้กับห้าแยกลาดพร้าว พื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเเละสาธารณูปโภคต่างๆครบครัน ทั้งแหล่งงานที่มีอาคารสำนักงานบริษัทที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ตามถนนพหลโยธินเเละวิภาวดีรังสิต อีกทั้งสถานศึกษาชื่อดังหลายๆเเห่งทั้งโรงเรียนหอวัง เซนต์จอห์น ราชภัฏจันทรเกษม หรือจะเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ล้วนแต่เดินทางออกไปอีกไม่ไกล ที่สำคัญคือความอุดมสมบูรณ์ในแง่อาหารการกินและ Entertainment ในรูปแบบของ Mall ที่ตั้งอยู่ในระยะเดินถึง สามารถเรียกได้ว่าปากซอยมีโลตัส ข้ามถนนเป็นเซ็นทรัล ลาดพร้าวได้เลย ด้วยความที่ทุกอย่างพร้อมขนาดนี้ทำให้ย่านนี้เป็นย่านที่คึกคักเเทบจะตลอดเวลา
การเดินทางโดยใช้รถ – การเดินทางด้วยรถยนต์นั้นอาจจะลำบากหน่อย เพราะพื้นที่เเถวนี้เป็นจุดบรรจบของถนนหลักที่คนกรุงเทพใช้เดินทางกันแทบทั้งสิ้น ทั้งถนนพหลโยธิน ถนนวิภาวดีรังสิต และถนนลาดพร้าว ที่ปกติเเล้วก็ขึ้นชื่ออยู่ว่าเป็นถนนที่รถติดมาก และยิ่งมีการปิดถนนเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าอีกด้วย ยิ่งทำให้แค่คิดว่าจะต้องขับรถไปแถวนี้ก็เหนื่อยเเล้วค่ะ ถึงแม้ถนนหนทางต่างๆจะเป็นถนนที่สามารถเข้า–ออก เมืองไปยังสยาม อนุสาวรีย์ หรือออกเมืองไปยังรังสิต ปทุมธานีได้สะดวกก็ตาม แต่ทางที่ดี เราควรหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวในช่วงเวลาที่รถติดและหันมาใช้ตัวเลือกอื่นๆในการเดินทางแทน
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – เนื่องจากย่านห้าแยกลาดพร้าวเป็นย่านเศรษกิจที่มีความอุดมสมบูรณ์ครบครันอย่างที่กล่าวไป ทำให้ระบบขนส่งมวลชนของพื้นที่บริเวณนี้มีค่อนข้างพร้อม ทั้งรถเมล์ รถเเท๊กซี่ หรือวินมอเตอร์ไซค์ก็หาไม่ยาก (แต่จะไปหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง) แต่ที่น่าสนใจของพื้นที่ทำเลนี้คือการเปิดใช้งานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้โครงการเราจากเดิมที่มี MRT พหลโยธินใกล้สุดประมาณ 1 กม. จะเป็นสถานีห้าแยกลาดพร้าวเป็นสถานีที่ใกล้ที่สุดเเทน และนอกจากนี้ ถ้าเราเดินทางด้วย MRT ออกไปอีก 1 สถานียังสถานีลาดพร้าว ในอนาคตนั้นสถานีนี้จะเป็นสถานี interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่สามารถใช้เดินทางไปยังรามคำแหง ศรีนครินทร์ สำโรงได้เลย
การออกแบบ – โครงการนี้มีการออกแบบที่น่าสนใจโดยการดึงเอาสภาพเเวดล้อมที่มีสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้ามาเป็นแนวคิดหลักในการออกแบบโครงการ เเนวคิดนี้มีชื่อว่า Magical tree ซึ่งเราจะเห็นเเนวความคิดนี้สื่อออกมาทั้งภายนอกและภายในอาคาร การออกแบบพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันกับธรรมชาติ การดึงเอาองค์ประกอบต่างๆของต้นไม้มาใช้ ไปจนถึงการออกแบบฟังก์ชันต่างๆที่สอดคล้องกันไปกับแนวความคิดนี้สร้างออกมาเป็นบรรยากาศที่คนสามารถสัมผัสเเละเข้าใจได้
ในส่วนของการออกแบบห้องพัก เราอาจต้องขอชื่นชมคนออกแบบก่อนเลย เนื่องมาจากโครงการนี้มีข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างอาคารเดิมที่มีอยู่ การที่นักออกแบบสามารถออกแบบให้เกิดพื้นที่ที่หลากหลาย และดูแตกต่างจากอาคารข้างๆ(ทั้งที่มีโครงสร้างเหมือนๆกัน) และการออกแบบห้องพักนั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนที่แตกต่างกันอีกด้วย โครงการนี้มีห้องพักให้เลือกขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่จัดออกมาได้ดี ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า และมีรูปแบบห้องที่เป็น Duplex ให้เลือกด้วยซึ่งเรานับว่าน่าสนใจดีเหมือนกัน เราไม่ค่อยเจอโครงการไหนที่เปิดมาในช่วงหลังๆนี้เเล้วมีห้องแบบ Duplex แท้ๆให้เลือก
วัสดุ – ทางด้านวัสดุนั้นก็ยังคงอิงกับคอนเซปต์ของโครงการที่จะเน้นไปทาง Green design และ Sustainable โดยหลายๆส่วนภายในส่วนกลางของโครงการจะเลือกใช้วัสดุที่ทดเเทนวัสดุจริงจากธรรมชาติ เช่นการนำเอาเศษหินมาทำเป็น Terrozzo ที่พื้นของส่วนกลางชั้น 22 ส่วนในห้องพักอาศัย จะได้พื้นลามิเนตหนา 8 มม. ผนังฉาบเรียบทาสีขาว ไฟดาวน์ไลท์ เคาน์เตอร์เป็นหินควอทซ์ เเละขายห้องมาแบบ Fully furnished เลย
สาธารณูปโภค – พื้นที่ส่วนกลางถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกลางที่ต้องใช้ร่วมกันระหว่าง 3 อาคาร ซึ่งจะมีพื้นที่สวนหน้าอาคารขนาดประมาณ 8 ไร่กับอาคารจอดรถที่คาดว่าจะเเบ่งใช้กันเป็นชั้นๆ แยกอาคารกัน ส่วนพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นของโครงการ The Line เอง จะมีอยู่ที่ชั้น 1-2 , ชั้น 22 และชั้น 32 หรือชั้น roof top
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคา AVG 139,000 บาท/ตร.ม., 20 October 2018
- ทำเล 8.75/10 – อุดมสมบูรณ์มาก ใกล้สถานที่ทำงาน สถานีรถไฟฟ้า และห้างสรรพสินค้า
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – ติดถนนใหญ่ มีเส้นทางหลากหลายให้เลือก
- ไม่ใช้รถ 8/10 – ห่างจากสถานีพหลโยธินประมาณ 1 กม. (อนาคตเมื่อสถานีห้าแยกลาดพร้าวเปิดให้บริการ สามารถขึ้นคะแนนตรงส่วนนี้ได้)
- วัสดุ 7.75/10 – ให้มาเป็นแบบ Fully Furnished มีการใช้วัสดุทดแทนในพื้นที่ส่วนกลางหลายๆส่วนให้เข้ากับ Concept
- แบบ 8.5/10 – ออกแบบได้ดีทั้งพื้นที่ใช้งานภายในห้องและพื้นที่ส่วนกลางของอาคาร
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – ให้มาค่อนข้างเยอะเเละดีไซน์สวย แต่ติดอยู่ตรงพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งหมด 3 อาคารที่ไม่แน่ใจว่าในอนาคตพื้นที่เหล่านี้จะดูเเลโดยใครต่อ
- HIGH CLASS
- 8.225 / 10.00
BOTTOM LINE
The Line พหลโยธิน พาร์ค เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดอยู่อาศัยย่านห้าแยกลาดพร้าว เดินทางสะดวก เน้นการเดินทางโดยรถไฟฟ้า ชื่นชอบในเเบรนด์แสนสิริ มีห้องให้เลือกหลากหลาย จัดฟังก์ชันภายในห้องลงตัวและมีเฟอร์นิเจอร์มาให้พร้อม เป็นคนชอบพื้นที่สีเขียวและดีไซน์ของพื้นที่ส่วนกลาง มีงบประมาณ 4-10 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 28,000-70,000 บาท