รีวิวฉบับที่ 1921 … สวัสดีครับทุกคน SYMYS สุขุมวิท 61 เป็นโครงการคอนโดตัวที่ 3 จาก Sankyo Home (Thailand) และเป็นโครงการตัวที่ 2 ที่จับมือร่วมทุนกับ Keihan Real Estate บริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น แน่นอนว่าฟังก์ชันภายในหลายๆอย่าง เราจะได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแฝงอยู่ แต่จุดที่ผมชอบและอยากเห็นของจริงมากๆคือ Facilities โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้ดินของโครงการนั่นเอง รายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมพร้อมๆกันเลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Fact @ 6 August 2019
- SYMYS SUKHUMVIT 61 (ซิมมิส สุขุมวิท 61)
- Sophida 1964 Co.,Ltd. By Sankyo Home (Thailand) Co.,Ltd. , Keihan Real Estate Co.,Ltd.
- SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา
- ที่ดินประมาณ 1-1-53.2 ไร่
- คอนโด Low Rise 7 ชั้น (ใต้ดิน 3 ชั้น) 1 อาคาร 109 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 20 ยูนิต
- ที่จอดรถแบ่งเป็น Auto Parking 120 คัน และแบบ Conventional 4 คัน รวม 124 คัน หรือคิดเป็น 113%
- เริ่มก่อสร้าง : ส.ค. 2019
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ก.ย. 2021
- 1 Bedroom 33 – 53 ตร.ม.
- 2 Bedrooms 52 – 88.5 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- ราคาห้องขนาด 33 ตารางเมตร เริ่มต้น 7.5 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 227,273 บาท
- ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 240,000 บาท/ตร.ม.
- ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 099-282-2147
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.725819, 100.583504
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ SYMYS สุขุมวิท 61 ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นซอยตัน เดิมทีชื่อว่าซอยเศรษฐบุตร เป็นนามสกุลเก่าที่ถูกพระราชทานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และลูกหลานของตระกูลนี้ก็ยังอยู่อาศัยอยู่ในซอยนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นคหบดีเก่า เป็นหม่อมเจ้า หรือเป็นท่านทูตต่างๆ จึงทำให้เป็นซอยที่เกิดโครงการใหม่ๆขึ้นได้ยากมากครับ อีกทั้งยังเป็นซอยตันจึงมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่อยู่ท่ามกลางแหล่ง Lifestyle อย่าง เอกมัย – ทองหล่อ จึงเป็นที่มาของชื่อโครงการ SYMYS ที่รากศัพท์มาจากคำว่า Symmetry ซึ่งความสมดุล ณ ที่นี้หมายถึงการใช้ชีวิตครับ พอหลังจากออกไปใช้ชีวิต ทำงาน หรือเที่ยวในเมืองแล้ว ก็สามารถกลับมาพักผ่อนได้ง่ายๆ ในซอยที่เงียบสงบแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็น hidden gems ของกรุงเทพก็ว่าได้ ซึ่งทางโครงการเค้าก็มีการนำ concept นี้ไปใช้ในการออกแบบภายในด้วยนะ
ความอุดมสมบูรณ์ที่ใกล้ที่สุดคือ Park Lane ซึ่งมี MaxValu ที่เปิด 24 ชม. อยู่ภายในซอยเลยครับ หรือจะดูหนังก็อาจเดินมาที่ Major เอกมัย ตรงปากซอยก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากเดินห้างหรูๆใหญ่ๆเลย ก็เพียงแค่นั่งรถไฟฟ้าถัดไป 2 สถานี ก็จะมีทั้ง Emporium และ EmQuartier หรือเลยไปหน่อยจะมีทั้ง Terminal และ Siam Paragon นอกจากนี้ตัวทำเล เอกมัย – ทองหล่อ ยังเป็นแหล่ง Lifestyle ที่คึกคักทั้งกลางวันและกลางคืน มีทั้งแหล่งงานออฟฟิศ และสถานบันเทิงมากมาย รวมถึงมีร้านอาหาร และคาเฟ่ระดับ Hi end เพียบเลยครับ
แล้วถ้าเรามองลึกลงมาอีก นอกจากตัวโครงการจะตั้งอยู่ห่างจากรถไฟฟ้า BTS เอกมัย 750 m. แล้ว ถ้าเป็นคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว loop การใช้ชีวิตของเราจะไม่จำเป็นต้องออกไปเผชิญรถติดบนถนนใหญ่ด้านนอกเลยครับ เพราะเราสามารถใช้ทางลัดจาก Park Lane เพื่อไปออกซอยเอกมัยได้ง่ายๆ สามารถไปซื้อของที่ BigC, ไปนวดแถว Health Land, กินกาแฟที่เวิ้งโบราณ หรือจะไปห้างเปิดใหม่อย่าง DONKI Mall ก็ได้ แล้วก็สามารถใช้เส้นทางเดิมในการวนรถกลับมาเข้าผ่านซอย Park Lane อีกครั้ง หรือถ้าใครจะไปซอยทองหล่อก็สามารถใช้ซอยทองหล่อ 10 เพื่อเชื่อมไปได้เลย จากนั้นค่อยกลับมาเข้าซอยสุขุมวิท 61 จากถนนสุขุมวิทปกติก็ได้ครับ
ทางด่วนที่ใกล้ที่สุดผมแนะนำเป็นทางพิเศษเฉลิมมหานคร โดยเราจะต้องขับผ่านซอยสุขุมวิท 40 (หรือซอยบ้านกล้วยใต้) ซึ่งเป็นซอย one way นะครับ เพื่อมาลัดออกถนนพระราม 4 แล้วมาเลี้ยวขวาไปขึ้นทางด่วนที่แยกกล้วยน้ำไท ระยะทางประมาณ 3.4 km. ใช้เวลาประมาณ 18 นาที ส่วนขากลับก็สามารถมาลงที่จุดเดิมได้ครับ ให้ใช้ซอยสุขุมวิท 42 ซึ่งก็เป็นซอย one way อีกเช่นกัน เพื่อกลับไปยังถนนสุขุมวิท แล้วเลี้ยวเข้าซอยโครงการได้เลยครับ
หรือใครใช้ทางพิเศษฉลองรัชก็ให้ขับตรงมาบนถนนสุขุมวิท ผ่านแยกพระโขนงมาหน่อยจะมีจุดขึ้นทางด่วนอยู่ ห่างจากโครงการประมาณ 3.1 km. ใช้เวลา 14 นาที แล้วก็สามารถกลับทางเดิมได้อีกเช่นกันนะ สะดวกไม่แพ้กันเลย
ส่วนจุดสุดท้ายคือทางพิเศษศรีรัช ซึ่งจะต้องใช้ซอยเอกมัยเพื่อไปขึ้นทางด่วนในระยะทาง 7.2 m. โดยซอยเอกมัยนี้รถจะค่อนข้างติดมากครับ ต้องเผื่อเวลาประมาณ 45 นาทีนะ หรือถ้าใครที่ต้องใช้ทางด่วนนี้แต่อยากประหยัดเวลาหน่อย ก็สามารถไปขึ้นทางด่วนฉลองรัชเมื่อครู่นี้ก่อนได้เช่นกัน แล้วค่อยเชื่อมต่อมายังด่วนศรีรัชก็ได้ครับ เพียงแต่อาจต้องยอมเสียค่าทางด่วนเพิ่มอีก 2 ต่อนะ (ต่อแรก 25 บาท, ต่อที่สอง 50 บาท)
สำหรับการเดินทางในวันนี้ผมมาจากทางพิเศษฉลองรัช โดยต้องขอบอกก่อนว่า Sale Gallery จะอยู่คนละที่กับโครงการนะครับ โดยเค้าจะตั้งอยู่ในซอยทองหล่อเลย ซึ่งถ้าเรามาจากถนนเพชรบุรีก็ให้เลี้ยวเข้าซอยทองหล่อ แล้วขับตรงมาเรื่อยๆประมาณ 750 m. จะเจอกับ Sale Gallery อยู่ทางซ้ายมือครับ
เริ่มต้นการเดินทางบนทางพิเศษฉลองรัช ให้ใช้ทางออก 4 ถนนพัฒนาการ – คลองตัน นะครับ
เมื่อลงมาจากทางด่วนแล้วก็ให้เลี้ยวซ้ายไปทางคลองตันได้เลย เพียงแต่พอเราเลี้ยวซ้ายปุ๊บก็จะต้องรีบเบี่ยงออกขวาทันทีเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยกคลองตันครับ
พอลงจากสะพานข้ามแยกคลองตันมาแล้ว ขับมาสักพักเราจะเจอกับแยกเอกมัยเหนือ ซึ่งเลยจากตรงนี้ก็ให้เราเตรียมชิดซ้ายไว้ได้เลยนะ
ขับชิดซ้ายมาเรื่อยๆแล้วก็เลี้ยวเข้าซอยทองหล่อได้เลยครับ
ขับตรงเข้ามาในซอยทองหล่อประมาณ 750 m. ก็จะเจอกับที่ตั้ง Sale Gallery อยู่ทางซ้ายมือนะ จุดสังเกตคืออยู่เยื้องๆกับซอยทองหล่อ 23 และคอนโด Ivy ทองหล่อนะครับ
ซึ่ง Sale Gallery จะตั้งอยู่ติดกับถนนซอยทองหล่อแบบนี้เลย และจะมีที่จอดรถอยู่ใต้อาคาร แล้วพอเราเข้ามาด้านในชั้นแรกจะมีเพียงเคาน์เตอร์ต้อนรับ และจะมีทางเลือกให้เราขึ้นไปชั้นบนได้ 2 ทาง หนึ่งคือลิฟต์โดยสารซึ่งอยู่ทางด้านขวา หรือเราจะเดินตรงไปทางซ้ายเพื่อเดินขึ้นบันไดไปก็ได้ครับ และอยากให้สังเกตฉากกั้นสีทองแดงรอบๆบันได ซึ่งการออกแบบส่วนนี้เค้าจะนำไปใช้จริงใน Lobby ของโครงการด้วยนะครับ
เมื่อขึ้นมาด้านบนเราจะเจอกับโมเดลตั้งอยู่ตรงกลางห้องเลยครับ ด้านหลังมีเคาน์เตอร์บาร์ให้นั่งคุยกันได้แบบเก๋ๆ หรือจะนั่งคุยจริงจังแบบโซฟาหรือโต๊ะเก้าอี้ก็มีแยกอีกโซนหนึ่งด้วย ส่วนห้องตัวอย่างจะอยู่ที่ชั้น 3 และที่ชั้นบนนี้ก็ยังมีข้อมูลวัสดุที่โครงการใช้ติดตั้งให้อ่านและศึกษากันได้ด้วยครับ
ต่อไปเราจะเดินทางไปยังที่ตั้งโครงการกันต่อนะครับ ซึ่งจาก Sale Gallery ก็ให้เราขับตรงมาเรื่อยๆ ออกที่ถนนสุขุมวิท ขับมาเพียงนิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยสุขุมวิท 61 ได้เลยครับ เข้าซอยมาประมาณ 450 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือนะ
จาก Sale Gallery ให้เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงมาบนซอยทองหล่อเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปทางถนนสุขุมวิทครับ
เมื่อถึงถนนสุขุมวิทแล้วก็ให้เลี้ยวซ้ายไปทางพระโขนงได้เลย
จากนั้นขับตรงมาหน่อย ก็ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งมีจุดสังเกตคือ ปากซอยเป็นที่ตั้งของ Major เอกมัย นั่นเองครับ
ขับตรงเข้ามาในซอยเรื่อยๆประมาณ 450 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ
บริบทโดยรอบโครงการส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น และอาคาร Low Rise สูงไม่เกิน 8 ชั้นครับ นอกนั้นจะเป็นที่ว่าง และมีบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ : ติดกับบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น และคอนโด The Bangkok สุขุมวิท 61 สูง 8 ชั้น
- ทิศใต้ : ติดกับบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น
- ทิศตะวันออก : เป็นทางเข้า-ออกหลักของโครงการ ติดกับถนนซอยสุขุมวิท 61 ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น
- ทิศตะวันตก : ติดกับที่ว่างและบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น
มาเดินดูทำเลรอบๆโครงการกันสักหน่อยนะครับ โดยที่ปัจจุบันตัวโครงการกำลังเพิ่งเริ่มก่อสร้างกันอยู่เลยครับ มีการล้อมรั้วแล้วเรียบร้อย
ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น
ส่วนด้านขวาของโครงการถ้าเราตรงเข้าไปในซอยเรื่อยๆจะเป็นซอยตันนะ
ติดกับรั้วโครงการทางด้านขวาจะเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น และคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้นครับ
ต่อไปเราจะมาดูทางด้านซ้ายของโครงการกันบ้าง ซึ่งทางนี้ก็จะไปออกปากซอยสุขุมวิทได้นั่นเอง
ติดกับรั้วโครงการก็เป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้นอีกเช่นกัน แต่ที่น่าสังเกตคือบรรยากาศภายในซอยที่เงียบสงบครับ จะเห็นว่ามีต้นไม้ตลอด 2 ข้างทางค่อนข้างร่มรื่นมาก แถมยังมีทางเท้าให้เดินได้สะดวกทั้ง 2 ฝั่งอีกด้วย
เดินทางมาถึงช่วงกลางๆซอย ระหว่างทางเราจะเจอคอนโดมิเนียม ร้านอาหาร และร้านกาแฟอยู่เป็นระยะ
แต่จุดสำคัญของซอยนี้คือ Park Lane ที่มี MaxValu เปิด 24 ชม. สามารถเดินมาใช้งานจากโครงการได้ไม่ยากเลยครับ รวมถึงมีร้านอาหารต่างๆที่อยู่ภายในอีกด้วย แล้วถ้าเราขับรถมา ก็สามารถแลกบัตรกับป้อมยามนี้ เพื่อใช้เป็นทางลัดไปออกซอยเอกมัยได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แถมยังเป็นเส้นทางที่เปิดตลอด 24 ชม. อีกด้วย
มาถึงปากซอยสุขุมวิท 61 จะเป็นที่ตั้งของ Major เอกมัย ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และโรงหนัง รวมถึงมี Sub-Zero อีกด้วย ถ้าใครที่ชอบเล่น Ice Skate คงจะถูกใจไม่น้อย ส่วนปากซอยอีกฝั่งจะมี Family Mart และวินมอเตอร์ไซค์ตั้งอยู่ ซึ่งผมถามพี่วินมาแล้วเค้าบอกว่า ถ้าวิ่งเฉพาะในซอยแค่ 10 บาทเองครับ และอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกคือ ตรงปากซอยนี้จะเป็นเหมือน 3 แยกนะ ซึ่งเราสามารถเลี้ยวขวาเพื่อไปขึ้นทางด่วน หรือไปอโศกได้เลยโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกลับรถอีกด้วยครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- HOSPITAL
- SUKHUMVIT HOSPITAL – 1.9 KM.
- SAMITTIVEJ HOSPITAL – 2.5 KM.
- CAMILLIAN HOSPITAL – 3.1 KM.
- MAJOR EKKAMAI – 450 M.
- EKAMAI MALL – 1.9 M.
- DONKI MALL – 1.9 M.
- GATEWAY EKKAMAI – 1.9 KM.
- J AVENUE THONGLOR – 2.3 M.
- THE COMMONS – 2.4 M.
- BANGKOK PREP INTERNATIONAL SCHOOL – 1.9 KM.
- THE AMERICAN SCHOOL OF BANGKOK – 2.5 KM.
- EARLY LEARNING CENTRE SCHOOLS – 2.6 KM.
- SP INTERNATIONAL KINDERGARTEN – 2.6 KM.
- EKAMAI INTERNATIONAL SCHOOL – 2.6 KM.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ SYMYS สุขุมวิท 61 เป็นคอนโด Low Rise สูงเพียง 7 ชั้น เพราะเค้าทำให้แต่ละชั้นมีฝ้าเพดานสูง 2.7 m. ซึ่งทำให้มีจำนวนยูนิตน้อยเพียง 109 ห้อง ตั้งอยู่ในที่ดินขนาด 1-1-53.2 ไร่ และออกแบบอาคารด้วย Concept Timeless Design ที่ไม่เน้นความหวือหวา คงความเรียบง่ายแต่มีสไตล์ และมีเสน่ห์ที่สามารถดูได้นาน เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่ดูเก่าหรือล้าสมัยจนเกินไป มีการใช้กระจกโค้งและส่วนของ Aluminum Composite สี Copper ที่เป็น Facade มาเป็นจุดเด่นของโครงการ และไม่ต้องกลัวว่าสีของอลูมิเนียมนี้จะซีดเร็วเหมือนทั่วไปครับ เพราะเค้าได้ผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้เนื้อสีติดทนนานไปได้หลายปีเลยทีเดียว
และนอกจากความสูง 7 ชั้นที่อยู่บนดินแล้ว ตัวอาคารเองยังมีชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้นด้วยกันครับ ซึ่งจะเป็นที่จอดรถแบบ Auto Parking ทั้งหมด 120 คัน และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็น Facilities เริ่มตั้งแต่ Fitness ที่ชั้นใต้ดิน 1 ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 2 ของส่วน Facilities Cube ซึ่งรวมแล้วเป็น 3 ชั้นติดกัน และมีชั้น Roof Top Facilities ที่อยู่บนดาดฟ้าด้วยครับ ส่วนชั้นพักอาศัยก็จะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 – 7 ครับ
ส่วนชั้นใต้ดิน B1 จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น Fitness ครับ แต่เราจะลงมาที่ชั้นนี้ได้ก็ต้องเดินลงบันไดวนมาจาก Facilities Cube ชั้น 1 เท่านั้นนะ
โดยตัว Fitness นี้เป็นจุดที่ผมค่อนข้างสนใจและอยากเห็นของจริงมากครับ เพราะพื้นที่ชั้น Ground Floor รอบๆ Facilities Cube จะเป็นน้ำแบบ Water Feature ล้อมรอบทั้งหมดเลย และเค้าจะทำช่องเอาไว้รอบๆ เพื่อให้เกิดช่องแสงและให้น้ำไหลผ่านลงมา กลายเป็นม่านน้ำตกล้อมรอบ Fitness ชั้นล่างครับ ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายเวลาเราอยู่ในถ้ำที่มีแสงลอดส่องลงมาที่ชั้นใต้ดิน และมีน้ำตกไหลผ่านอะไรแบบนั้นเลย
ชั้น Ground Floor หรือ Master Plan ของโครงการ จะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว และจะมีช่องจอดรถทั้งแบบ Conventional บนดิน 4 คัน ซึ่งเค้าแบ่ง 2 ช่องจอดเป็น EV Charger ด้วยนะ หรือใครที่มีเพื่อนหรือญาติมาก็สามารถจอดชั่วคราวได้เช่นกัน ส่วนการจอดแบบ Auto Parking จะมีทางเข้าลิฟต์อยู่ 2 ช่องจอดด้วยกัน โดยเราสามารถวนรถไปรับ-ส่งคนที่หน้า Lobby ก่อนก็ได้ครับแล้วค่อยมาเข้าที่ช่องจอดรถ
ส่วนภายในอาคารเค้าจะทำเป็น Double Access โดยเข้ามาพื้นที่ส่วนแรกจะเป็น Visitor Lobby ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ Key Card นะครับ เป็นพื้นที่สำหรับแขกมานั่งคอย รวมถึงพวก Line man และส่งพัสดุต่างๆ เค้าจะเข้ามาถึงได้แค่ส่วนนี้เท่านั้น อีกทั้งยังมีห้องสำหรับให้คนขับรถนั่งเป็นสัดส่วนอีกด้วย เพราะโครงการนี้ร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเค้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวแบบนี้มากครับ ต่อจากนั้นถ้าเราจะเข้าด้านในไปยังส่วนต่อไปนั้น จะต้องใช้ Key Card Access เฉพาะลูกบ้านเท่านั้นครับ โดยโถงทางเดินตรงกลางที่ใช้เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่นๆเค้าจะเรียกว่า Iconic Walkway และจะประกอบไปด้วย Grand Lobby ที่เอาไว้รับแขก, Waiting Lounge ที่เอาไว้ให้ลูกบ้านมานั่งคอยรถจาก Auto Parking และโถงลิฟต์ก็จะมีผนังกระจกกั้นแยกไว้เป็นสัดส่วน ภายในมี Mailbox ซ่อนไว้ในผนังอีกด้วย
ส่วน Facilities Cube จะถูกแยกเอาไว้อีกส่วนหนึ่งจากโซนพักอาศัย เพื่อความเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัวครับ โดยพื้นที่ชั้นแรกนี้จะเป็นพื้นที่ทำงานทั้งหมดเลย เป็นโซนที่ต้องการความเงียบสงบนะ ประกอบด้วย Community space, Meeting room และ Library ส่วน Courtyard ภายนอกนั้นจะเป็นสวนสวยๆที่จัดไว้เพื่อสร้างบรรยากาศให้กับภายใน รวมถึงมี Water Feature ที่ล้อมรอบและไหลลงไปเป็นม่านน้ำตกที่ชั้นใต้ดินก่อนหน้านี้ครับ
มาดูโมเดลกันสักหน่อยนะ ทางเข้าโครงการของจริงก็จะไม่มีไม้กั้นกระดกนะครับ จะเปิดโล่งๆไว้แบบนี้เลย หรือไม่ก็อาจจะมีราวกั้นแบบล้อเลื่อนให้พี่ยามที่อยู่ในป้อมด้านซ้ายเลื่อนเปิด-ปิดให้ก็ได้ครับ ซึ่งพอเราเข้าไปก็จะต้องเบี่ยงซ้ายไปใต้อาคาร แล้วจะมีจุดให้ติ๊กบัตรบริเวณตรงเสาอาคาร เพื่อเรียกลิฟต์จอดรถมารับรถนั่นเอง ซึ่งพอเราเรียกมาแล้วก็อาจวนไปส่งคนที่ Drop-Off หน้า Lobby ก่อน ค่อยวนรถมาเก็บก็ได้ครับ เพราะลิฟต์ก็ยังจะเปิดค้างรอไว้จนกว่าจะมีรถเข้าไปจอดเรียบร้อยนะ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็จะเกิดขึ้นอยู่ใต้อาคารทั้งหมด ทำให้ไม่ต้องกลัวเรื่องแดดหรือฝนเลยด้วยครับ
โดยที่ Sale Gallery เค้าจะมีรายละเอียดและอธิบายวิธีการใช้งาน Auto Parking มาให้ดูด้วยนะ เป็นของบริษัท Space Value ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นครับ โดยช่องจอดนี้สามารถจอดรถคันใหญ่ๆพวก Super Car ได้สบายๆเลยครับ แต่จะจอดพวกรถกระบะหรือรถตู้ที่ตัวรถค่อนข้างยาวกว่าปกติไม่ได้นะ และถ้าเราจะออกจากคอนโด ก็จะสามารถกดเรียกรถได้จากในอาคาร และรอจนกว่ารถจะมาแล้วค่อยเดินออกมาขึ้นรถก็ได้ครับ
จากการสอบถามกับเจ้าหน้าที่โครงการก็ทราบว่า เวลาในการรอ 1 รอบ จะใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที รวมถึงถ้าเรามีเพื่อนหรือญาติมาหา ก็สามารถจอดในช่องจอดอัตโนมัติได้ด้วยเช่นกัน เพราะมีที่จอดรถมากถึง 113% เพียงแต่จะต้องแลกบัตรและติดต่อกับนิติบุคคลก่อนนะครับ โดยรวมแล้วระบบนี้ทำให้ประหยัดพื้นที่จอดรถได้ค่อนข้างมาก แต่ก็มีค่าบำรุงรักษาที่สูงตามมาด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือวิธีการใช้งานก็มีความยากและสะดวกที่แตกต่างจากปกติ อย่างเวลาเราแค่ลืมหยิบของสักชิ้นบนรถ ก็จะต้องเสียเวลากดเรียกรถใหม่ทุกครั้ง เป็นต้น
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน เริ่มต้นภาพทางด้านซ้ายคือ Iconic Walkway เป็นโถงทางเดินเชื่อมต่อไปยังส่วนต่างๆได้ โดยที่พื้นจะเป็นหิน Palissandro Bluette (หินธรรมชาตินำเข้าจากต่างประเทศ) ส่วนที่ฝ้าเพดานด้านบนเค้าจะติดกระจกเงาให้สะท้อนพื้นหินให้ปรากฏที่ด้านบน ทำให้ดูกว้างมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนทางขวาของโถงทางเดินจะเป็น Grand Lobby ที่มีความสูง 5.2 m. แต่ที่อยากให้สังเกตคือ Chandelier ที่อยู่ด้านบน ซึ่งเค้าจะทำเป็นคริสตัลล้อมรอบ Aluminum Copper ที่ต้องการจะสื่อถึงทำเลของโครงการที่เป็น hidden gems ของกรุงเทพนั่นเอง
ส่วนทางซ้ายของโถงทางเดินจะเป็น Waiting Lounge เป็นพื้นที่นั่งคอยรถจาก Auto Parking โดยเค้าจะมีฉากกั้นแบ่งเป็นล็อคๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งที่ผมอยากให้สังเกตคือตัวฉากกั้นทองแดงที่เป็นลายสานหลังโซฟา จำได้มั๊ยว่ามันคือฉากกั้นที่อยู่ใน Sale Gallery ที่ผมเกริ่นไปในตอนแรกนั่นเองครับ และนอกจากนี้ของจริงเค้าจะมีที่ติ๊กบัตรเพื่อเรียกรถ และมีจอทีวีแสดงสถานะของรถติดอยู่ในนี้ด้วยครับ จะได้รู้ว่ารถเรามาแล้วหรือยัง ไม่ต้องคอยชะเง้อดู หรือออกไปยืนรอด้านนอกให้ร้อนครับ
ส่วนโถงลิฟต์ก็ตกแต่งค่อนข้างดูดี สังเกตไฟประดับที่ผนังนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นการตกแต่งนี้ที่ Sale Gallery นะ แต่ที่อยากให้สังเกตจริงๆคือผนังทางด้านขวา มีใครดูออกบ้างครับว่านั่นเป็น Mailbox ซึ่งโครงการตั้งใจออกแบบให้กลมกลืนและใช้เส้นสายช่วยพรางสายตา ให้ดูสวยงามเข้ากับบรรยากาศส่วนกลางแบบนี้นั่นเอง
มีหลายคนเกิดคำถามว่าที่ดินโครงการประมาณไร่ครึ่ง แล้วส่วนกลางจะน้อยหรือเปล่า? ซึ่งโครงการได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ด้วยการทำพื้นที่ส่วนกลางถึง 4 ชั้น และส่วนใหญ่ยังเป็นพื้นที่ภายในอาคารอีกด้วย เพราะเข้าใจนิสัยคนไทย บวกกับสภาพอากาศที่ร้อน คงไม่ค่อยมีใครที่จะออกมาใช้งานกลางแจ้งมากนัก อย่างสวนชั้น 1 ที่เป็น Courtyard ก็เอาไว้ take view สวยๆจากชั้นส่วนกลางและชั้นพวกอาศัยเท่านั้น ส่วนสระว่ายน้ำที่ยกไปไว้ด้านบน ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวนั่นเองครับ
ส่วนกลางของโครงการนี้เกือบทั้งหมดจะอยู่ภายใน ดังนั้นผมจึงจะขอใช้ภาพ Perspective ในการเล่าประกอบเพื่อจะได้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ โดยภาพแรกเป็นบรรยากาศภายใน Facilities Cube ชั้น 1 ประกอบด้วย Community space, Library และ Meeting Room ซึ่งลูกบ้านสามารถมานั่งพักผ่อน หรือนัดลูกค้าและเพื่อนๆมานั่งประชุม คุยงาน ทำงานกันได้ที่ชั้นนี้ โดยโถงตรงกลางออกแบบเป็นฝ้าเพดานสูง ถ้ามองขึ้นไปจะทำให้เห็น Facilities ด้านบน ที่ล้อมรอบด้วยผนังกระจกที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ชั้นล่าง แน่นอนว่าวัสดุภายในก็ยังตกแต่งด้วยหิน Palissandro Bluette หรือหินธรรมชาติจากต่างประเทศที่ดูหรูหราเช่นเคยครับ
ขึ้นมาที่ชั้น 2 สำหรับอาคารหลักจะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยแล้วนะครับ แต่ถ้าเป็นส่วนของ Facilities Cube จะถูกแยกออกไปไม่เชื่อมต่อกับส่วนพักอาศัยเพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วจะต้องเดินขึ้นมาด้วยบันไดวนที่อยู่ภายในเท่านั้นครับ ซึ่งฟังก์ชันชั้นบนจะประกอบไปด้วย SYMYS Private Lounge ที่อยู่ตรงกลาง (ถ้าย้อนกลับไปดูภาพก่อนหน้านี้ เราจะเห็นเหมือนเป็นชั้นลอยที่อยู่ตรงกลางภาพนั่นเอง) มี Chef table area กับห้อง Game Room ที่อยู่คนละฝั่ง แล้วยังมี Private Spa & Massage และ Private Salon แยกให้อีกต่างหากด้วย ส่วนในโซนพักอาศัยของชั้นนี้ จะมียูนิตเพียงแค่ 13 ห้องเท่านั้น เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัวมากๆครับ
ภาพบรรยากาศจำลองใน Chef table area ตรงกลางจะทำเป็นโต๊ะตัวยาวมาให้ ซึ่งโต๊ะตัวนี้ทำมาจากไม้จริงทั้งหมด นอกจากนี้ยังมี Hop&Hood ให้มาใช้พื้นที่ประกอบอาหารได้ กับมีตู้แช่ไวน์ไว้คอยบริการอีกด้วย เหมาะที่จะจัดดินเนอร์เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือนัดเพื่อนๆลูกบ้านมาปาร์ตี้สังสรรค์ก็ได้ครับ โดยรอบเป็นผนังกระจกที่ด้านหนึ่งสามารถมองออกไป take view สวนภายนอกได้ ส่วนอีกด้านก็มองลงไปเห็นชั้น 1 ภายในอาคารได้นั่นเอง
ห้อง Game Room ภายในจะมีโต๊ะพูลขนาดใหญ่วางไว้ให้ 1 ชุด ซึ่งจุดเด่นของห้องนี้คือโคมไฟด้านบนที่ออกแบบมาให้เป็นชั้นๆหลาย layer ซึ่งดูสวยงามและโดดเด่นมากครับ เหมาะที่จะนัดเพื่อนๆมาทำกิจกรรมร่วมกันมากเลยทีเดียว
ส่วนห้องนี้คือ Private Spa & Massage ซึ่งเราสามารถจองและนัดหมอนวดจากภายนอกให้มาบริการเราที่ห้องนี้ จะได้ไม่ต้องไปที่ร้านให้เหนื่อย หรือพาเข้าห้องของเราซึ่งจะขาดความเป็นส่วนตัวได้ และนอกจากนี้ติดกันที่ห้องข้างๆยังมี Private Salon แยกเอาไว้ต่างหากอีกด้วยนะ
แปลนชั้น 3 – 6 จะเป็นชั้นพักอาศัยแบบเต็ม Floor ซึ่งจะมีห้องพักทั้งหมด 20 ห้องต่อชั้น และมีโถงลิฟต์อยู่ตรงมุมอาคารรูปตัว L พอดี ทำให้สามารถเดินใช้งานได้สะดวกพอๆกันทั้ง 2 ฝั่ง มีอัตราส่วนลิฟต์ 54.5 : 1 ถือว่าไม่หนาแน่นเลยครับ โดยผมมีจุดที่น่าสังเกตอยู่ 3 จุดด้วยกัน จุดแรกคือบริเวณหน้าโถงลิฟต์(กรอบสีส้ม) เค้าจะทำฉากกั้นบังสายตา เพื่อไม่ให้มีห้องที่อยู่ตรงกับโถงลิฟต์เกินไปครับ จุดที่สองคือบริเวณปลายสุดของทางเดินอาคารทั้ง 2 ด้าน(กรอบสีเขียว) คือจริงๆแล้วโถงทางเดินจะไม่ไปสุดขอบอาคารภายนอกที่เราเห็นนะครับ แต่จะมีการเว้นพื้นที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างห้องทั้ง 2 ฝั่งไม่ให้ติดกันจนเกินไป แล้วยังทำให้มีแสงสว่างส่องเข้ามาในโถงทางเดิน รวมถึงเพิ่มช่องแสงในห้องนั้นๆได้อีกด้วย
จุดที่สามคือห้องที่ผมมองว่าน่าสนใจ(กรอบสีแดง) ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ห้องนะครับ ห้องแรกคือ 2 Bedrooms ที่อยู่ทางขวาสุดด้านหน้าโครงการ จะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้ากว้างที่มาก และไม่อยู่ติดกับห้องไหนเลยด้วย จึงได้ความเป็นส่วนตัวไปเต็มๆ อีกห้องคือทางด้านซ้ายที่อยู่ตรงมุมอาคารพอดี เป็นอีกห้องที่มี layout ต่างจากห้องอื่นๆ และที่ผมชอบคือลักษณะโถงหน้าห้องจะเว้าเข้ามาเล็กน้อย เหมือนเราได้โถงหน้าห้องเป็นของส่วนตัวต่างจากห้องอื่นๆครับ
มีภาพโมเดลด้านข้างอาคารมาฝากกันด้วย จะเห็นว่าห้องพักอาศัยจะไม่อยู่ติดกัน ซึ่งทำให้มีความเป็นส่วนตัว และช่วยเพิ่มช่องแสงให้ทั้งห้องพักอาศัยอีก และโถงทางเดินภายในอาคารอีกด้วยครับ
ส่วนแปลนชั้น 7 ก็ยังคงเป็นชั้นพักอาศัยอยู่นะ แต่จะมีจำนวนห้องที่ลดลงเหลือเพียง 16 ห้องเท่านั้น เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งจะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำและงานระบบต่างๆ ที่อยู่ชั้นบน จะกินพื้นที่ด้านล่างที่ชั้นนี้ไปครับ ทำให้ชั้นนี้ได้ความเป็นส่วนตัวในเรื่องจำนวนยูนิตก็จริง แต่การใช้งาน Roof Top Facilities ชั้นบนก็จำเป็นต้องมาที่ชั้นนี้ก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นบันไดไป นั่นหมายความว่าถึงแม้ลิฟต์จะเป็นแบบล็อคชั้น แต่สำหรับชั้นนี้จะเป็นชั้นที่ลูกบ้านทุกคนจะขึ้นมาได้นั่นเองครับ
แต่ที่ผมชอบอย่างหนึ่งคือการจัดแปลนของชั้นนี้ ที่จะไม่มีห้องพักไหนเลยอยู่ติดกับท้องของสระว่ายน้ำหรือห้องงานระบบ เพราะจะถูกคั่นด้วยบันไดหนีไฟ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงรบกวนเลยครับ
สุดท้ายคือชั้นดาดฟ้าจะมี Roof Top Facilities ให้ขึ้นมาใช้งานได้ หลักๆจะประกอบด้วยสระว่ายน้ำขนาด 22 x 4 m. แต่ถ้าเป็นตัว I แบบทางตรงจะยาวประมาณ 13 m. มีสระเด็กและ Jacuzzi แยกต่างหาก รวมถึงมีจุดให้นั่งเล่นพักผ่อนที่ชั้นบนนี้ได้ด้วยครับ ซึ่งการที่เค้ายก Facilities ฟังก์ชันนี้ขึ้นมาไว้บนดาดฟ้า นอกจากช่วยในเรื่องการรับวิวแล้ว ยังช่วยในเรื่องของความเป็นส่วนตัวจากทั้งมุมมองของคนในโครงการเองก็ดี หรือบ้านและอาคารข้างเคียงก็ด้วยครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Residence Building ชั้น 1
- Grand Lobby
- Waiting Lounge
- Central Storage
- Lift Lobby & Mail Room
- Visitor Lobby
- Driver Room
- Private Gym
- The State of Art Library
- Community space
- Residence Living Area
- Meeting Lounge
- Private Meeting Room
- The Courtyard
- Chef table Area
- SYMYS Private Lounge
- Game Room
- Private Salon
- Private Spa & Massage
- Infinity Swimming Pool รูปตัว L ขนาด 22 x 4 m. (ถ้าเป็นตัว I แบบทางตรงจะยาวประมาณ 13 m.)
- Kid’s Pool
- Jacuzzi
- Terrace Pool
- Rooftop Pavilion
แบบห้อง
มาถึงเรื่องห้องพักอาศัยกันแล้วนะครับ ซึ่งโครงการนี้เค้าจะมีห้องหลักๆอยู่ 2 Type และขายแบบ Fully Fitted คือให้เฟอร์นิเจอร์ Built in ที่เห็นภายในห้อง และแอร์แบบ Conceal type แต่เราจะไม่ได้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและเครื่องใช้ไฟฟ้านะครับ ประกอบไปด้วย
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 33 – 53 ตารางเมตร
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 52 – 88.5 ตารางเมตร
โดยห้องตัวอย่างที่โครงการทำมาให้ดูนั้นจะมีให้ชมทั้ง 2 Type เลยครับ จะเป็นอย่างไรบ้างไปชมพร้อมๆกันเลย
ห้องตัวอย่างแรกเป็น 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร ลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสหน้ากว้าง และแบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ส่วน กั้นด้วยผนังทึบแยกออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัว ด้านซ้ายเป็น Common area โดยโครงการนี้เค้าจะไม่เน้นทำครัวนะครับ จึงได้เป็นครัวเปิดทุก type แบบนี้เลย ระเบียงกว้างตลอดความยาวห้องนั่งเล่น ทำให้เปิดรับแสงได้เต็มที่ รวมถึงจะมีฟังก์ชันแบบญี่ปุ่นแฝงมา เช่น มีพื้นที่ Foyer หน้าห้อง และห้องน้ำที่ใหญ่มากครับ เพราะคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับส่วนนี้เป็นพิเศษ มีอ่างอาบน้ำและ Shower box ให้เลือกใช้งานด้วย ส่วนผนังกระจก Sexy Bath ต้องขอบอกก่อนว่าจะไม่ได้มีแบบนี้ทุก type ของห้องนี้นะครับ ซึ่งจะต้องสอบถามกับทางโครงการดูอีกทีนะ เราจะได้เลือกฟังก์ชันตามความชอบที่เหมาะสมเราครับ โดยรวมแล้วทำให้ห้องนี้เหมาะกับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว แต่อาจไม่มีเพื่อนหรือแขกมาหาที่บ้านบ่อยนัก เพราะด้วยตำแหน่งห้องน้ำอยู่ในห้องนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้นั่นเองครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเราไปชมพร้อมๆกันเลย
ก่อนจะเข้าไปในห้องเรามาดูประตูด้านหน้ากันสักหน่อย เป็นประตูบานทึบลายไม้ ติดตั้งมาให้พร้อม Digital door lock ของ Alpha ซึ่งจะมีตัวล็อคแบบ 2 ชั้นค่อนข้างแข็งแรง
บริเวณพื้นด้านหน้าห้องเค้าจะปูกระเบื้อง Homogeneous มาให้ครับ ขนาดประมาณ 1 x 1 m. เปรียบเสมือน Foyer ของญี่ปุ่น แต่จะไม่ได้ลดระดับความสูงให้ต่างกันขนาดนั้น ซึ่งเค้าจะมีขอบคิ้วคอยกันฝุ่นและสิ่งสกปรกได้เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องก้าวขึ้น step หรือสะดุดล้มครับ แต่ยังทำความสะอาดได้ง่ายอยู่
แล้วถ้าเรามองขึ้นไปด้านบนจะเห็นว่าเค้าจะเว้าฝ้าเพดานส่วนนี้ไปหน่อยนึง ซึ่งจุดนี้เป็นช่อง Return ของแอร์ที่ทำให้อากาศภายในห้องไหลวนกลับสู่เครื่องปรับอากาศได้นั่นเองครับ โดยปกติแล้วเราจะเห็นอยู่ใต้ท้องฝ้าของห้องอย่างชัดเจน แต่ห้องนี้เค้าซ่อนไว้แบบนี้เพื่อความเรียบร้อยนั่นเองครับ
บรรยากาศภายในห้องสิ่งแรกที่เราจะเห็นคือ Common area ที่เป็นตอนลึกแบบนี้เลยครับ ความสูงของพื้นถึงฝ้าจะมีอยู่ 2 ระดับนะ ถ้าเป็นหน้าห้องบริเวณครัวจะสูง 2.4 m. เพราะด้านบนมีการลดระดับลงมาจากงานระบบแอร์เล็กน้อย ส่วนภายในห้องอื่นๆจะสูง 2.7 m. ครับ และพื้นจะปูด้วย Hybrid Engineered Wood ที่โครงการจะติดตั้งรายละเอียดข้อมูลมาให้ดูภายใน Sale Gallery ที่ผมพาไปดูในตอนแรกด้วยนะ
ใครสนใจเรื่องวัสดุชนิดนี้ สามารถเข้าไปชมคลิปวีดีโอของพี่เก้งได้ที่ Living Idea : วัสดุปูพื้นทดแทนไม้ : Laminate vs Engineered Wood vs Hybrid Engineered Wood ได้เลยครับ
เริ่มกันที่บริเวณหน้าห้องก่อนครับ ซึ่งด้านหลังประตูเค้าจะ Built in ตู้รองเท้ามาให้แบบนี้เลยนะ ภายในสามารถเก็บรองเท้าได้หลายคู่เลยทีเดียว แถมยังมีช่องเก็บของช่องใหญ่เผื่อไว้ให้อีกด้วย จะติดที่แขวนร่ม หรือวางกระเป๋าเดินทางก็ได้
ต่อมาจะเป็นพื้นที่ครัว ซึ่งเค้าก็จะ Built ตู้และเคาน์เตอร์มาให้ทั้งหมดแบบนี้เลย (ยกเว้นตู้บนตู้เย็น) แต่จะมีพื้นที่วางตู้เย็นกว้างประมาณ 80 cm. และครัวนี้เป็นครัวเปิดนะ อาจไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังมากนัก ไม่งั้นกลิ่นจะฟุ้งเต็มห้องนั่งเล่น อาจจะเปิดระเบียงช่วยระบายอากาศได้ แต่ผมก็เกรงว่ากลิ่นจะไปติดที่โซฟาด้วยน่ะสิครับ
ระยะทำครัวและทางเดินตรงกลาง วัดจากเคาน์เตอร์ครัวถึงโต๊ะทานอาหารจะกว้าง 1 m. ซึ่งก็สามารถใช้งานได้สะดวกอยู่ครับ และพื้นที่วางโต๊ะอาหารก็พอที่จะวางได้ 2 ที่นั่งแบบนี้ ส่วนพื้นห้องเป็น Hybrid Engineered Wood ซึ่งสามารถทนความชื้นได้ดีกว่าพื้นไม้ทั่วไป แต่ก็อาจไม่ได้ดีมาก 100% เท่าพื้นกระเบื้องนะครับ โดยรวมจึงใช้งานได้ดีอยู่แล้ว เพราะอย่างที่บอกว่าห้องนี้ความจริงเราไม่เน้นทำครัวจริงจัง แต่ที่ต้องระวังคือการใช้งานเครื่องซักผ้าที่อาจมีน้ำหยดลงมาได้ อันนี้ต้องคอยเช็ดทำความสะอาดกันดีๆหน่อยนะ
Top เคาน์เตอร์ครัวและ Backsplash เป็นหิน Quartz ซึ่งมีคุณสมบัติที่ทนความร้อนและกรดด่างได้ดีกว่าหินอ่อนที่มีรูพรุนตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้เป็นรอยด่างได้ง่าย แต่หิน Quartz นี้จะดูแลรักษาได้ง่ายกว่าครับ แล้วเรายังจะได้อ่างล้างจานของ Teka ขนาด 38 x 38 cm. ลึก 24 cm. แบบหลุมเดียว พร้อมติดตั้ง Hop&Hood ของ Kuppersbusch แบบ 2 หัวมาให้ครับ เป็นแบบที่ดูดควันไปปล่อยภายนอกห้องนะ รวมถึงเราจะได้ไฟตรงเคาน์เตอร์แบบนี้เลยด้วย
ภายในตู้ทั้งด้านบนและด้านล่างมีที่เก็บของที่เพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนครับ โดยที่ใต้อ่างล้างจานเค้าจะติดตั้งเครื่องบดเศษอาหารของยี่ห้อ Teka มาให้ด้วยนะ ลักษณะการใช้งานง่ายมากครับ คือเราสามารถโกยเศษอาหารลงท่อได้เลย ซึ่งปกติเราต้องแยกเศษอาหารใช่มั๊ย แต่อันนี้ไม่ต้องเลยครับ โกยทิ้งใส่ท่อไปเลย จากนั้นกดสวิชต์เครื่องย่อยด้านล่างอ่าง เครื่องนี้จะทำหน้าที่บดย่อยเศษอาหารทั้งหมดให้สามารถลงท่อน้ำได้เลยโดยไม่อุดตันท่อ
ส่วนตะแกรงใส่ของที่อยู่ข้างๆกัน เค้าก็จะติดตั้งมาให้แบบนี้เลยด้วย เป็นแบบติดรางให้เลื่อนออกมาใช้งานหยิบของได้สะดวกครับ รวมถึงถาดใส่ช้อนส้อมในลิ้นชักก็จะเป็นอลูมิเนียมทั้งชิ้นแบบนี้เลยด้วย
หน้าบานตู้ทุกบานเป็น Hi Gloss สีแบบนี้เลย ซึ่งก็เข้ากันดีกับขอบ Aluminum Composite สี Copper ที่โครงการตกแต่งมาให้เข้ากับตัว facade ภายนอก โดยด้านในจะติดตั้งระบบ soft close กันกระแทกเวลาเปิดปิดมาให้แล้วครับ รวมถึงด้านหลังบานตู้ยังติดตัว stopper ที่เป็นพลาสติกเล็กๆกันกระแทกมาให้อีกชั้นหนึ่ง และสำหรับขอบตู้ด้านล่างเค้าจะมีการเว้ามุมเล็กน้อย เพื่อให้เปิดได้สุดบาน แบบไม่ติดขอบของลิ้นชัก (แต่ก็ระวังอย่าเปิดพร้อมกันนะครับ เพราะลิ้นชักจะติดล็อคของขอบอลูมิเนียมพอดีตามภาพ)
ถัดมาเป็นห้องนั่งเล่นครับ มีระยะดู TV อยู่ที่ 2.7 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 46 – 50 นิ้วได้เลย โดยที่ทางด้านขวาจะเป็นพื้นที่เว้าเข้าไปในผนัง ซึ่งเราจะต้อง Built ตู้หรือชั้นวางทีวีเองนะครับ เพราะเค้าไม่ได้ทำมาให้ ส่วนโซฟาก็สามารถวางได้ขนาด 3 ที่นั่งกำลังดี มีที่เหลือให้วางโต๊ะกลางได้ด้วย
ฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสี ไม่มีดรอปฝ้ามาให้แบบนี้นะ แต่จะติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้ามาให้ ส่วนครัว 2 จุด และส่วนห้องนั่งเล่นอีก 2 จุด ตรงกลางมีอุปกรณ์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) ติดตั้งมาให้ด้วยครับ และแอร์ของห้องทั้งโครงการจะได้เป็นแอร์แบบฝังฝ้า (Conceal Type) แบบนี้เลยนะ ข้อดีคือดูเรียบร้อยและสวยงาม แต่เวลาซ่อมทีก็ต้องเปิดฝ้าทีเหมือนกันครับ
ติดกันเป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่สามารถเปิดออกไปใช้งานระเบียงภายนอกได้ มีความกว้างเท่ากับตัวห้องจึงช่วยให้แสงส่องผ่านเข้ามาได้มาก แถมราวระเบียงยังเป็นกระจกจึง take view ได้เต็มที่แบบนี้เลย โดยกรอบประตูและหน้าต่างภายในห้องจะเป็น อลูมิเนียมสี Euro Grey และมีกระจกเป็น Laminate 2 ชั้น สีเท่าอ่อน ชนิด Heat Resistance ที่ช่วยกรองแสงได้ในระดับหนึ่งครับ
ระเบียงเป็นแนวยาว ขนาด 3.5 x 0.8 m. สามารถออกมาใช้งานได้จริง จะตากผ้าก็ได้ จัดเป็นพื้นที่สวน หรือพื้นที่นั่งเล่นก็ดี ราวกันตกเป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass ส่วนพื้นเป็นกระเบื้อง Homogeneous และด้านบนจะมีระแนงอลูมิเนียมที่ช่วยพรางสายตาของ Condensing unit ที่อยู่ด้านบนให้ดูเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเวลาช่างจะขึ้นไปซ่อมก็จะมีช่องเปิดให้ขึ้นไปได้ครับ
มองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง ต่อไปเราจะไปดูห้องนอนที่อยู่ทางด้านซ้ายกันบ้างนะ ซึ่งเค้ากั้นด้วยผนังทึบจึงมีความเป็นส่วนตัวมากๆ
ภายในห้องนอนจะถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน ด้านซ้ายเป็นพื้นที่เตียง ส่วนด้านขวาเป็นห้องน้ำซึ่งมีขนาดใหญ่ เพราะเค้าให้ความสำคัญพอๆกันครับ
เริ่มจากเตียงนอนทางด้านซ้ายขนาด 5 ฟุต ซึ่งจะอยู่ติดกับหน้าต่าง และมีพื้นที่รอบเตียงเหลือข้างละประมาณ 60 m. สามารถใช้งานได้สะดวก แต่ปลายเตียงจะเหลือแค่ 35 cm. พอให้เดินได้พอดีเท่านั้น ถ้าอยากติดทีวีก็ต้องใช้เป็นแบบแขวนผนังนะครับ
ฝ้าเพดานของจริงจะฉาบเรียบทาสี พร้อมติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า 4 ดวง และตรงกลางเป็นอุปกรณ์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) อีกเช่นเคย
ช่องแสงได้เกือบเต็มผนังเลยครับ โดยทางซ้ายมือจะมีบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศได้ ซึ่งถ้าเราเปิดตรงระเบียงด้านนอก และตรงส่วนนี้พร้อมๆกัน ก็จะทำให้ลม flow ได้ดี ส่วนทางด้านขวาจะเป็นช่องกระจกขนาดใหญ่ ทำให้ take view ภายนอกได้อย่างเต็มที่แบบไม่มีกรอบบานมาคั่นให้กวนใจ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นห้องน้ำและพื้นที่แต่งตัวครับ
โดยตู้เสื้อผ้าที่อยู่หน้าห้องน้ำนี้ทางโครงการเค้าจะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ เป็นหน้าบานกระจกสีชาดำที่ช่วยพรางสายตาให้ได้ส่วนหนึ่ง ภายในเก็บของได้พอสมควร มีที่เปิดเป็นแถบอลูมิเนียมสี Copper มาให้เปิด-ปิดได้ง่าย ส่วนพื้นที่แต่งตัวก็กว้างประมาณ 90 cm. สามารถใช้งานได้สะดวกอยู่นะ แต่สิ่งที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติมคือกระจกเงาสำหรับส่องแต่งตัว หรือโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆครับ
ภายในห้องน้ำเราจะได้ของทั้งหมดตามนี้เลยครับยกเว้นของตกแต่ง ซึ่งผมว่าเป็นห้องน้ำที่กว้างมากๆสำหรับห้อง 1 Bedroom แบบนี้
พื้นที่ส่วนแห้งมีขนาดประมาณ 1.9 x 1.1 m. สามารถใช้งานได้แบบสบายๆ โดยพื้นจะปูด้วยกระเบื้อง Homogeneous เป็นสีและลายแบบนี้เลยครับ
อ่างล้างหน้าเป็นของ Toto ขนาด 31 x 51 cm. ลึก 11 cm. และมีขอบรอบๆกว้าง 20 cm. ให้ใช้วางของได้นะ ตู้ด้านล่างสามารถเปิดออกมาใช้เก็บของได้ แต่ที่เห็นว่าตู้ค่อนข้างตื้นเป็นเพราะด้านหลังเค้าติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนไว้ใต้อ่างนั่นเองครับ ส่วนกระจกเงาเค้าจะติดตั้งมาให้แค่ครึ่งเดียวนะครับ โดยที่ด้านในก็สามารถเปิดออกมาแล้วเก็บของในชั้นได้เยอะแบบนี้เลย
ติดกันเป็นโถสุขภัณฑ์ Toto Washlet รุ่น NeoRest ซึ่งเป็นตัวท็อปสุดของ Toto ราคาแสนกว่าบาท โดยจะเปิดฝาให้อัตโนมัติด้วยระบบเซ็นเซอร์ และจะมีระบบฆ่าเชื้อในตัวหลังใช้งานเสร็จอีกด้วย ติดตั้งมาให้พร้อมรีโมทแบบไร้สาย และที่แขวนกระดาษชำระแบบมีที่วางของเล็กๆน้อยๆด้านบนด้วย
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นอ่างอาบน้ำของ Kohler ขนาด 1.5 x 0.55 m. ลึก 35 cm. ซึ่งแบบลอยตัวนี้จะค่อนข้างสวยกว่าแบบฝังเคาน์เตอร์นะ แถมยังทำให้พื้นที่ห้องไม่อึดอัดอีกด้วย โดยเราสามารถลงไปนั่งแช่น้ำได้นะครับ แต่ไม่พอที่จะนอนแช่ได้นะ
ก๊อกน้ำเป็นของ Axor สามารถผสมอุณภูมิน้ำได้ด้วยตัวเอง และปรับเป็นฝักบัวให้ใช้งานล้างตัวได้อีกด้วย
ผนังกระจก Sexy Bath แบบนี้ จะได้กระจกแบบเต็มผนังจริงๆ ไม่ได้มีแค่กรอบช่องเล็กๆแบบโครงการทั่วไป ซึ่งถ้าเราที่นั่งแช่น้ำอยู่ก็สามารถชมวิวภายนอก หรือดูทีวีจากในห้องนอนไปด้วยได้ครับ แต่สำหรับใครที่คิดว่าโล่งและไม่เป็นส่วนตัวมากเกินไป ก็สามารถติดมู่ลี่เพิ่มเติมได้นะ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็น Shower box ซึ่งภายในมีพื้นที่อาบน้ำกว้าง 0.85 x 1 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีตัว โดยที่เค้าจะติดตั้งฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้แบบนี้เลยครับ โดยการใช้งานจริงๆแล้วประตูจะสามารถเปิดได้ 2 ฝั่ง แต่ผมแนะนำให้เปิดออกมาด้านนอกจะดีกว่า เพราะถ้าผลักเข้าไปประตูก็จะชนกับ Rain Shower ตามภาพครับ
ซึ่งข้อเสียของการเปิดประตูออกมาคือ หยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงกระจกจะหยดลงพื้นที่ส่วนแห้งด้านนอกนั่นเอง แถมยังไม่สามารถวางพรมเช็ดเท้าหน้าประตูได้อีกด้วย เพราะจะไปขวางทางวงสวิงค์ได้ อาจต้องยอมให้เปียกสักเล็กน้อยนะครับ
ภายในมีทั้ง Hand Shower และ Rain Shower ให้เลือกใช้งาน โดยที่เสาสามารถปรับระดับความสูงและปรับองศาได้ตามต้องการอีกด้วย แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆคือผนังหินด้านหลังครับ ซึ่งเป็นหิน Palissandro Bluette หินธรรมชาติแท้ แบบเดียวกับที่ใช้กับพื้นที่ส่วนกลางของโครงการเลยครับ ซึ่งจะสวยมากๆ
ส่วนก๊อกน้ำของ Hansgrohe จะเป็นแบบหมุนเกลียวและแบ่งระบบการใช้งานเป็น 2 ฝั่ง ทางซ้ายมือเป็นการเปิด-ปิดน้ำ ที่เลือกได้ 2 ฟังก์ชัน ถ้าอยู่ตรงกลางคือจะปิดน้ำทั้งหมด แต่ถ้าเราหมุนไปด้านบนจะเป็นการเปิดน้ำที่ Rain Shower และถ้าหมุนลงมาจะเปิดที่ฝักบัวแทนครับ ส่วนอีกด้านเป็นตัวปรับอุณหภูมิน้ำที่เราสามารถกำหนดองศาได้ตามต้องการเลย
ฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสี และได้ไฟดาวน์ไลท์ 3 ดวง พร้อมของจริงจะติดตั้งพัดลมดูดอากาศมาให้ด้วยนะครับ
ส่วนสวิตซ์ไฟและปลั๊กจะหน้าตาแบบนี้เลย เป็นของยี่ห้อ Bticino ซึ่งบางจุดจะเป็นสวิตซ์ที่ใช้งานร่วมกับระบบ Home Automation ที่ทางโครงการติดตั้งมาให้ด้วยได้ สามารถสั่งเปิด-ปิดไฟ และเครื่องปรับอากาศในห้องได้ครับ
ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 73 ตารางเมตร เป็นรูปแบบห้องหน้ากว้างแล้วยังเป็นห้องมุมอีกด้วย ภายในจัดฟังก์ชันออกมาได้เป็นสัดส่วน โดยมีพื้นที่ Common area ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ได้เป็นพื้นที่ครัวเปิดเช่นเดิม กับพื้นที่ระเบียงยาวขนาดใหญ่ และมีห้องนอน 2 ห้องอยู่คนละฝั่ง แถมยังมีห้องน้ำในตัวทั้ง 2 ห้องอีกด้วย ทำให้ใช้งานได้สะดวกมาก ซึ่งสำหรับห้องน้ำของห้องนอนเล็กจะใช้งานร่วมกับพื้นที่ส่วนกลางภายนอก และห้อง Master Bedroom จะยื่นยาวออกไปเท่ากับระเบียง แต่จะเน้นใช้งานเป็นพื้นที่ภายในแทนครับ ทำให้มี Walk in closet เกิดขึ้นอีกด้วย ส่วนห้องน้ำจะมีขนาดใหญ่ และได้อ่างอาบน้ำอีกเช่นเคย แต่จุดสำคัญอยู่ตรงมีผนังกระจกทรงโค้งในห้องน้ำอีกต่างหาก ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นเราไปชมกันเลยดีกว่าครับ
เปิดประตูเข้ามาในห้องเราจะยังมองไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดนะครับ เพราะมีมุมเสาทางขวามาบังสายตาไว้ ทำให้คนในห้องยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ แต่หน้าห้องเองก็ได้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาถึงได้อีกด้วย
ทางเข้าด้านหน้าจะมี Foyer ที่ปูกระเบื้อง Homogeneous มาให้เหมือนห้องที่แล้วเลยครับ แต่อาจต้องติดโช๊คหรือ stopper เพื่อป้องกันประตูกระแทกกับตู้ด้านหลังหน่อยจะดี
และคราวนี้เค้าจะ Built in ตู้รองเท้ามาให้เต็มทั้ง 2 ฝั่งเลยครับ ทำให้เก็บของได้เยอะขึ้น เพียงพอต่อจำนวนสมาชิกของห้องที่เพิ่มขึ้นตามนั่นเอง
ต่อมาเป็นพื้นที่ Common area จะมีขนาดใหญ่มาก เชื่อมต่อกันทั้งส่วนครัวและห้องนั่งเล่นจึงทำให้ห้องนี้ดูกว้างเป็นพิเศษถึง 5 m. เลยทีเดียว
เรามาเริ่มจากส่วนครัวกันก่อนเลยครับ แน่นอนว่าเราจะได้เป็นครัวเปิดอีกเช่นเคย ซึ่งอาจไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังมากนัก แต่ครัวจะมีขนาดที่ใหญ่ และน่าใช้งานมากขึ้นเยอะเลยครับ
ลักษณะครัวจะเป็นรูปตัว U แบบนี้ และมีพื้นที่ทำครัวกว้าง 1.2 x 2.1 m. สามารถใช้งาน หลายๆคนพร้อมๆกันได้ เช่น พ่อกับแม่อาจช่วยกันอยู่ด้านในครัว ส่วนลูกๆก็อาจเป็นลูกมือช่วยงานอยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์ด้านนอกก็ได้ครับ
ภายในตู้เราจะเก็บของได้เยอะมากขึ้น อย่างลิ้นชักด้านล่างเค้าจะ Built มาให้แบบเลื่อนออกมาเก็บของเป็นชั้นๆได้สะดวก ส่วนบนเคาน์เตอร์ที่ผนังด้านขวาก็จะ Built เป็นชั้นวางของพวกเครื่องปรุงต่างๆแบบไม่มีหน้าบานมาให้แบบนี้เลยด้วย และ Hop&Hood ยังคงเป็นของ Kuppersbushch เช่นเดิม แต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 4 หัว พร้อมติดตั้งไฟส่องสว่างเอาไว้ให้แล้วเรียบร้อย
ถัดมาจะมีตู้ใบใหญ่อยู่ 2 บาน ซึ่งพอเปิดออกแล้วก็จะเจอกับตู้เย็นและเครื่องซักผ้าที่ซ่อนอยู่ด้านใน สำหรับตู้เย็นเค้าจะให้มาทั้งแบบนี้เลยครับ แต่เครื่องซักผ้าเค้าจะไม่ให้มานะ แต่จะเว้นพื้นที่เอาไว้ให้ขนาด 69 x 79 cm. และสูง 1.3 m. พร้อมทำชั้นวางของและตะกร้าผ้าด้านบนมาให้แบบนี้เลย ซึ่งเราอาจทำเป็นราวแขวนผ้าเพิ่มเติมก็ยังได้นะ
ส่วนเคาน์เตอร์อีกด้านจะเป็นส่วนเตรียมอาหารและอ่างล้างจาน Top ด้านบนเป็นหิน Quartz และติดตั้งเครื่องบดเศษอาหารมาให้แล้วเช่นเคย แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมาคือเป็นอ่างล้างจานแบบ 2 หลุม ขนาดหลุมละ 33 x 38 cm. ลึก 18 cm. ของ Teka ทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น ส่วนด้านล่างก็จะติดตั้งถังขยะมาให้เพิ่มเติมด้วยครับ
ลิ้นชักทางด้านซ้ายถ้าเราเปิดออกมาก็จะเห็นแผงอลูมิเนียมที่มีรูๆอยู่ จริงๆแล้วเป็นฟังก์ชันที่ใช้ร่วมกับอุปกรณ์เสริมของเครื่องครัวที่มีตัวเกี่ยวล็อคแบบนี้ได้ทุกชนิด (ซึ่งเค้าจะแถมมาให้บางส่วน แต่เราไปหาซื้อมาเพิ่มได้นะ) และตู้ทางด้านขวาจะมีชั้นวางของแบบเข้ามุมที่เลื่อนออกมาใช้งานได้สะดวก จะได้ไม่ต้องมุดไปหยิบของในตู้ แล้วยังเป็นการใช้พื้นที่มุมแบบนี้ได้เกิดประโยชน์อีกด้วย
และจากมุมมองของห้องครัวแบบไม่มีผนังกั้น ทำให้เวลาเราประกอบอาหารไปก็จะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนในห้องได้ หรือจะดูทีวีไปทำอาหารไปก็ได้ครับ
ต่อมาเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่กว้างมากๆ โดยเค้าจะแบ่งอีกครึ่งทางด้านหลังให้เป็นโต๊ะทานอาหารครับ
และจากมุมมองของโต๊ะอาหารเราก็สามารถทานอาหารไปและดูทีวีไปด้วยได้ หรือจะชมวิวภายนอกจากระเบียงก็ไม่เลว ซึ่งฟังก์ชันนี้ยังเหมาะที่จะใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์นั่งทำงานชิลๆได้อีกต่างหาก
ส่วนระเบียงของห้องนี้ก็จะกว้าง 1 x 4.9 m. และซ่อน Condensing unit ไว้เหนือระแนงด้านบนอีกเช่นเคย โดยความพิเศษของระเบียงนี้คือ การเข้ามุมแบบโค้งครับ ซึ่งจะต้องใช้ราวกันตกกระจกแบบโค้งด้วยนะ ทำยากมากๆ ปกติไม่ค่อยมีโครงการไหนเค้าทำกัน แต่ก็ทำให้พื้นที่ระเบียงดูดีขึ้นอีกแบบ และ take view ได้ดีขึ้นด้วย
มองย้อนกลับเข้ามาในห้อง ต่อไปเราจะไปดูห้องนอนเล็กที่อยู่ทางด้านขวามือกันก่อนครับ
เมื่อเข้ามาภายในพื้นที่ห้องค่อนข้างโอเคเลยนะ ใช้งานได้สบายๆ แถมยังมีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่เกือบเต็มผนัง พร้อมหน้าต่างบานกระทุ้งเปิดระบายอากาศได้เหมือนห้องนอนก่อนหน้านี้เลยครับ
พื้นที่ปลายเตียงเหลือ 40 cm. เท่านั้น จึงเหมาะที่จะแขวนทีวีบนผนังถ้าต้องการ ส่วนด้านขวาของเตียงติดกับหน้าต่างจะเหลือ 65 cm. พอให้วางโต๊ะหัวเตียงและขึ้น-ลงเตียงได้สะดวกครับ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำนะ
โดยตู้เสื้อผ้าเค้าจะ Built แบบฝังผนังมาให้แบบนี้เลย มีพื้นที่แต่งตัวหน้าตู้กว้าง 1 m. และยังมีพื้นที่ให้เพิ่มโต๊ะเครื่องแป้งแบบจริงๆจังๆที่ข้างเตียงได้อีกด้วยครับ
ส่วนห้องน้ำห้องนี้จะเข้าได้จาก 2 ฝั่งนะ ภาพด้านบนคือเข้าจากห้องนอนเล็ก ส่วนภาพด้านล่างคือเข้าจากส่วนกลางด้านนอก ถือเป็นข้อดีของห้องนี้ที่เวลามีแขกมาเค้าจะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนให้เสียความเป็นส่วนตัวนั่นเองครับ ซึ่งภายในห้องก็มีอุปกรณ์และฟังก์ชันต่างๆครบครันเผื่อสำหรับห้องนอนเล็กไว้พร้อมแล้ว
พื้นที่ใช้งานของห้องนี้จะเป็นลักษณะรูปตัว T และมีทางเดินกว้างด้านละ 85 cm. สามารถใช้งานได้สะดวกครับ
อุปกรณ์ต่างๆในห้องน้ำจะเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้หมดเลยนะ ทั้งตู้กระจกเงา และอ่างล้างหน้าของ Toto เพียงแต่ตู้ใต้อ่างของห้องนี้จะไม่มีเครื่องทำน้ำร้อนนะครับ ในตู้จึงกว้างมากขึ้นอย่างที่เห็น
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปนั่นคือ โถสุขภัณฑ์ ซึ่งเรายังได้เป็น Toto Washlet เช่นเคยนะ เพียงแต่ตัวนี้จะเป็นรุ่นรองท็อปลงมาจากตัวก่อน และฟังก์ชันต่างๆก็จะลดสเป็กลงด้วยครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามก็จะมี Shower box ซึ่งเค้าจะทำเป็นฉากกั้นกระจกนิรภัยมาให้ทั้ง 2 ด้านแบบนี้เลยครับ แน่นอนว่าผมยังแนะนำให้เปิดประตูออกมาด้านนอกเหมือนเคย เพราะถ้าผลักเข้าไปก็จะติด Rain Shower ที่อยู่ด้านบน และผนังห้องเรายังคงได้เป็นหิน Palissandro Bluette เหมือนเดิมครับ
ต่อไปเราจะไปดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่อีกฝั่งของห้องกันบ้างครับ
เมื่อเข้ามาสิ่งแรกที่เราจะเจอคือผนังตรงกลางห้อง ที่แบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ส่วน และยังทำให้ตัวห้องได้ความเป็นส่วนตัว เพราะมองไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดอีกด้วย
เริ่มจากทางซ้ายมือเป็นพื้นที่เตียงนอน ซึ่งมีขนาดค่อนข้างกว้างครับ แล้วยังโปร่งโล่งเนื่องจากเป็นห้องมุมที่ผนังเป็นกระจกอีกด้วย
และถ้าวางเตียงขนาด 5 ฟุตไปแล้ว จะมีพื้นที่เหลือโดยรอบประมาณ 90 cm. แต่สำหรับปลายเตียงเค้าจะมีทำปลั๊กแบบฝังในพื้นสำหรับทีวีมาให้แบบนี้เลยครับเพียงแต่ว่าผนังปลายเตียงส่วนหนึ่งเป็นกระจก ติดทีวีไม่ได้ จึงต้องหาชั้นวางเล็กๆมาวางแทนนะ ซึ่งพอวางชั้นวางทีวีขนาด 30 cm. และเผื่อระยะปิดม่านสักเล็กน้อยแล้ว ก็จะมีทางเดินเหลืออยู่ประมาณ 50 cm. ครับ
Highlight ของห้องนี้ไม่ใช่แค่ผนังเข้ามุมธรรมดา แต่เป็นกระจกแบบโค้งอีกด้วย ซึ่งโครงการนี้ทำโค้งไม่มากนัก จึงไม่มีปัญหาเรื่องเงาสะท้อนแล้วตาลาย รวมถึงมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งอยู่ 2 ด้าน ช่วยระบายอากาศได้ดีเลยทีเดียว แต่แนะนำว่าให้เปิดร่วมกับจุดอื่นด้วยนะ เพราะถ้าเปิดแค่ 2 บานนี้ ลักษณะของลมมันจะเข้ามาแล้วพัดออกโดยตรงทันที ไม่ทันได้ไหลเข้ามาหมุนเวียนผ่านส่วนอื่นภายในห้องนะครับ
คราวนี้เราจะกลับไปดูอีกด้านหนึ่งของห้องนอนกันบ้าง
โดยระหว่างทางเดินนี้จะมีตู้เสื้อผ้าใบแรกอยู่ทางฝั่งขวามือ สามารถเก็บของสำหรับหนึ่งคนได้พอดี
ส่วนถ้าเราเดินเลี้ยวซ้ายมา ก็จะเจอกับตู้อีกบานที่ Built เต็มผนังแบบนี้ (เปิดได้ 2 บานทางซ้ายนะ อีกบานทางขวาเป็นบาน fixed) นอกจากนี้ที่สุดทางเดินยังมีช่องหน้าต่างให้แสงเข้ามา ทำให้พื้นที่ส่วนนี้ไม่มืด แล้วยังเปิดระบายอากาศได้อีกด้วย
พื้นที่แต่งตัวหน้าตู้กว้างประมาณ 95 cm. โดยยังมีพื้นที่เหลือให้ทำโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆได้อยู่ครับ เพียงแต่เราอาจเลือกโต๊ะที่มีขนาดเล็กลงอีกสักนิด เวลาเปิดตู้หน้าบานจะได้ไม่ชนกับโต๊ะเหมือนห้องตัวอย่างแบบนี้ครับ
ส่วนภายในห้องน้ำก็ยังคงขนาดพื้นที่ใช้สอยที่กว้างเหมือนเดิม แถมยังมีผนังกระจกอีกด้วย ก็ยิ่งทำให้ห้องโปร่งโล่งมากขึ้นไปใหญ่
โดยพื้นที่ใช้สอยส่วนแห้งจะมีขนาดประมาณ 1.1 x 1.85 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ
ติดตั้งชุดสุขภัณฑ์ต่างๆมาให้เหมือนเดิมเลยครับ และตัวโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติก็จะกลับมาใช้เป็น Toto Washlet รุ่น NeoRest ตัวท็อปเหมือนเดิมแล้วด้วย
อ่างอาบน้ำก็จะได้เป็นแบบลอยตัวของ Kohler เช่นเดิม เป็นแบบนั่งแช่นะครับ ถ้าอยากนอนต้องชันเข่าเอานะ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือผนังกระจกที่ได้จะไม่ใช่แค่มองเข้าไปในห้องนอน แต่จะสามารถ take view ภายนอกที่โปร่งโล่งมากๆได้เลยครับ อีกทั้งยังช่วยให้แสงแดดส่องเข้ามาฆ่าเชื้อและดับกลิ่นภายในห้องน้ำได้อีกด้วย เพียงแต่ถ้าใครกลัวว่าจะไม่เป็นส่วนตัวมากนักก็สามารถติดตั้งมู่ลี่เพิ่มเติมได้
นอกจากนี้อีกด้านของอ่างก็สามารถติดทีวีแขวนผนังได้อีกด้วย โดยเค้าจะต่อปลั๊กต่างๆเอาไว้ให้พร้อมแล้วครับ
แต่จุดที่ชอบจริงๆคือหน้าต่างบานกระทุ้ง ซึ่งถ้าเราเปิดแค่บานเดียวแน่นอนว่าลมไม่พัดเข้ามาแน่นอน เพราะไม่มีทางให้ลมพัดออก แต่เราสามารถทำคอมโบควบคู่กับหน้าต่างบานกระทุ้งตรง Walk in closet ได้แบบนี้เลยครับ หรือจะเปิดตรงเตียงในห้องนอน และนอกห้องก็ได้ เท่านี้ห้องนี้ก็จะมีการระบายอากาศที่ดีโดยไม่ต้องพึ่งระบบปรับอากาศเลยครับ
อีกด้านของห้องน้ำเป็น Shower box แบบยืนอาบ ที่กั้นด้วยกระจกนิรภัย Tempered Glass
ภายในมีขนาดพื้นที่อาบน้ำประมาณ 0.95 x 1.1 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีตัว มี Hand Shower และ Rain Shower ให้เลือกใช้งานได้ แต่ที่เพิ่มเติมมาคือช่องผนังที่เว้าเข้าไปเล็กน้อย เอาไว้วางสบู่หรือแชมพูได้ครับ แต่ถ้าใครวางไม่พอก็สามารถเพิ่มชั้นวางได้ด้วยตัวเองเลยนะ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 45 ตารางเมตร เป็นห้องที่จะหันไปทางสวน Courtyard ชั้น 1 ของโครงการ ลักษณะฟังก์ชันคล้ายกับห้องตัวอย่างแรกที่เราพาไปดูเลยครับ แต่จะมีลักษณะเป็นตอนลึกมากกว่า เมื่อเข้ามาภายในเราจะเจอกับ Common area ซึ่งเป็นพื้นที่ครัวเปิดเช่นเดิม และห้องนั่งเล่นจะอยู่ติดกับระเบียง เพียงแต่ห้องนี้จะมีพื้นที่เก็บ Condensing unit ที่เว้าเข้าไปในพื้นที่ของห้องนอนแยกเป็นสัดส่วนครับ ทำให้ภายในห้องนอนเกิดพื้นที่เป็นอเนกประสงค์ริมหน้าต่าง เหมาะสำหรับคนที่ชอบนั่งทำงาน หรืออยากมีมุมอ่านหนังสือติดกับหน้าต่างดีๆแบบนี้นั่นเองครับ ส่วนห้องน้ำจะยังคงมีฟังก์ชันครบเหมือนเดิม แต่จะไม่ได้เป็นผนังกระจก Sexy Bath เหมือนห้องที่ผ่านมานะครับ จึงได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกหน่อย
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 53 ตารางเมตร จะมีอยู่แค่ชั้นละห้องเท่านั้น และอยู่ในตำแหน่งมุมอาคารที่ผมแนะนำไปในตอนแรกว่าค่อนข้างน่าสนใจ เพราะโถงทางเดินหน้าห้องจะเว้าเข้ามาเล็กน้อย ทำให้มีความเป็นส่วนตัว ส่วนพื้นที่ Common area ภายใน ถ้าปกติเราเปิดประตูกระจกบานเลื่อนของ Working area ให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ห้องนั่งเล่น ก็จะกลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และโปร่งโล่งมากครับ ซึ่งจะเรียกห้องนี้ว่าเป็น 1 Plus ก็คงจะไม่ผิดนัก เพียงแต่ห้องอเนกประสงค์จะกั้นด้วยประตูกระจกจึงอาจไม่ได้เป็นส่วนตัวเท่าที่ควร ซึ่งถ้าเราซื้อห้องนี้ไปก็สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายหลังได้ตามต้องการ แต่จุดที่ผมชอบของห้องนี้ซึ่งต่างจาก 1 Bedroom ห้องอื่นๆ มีอยู่ 2 จุดคือ ห้องครัวจะอยู่แยกเป็นสัดส่วนออกไปมุมหนึ่งของห้อง และมีพื้นที่ทานอาหารในตัว โดยจะไม่รบกวนพื้นที่ทางเดิน หรือห้องนั่งเล่นเหมือนแบบที่ผ่านมา แต่ก็ยังได้พื้นที่เชื่อมต่อกันอยู่ และส่วนของห้องน้ำก็สามารถเข้าได้จากทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้เป็นห้องที่สามารถรับรองแขกได้ด้วยครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 6 August 2019
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 33 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 52 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 73 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.4 – 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหิน Quartz
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ Kuppersbusch
- มีรถ Shuttle Service ไป-กลับหน้าปากซอยสุขุมวิท 61
- จอง 50,000 – 100,000 บาท
- ทำสัญญา 150,000 – 350,000 บาท
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน 900 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 85 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ SYMYS สุขุมวิท 61 ตั้งอยู่ภายในซอยที่เงียบสงบเพราะเป็นซอยตัน บรรยากาศร่มรื่น และมีทางเท้าให้เดินสะดวก อย่างที่รู้กันว่า เอกมัย-ทองหล่อ ที่อยู่ข้างเคียงนั้นค่อนข้างคึกคักและอุดมสมบูรณ์มาก ทั้งกลางวันและกลางคืน เต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านอาหารระดับ Hi end มากมาย ที่ใกล้กับโครงการมากที่สุดคือ Park Lane ซึ่งมีทั้ง MaxValu เปิด 24 ชม. และมีร้านอาหารภายใน รวมถึงใช้เป็นทางลัดเพื่อไปออกซอยเอกมัยได้โดยไม่ต้องออกถนนใหญ่ ส่วนปากซอยก็มี Major เอกมัย ซึ่งมีทั้งโรงหนังและ Ice Skate ครับ แล้วถ้ายังไม่จุใจก็สามารถใช้รถไฟฟ้าไปห้างหรูๆใหญ่ๆที่ถัดไปไม่กี่สถานี อย่าง Emporium และ EmQuartier หรือ Terminal 21 ก็ได้อีกเช่นกัน
การเดินทางโดยใช้รถ : เป็นทำเลที่เข้าเมืองไม่ยากนะครับ แต่รถอาจติดอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะซอยเอกมัยนี่ต้องเผื่อเวลาเป็นชั่วโมงกันเลยทีเดียว แต่ถ้าจะใช้ทางด่วนก็จะมีทั้งทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัชให้ใช้งานได้อยู่ไม่ไกล ห่างออกไปสัก 3 กิโลกว่าๆ และเพื่อเวลาเดินทางสักประมาณ 15 – 20 นาทีก็ได้ขึ้นทางด่วนแล้วครับ แต่ที่ผมชอบคือแยกตรงหน้าปากซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเราสามารถเลี้ยวขวาไปทางอโศกได้เลยโดยไม่ต้องไปเสียเวลากลับรถ รวมถึงตัวโครงการยังมีที่จอดรถแบบ Auto Parking ถึง 113% อีกด้วยครับ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์ตั้งอยู่ ห่างจากโครงการประมาณ 450 m. และสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ BTS เอกมัย ซึ่งตัวโครงการเองก็มี Shuttle Service ไปส่งที่หน้าปากซอยอีกด้วย แล้วต้องเดินต่อไปอีกหน่อย ประมาณ 300 m. ก็ถึงสถานีแล้วล่ะครับ ( BTS ห่างจากโครงการรวมประมาณ 750 m.)
วัสดุ : ถือว่าให้มาค่อนข้างดีเลยครับ มีระบบ Home Automation พื้นห้องเป็น Hybrid Engineered Wood และส่วนที่เป็นกระเบื้องทั้งหมดจะเป็นกระเบื้อง Homogeneous เคาน์เตอร์ครัว Top หิน Quartz อ่างล้างจานของ Teka พร้อมติดตั้งเครื่องบดเศษอาหารมาให้ด้วย มี Hop&Hood ของ Kuppersbusch และกรอบประตูหน้าต่างเป็นอลูมิเนียมสี Euro Grey กระจก Laminate 2 ชั้น สีเท่าอ่อน ชนิด Heat Resistance ราวระเบียงเป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass เหมือนกับฉากกั้นอาบน้ำในห้องน้ำ มีอ่างล้างหน้าของ Toto และได้โถสุขภัณฑ์ Toto Washlet รุ่น NeoRest ที่เป็นตัวท็อปสุดสำหรับห้องนอนใหญ่ แต่ถ้าเป็นห้องนอนเล็กจะได้รุ่นที่รองลงมา มีอ่างอาบน้ำของ Kohler และผนังบางส่วนใน Shower box เป็นหิน Palissandro Bluette ที่ทำเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนแอร์จะเป็นแบบฝังฝ้า (Conceal Type) ครับ
การออกแบบโครงการ : ตัวโครงการมีแนวคิด Timeless Design ที่ดูเรียบหรูไม่ตกยุคแม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ภายในมีการจัดฟังก์ชันเน้นความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการแยก Visitor Lobby ออกจากพื้นที่ของลูกบ้านภายในอาคาร หรือแม้แต่การแยก Facilities Cube ออกจากส่วนพักอาศัย และยกสระว่ายน้ำที่ต้องการความเป็นส่วนตัวไปไว้ชั้นบนสุดแทน ซึ่งถึงแม้ที่ดินของโครงการนี้จะมีแค่ 1 ไร่ครึ่ง แต่ก็จัดเต็มพื้นที่ส่วนกลางมาให้ถึง 4 ชั้นเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่งคือตัวแปลนชั้นพักอาศัยที่มีการเปิดช่องแสงตรงปลายโถงทางเดิน ทำให้ห้องไม่อยู่ติดกันจนเกิดความแออัดจนเกินไป แถมยังทำให้ภายในห้องพักได้ช่องแสงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
การออกแบบห้องพักอาศัย : ผมคิดว่าโครงการทำออกมาได้ดีและลงตัวครับ โดยเค้าจะให้ความสำคัญกับพื้นที่ Common area กับพื้นที่ห้องนอนเท่าๆกัน แต่แน่นอนว่าถ้าเป็นคนญี่ปุ่นก็จะเน้นห้องน้ำให้ใหญ่แบบมีอ่างอาบน้ำด้วย โดยห้องนี้จะไม่เน้นครัวปิดที่ทำอาหารจริงจังครับ แต่ทุกห้องจะเน้นให้มีช่องแสงขนาดใหญ่มาก จึงทำให้ห้องสว่างและโปร่งโล่ง ระเบียงใหญ่ก็ออกไปใช้งานได้จริง ซึ่งจะไม่ได้อยู่ในห้องนอนนะครับ แต่กลับกันห้องนอนที่ยื่นออกมาเท่ากับระเบียงภายนอก จะทำให้เราจะได้พื้นที่ใช้สอยในเพิ่มขึ้น จนสามารถทำ Walk in closet ได้เลยครับ แต่ที่ชอบอีกอย่างคือช่องหน้าต่างระบายอากาศที่มีค่อนข้างหลายตำแหน่ง ทำให้ลมสามารถไหลผ่านได้จริง และถ้าเป็นห้องมุมเราก็จะได้กระจกเข้ามุมทรงโค้ง ที่ช่วยเปิดรับวิวและเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้นอีกด้วย
สาธารณูปโภค : ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบส่วนกลางของโครงการนี้ครับ ซึ่งเค้าออกแบบโดยคำนึงถึงพื้นที่โครงการ และพฤติกรรมการใช้งานของคนไทยที่ไม่นิยม Facilities กลางแจ้งแดดร้อนๆของบ้านเราอยู่แล้ว เค้าจึงเน้นเป็นพื้นที่ใช้งานภายในแทน แยกเป็นพื้นที่ส่วนต้อนรับอย่าง Visitor Lobby, Grand Lobby และ Waiting Lounge อยู่ด้านหน้าสุด แล้วแยก Facilities Cube ออกไปไว้อีกด้านหนึ่ง โดยที่ชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ทำงานอย่าง Community space, Meeting room และ Library มีพื้นที่ Courtyard ด้านนอกให้ take view ได้ ส่วนชั้น 2 จะมีทั้ง SYMYS Private Lounge, Chef table area, Game Room รวมถึง Private Spa & Massage และ Private Salon แยกให้อีกต่างหากด้วย ที่ผมสนใจจริงๆจะเป็น Fitness ที่อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเค้าทำเป็นเหมือนถ้ำและมีม่านน้ำตกไหลลงมา ซึ่งอยากเห็นของจริงมากๆ และอีกจุดหนึ่งคือชั้นดาดฟ้าจะมีทั้ง Swimming Pool และ Jacuzzi อีกด้วยครับ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 220,000 – 250,000 บาท/ตร.ม., 6 August 2019
- ทำเล 7.5/10 – เงียบสงบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย ใกล้ความอุดมสมบูรณ์ของเอกมัย-ทองหล่อ
- เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – มีทางด่วนให้ใช้ ปากซอยเลี้ยวได้ 2 ทาง ที่จอดรถ 113%
- ไม่ใช้รถ 7.25/10 – ห่างจากรถไฟฟ้า 750 m. มี Shuttle Service รับ-ส่ง
- วัสดุ 8.5/10 – วัสดุดี เหมาะสมกับราคา ขาย Fully Fitted ต้องแต่งเพิ่ม
- แบบ 8.25/10 – เน้นความเป็นส่วนตัว จัดฟังก์ชันห้องลงตัว มีกระจกโค้งรับวิว
- สาธารณูปโภค 9/10 – เน้นพื้นที่ใช้งานภายใน มีหลากหลายและน่าใช้ ถือว่าเยอะถ้าเทียบกับจำนวนยูนิต
- SUPER LUXURY CLASS
- 7.88 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ SYMYS สุขุมวิท 61 เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดใจกลางเมืองย่านเอกมัย-ทองหล่อ แต่เป็นซอยที่เงียบสงบเหมาะแก่การอยู่อาศัย เน้นความเป็นส่วนตัวของฟังก์ชันส่วนกลางและภายในห้อง จำนวนยูนิตน้อย ให้วัสดุดี และมี Facilities น่าใช้งาน มีงบประมาณระดับ 7.5 ล้านขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 53,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving