รีวิวฉบับที่ 1898 … เมื่อ 2 ปีก่อน ศุภาลัยได้เข้ามาเปิดโครงการ Supalai loft สถานีแยกไฟฉาย ถือว่าต้อนรับการมาของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีแยกไฟฉายกันเลยนะคะ ในปีนี้ศุภาลัยเจ้าเดิมขอเปิดอีกหนึ่งโครงการบนทำเลนี้ นั่นก็คือ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย โครงการนี้มีข้อดีที่นอกจากใกล้รถไฟฟ้าเเล้วยังใกล้กับโรงพยาบาลศิริราชในระยะ 2 กม.อีกด้วย จุดเด่นของศุภาลัยอย่างที่ทุกคนทราบกันดีคือห้องมีขนาดใหญ่และก็ราคาที่ยังเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ไม่ถึง 70,000 บาทต่อตารางเมตร แถมยังยกพื้นที่ชั้นบนสุดของโครงการเป็นส่วนกลางทั้งชั้นอีกด้วย รายละเอียดอื่นๆของโครงการนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปตามอ่านกันเลยค่ะ
Fact @ 28 June 2019
- Supalai Park Yaek fai chai Station (ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย)
- บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
- MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/2 เขต บางกอกน้อย
- ที่ดินประมาณ 6-0-95.2 ไร่
- คอนโด High Rise 22 ชั้น (รวมชั้นดาดฟ้า) จำนวน 2 อาคาร จำนวน 726 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 23 ยูนิตที่อาคาร A และ B
- ที่จอดรถประมาณ 408 คัน คิดเป็น 56%
- เริ่มก่อสร้าง : 2563
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : 2565
- Studio 29.5-31.0 ตร.ม.
- 1 Bedroom 34.0-43.0 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 44.5-45.0 ตร.ม.
- 2 Bedrooms 64.5-74.5ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 2.03 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 69,000 บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : n/a
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 1720
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ
พิกัด Google Maps : 13.752892, 100.470560
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการค่ะ โครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 28/2 ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย สถานีแยกไฟฉายประมาณ 330 เมตร แยกไฟฉายนี้จะเป็นแยกที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ ตัดกับถนนพรานนก ทำให้จากโครงการ สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งทางถนนจรัญฯเอง และถนนพรานนกที่เชื่อมต่อไปยังแถววังหลัง ศิริราชได้ง่ายค่ะ
เราขอพาดูทำเลรอบๆโครงการกันก่อนนะคะ บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์และถนนพรานนกนี้ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมชน ที่อยู่อาศัย และมีโรงพยาบาลชื่อดังค่อนข้างมากเลย ทั้งโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี เป็นต้น เมื่อมีคนที่ใช้ชีวิตและทำงานเเถวนี้มาก แน่นอนว่าแหล่งของกินก็ย่อมมากตามมาค่ะ ตัวเลือกก็มีตั้งแต่ห้าง ร้านค้า ตลาด หรือ Hypermarket ที่เปิดใหม่ ก็มีค่อนข้างหลายหลายเลย
- ตัวเลือกที่เดินได้จากโครงการ : ภายในซอยจรัญฯ 28/2 มีร้านอาหารอยู่บ้าน 1-2 ร้าน เเต่ถ้าเดินมาที่ถนนจรัญฯหลัก ฝั่งตรงข้าม(มุ่งหน้าไปปิ่นเกล้า) มี 7-eleven อยู่ และตลาดนครหลวง
- ถนนพรานนก แถวโรงพยาบาลศิริราช จะมีตลาดมากมายเลยค่ะ ทั้งตลาดสถานีรถไฟ(ศาลาน้ำร้อน) ตลาดพรานนก ตลาดวังหลังอยู่ถือว่าเป็นอีกโซนที่ขึ้นชื่อเรื่อง ของกิน ของใช้ เลยค่ะ ตรงนี้จะมีท่าเรือ สามารถนั่งเรือข้ามฟากไปยัง ท่าเตียน หรือท่าพระอาทิตย์ได้ ซึ่งฝั่งนั้น แน่นอนว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวรอบพระบรมมหาราชวังอยู่ ทั้งของกินเลื่องชื่อ ความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว มีความครึกครื้นทั้งกลางวันและกลางคืนเลยค่ะ
- บนถนนจรัญฯ บริเวณฝั่งทางไปบางขุนนนท์ บริเวณนี้จะมีทั้ง ตลาดบางขุนศรี, Makro จรัญฯ, Foodland , ตลาดบางขุนนนท์ และตลาดน้ำเย็น
- บนถนนจรัญฯ ฝั่งไปทางท่าพระ ทางนี้จะเป็นทางไปยังเพชรเกษม และราชพฤกษ์ได้ ในระยะใกล้หน่อยก็จะมีเเถวจรัญ 13 ที่มีของกินอยู่เยอะเหมือนกัน หรือตามข้างทางก็จะมีพวกปั๊มน้ำมันที่มีร้านอาหาร KFC ภายในปั๊ม และมี HomePro เปิดใหม่ ที่มีทั้งร้านกาแฟนางเงือกเขียวชื่อดัง และร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ข้างในค่ะ แต่ถ้าใครอยากเที่ยวเล่นไกลหน่อย จะเลยไปยังโซนตลาดพลูหรือท่าพระเลยก็ได้นะคะ
- ปิ่นเกล้า ถือว่าเป็นอีกโซนที่สามารถเดินทางไปได้ง่ายจากโครงการ ตรงนี้ก็จะเหมาะกับคนที่ต้องการสิ่ง Entertain อย่าง Shopping ดูหนังวันสุดสัปดาห์ ก็จะมีห้างใหญ่น้อย และ Community Mall ให้เลือกไปค่ะ
อย่างไรก็ตามแม้ทำเลของโครงการจะอยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญต่างๆ แต่ก็ต้องคำนึงเรื่องรถติดกันสักหน่อย เพราะแถวนี้มีการก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้า และอุโมงค์ตรงแยกไฟฉาย ทำให้รถติดมากขึ้นเป็นพิเศษ ถนนหนทางก็ยังไม่เรียบเท่าที่ควร จะเดินทางไปไหนก็อย่าลืมเผื่อเวลากันสักหน่อย แต่คาดว่าการก่อสร้างเหล่านี้น่าจะเสร็จพร้อมๆกันกับโครงการเรานะคะ
Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ตั้งอยู่ในซอยจรัญฯ 28/2 เข้า-ออกจากถนนจรัญสนิทวงศ์ ใกล้กับแยกไฟฉายประมาณ 300 เมตร การเดินทางด้วยรถส่วนตัวนับว่าอยู่ในจุดที่สามารถเดินทางได้ค่อนข้างสะดวก ใกล้สี่แยกที่เดินทางไปยังราชพฤกษ์ , ปิ่นเกล้า , กาญจนาภิเษก และถนนอิสรภาพได้ง่าย มีทางลัดหลากหลาย ในกรณีที่จะข้ามมาฝั่งพระนคร ก็สามารถใช้ถนนจรัญฯ มาข้ามสะพานปิ่นเกล้าหรือสะพานพระราม 8 ได้ ถ้าจะออกนอกเมืองก็มีถนนเลียบทางรถไฟและถนนบางขุนนนท์ที่สามารถใช้ทะลุไปเส้นบรมราชชนนีได้ และมีซอยจรัญฯ 35 และซอยจรัญฯ 13 ที่ลัดออกไปถนนราชพฤกษ์และถนนกาญจนาภิเษกได้ค่ะ
และนอกจากนั้นยังมี ถนนพรานนก – กาญจนาฯ หรือถนนพรานนก – พุทธมณฑลสาย 4 ที่อยู่ตรงแยกไฟฉายเป็นถนนที่ตัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้ระบายการจราจรบนถนนจรัญสนิทวงศ์ เนื่องจากถนนจรัญฯ แต่เดิมเป็นถนนเส้นยาวที่ไม่มีแยกและทางลัดมากนัก จุดเริ่มต้นจะเริ่มจากบริเวณแยกไฟฉาย บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ตรงมาเรื่อยๆตัดผ่านถนนราชพฤกษ์ ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ไปบรรจบกับถนนกาญจนาภิเษก เป็นระยะทางประมาณ 7 กม. ปัจจุบันถนนเส้นนี้สร้างเสร็จแล้ว และเปิดใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อปีเดือนธันวาคม ปี 58 นอกจากนี้บริเวณแยกไฟฉายก็มีการขุดเจาะอุโมงค์ลอดใต้แยกไฟฉายและทำสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ ซึ่งถ้าถนนสายนี้เสร็จจะทำให้การจราจรบนถนนจรัญสนิทวงศ์คล่องตัวขึ้นมากทีเดียว
โครงการนี้อิงการใช้รถไฟฟ้าเช่นกันค่ะ แค่ดูชื่อโครงการก็น่าจะทราบกันอยู่แล้ว Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ดังนั้นเรามาดูเรื่องรถไฟฟ้านี้กันก่อนเลยดีกว่า โครงการเรานี้จะอยู่ห่างจากสถานีแยกไฟฉายประมาณ 330 เมตร สถานีนี้จะเป็นหนึ่งในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วง บางซื่อ – ท่าพระ ที่คาดว่าจะเปิดใช้งานประมาณปี 2563 นี้ โดยรถไฟฟ้าเส้นนี้ก็จะเชื่อมต่อกับ MRT ปัจจุบันที่ใช้งานกัน คือสามารถจะเดินทางไปยัง จตุจักร รัชดา สุขุมวิท ได้ในต่อเดียวค่ะ แต่! ถ้าเราไปยังสถานีท่าพระ ก็จะเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเช่นกัน แต่จะต้อง Interchange ตัวขบวนนะคะ อันนี้ก็แล้วเเต่เราเลือกเอา เช่นเราอยากไปหัวลำโพง เดินทางแบบไม่เปลี่ยนขบวนก็จะอ้อมไปหน่อยใช้เวลานานกว่าการที่เราไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีท่าพระ ส่วนเรื่องระยะเวลาที่แน่นอนอาจจะต้องรอรถไฟฟ้าสร้างเสร็จแล้วเราค่อยมาดูกันอีกรอบนะคะ
และอีกสถานีหนึ่งที่อยู่ถัดออกมาหน่อยคือสถานีบางขุนนท์ที่มีระยะห่างจากโครงการประมาณ 500 ม. ซึ่งสถานีนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นสถานี Interchange อีกเช่นกัน โดยในอนาคต(อันไกลโพ้นหรือไม่?) จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม(ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม) กับ สายสีแดง(ตลิ่งชัน-ศาลายา) มา Interchange กับสายสีน้ำเงินที่สถานีนี้ ก็ต้องรอดูกันต่อไปนะคะ
ส่วนระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆนั้น บนถนนจรัญฯก็จะมีรถเมล์ผ่านเรื่อยๆ ตัวป้ายรถเมล์ก็ไม่ไกลจากปากซอยของโครงการเลยค่ะ ส่วนรถ Taxi นั้นก็สามารถเรียกได้ไม่ลำบากนัก (แต่จะไปหรือไม่ไปอาจจะต้องพึ่งพาแต้มบุญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะคะ) ในกรณีที่ใครจะเดินทางไปโซนวังหลัง ศิริราช เเนะนำให้เดินไปยังสี่แยกไฟฉาย ข้ามถนนไปขึ้นรถสองแถวก็จะสะดวกมากเลยค่ะ
นอกจากตัวช่วยในการเดินทางอย่างรถไฟฟ้าแล้ว ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของพื้นที่ในทำเลนี้คืออยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีตัวช่วยในการเดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาเพิ่มเข้ามาด้วย แน่นอนว่าข้อดีของการเดินทางทางน้ำอย่างหนึ่งคือ เราสามารถควบคุมเวลาในการเดินทางได้ ซึ่งท่าเรือด่วนเจ้าพระยาที่ใกล้โครงการที่สุดคือ ท่าวังหลัง ห่างจากโครงการประมาณ 2 กม. สามารถข้ามเรือไปหาร้านอาหารเด็ดๆ เจ้าดังๆ ทานที่ท่าพระอาทิตย์ หรือไปเรียนที่ ม.ธรรมศาสตร์ ก็สะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้เส้นทางเดินเรือยังสามารถนั่งไปได้ไกลถึงสาทร หรือขึ้นเหนือไปถึงนนทบุรีเลย ในเวปของ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด มีข้อมูลค่อนข้างครบถ้วนเลยค่ะ ทั้งเส้นทาง ราคา และเวลาการเดินเรือ เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ > คลิก
เส้นทางการเดินทาง
สำหรับเส้นทางการเดินทางไปยังโครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ที่เราพาไปกันในวันนี้เราจะเดินทางมาจากสะพานปิ่นเกล้า มุ่งหน้าไปทางถนนบรมราชชนนี ผ่านแยกถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตัดกับถนนพระราม 8 ไป ชิดซ้าย เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนจรัญสนิทวงศ์ค่ะ คราวนี้ก็ตรงอย่างเดียวเลย ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่มีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายวิ่งผ่าน (ที่กำลังจะเปิดให้บริการประมาณปี 2563 นี้) เราจะผ่านสถานีบางขุนนนท์และสถานีแยกไฟฉาย เลยแยกที่ถนนจรัญฯตัดกับถนนพรานนกไปให้ชิดซ้ายอีกทีเลี้ยวเข้าซอยจรัญฯ 28/2 ค่ะ เลี้ยวเข้าไปแล้วจะเจอกับโครงการทางขวามือ เราไปชมเส้นทางจริงกันเลยดีกว่า
เริ่มต้นที่ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้านะคะ มาจากสะพานปิ่นเกล้านั่นเอง ตรงนี้จะตัดกับถนนพระราม 8 ให้เราขับตรงไปก่อน
ขับมาจะเจอกับห้างเก่าแก่อย่างพาต้า ปิ่นเกล้าอยู่ทางขวามือ
ขับต่อมาจะมีสะพานข้ามเเยก ตรงนี้ให้เราเบี่ยงซ้ายไว้ ไม่ต้องขึ้นสะพานนะคะ (ข้ามสะพานไปจะเป็นโซนที่มีห้างอยู่หนาแน่น อย่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เมเจอร์ โลตัส ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโซนห้างใหญ่ใกล้โครงการเหมือนกันค่ะ)
พอเจอสี่แยกให้เราเลี้ยวซ้ายนะคะ
พอเลี้ยวมา ตอนนี้เราก็จะมาอยู่กันที่ถนนจรัญฯแล้ว ถนนเส้นนี้จะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายตัดผ่าน
พอมาเส้นนี้เเล้วเราก็ขับตรงอย่างเดียวเลยค่ะ
จะเจอกับตัวสถานีรถไฟฟ้าบางขุนนนท์ก่อน
เลยมาก็จะมี Makro อยู่ทางขวามือ
ใกล้ๆกับ Makro ก็จะมีตลาดบางขุนศรีค่ะ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่เลย
ตรงต่อมาก็จะเจอกับรถไฟฟ้าสถานีแยกไฟฉายค่ะ
เลยตัวสถานีมาจะเจอกับสี่แยก ตรงนี้จะตัดกับถนนพรานนก ถ้าเราเลี้ยวซ้ายไปก็จะไปยังโซนวังหลัง ศิริราช
แต่เรายังขับตรงมาเลยสี่แยกนะคะ พอเลยมาก็ชิดซ้ายไว้เลย ใกล้จะถึงเเล้ว
ป้ายซอยตรงนี้ยังเป็นป้ายชั่วคราวอยู่ แต่บริเวณหน้าปากซอยจะมีป้ายของ ศุภาลัย ปาร์ค ป้ายใหญ่อยู่ สังเกตเห็นได้ง่ายมากเลยค่ะ เจอป้ายก็เลี้ยวซ้ายเลย
พอเลี้ยวมาภายในซอยนี้จะเป็นตึกเเถวทั้งสองฝั่งเลยค่ะ รถสามารถขับสวนกันได้ เป็นซอยตัน จึงไม่มีรถเข้า-ออก พลุกพล่านมากนัก
เลยมานิดหน่อยจะเจอกับทางเข้าโครงการทางขวามือค่ะ
ถึงที่ตั้งโครงการเเล้วค่ะ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
สภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการนี้เนื่องจากอยู่ในซอยย่อยเข้าไปจากถนนใหญ่ และเป็นย่านชุมชนที่มีการทำมาค้าขายและอยู่อาศัยกันมานานแล้ว ทำให้บรรยากาศภายในซอยจะเป็นตึกเเถวและอาคารพาณิชย์ทั้งซอยเลยค่ะ ตัวตึกแถวนี้ก็จะมีทั้งเป็นที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะและมีทั้งดัดแปลงเป็นสำนักงาน ที่ทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก แต่เนื่องจากเป็นซอยตัน ถึงแม้จะมีรถจอดอยู่สองข้างทางของซอย แต่ก็จะไม่มีรถขับเข้า-ออกพลุกพล่านมาก ถ้ามองในสเกลที่ใหญ่ขึ้นหน่อย ก็ต้องบอกว่าทำเลนี้ก็ยังถือว่าเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นส่วนมากค่ะ ยังไม่เจอกโครงการที่สร้างเป็นตึกสูงมากนัก จะมีก็เช่นโครงการคอนโดมิเนียมที่เริ่มสร้างกันตามแนวรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังถือว่าไม่อยู่ในระยะที่กระชั้นหรือชิดโครงการเรามากนัก ในแง่มุมมองจึงถือได้ว่าโครงการนี้ได้วิวค่อนข้างเปิดโล่งในทุกด้านเลยค่ะ
บรรยากาศออกจากซอยมายังถนนจรัญฯ ถนนเส้นนี้ยังมีการก่อสร้างทั้งรถไฟฟ้าและอุโมงค์อยู่นะคะ แต่ถือว่าเป็นถนนใหญ่และเป็นถนนหลักที่มีรถสัญจรเข้าออกเมืองเป็นประจำ ฝั่งตรงข้ามของถนนมีตลาดนครหลวงอยู่ มีทางม้าลายให้ข้ามอยู่ทางซ้ายมือค่ะ
มองย้อนกลับไปจะไปยังสถานีเเยกไฟฉายค่ะ การเดินทางไปสถานีนั้นอาจจะเดินเท้าก็ได้ หรือถ้าจะนั่งวินมอเตอร์ไซค์ก็จะมีจุดกลับรถไม่ไกลค่ะ
บริเวณทางม้าลายเมื่อข้ามไปยังอีกฝั่งถนนจะมี 7-eleven เปิดให้บริการอยู่ ถือว่าเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใกล้กับโครงการเราที่สุดเเล้วค่ะ ถนนนี้ยังอยู่ในช่วงก่อสร้างอย่างที่เห็น ตอนข้ามทางม้าลายอาจจะต้องระมัดระวังหน่อย หวังว่าเมื่อรถไฟฟ้าและอุโมงค์ สร้างเสร็จจะมีทางข้ามที่ดูปลอดภัยมากกว่านี้ เช่นสัญญาณข้ามถนน หรือว่าสะพานลอยค่ะ
บรรยากาศภายในซอยจรัญฯ 28/2 หรือทิศเหนือของโครงการ จะเป็นตึกแถวสูง 4-5 ชั้นทั้งซอยเลยค่ะ ส่วนทางเข้าโครงการจะเปิดทางเข้าระหว่างตึกเเถวนี้เอาไว้มีป้ายชื่อโครงการเห็นได้ชัดเจน
ถนนภายในซอยเราจะเห็นรถจอดอยู่ทั้งสองฝั่งถนนเลยค่ะ แต่ยังเหลือทางเดินรถที่รถสามารถสวนกันได้อยู่ และปริมาณรถที่เข้า-ออกซอยนี้ไม่มาก เนื่องจากเป็นซอยตัน เราต้องขอบอกก่อนว่าทางเข้าโครงการนั้น เนื่องจากอยู่ในซอยอาจจะไม่ได้ดูโออ่ามาก แต่ก็จะมีข้อดีอยู่ที่ได้ความเป็นส่วนตัวค่ะ
เข้ามาภายในโครงการ ตัวอาคารจะอยู่หลังรั้วนี้ค่ะ ส่วนสำนักงานขายจะอยู่ทางขวามือ มองไปรอบๆยังไม่เจอตึกสูงขึ้นในระยะใกล้เลยนะคะ
จากในโครงการมองออกไปทางฝั่งถนนจรัญก็เช่นกันค่ะ ส่วนมากเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งตัวโครงการเราถ้าไปดูในรายละเอียด ห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 5 ค่ะ ซึ่งจะพ้นกับความสูงของอาคารรอบๆไปแล้ว
ตัวสำนักงานขายนี้ในอนาคตพื้นที่ตรงนี้จะทำเป็นสวนของโครงการค่ะ จะมีการสร้าง Jogging Track เอาไว้ตรงนี้ด้วย ใครที่อยากออกกำลังกายในสวน ก็ไม่ต้องไปไหนไกลเลยค่ะ
มองจากภายในโครงการไปตรงทางเข้าหรือทิศเหนือ เเถบนี้ทั้งหมดจะเป็นอาคารตึกเเถวสูง 4-5 ชั้นค่ะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- ตลาดบางขุนศรี ~ 1.1 km.
- Makro จรัญ ~ 1.4 Km.
- ตลาดรถไฟธนบุรี ~ 2.3 km.
- วังหลัง ~ 2.6 km.
- โลตัส จรัญฯ 15 ~ 2.7 km.
- พาต้า ปิ่นเกล้า ~ 3.6 km.
- โลตัส ปิ่นเกล้า ~ 3.7 km.
- ตลาดพลู ~ 3.7 km.
- เซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า ~ 4 km.
- The Sense ปิ่นเกล้า ~ 4.3 km.
- เดอะมอลล์ ท่าพระ ~ 4.6 km.
- เมเจอร์ ปิ่นเกล้า ~ 7.2 km.
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลธนบุรี ~ 2.1 km.
- โรงพยาบาลศิริราช ~ 2.3 km.
สถานศึกษา
- โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย ~ 2.4 km.
- วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการราชดำเนิน ~ 2.4 km.
- วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรีซอยจรัญฯ 13 ~ 3.1 km.
- วิทยาลัยพาณิชยการธนบุรี ~ 4.1 km.
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ~ 6.4 km.
โครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย เป็นคอนโดมิเนียม High Rise 2 อาคาร สูง 22 ชั้น มีห้องพักอาศัยทั้งหมด 726 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินภายในซอย จรัญสนิทวงศ์ 28/2 ขนาด 6 ไร่นิดๆ ตัวโครงการมีแนวคิดการออกแบบตามชื่อแบรนด์เลยค่ะ Supalai Park เน้นพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ จัดมาให้ทั้งชั้น 1, 5 และชั้นดาดฟ้า รวมๆแล้วมีขนาดมากกว่า 2 ไร่เลยทีเดียว นอกจากพื้นที่สวนที่จัดมาในแนวราบแล้ว ยังมี Vertical Garden หรือผนังบริเวณชั้นของพื้นที่จอดรถ ที่จัดเพิ่มเติมเป็นพื้นที่สีเขียวขึ้นมาอีกค่ะ
การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการจะแบ่งดังนี้ค่ะ ชั้น 1 จะมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่บริเวณทางเข้า , สวน Welcome Garden บริเวณ Drop-off ระหว่าง 2 อาคาร , Lobby และพื้นที่จอดรถ ส่วนพื้นที่ชั้น 2-4 จะเป็นพื้นที่จอดรถค่ะ ชั้น 5 เป็นต้นไปจะเป็นชั้นพักอาศัยไปจนถึงชั้น 21 เลยค่ะ ซึ่งที่ชั้น 5 นั้นจะมีพื้นที่สวนเพิ่มขึ้นมา เรียกว่า Backyard Garden หรือสวนหลังบ้านนั่นเอง (ส่วนนี้จะมีให้ทั้ง 2 อาคารเลยค่ะ) พอขึ้นมาที่ชั้น 22 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของอาคาร ทั้งสองอาคารจะถูกจัดเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดเลย โดยจะมี Skywalk เชื่อมทั้ง 2 อาคารไว้ด้วยกันค่ะ ซึ่งตัวโครงการนี้จะให้ Key Card มา และลิฟต์ที่ใช้ภายในจะเป็นลิฟต์แบบล็อคชั้น ทำให้เราสามารถเข้าได้เฉพาะชั้นพักอาศัยของตัวเองเท่านั้นเเละชั้นที่มีส่วนกลางอย่างชั้น 5 และชั้น 22 ของทั้ง 2 อาคารค่ะ ถือว่าค่อนข้างสะดวกเลยนะคะ เพราะหลักๆส่วนกลางก็จะอยู่ที่ชั้น 22 ถ้าเราอยู่อาคาร A ก็ยังสามารถเดินไปใช้ส่วนกลางที่อาคาร B ได้สะดวกเลย
มาดูที่ Master Plan กันค่ะ โครงการนี้จะแบ่งออกเป็น 2 อาคาร เรียกว่าอาคาร A ที่อยู่ด้านหน้า (จากทางเข้าจะถึงก่อน) มีทั้งหมด 374 ยูนิต และอาคาร B ที่อยู่ถัดเข้ามา มีอีก 352 ยูนิต ทั้ง 2 อาคารนี้จะมี Form ของอาคารเป็นรูปตัว L ทั้งคู่ ทำให้เกิดพื้นที่ว่างระหว่างอาคาร จัดเป็นสวนด้วย และถือเป็นการเว้นระยะระหว่างอาคาร ให้ห้องไม่หันหน้าประชันกันมากเกินไปค่ะ ซึ่งระยะระหว่างอาคารที่ใกล้กันที่สุดจะอยู่ที่ 12 เมตร ซึ่งอาคาร A ห้องที่อยู่มุมนี้จะหันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ส่วนอาคาร B จะหันหน้ามาที่ทิศตะวันตก มุมมองเบี่ยงกันอย่างนี้ ก็ช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวภายในห้องดีนะคะ ส่วนห้องที่ต้องหันหน้าประชันกันจริงๆก็จะมีระยะอยู่ที่ 27 เมตร ตำแหน่งตรงนี้ก็อาจจะไม่ได้วิวซักเท่าไหร่ เหมาะกับคนที่ไม่เน้นเรื่องวิวมากค่ะ ในส่วนของที่จอดรถ โครงการนี้จะให้ที่จอดมาทั้งหมด 408 คัน คิดเป็น 56% จอดได้รอบๆอาคารที่ชั้น 1 และบนอาคารที่ชั้น 2-4 ค่ะ โดยทั้งสองอาคารสามารถใช้ที่จอดรถของกันและกันได้เลย ส่วนการใช้ลิฟต์นั้น ที่นี่จะมีระบบล็อคชั้นไว้ให้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยค่ะ การ์ดที่ผู้อยู่อาศัยถือก็จะขึ้นลิฟต์ไปได้แค่ชั้นที่อยู่อาศัยของตัวเองและชั้นที่มีส่วนกลางเท่านั้นค่ะ
ที่ชั้น 5 จะเริ่มเป็นชั้นที่พักอาศัยแล้วค่ะ และจะมีพื้นที่สวนส่วนกลางอยู่ด้วยที่ชั้นนี้ บนหลังคาส่วนที่เป็นที่จอดรถนั่นเองค่ะ มีสระน้ำเล็กๆตรงมุมด้วย อาจจะช่วยลดความร้อนได้บ้าง พื้นที่ส่วนตรงนี้ก็จะกลายเป็นมุมมองของห้องพักที่หันเข้ามาด้านในด้วยค่ะ โดยพื้นที่สวนตรงนี้ผู้อยู่อาศัยทุกคนจะสามารถมาเดินเล่นหรือนั่งพักผ่อนที่ตรงนี้ได้นะคะ ส่วนผู้อยู่อาศัยที่ชั้นนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวไป เพราะจากลิฟต์ก็จะมีทางตรงไปยังสวนเลย ไม่ต้องผ่านห้องพักอาศัยเเละ และในส่วนที่เป็นห้องพัก ก็จะมีประตูกั้นไว้ที่ที ให้คนที่อยู่อาศัยจริงๆเข้าไปได้เท่านั้น
มาดูการจัดวางห้องพักกันบ้าง ทั้ง 2 อาคารจะเป็นรูปตัว L ที่มี Core หรือลิฟต์อยู่ตรงกลางมุมอาคารพอดี ลิฟต์โดยสารจะมีให้บริการอยู่ที่ 3 ตัวต่ออาคาร และมีลิฟต์ Service 1 ตัวต่ออาคารค่ะ อัตราส่วนความหนาเเน่นของการใช้ลิฟต์จะอยู่ที่ 121 : 1 (ไม่นับ service lift) ถือว่าเริ่มหนาแน่นเเล้วนะคะ ส่วนจำนวนห้องพักต่อชั้นก็เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ มี 23 ห้องต่อชั้น ทั้ง 2 อาคารเลย เเต่ก็ถือว่าเหมาะสมกับราคาค่ะ ส่วนทางเดินหน้าห้องพักนั้นจะเป็นทางเดินแบบ Double Corridor คือจะมีห้องพักอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของทางเดินเลย เปิดประตูทีห้องฝั่งตรงข้ามอาจจะมองเข้ามาเห็นภายในห้องของเราเลยก็ได้ค่ะ แต่ก็มีสิ่งที่ชอบของแปลนนี้อยู่เหมือนกันนะคะ ตรงที่ปลายสุดของทางเดินทั้ง 2 ฝั่งจะมีหน้าต่าง ที่ยังช่วยเป็นแสงสว่างให้กับทางเดินเเละระบายอากาศบริเวณนี้ได้บ้างค่ะ แต่อีกเรื่องคือตำแหน่งลิฟต์ที่อยู่ตรงมุมอาคาร ทำให้ห้องที่หันมาด้านในห้องมุม หน้าต่างเเละระเบียงห้องไม่อยู่ใกล้กันมากแบบที่ปีนข้ามห้องกันได้ ยังพอมีระยะให้หายใจกันบ้างค่ะ ส่วนตำแหน่งการวางห้องแบบต่างๆนั้นจะเหมือนกันทุกชั้นเลยค่ะ ห้อง 2 Bedrooms จะเป็นห้องที่อยู่มุมอาคาร ห้อง 1 Bedroom plus จะอยู่ด้านในเท่านั้นตรงกลางอาคาร ตรงข้ามกับห้องแบบ Studio ที่จะหันหน้าออกนอกโครงการค่ะ ส่วนห้อง 1 Bedroom จะมีอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกคละกันไปค่ะ
ที่อาคาร A ชั้น 6-21 ผังจะเหมือนกันกับชั้น 5 เลยค่ะ เพียงแต่ไม่มีสวนเท่านั้น แต่ที่อาคาร B จะมีความแตกต่างอยู่บ้าง ต่างอย่างไร ไปดูกันค่ะ
ที่อาคาร B ชั้น 5-12A จะมีอยู่ 23 ยูนิตต่อชั้น ส่วนชั้น 14-19 จะเหลือ 20 ยูนิตต่อชั้น และที่ชั้น 20-21 มี 18 ยูนิตต่อชั้นค่ะ ตัวอาคารจะค่อยๆลดลงมาเมื่ออยู่ชั้นที่สูงขึ้นนั่นเอง
ขึ้นมาที่ชั้น 22 จะเป็นชั้นของพื้นที่ส่วนกลางยกชั้นเลยค่ะ ตรงนี้ยังไม่มีแปลนมาให้ดูนะคะ แต่จะมีทัศนียภาพมาช่วยอธิบาย เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่าส่วนกลางของโครงการนี้จะมีอะไรบ้าง
ตัวอาคาร A จะเป็นอาคารแรกที่ใกล้กับแนวถนนใหญ่มากที่สุด(ทางขวามือของรูป) ส่วนอาคาร B จะเป็นอาคารที่อยู่ด้านใน เมื่อเข้าโครงการมาจะเจอกับสวนขนาดใหญ่หน้าโครงการก่อนที่สวนนี้จะมี Jogging Track อยู่ ถือว่าเป็นพื้นที่ที่สามารถมาวิ่งออกกำลังกายเบาๆได้ เหมาะกับลูกบ้านที่ต้องการออกกำลังกายในสวนตอนเช้าหรือเย็นได้ และจะมีพื้นที่ระหว่างอาคาร A และอาคาร B ถูกจัดเป็น Welcome Garden ที่เป็นทางวนรถด้วยเช่นกัน นอกจากนี้รอบๆอาคารจะมีแนวต้นไม้เลียบไปตามแนวผนัง และมีที่จอดรถอยู่รอบๆอาคารเช่นกัน ช่วยสร้างบรรยากาศให้ทางเดินรถรอบๆ ดูร่มรื่นมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้จะมี Lobby ให้มาค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหนที่ชั้น 1 และมีขนาดเท่าไหร่ เนื่องมาจากว่ายังไม่มีผังชั้น 1 มาให้ดูค่ะ ส่วนที่ชั้น 5 ทั้งสองอาคารจะมี Backyard Garden อยู่ตรงกลาง โดยมีตัวอาคารที่เป็นรูปตัว L โอบล้อมอยู่ พื้นที่บริเวณนี้ สามารถกลายเป็นวิวให้กับลูกบ้านได้ด้วย พื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่างกันระหว่าง 2 อาคารที่สุด จะอยู่ที่ชั้น 22 ที่เป็นชั้นบนสุดของโครงการค่ะ โดยที่ตึก A จะประกอบไปด้วย Sky Garden , Fitness และ Sky Lounge ในขณะที่ตึก B จะมี Sauna และสระว่ายน้ำค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศสวนบริเวณทางเข้าของโครงการค่ะ จากภาพเราจะเห็นแนว Jogging Track อยู่นะคะ ลูกบ้านสามารถมาวิ่งใช้งานได้ แต่ถ้าอยากจะวิ่งวนเป็น Loop อาจจะต้องวิ่งลงบนถนนของโครงการค่ะ พื้นที่สวนตรงนี้เราว่าดีนะคะ สามารถมาใช้งานได้ตลอดเวลา แบบที่ไม่ต้องเดินทางไปยังสวนสาธารณะที่อื่น ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางด้วยค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศ Welcome Garden ระหว่างอาคาร A และ B ตรงกลางจะเป็นพื้นที่สวน สามารถวนรถหรือเดินรอบพื้นที่ส่วนนี้ได้
ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Lobby ของโครงการค่ะ จากภาพจำลองเราว่าเลือกโทนการตกแต่งได้ค่อนข้างดูดีเลยนะคะ มีการนำเอาวัสดุที่มี texture เงาๆมาเล่นเป็นเส้นสายในการตกแต่งภายใน ทั้งตัวผนัง ฝ้าเพดาน และเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ รวมไปถึงวัสดุลายหินอ่อน ทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ดูหรูหราดีค่ะ แต่ต้องบอกว่าไม่แน่ใจเรื่องตำแหน่ง มุมมองและขนาดของ Lobby ที่ชั้นนี้นะคะ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลของผังชั้น 1 มา
ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณ Fitness ของโครงการ ตัว Fitness นี้จะอยู่ที่ชั้น 22 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโครงการ อยู่ที่อาคาร A ค่ะ ภายในห้องจะล้อมด้วยกระจก ทำให้สามารถเปิดมุมมองไปรอบๆโครงการได้ อย่างเช่นลู่วิ่งจะหันไปทางทิศตะวันออก ซึ่งวิวที่ได้ก็จะเป็นวิวสระว่ายน้ำที่อยู่อาคาร B ส่วนอีกฝั่งนึงจะมองไปเห็นสวนที่อยู่ด้านข้างโครงการและแนวรถไฟฟ้าที่อยู่บนถนนจริญสนิทวงศ์ค่ะ ในส่วนของฟังก์ชันและอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆก็มีให้หลากหลายดีนะคะ อยากจะเห็นของจริงเมื่อสร้างเสร็จเลย
ที่อาคาร A ชั้นบนสุดจะมีอีกห้องนึงคือห้อง Sky Lounge เป็นอีกห้องนึงที่เราว่าค่อนข้างดีเลยค่ะ จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่น พักผ่อนอีกจุดนึงนอกจาก Lobby ที่อยู่ชั้นล่าง ทำให้ลูกบ้านมีตัวเลือกในการใช้งานมากขึ้น อีกทั้งการที่จัดมาอยู่ชั้นบนสุดนี้ก็จะมีข้อดีเรื่องวิวด้วย สามารถมองไปทางทิศเหนือได้ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นวิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งอยู่ค่ะ ในส่วนของการจัดเฟอร์นิเจอร์ภายในก็มีทั้งโซฟาเป็นชุดมานอนเล่นมือถือได้ มีส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์บาร์ และเคาน์เตอร์ริมกระจกที่สามารถนั่งเล่นชมวิวได้ หวังว่าจะมีโซนที่เป็นโต๊ะสามารถนั่งเปิดคอมพิวเตอร์ทำงานหรืออ่านหนังสือได้ด้วยนะคะ
มาที่อาคาร B Facility หลักๆของอาคารนี้เลยจะเป็นสระว่ายน้ำค่ะ โดยสระของที่นี่จะเป็นสระแบบ infinity edge pool ที่ดูเเล้วจะไม่มีขอบสระ ทำให้สามารถเปิดวิวได้โล่งมากเลย ยิ่งไปชั้นสูงๆด้วย เผลอๆบริเวณนี้มองออกไปจะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะคะเนี่ย ส่วนตัวสระว่ายน้ำนี่จะเป็นสระระบบเกลือ มีขนาด 23×6 เมตร ลึก 1.1 เมตร และจะมีส่วนที่เป็นสระเด็ก ลึก 0.60 เมตรด้วยค่ะ ถือว่ายังสามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้ และใช้งานได้พร้อมๆกันหลายคนค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Lobby
- Fitness & Sauna
- Infinity edge Swimming pool & Jacuzzi
- Smart locker
- Meeting room
- Sky lounge
- Roof Garden
- Climbing landscape berm
- Jogging track
- Playground
- EV charger
- สวนภายในโครงการรวมประมาณ 2 ไร่
- ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 121 : 1 (ไม่นับ service lift)
- Service Lift 1 ตัว/อาคาร
- ที่จอดรถประมาณ 408 คันคิดเป็น 56%
- ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ 24 ชั่วโมง
- CCTV
- Digital Door Lock
- Home Automation
- Heat & Smoke Detector / Fire Alarm
แบบห้องภายในโครงการ Supalai Park สถานีแยกไฟฉายนี้จะเริ่มตั้งแต่ห้อง Studio ไปจนถึงห้อง 2 Bedrooms เลยค่ะ รายละเอียดห้องต่างๆจะมีดังนี้
- Studio ขนาด 29.5-31.0 ตร.ม. มี 102 ยูนิต
- 1 Bedroom ขนาด 34.0-43.0 ตร.ม. มี 334 ยูนิต
- 1 Bedroom Plus ขนาด 44.5-45.0 ตร.ม. มี 134 ยูนิต
- 2 Bedrooms ขนาด 64.5-74.5ตร.ม. มี 156 ยูนิต
โดยอาคาร A จะมีจำนวน 374 ยูนิต และอาคาร B มี 352 ยูนิต เราจะเห็นได้ว่ายูนิตที่มีเยอะมากที่สุดในโครงการจะเป็นห้องแบบ 1 Bedroom เลยนะคะ และที่สังเกตได้อีกอย่างคือขนาดห้อง อย่างที่ทราบกันดี ศุภาลัยจะเป็น Developer อีกเจ้าที่แบบห้องจะเริ่มมาขนาดใหญ่เลย (ถ้าลองไปดูโครงการอื่นๆรอบๆห้องเริ่มต้นจะขนาด 20 ต้นๆกันเเล้ว ในขณะที่โครงการนี้ Studio เริ่มต้นที่ 29.5 ตร.ม.ค่ะ) แต่เมื่อเทียบกับแพคเกจราคาเเล้ว โครงการนี้ยังจัดว่าราคาไม่สูงมาก เนื่องมาจากราคาต่อตร.ม.ที่ต่ำกว่าโครงการอื่นมากนั่นเอง ซึ่งพอเราไปดูห้องตัวอย่างมาต้องบอกก่อนว่าห้องใหญ่จริงๆค่ะ เเล้วก็จัดออกมาดีเลย ถือว่าคุ้มค่าราคาอยู่นะคะ ห้องตัวอย่างของที่นี่มีอยู่ 2 ห้อง เป็นห้อง 1 Bedroom และ 2 Bedrooms ซึ่งเราจะพาไปดูห้องแบบ 2 Bedrooms กันก่อน ห้องนี้จะเป็นอย่างไร ตามดูกันเลยค่ะ
2 Bedrooms Type 2c1 64.5 sq.m.
เราขอเริ่มต้นกันที่ห้องขนาดใหญ่ของโครงการนี้กันก่อนเลย เป็นห้อง 2 Bedrooms ขนาด 64.5 ตร.ม. ความพิเศษของแบบที่ขึ้นต้นด้วย 2C คือห้องจะอยู่ที่ตำแหน่งหัวมุม และเป็นห้องหน้ากว้างค่ะ ห้องนี้มีขนาดและพื้นที่ใช้สอยเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก อยู่กันได้ 3 คนสบายๆ มีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องที่ค่อนข้างกว้างขวางเลย ตัวห้องที่ได้นี้จะเป็นห้องหน้ากว้างสามารถแบ่งออกเป็นสามส่วนคือเข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับพื้นที่ Common Area ของห้องก่อน ยาวลึกเข้าไปเลยค่ะ พื้นที่ตรงนี้สามารถจัดเป็นพื้นที่เก็บของ รับประทานอาหาร และมุมนั่งเล่นรับเเขก เชื่อมต่อไปกับระเบียงของห้องได้เลย จากพื้นที่ตรงกลางนี้ ฝั่งขวามือจะเป็นตำแหน่งของห้องครัว ห้องน้ำ และห้องนอนเล็กค่ะ ครัวนี้จะเป็นครัวปิดด้วย กั้นเเยกเป็นสัดส่วน สามารถทำอาหารหนักๆที่มีกลิ่นแรงๆได้เต็มที่เลย ถัดต่อไปจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งห้องนี้จะต้องใช้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ Common Area กับห้องนอนเล็กนะคะ ในแง่ของตำแหน่งถือว่าใช้งานได้ง่ายอยู่ค่ะ ในสุดจะเป็นห้องนอนเล็ก สิ่งที่เรามองว่าพิเศษของห้องนี้คือ ไม่ใช่ห้องนอนสี่เหลี่ยมธรรมดา แต่จะมีพื้นที่ส่วนนึงใกล้กับหน้าต่างที่สามารถจัดมุมนั่งเล่นพักผ่อนได้เป็นพื้นที่เหมือน Bay window (เดิมที่พื้นที่ส่วนนี้ที่มีตามบ้านฝรั่งเนื่องมาจากอากาศบ้านเค้าเนี่ยจะค่อนข้างหนาวค่ะ ทีนี้เลยต้องมีมุมที่นั่งริมหน้าต่างเอาไว้เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขณะนั่งใช้งาน แต่ทีนี้พอมาอยู่ที่ประเทศไทยเนี่ย มุมแบบนี้เราจะเปิดกระจกสามด้านเลย บางทีก็อาจจะร้อนไปนิด ใช้งานไม่สะดวก พื้นที่ส่วนนี้จึงกลายเป็นกระจกด้านเดียว สามารถติดม่านหรือมู่ลี่เพื่อช่วยกรองแสงและความร้อนขณะใช้งานได้นะคะ)
มาดูอีกที่ห้องนอนใหญ่กันบ้างค่ะ ดูผังเเล้วเราค่อนข้างชอบห้องนี้เลยทีเดียวเพราะดูเป็น Master Bedroom ที่จัดออกมาได้ดีเลย ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่มีหน้าต่างอยู่ 2 ด้านของห้อง มีทั้งกระจกเข้ามุมที่ออกแบบมาสองฝั่งข้างตำแหน่งเตียงนอน มีมุมริมหน้าต่างจัดเป็นมุมทำงาน มีพื้นที่เป็น Walk-in Closet หน้าห้องน้ำ และมีหน้าต่างเล็กๆหน้าห้องน้ำด้วย ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนบ้านทั้งๆที่เป็นคอนโดเลยค่ะ เราว่าไปดูห้องตัวอย่างกันเลยดีกว่าจะให้เห็นภาพกันมากขึ้นนะคะ
ห้องของ Supalai Park สถานีแยกไฟฉายนี้จะมีความสูงของห้องอยู่ที่ 2.55 เมตร แต่ถ้าเป็นส่วนห้องน้ำกับห้องครัวจะมีความสูงที่ 2.4 เมตรค่ะ (ความสูงที่มากนี้ดีอย่างไร? ในแง่ของการออกแบบถ้าภายในห้องมีขนาดเล็ก การที่มีความสูงที่เพิ่มมากขึ้นก็จะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกว่าห้องกว้างมากขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งส่วนมากห้องสมัยก่อนมักจะมีความสูงที่ไม่มาก ประมาณ 2.4 เมตร การออกแบบทั่วๆไปมักจะอิงกับขนาดวัสดุมาตรฐานด้วยที่มักจะมีขนาดอยู่ที่ 1.22×2.44 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ผลิตและขนส่งง่ายด้วย ดังนั้นการที่คอนโดที่เกิดใหม่มักจะนำเอาเรื่องของความสูงห้องมาขายกัน เนื่องมาจากค่าการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นด้วย ในส่วนของโครงการนี้ เราต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เน้นขายเรื่องความสูง แต่ที่ให้ความสูงมา 2.55 เมตรกับขนาดห้องตามสไตล์ศุภาลัยที่เน้นใหญ่ ก็จะช่วยสร้างให้บรรยากาศโปร่งมากขึ้นค่ะ)
ภายในห้องจะมี option ให้เลือกว่าจะซื้อเป็นแบบ Fully fitted หรือ Fully Furnished นะคะ เผื่อใครที่ไม่มีเวลาจะเเต่งห้องเอาเองก็ซื้อพร้อมเข้าอยู่ไปได้เลย แต่ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบไหนก็จะได้เครื่องปรับอากาศ , Wallpaper , ชุดครัว Built-in , เครื่องทำน้ำอุ่น , ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย , Digital Door Lock , Home Automation ให้มาด้วยค่ะ ส่วนวัสดุอื่นๆในห้องนั้นจะได้พื้นเป็นลามิเนต ภายในครัวกับห้องน้ำจะได้กระเบื้อง ฝ้าเพดานฉาบเรียบและไฟดาวน์ไลท์ค่ะ
เข้าห้องมาหันมาขวามือเราจะเจอกับส่วนครัวเป็นส่วนแรกเลย ในแง่ตำแหน่งถือว่าสะดวกเลยนะคะ ซื้อของเข้าห้องพวกวุตถุดิบในการทำอาหารก็สามารถเข้ามาเก็บยังพื้นที่ตรงนี้ได้เลย แต่ด้วยตำแหน่งของครัวที่อยู่ลึกเข้ามาด้านในห้อง ไม่มีส่วนไหนที่ติดกับหน้าต่างเลย ห้องก็เลยจะดูมืดๆหน่อยและระบายอากาศได้ไม่สะดวก ตรงนี้เลยออกแบบให้เป็นประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนมาค่ะ ทำให้ภายในครัวดูโปร่งโล่งขึ้นด้วย
ภายในครัวจะแบ่งเป็นสองฝั่ง มีทางเดินตรงกลาง ในห้องจริงจะมีเคาน์เตอร์ให้มาทางซ้ายมือเท่านั้นนะคะ แต่ถ้าจัดวางแบบห้องตัวอย่างแล้วทางเดินก็จะเหลือประมาณ 1 เมตร กว้างเลยค่ะ
ส่วนทางขวามือก็สามารถวางเครื่องซักผ้ากับตู้เย็นได้เลย ถือว่าเป็นมุมที่เหมาะสมวางได้พอดีเลยค่ะ
มาดูที่เคาน์เตอร์ที่ได้กันค่ะ จะมีทั้งตู้บนและตู้ล่างให้มา หน้าบานเป็นลามิเนต สีขาวที่ตู้บน และลายไม้ที่ตู้ล่าง มีช่องสำหรับวางไมโครเวฟได้ แต่ต้องบอกก่อนนะคะว่าครัวนี้จะไม่ให้เตาและเครื่องดูดควันมา แต่จะมีการเดินระบบท่อไว้ให้ ในกรณีที่ใครอยากติดตั้งเตากับเครื่องดูดควันเพิ่มก็จะต่อดับท่อดูดควันที่เตรียมไว้ดูดกลิ่นควันออกไปภายนอกห้องได้เลยค่ะ ถือว่าดีเลยนะคะ เพราะว่าการเดินระบบท่อดูดควันใหม่นี่จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยเหมือนกัน มากกว่าการหาซื้อเตามาติดตั้งเองอีกค่ะ
ท็อปเคาน์เตอร์จะให้มาเป็นฟอร์ไมก้าค่ะ และมีกรุกระเบื้องที่ผนังด้านหลังไว้ให้ด้วย ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ตัวเคาน์เตอร์ครัวจะกว้าง 1.8 เมตร
อ่างล้างจานจะเป็นสเตนเลสที่มีพื้นที่พักจานไว้ให้ข้างๆ เราว่าตรงนี้ก็ดีอีกเหมือนกัน เพราะในคอนโดที่เห็นใหม่ๆจะเป็นแค่หลุมล้างจาน พอเราล้างจานเสร็จน้ำก็จะหยดเลอะเทอะบนเคาน์เตอร์ บางทีก็ไหลลงพื้น พื้นเปียกกันไปอีก ดีไซน์นี้อาจจะไม่ดูสวย Modern แต่ในแง่การใช้งานหรือ Functional นี่ให้ผ่านค่ะ
ออกมาจากครัวหรือเข้ามาภายในห้องทางซ้ายมือ เราจะเจอกับพื้นที่ส่วนรับประทานอาหาร ผนังจากหน้าห้องไปยังขอบประตูห้องนอน ตรงนี้มีความกว้าง 3.5 เมตรค่ะ เราสามารถทำตู้เก็บของหรือชั้นวางรองเท้า จัดชิดผนังด้านนี้ไปเลยหรือจะทำ Built-in ตัว L ตั้งแต่ประตูหน้าห้องไปได้เลยค่ะ ทำให้มีพื้นที่เก็บของมากขึ้นด้วย (คิดสภาพว่าอยู่กัน 3-4 คน จะมีรองเท้ารวมกันกี่คู่? เราว่าพื้นที่เก็บของถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันค่ะ)
มาดูที่โต๊ะทานอาหารกันบ้าง ห้องตัวอย่างจะจัดโต๊ะยาว 1.5 เมตรไว้ เเต่ด้วยขนาดเราว่าจะหาโต๊ะ 1.8-2 เมตรมาวางยังสามารถทำได้นะคะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบ้านเเล้วกัน เราว่าขนาดนี้กำลังดี สามารถเอาเก้าอี้มาเสริมหัว-ท้ายโต๊ะได้ เเขกมาเยี่ยมก็นั่งทานได้ 6 ที่นั่ง แต่เวลาปกติก็นั่งกัน 3-4 คน ไม่เปลืองที่ค่ะ
เหตุผลที่บอกว่าสามารถจัดโต๊ะยาวกว่านี้ได้ก็เพราะพื้นที่ทางเดินเหลือค่อนข้างกว้างเลย เราลองวัดจากขอบโต๊ะไปผนังหน้าห้องน้ำ(ไม่ใช่ห้องครัวนะคะ) ยังเหลือทางเดินถึง 1.4 เมตรเลย เอาเสื่อโยคะมาปูเล่นกัน 2 คนยังทำได้เลยค่ะ
ถัดเข้าไปภายในห้องก่อนที่จะเป็นฟังก์ชันห้องนั่งเล่น ก็จะเจอกับประตู ทางซ้ายมือจะเป็นห้องนอนใหญ่ ส่วนทางขวามือจะเป็นห้องน้ำกับห้องนอนเล็กค่ะ
พื้นที่ส่วนนั่งเล่นนี้จะถูกแยกออกมาเป็นสัดส่วนดีค่ะ เดินเข้า-ออกห้องนอนก็ไม่ตัดหน้าทีวีให้รบกวนการใช้งาน พื้นที่ส่วนนี้จะเป็นส่วนเดียวที่อยู่ติดกับระเบียงของห้องด้วย ดังนั้นจึงจะมีประตูบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่อยู่ ส่วนระเบียงก็จะเป็นส่วนที่สามารถวาง CDU แอร์ได้ แต่ส่วนที่วาง CDU นั้นจะมีผนังทึบกั้นระหว่างภายในห้องและระเบียง ทำให้เมื่อเราอยู่ในห้องแล้วมองออกไปก็จะได้วิวโล่งเลยค่ะ
พื้นที่ส่วนนี้จะมีขนาดอยู่ที่ 2.5×2.9 เมตร ขนาดกว้างอยู่สามารถมีทางเดินที่ยังเดินออกไประเบียงห้องได้สะดวก
จะหาโซฟา 3 ที่นั่งหรือหาโซฟารูปตัว L มาวางก็ได้นะคะ สามารถวางโต๊ะหน้าโซฟาได้ด้วย
ฝั่งตรงข้ามเป็นตำแหน่งวางทีวี มีเดินงานระบบต่างๆให้มาค่ะ เราจะหาชั้นวางของหรือชั้นวางทีวีมาวางตรงนี้ได้ ผนังส่วนนี้กว้างประมาณ 1.8 เมตร
มาดูที่ระเบียงกันนะคะ ส่วนนี้จะมีตัวล็อคมาให้ กรอบประตูบานเลื่อนจะยกสูงจากพื้นค่ะ ยกสูงพอประมาณเลยก้าวข้ามอาจจะต้องยกขาสูงหน่อย แต่เรื่องฝุ่นละอองและน้ำที่อยู่บริเวณ
ระเบียงก็จะไม่ไหลหรือปลิวเข้ามาในห้องแน่นอน
ตัวระเบียงจะปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค มีราวกันตกให้มาเป็นซี่แนวตั้ง ซึ่งดีเหมือนกันค่ะ เพราะบางบ้านที่มีลูกเล็กก็ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกปีนป่ายได้เลย
บริเวณระเบียงจะติดโคมไฟไว้ให้ที่ผนัง ส่วน CDU ก็จะวางไว้อีกฝั่ง เป่าออกนอกอาคารได้ค่ะเนื่องจากระเบียงกว้าง ด้านนอกก็จะมีระเเนงที่สูงจากแนวราวกันตกขึ้นมา ทำให้เมื่อมองจากภายนอกเข้ามาก็จะดูเรียบร้อยมากขึ้น
มาดูพื้นที่ส่วนอื่นๆกันต่อ ข้างๆห้องครัวจะเป็นตำแหน่งของห้องน้ำและห้องนอนเล็กค่ะ ตำแหน่งห้องน้ำนี้ เดินจากห้องนอนมาใช้ก็สะดวกนะคะ ตำแหน่งติดกันเลย
มาดูที่ห้องน้ำกันก่อน ภายในจะแยกส่วนเปียกส่วนแห้งไว้ ทำให้อาบน้ำเเล้วไม่เลอะเทอะเปียกทั่วทั้งห้องได้ ภายในห้องน้ำจะกรุงกระเบื้องพื้นและผนังเป็นเซรามิคให้ แต่จะมีการเลือกดีไซน์ที่ต่างจาก Supalai Loft ตัวเดิมที่จะใช้ขนาดกระเบื้อง 30×30 ซม. ของที่นี่จะเป็นขนาด 30×60 ซม. และมีส่วนห้องอาบน้ำที่มีลายที่ต่างออกไป ทำให้รอยต่อกระเบื้องลดลง ดูสวยขึ้น ส่วนฝ้าเพดานจะได้ฉาบเรียบและติดไฟดาวน์ไลท์มาให้ค่ะ
ระหว่างห้องน้ำกับห้องนั่งเล่น จะมีธรณีประตูสูงขึ้นมา ช่วยให้สามารถทำความสะอาดห้องน้ำได้ง่าย และฝุ่นผงหรือเส้นผมจากภายในห้องน้ำออกมายังภายนอกได้ค่ะ
ตัวอ่างล้างหน้ากับสุขภัณฑ์จะได้ของ Cotto อ่างเป็นแบบแขวนผนัง มีพื้นที่ขอบอ่างวางของได้ไม่เยอะเท่าไหร่ ในชีวิตจริงอาจจะต้องหาชั้นมาติดเพิ่มนะคะ ตัวกระจกจะได้กระจกทรงสูงแบบนี้เลยค่ะ ข้างๆโถสุขภัณฑ์จะติดสายฉีดชำระและที่ใส่กระดาษชำระให้มา รูปแบบที่ใส่กระดาษชำระนี่จะวางอยู่ข้างๆอ่างล้างหน้า ตอนใช้งานน้ำจากการล้างมือล้างหน้าก็อาจกระเด็นมายังกระดาษชำระได้นะคะ
พื้นที่ส่วนอาบน้ำจะติดตั้งฉากกั้นกระจกไว้ให้ ภายในจะให้มาเป็นฝักบัวแบบ hand shower ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้เลยค่ะ มีชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำเล็กๆมาให้ที่มุมห้องด้วย
พื้นที่อาบน้ำมีขนาด 0.86×1.5 เมตร ถือว่าใช้งานหมุนตัวได้สะดวกนะคะ
เข้ามาดูที่ห้องนอนเล็กกันค่ะ ห้องนี้ที่บอกไปจะมีมุมนั่งพักผ่อนข้างหน้าต่างไว้ให้ด้วย ห้องนี้จะมีขนาดที่ 2.95×2.65 เมตร
ในห้องตัวอย่างจะวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตเอาไว้ เราสามารถวางเตียงแบบ 5 ฟุตได้เหมือนกันนะคะ แต่จะเหลือทางเดินน้อยลง หรืออาจจะวางตู้เสื้อผ้าไม่ได้
ในกรณีที่วางเตียง 3.5 ฟุตไว้ ปลายเตียงเหลือทางเดิน 60 ซม. คือไม่เหมาะกับการหาอะไรมาวางปลายเตียงแล้วค่ะ ถ้าอยากมีทีวีในห้องนอนอาจจะต้องหาแบบแขวนผนังเอานะคะ ส่วนข้างเตียงจะเหลือทางเดิน 50 ซม. ทางซ้ายและ 95 ซม. ทางขวาค่ะ
เป็นห้องที่อยู่คนเดียวสบายๆนะคะ แต่ถ้าอยู่ 2 คนก็อาจจะเริ่มอึดอัดละ
มุมข้างหน้าต่างจะมีพื้นที่อยู่ 1.85×0.85 เมตร สามารถจัดเป็นมุมนั่งเล่นหรือมุมนั่งทำงานได้ค่ะ
หน้าต่างตรงนี้จะได้ทรงที่สูงพอดูเลย เป็นบานกระทุ้ง 2 บาน + ช่องเเสงด้านล่างด้วย
ส่วนตู้เสื้อผ้าเลือกที่มีความกว้างได้ถึง 1.8 เมตรนะคะ ถ้าอยากใช้งานสะดวกอาจจะเลือกแบบที่เป็นบานเลื่อนก็ดีค่ะ
มาต่อกันที่ห้องนอนใหญ่กันบ้างค่ะ ตำแหน่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอนเล็กเลย
เมื่อเข้าห้องมาจะอยู่ที่ตำแหน่งกลางห้องพอดี ทางขวามือจะเป็นพื้นที่พักผ่อน ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นพื้นที่ของ Walk-in Closet และห้องน้ำ
พอมาดูที่ห้องนอนใหญ่จะได้ห้องที่กว้างเลยค่ะ มีหน้าต่างและช่องเเสงทั้ง 2 ด้านด้วย เนื่องจากเป็นยูนิตหัวมุม ทำให้ห้องนอนนี้ได้บรรยากาศเหมือนบ้านเลยนะคะ
สามารถวางเตียงใหญ่ 5.5-6 ฟุตได้เลยค่ะ
ส่วนที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของห้องนี้คือกระจกเข้ามุมที่จัดมาให้ทั้ง 2 ฝั่งของหัวเตียงเลย เป็นกระจกทรงสูงด้วย ดูดีเลยค่ะ
ทำให้มีพื้นที่สองฝั่งที่เราสามารถหาโต๊ะหัวเตียงมาวางได้ เก็บของหรือวางหนังสือเล็กๆน้อยๆ
ปลายเตียงเหลือทางเดินประมาณ 75 ซม. ถือว่ากว้างอยู่นะคะ แต่ก็ยังไม่ถึงกับกว้างขนาดที่จะหาชั้นวางมาวางปลายเตียงได้ เหมาะกับการติดทีวีแบบแขวนผนังมากกว่า
ด้านในสุดจะมีมุมห้องขนาด 1.95×0.80 เมตร สามารถจัดเป็นมุมทำงานส่วนตัวได้เลย ริมหน้าต่างบานใหญ่มองวิวภายนอกได้
ระยะตรงนี้สามารถเลื่อนเก้าอี้ออกมาใช้งานได้สบายเลยค่ะ ไม่ใช้นั่งทำงานเบียดๆริมเตียง
เดี๋ยวเราเดินไปดูอีกฝั่งของห้องกันบ้างค่ะ
ก่อนที่จะเข้าไปยังห้องน้ำ จะมีพื้นที่เป็น Walk-in Closet อยู่ แต่พื้นที่ฝั่งนี้เหมาะกับการวางตู้เสื้อผ้าไว้ฝั่งเดียวนะคะ ใครที่มีเสื้อผ้าเยอะอาจจะเก็บไม่พอ
ที่วางได้ฝั่งเดียวเพราะว่าตำแหน่งของประตูห้องน้ำจะอยู่ชิดกับผนังทางขวามือด้วย และระยะทางเดินที่เหลือเหมาะกับการจัดเป็นโต๊ะเครื่องเเป้งที่สามารถเลื่อนเก้าอี้เก็บได้มากกว่า แต่ถ้าใครอยากจัดพื้นที่ส่วนนี้ซัด 40-50 ซม. เป็นชั้นเก็บของ เก็บพวกกระเป๋า เครื่องประดับ หรือของเล็กๆที่ไม่ใช่ราวแขวนผ้า ก็สามารถทำได้อยู่นะคะ
อีกมุมที่เราว่าน่าสนใจในห้องนี้คือหน้าต่างบานกระทุ้งทรงสูงที่อยู่หน้าห้องน้ำ ทำให้พื้นที่บริเวณ Walk-in Closet นี้มีเเสงสว่างธรรมชาติเข้ามา ไม่อับชื้นด้วย เวลาเเต่งตัวแต่งหน้าก็จะได้แสงจริงด้วยค่ะ
เข้ามาในห้องน้ำก็จะแบ่งพื้นที่แยกส่วนเปียกส่วนแห้งเหมือนกัน
พื้นที่ส่วนแห้งมีขนาด 1.52×1.65 เมตร ถือว่าใช้งานสะดวกนะคะ ไม่อึดอัด
และที่ดีคือห้องน้ำนี้จะมีหน้าต่างที่สามารถช่วยเรื่องแสงสว่างและช่วยระบายอากาศได้ด้วยค่ะ
อีกด้านนึงจะเป็นส่วนอาบน้ำที่มีฉากกั้นกระจกเป็นประตูกระจกนิรภัยบานสวิงเปิดเข้าให้มา ขนาดห้องจะอยู่ที่ 0.87 x1.25 เมตร ถือว่ากว้างอยู่ค่ะใช้งานสะดวก ส่วนชนิดสุขภัณฑ์ต่างๆภายในห้องจะเหมือนกับห้องแรกที่ไปดูหมดเลยนะคะ
1 Bedroom
มาดูห้องตัวอย่างกันอีกห้องนะคะ เป็นห้อง 1 Bedroom Type 1B1 ขนาด 41.5 ตร.ม. ค่ะ ถือว่าเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่เลยนะคะ สำหรับผังห้องนี้ถือว่าเป็นอีกแบบมาตรฐานของศุภาลัยเลยค่ะ เป็นห้องตอนลึก แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้เป็นส่วนอยู่อาศัย ส่วนอีกฝั่งจะเป็นพื้นที่ส่วน Service เมื่อเข้าห้องมาจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหารเเละพื้นที่ส่วนนั่งเล่นรับแขก ลึกเข้าไปจะเป็นห้องนอน กั้นพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนนี้ด้วยประตูบานเลื่อนกระจก ทำให้แสงสว่างจากภายนอกสามารถเข้ามายังพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ด้านในได้ ส่วนฝากที่เป็นพื้นที่ Service จะจัดห้องน้ำไว้ตำแหน่งด้านใน และห้องครัวอยู่ติดกับระเบียง ทำให้เวลาทำอาหารสามารถระบายกลิ่นเเละควันได้เต็มที่ค่ะ เราลองไปดูห้องจริงกันเลยนะคะ
เข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ส่วน Common Area ของห้องกันก่อนค่ะ ทางซ้ายมือจะเป็นทางเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่ห้องนี้มีขนาดใหญ่เลยค่ะ 41.5 ตร.ม. ทำให้พื้นที่ส่วน Common Area นี้ มีความกว้างถึง 3.4 เมตรเลย เรียกได้ว่านั่งล้อมวงเล่นบอร์ดเกมส์กันกลางห้องได้เลยค่ะ สำหรับวัสดุต่างๆภายในห้องก็จะได้เหมือนเดิมนะคะ
Common Area นี้ อย่างที่บอกไปว่าหน้ากว้าง 3.4 เมตร ส่วนความลึกจะอยู่ที่ 4.55 เมตรเลยค่ะ สามารถจัดโซฟาและโต๊ะทานอาหารตรงนี้ได้ ในห้องตัวอย่างอาจจะดูว่าพื้นที่สำหรับวางโต๊ะเล็กไปหน่อย แต่จริงๆเเล้วเราสามารถเลื่อนโซฟาไปชิดกับประตูได้มากกว่านี้ และเอาด้านกว้างของโต๊ะไปชนกับผนังด้านเดียวกับประตูห้องได้ จะทำให้จัดโต๊ะทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่งได้เลยค่ะ
ส่วนพื้นที่สำหรับเก็บรองเท้านั้น จะสามารถเก็บได้ตรงหน้าห้องน้ำเลย จะมีพื้นที่อยู่ประมาณ 1 เมตรค่ะ หาตู้มาวางเองหรือจะทำ Built-in สูงไปถึงฝ้าเลยเพื่อให้ห้องดูเรียบร้อยก็ได้เลยค่ะ แล้วแต่งบประมาณของแต่ละคนนะคะ
ไหนๆก็เจอห้องน้ำแล้ว เราลองเข้าไปดูภายในกันดีกว่าค่ะ
ห้องน้ำจะเหมือนเดิมเลยค่ะ ทั้ง Layout การแยกพื้นที่ส่วนเปียก-แห้ง และยี่ห้อของสุขภัณฑ์
จะมีความแต่ต่างอยู่เล็กน้อยตรงฉากกั้นอาบน้ำ ห้อง Type นี้จะได้เป็นฉากกั้นบานเลื่อนค่ะ
ขนาดภายในอยู่ที่ 1.45×0.80 เมตร ถือว่าใช้งานหมุนตัวสะดวกอยู่นะคะ
เข้ามาดูด้านในกันต่อค่ะ พื้นที่ส่วนนั่งเล่นนี้สามารถวางชุดโซฟารูปตัว L หรือจะเป็นชุดได้ถึง 3-4 ที่นั่งค่ะ มีโต๊ะหน้าโซฟาด้วย
อย่างในห้องตัวอย่างที่จัดไว้ยังเหลือทางเดินถึง 1.2 เมตรเลย กางเสื่อโยคะเล่นได้เลยค่ะ
ส่วนตำแหน่งชั้นวางทีวีจะมีผนังที่สามารถทำ Built-in หรือหาชั้นวางมาตั้งได้ ผนังนี้จะกว้าง 1.7 เมตรโดยประมาณค่ะ ระหว่างประตูห้องน้ำ (ทางซ้ายมือ)กับประตูห้องครัว (ทางขวามือ)พอดี
เข้าไปยังส่วนห้องนอนจะมีประตูบานเลื่อ 3 ตอนกั้นพื้นที่แยกเป็นสัดส่วนไว้ เวลาใช้งานสามารถเปิดแอร์ใช้เฉพาะส่วนได้ค่ะ ตัวกระจกจะแบ่งเฟรมตามนี้เลยนะคะ ใครที่อยากได้ห้องนอนที่ส่วนตัวมากขึ้นอาจจะติดม่านเพิ่มหรือว่าเอาสติ๊กเกอร์ขุ่นมาติดให้กระจกฝ้ามากขึ้นก็ได้ค่ะ แสงสว่างจะได้เข้ามาภายในส่วนนั่งเล่นได้ด้วย
เข้ามาภายในห้องนอนกันบ้าง ตัวห้องนอนนี้จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 3.5×3.35 เมตร ถือว่าเป็นห้องที่กว้างเลยนะคะ
เราสามารถเลือกเตียง 5-6 ฟุตได้เลย
ห้องนี้จะมีหน้าต่างกว้างขนาดใหญ่อยู่ค่ะ แต่ยังไม่กว้างเต็มความกว้างและความสูงห้อง เป็นหน้าต่างบานกระทุ้ง 3 บาน มีช่องแสงเป็นบาน Fixed อยู่ข้างล่าง
ด้ายความที่ห้องมีขนาดใหญ่ทำให้มีพื้นที่รอบๆเตียงเยอะอยู่ค่ะ เดินวนรอบได้สบาย ส่วนปลายเตียงสามารถจัดเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง หรือว่าชั้นวางทีวีได้ค่ะ
หรือจะลองจัดเเบบห้องตัวอย่างก็ได้นะคะ เอาโต๊ะเครื่องแป้งมาไว้ข้างๆหัวเตียง พื้นที่ฝั่งนี้เหลือทางเดิน 1.2 เมตรเลย
แต่ถ้าใครที่ไม่อยากได้ทีวีไว้ในห้องนอน (แค่ห้องนั่งเล่นจุดเดียวก็พอแล้ว) ผนังส่วนนี้ก็สามารถทำเป็นตู้เสื้อผ้าได้ทั้งผนังเลยค่ะ 3.35 เมตร
มาดูพื้นที่ส่วนสุดท้ายของห้องกัน นั่นก็คือครัวนั่นเองค่ะ พื้นที่ครัวที่ได้จะเป็นครัวปิดนะคะ กั้นจากพื้นที่ส่วนอื่นๆด้วยประตูบานเลื่อน เลื่อนไปไว้หลังผนังค่ะ ตัวรางจะอยู่ด้านบน ทำให้ระดับพื้นทั้งภายในห้องนั่งเล่นและห้องครัวเรียบเสมอกัน เดินแล้วไม่สะดุดค่ะ
ภายในห้องครัวตัวพื้นจะเปลี่ยนวัสดุจากพื้นลามิเนตเป็นพื้นกระเบื้องแทน ซึ่งง่ายในการทำความสะอาด คราบเลอะเทอะต่างๆก็ล้างออกได้ง่าย ถ้าเป็นพื้นลามิเนตพื้นอาจจะบวมได้ค่ะ
เข้ามาพื้นที่ส่วนนี้จะให้มาแต่เคาน์เตอร์ครัวนะคะ หน้าต่างเหมือนกันกับห้อง 2 Bedrooms
ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่สำหรับวางตู้เย็นค่ะ ตรงนี้เรามองว่าสามารถหันตู้เย็นมาอีกด้านได้นะคะ
ครัวจะมีความกว้าง 1.6 เมตร วางเฟอร์นิเจอร์ชิดผนังฝั่งนึง เหลือทางเดินไว้อีกฝั่งหนึ่งค่ะ
เคาน์เตอร์จะมีความกว้าง 1.6 เมตร ติดกระเบื้องไว้ให้เป็น back splash และไม่มีเตาให้เหมือนเดิมค่ะ
ตู้ล่างมีช่องใส่ของได้ค่อนข้างเยอะเลย
ตู้บนวางไมโครเวฟได้ ถ้าสังเกตขวามือส่วนที่เป็นเครื่องดูดอากาศอันนี้จะไม่ได้ให้นะคะ ถ้าเป็นห้อง 2 Bedrooms จะมีท่อดูดควันเตรียมไว้ให้ แต่ห้องนี้ไม่มีให้คะ เนื่องจากครัวห้องนี้อยู่ติดกับระเบียงด้วย ซึ่งเปิดประตูระเบียงเนี่ยก็ระบายอากาศได้ดีกว่าท่อและเครื่องดูดอากาศอีกค่ะ
ขัางครัวฝั่งที่ติดกับระเบียงจะเหลือพื้นที่ 1.2 เมตร สามารถวางเครื่องซักผ้าได้ค่ะ เราชอบไอเดียที่มีช่องวางของข้างๆนะคะ เอาไว้วางน้ำยาซักผ้าหรือเก็บพวกไม้แขวนเสื้อได้ด้วย
ประตูระเบียงจะเป็นประตูบานเลื่อนค่ะ ระหว่างภายในห้องกับพื้นระเบียงจะมีขอบประตูที่ยกสูงขึ้นมา ช่วยให้ฝุ่นผงไม่ปลิวเข้ามาภายในห้อง
ระเบียงปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค พื้นที่ระเบียงจะมีขนาด 1.4×1.5 เมตรค่ะ ใหญ่อยู่นะคะ
แต่ตำแหน่งการวาง CDU ของห้องนี้จะเป่ามาด้านข้างห้อง ดังนั้นเราควรติด Grill เพิ่มเพื่อเบี่ยงลมร้อนให้ออกนอกอาคารไปนะคะ ไม่งั้นพื้นที่ระเบียงจะมีแต่ความร้อนจนใช้งานไม่ได้
Studio
สำหรับ Studio ขอเล่าจากแปลนนะคะ Studio ของโครงการนี้ ผังจะค่อนข้างเป็นแบบมาตรฐานทั่วไปเลย คือเป็นห้องตอนลึก ได้ครัวเปิดต่อเนื่องไปทั้งห้องเลย ดูเผินๆก็จะเหมือนห้องพักมาตรฐานตามโรงแรมเช่นกัน แต่การที่เป็นครัวเปิดแบบนี้ เวลาใช้งานครัวก็อาจจะเกิดเรื่องควัน กลิ่นที่สามารถคละคลุ้งไปทั่วห้องได้นะคะ สำหรับใครที่มีงบประมาณหน่อย จะกั้นประตูปิดเพิ่มก็จะช่วยลดปัญหานี้ได้ ในเรื่องการจัดฟังก์ชันอื่นๆภายในห้อง เนื่องจากห้อง Studio ขนาดเริ่มต้นของที่นี่ก็เริ่มที่ 29.5 ตร.ม.แล้ว (ซึ่งในปัจจุบันเราเห็นห้อง 1 bedroom ที่ขนาดไม่ถึง 25 ตร.ม.ด้วยซ้ำ) ทำให้การจัดวางภายในห้องค่อนข้างจะยืดหยุ่นได้พอสมควร อย่างในผังที่จัดวางมาจะไม่มีที่นั่งทานอาหารมาให้ แต่ตำแหน่งที่วางโซฟานั้น ผู้อยู่อาศัยก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นโต๊ะได้ ใช้ได้ทั้งทานข้าวหรือนั่งทำงานแทนได้ ส่วนมุมข้างหน้าต่างก็จัดเป็นโซฟาแทน สำหรับเตียงนอน เรามองว่าสามารถเลือกเตียงใหญ่แบบ king size มาวางเลยก็ยังได้นะคะ เป็นห้อง Studio ที่กว้างพอสมควรเลย ห้องกว้างๆสไตล์ของศุภาลัยเลยค่ะ
1 Bedroom Plus
ผังห้องแบบสุดท้ายที่จะพาไปดูกันจะเป็นห้องแบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 44.5 ตร.ม. ห้องนี้จะเป็นห้องหน้ากว้างนะคะ แต่ว่าการจัดวางกลางห้องค่อนข้างยากไปนิด เนื่องจากจะมี Space เหลือกลางห้องเยอะหน่อยอย่างโซฟาก็มีครึ่งนึงที่พิงชิดผนังได้ ส่วนอีกครึ่งก็โผ่ลมากลางห้อง พื้นที่ตรงกลางไม่มีผนังให้วางเฟอร์นิเจอร์ไปชิด ดังนั้นถ้าจะหาโต๊ะทานอาหารอาจจะเลือกแบบที่เป็นโต๊ะกลม หรือขนาดเล็กหน่อยที่สามารถเดินรอบๆได้จะดีกว่านะคะ ครัวที่ได้เป็นครัวเปิดที่ไม่สามารถกั้นปิดได้ด้วย แต่ห้องนี้ก็จะมีข้อดีที่มีพื้นที่อเนกประสงค์ สามารถปรับเป็นห้องนอนสำหรับ 1 คนได้ และห้องนอนใหญ่จะได้กระจกเข้ามุมด้วยค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
รายการอุปกรณ์ต่างๆที่ให้ภายในห้อง – เครื่องปรับอากาศ , Wallpaper , ชุดครัว Built-in , เครื่องทำน้ำอุ่น , ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย , Digital Door Lock , Home Automation
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 28 June 2019
- Studio ขนาด 29.5 – 31 ตร.ม. ราคา 2.21 – 2.5 ล้านบาท โปรโมชันส่วนลด 180,000 ในกรณีเลือกซื้อห้องเปล่าแบบ Fully Fitted / ส่วนลด 90,000 บาท ในกรณีเลือกห้องแบบ Fully Furnished
- 1 Bedroom ขนาด 34 – 43 ตร.ม. ราคา 2.48 – 3.31 ล้านบาท โปรโมชันส่วนลด 180,000 ในกรณีเลือกซื้อห้องเปล่าแบบ Fully Fitted / ส่วนลด 90,000 บาท ในกรณีเลือกห้องแบบ Fully Furnished
- 1 Bedroom plus ขนาด 44.5 – 45 ตร.ม. ราคา 3.18 – 3.49 ล้านบาท โปรโมชันส่วนลด 220,000 ในกรณีเลือกซื้อห้องเปล่าแบบ Fully Fitted / ส่วนลด 110,000 บาท ในกรณีเลือกห้องแบบ Fully Furnished
- 2 Bedrooms ขนาด 64.5 – 74.5 ตร.ม. ราคา 4.22 – 4.31 ล้านบาท โปรโมชันส่วนลด 320,000 ในกรณีเลือกซื้อห้องเปล่าแบบ Fully Fitted / ส่วนลด 160,000 บาท ในกรณีเลือกห้องแบบ Fully Furnished
- รูปแบบการขาย Fully Furnished / Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.55 เมตร
- Kitchen & Sink
- จอง Studio / 1 Bedroom จอง 10,000 บาท , 1 Bedroom plus / 2 Bedrooms จอง 20,000 บาท
- ทำสัญญา studio = 39,000 บาท , 1 Bedroom =49,000 บาท , 1 Bedroom plus = 59,000 บาท , 2 Bedrooms = 69,000 บาท
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน 400 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 40 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
ทำเล : Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ตั้งอยู่ในซอยจรัญฯ 28/2 ใกล้กับถนนใหญ่อย่างถนนจรัญสนิทวงศ์ซึ่งเป็นถนนหลักที่คนเเถวนี้ใช้สัญจรกัน ตัวโครงการห่างจากแยกไฟฉายประมาณ 300 เมตร บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์และถนนพรานนกนี้ เรียกได้ว่าเป็นแหล่งชุมชน ที่อยู่อาศัย และมีโรงพยาบาลชื่อดังอยู่มาก ทำให้แหล่งของกินก็ย่อมมากตามกัน ตัวเลือกก็มีตั้งแต่ห้าง ร้านค้า ตลาด หรือ Hypermarket ที่เปิดใหม่ ก็มีค่อนข้างหลายหลาย ถือเป็นอีกทำเลที่ใช้ชีวิตได้สะดวกค่ะ
การเดินทางโดยใช้รถ : นับว่าอยู่ในจุดที่สามารถไปไหนมาไหนได้สะดวกพอสมควรเพราะ มีเส้นทางลัดเลาะได้หลากหลาย ถ้าจะข้ามเมืองฝั่งพระนครก็สามารถใช้สะพานที่อยู่ใกล้สุดคือสะพานพระปิ่นเกล้า กับสะพานพระราม 8 หรือถ้าจะออกนอกเมืองก็มีถนนเลียบทางรถไฟและถนนบางขุนนนท์ที่สามารถใช้ทะลุไปเส้นบรมราชชนนีได้ และซอยจรัญฯ 35 และซอยจรัญฯ 13 สามารถลัดออกไปถนนราชพฤกษ์และถนนกาญจนาภิเษกได้ แต่อาจจะมีข้อเสียตรงที่ถนนจรัญฯยังก่อสร้างอยู่ค่อนข้างมาก ทางขรุขระและฝุ่นละอองเยอะ การจราจรติดขัดอยู่เหมือนกัน
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ปัจจุบันรถไฟฟ้ายังไม่เสร็จก็ต้องใช้รถเมล์ , Taxi , พี่วิน หรือรถสองแถวกันไปก่อน แต่ถ้ารถไฟฟ้าเสร็จจะมีสถานีแยกไฟฉาย อยู่ใกล้กับโครงการที่สุดระยะประมาณ 330 ม. รถไฟฟ้านี้คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ช่วงปี 2563 ค่ะ นอกจากตัวช่วยในการเดินทางอย่างรถไฟฟ้าแล้ว ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของพื้นที่ในทำเลนี้คืออยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้มีตัวเลือกการเดินทางอย่างเรือด่วนเจ้าพระยาเพิ่มเข้ามาด้วย วิธีนี้ก็จะช่วยให้เรากำหนดเวลาที่ใช้ในการเดินทางได้ค่อนข้างแน่นอน ท่าเรือเองก็ห่างจากโครงการประมาณ 2 กม.เท่านั้น
วัสดุ : โครงการนี้มีทั้งแบบ Fully Fitted กับ Fully Funished ให้เลือก ส่วนวัสดุอื่นๆก็ให้มาเหมาะสมกับราคาต่อตร.ม. พื้นจะเป็นลามิเนตกับกระเบื้องเซรามิค ผนังติด Wallpaper ให้ ฝ้าเพดานฉาบเรียบ ไฟดาวน์ไลท์ ความสูงจากพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 2.55 เมตร ภายในครัวจะมีเคาน์เตอร์กับอ่างล้างจานให้มา ไม่มีเตากับเครื่องดูดควันให้นะคะ แต่ถ้าห้องไหนครัวอยู่ด้านในจะมีการเดินท่อเตรียมไว้เพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องดูดควันแบบดูดออกนอกห้องให้ ส่วนห้องน้ำหลักๆจะให้สุขภัณฑ์ของ COTTO มาค่ะ
การออกแบบ : โครงการนี้ถือว่าเป็นหนึ่งโครงการในย่านที่มีจำนวนยูนิตค่อนข้างเยอะค่ะ แต่การออกแบบได้แบ่งออกเป็น 2 อาคารซึ่งช่วยลดเรื่องความหนาแน่นภายในตึกออกไปได้ ตัวโครงการตามชื่อแบรนด์เลยคือจะเน้นเรื่องพื้นที่สีเขียว จึงจะเจอกับพื้นที่สีเขียวที่แทรกอยู่รอบๆโครงการ และชั้นต่างๆรวมแล้วถึง 2 ไร่ ในส่วนของตัวห้องถือว่ามีแบบให้เลือกหลายหลายถึง 4 แบบ ห้อง Studio , 1 Bedroom , 1 Bedroom Plus และ 2 Bedrooms ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในจัดว่าใหญ่ตามสไตล์ของศุภาลัยค่ะ ในแง่การจัดฟังก์ชันภายในห้องบางแบบก็ลงตัว บางแบบก็ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไร ฟังก์ชันและการจัดวางภายในขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลักค่ะ ถ้าใครไม่ค่อยทำอาหารเองอยู่แล้ว ห้องแบบครัวเปิดก็ถือว่าดีเพราะภายในห้องก็จะดูโล่งโปร่งมากขึ้น เป็นต้น
สาธารณูปโภค : นอกจากสวนขนาด 2 ไร่ที่เป็นทั้งจุดขายและแนวความคิดในการออกแบบโครงการแล้ว ที่น่าสนใจคือโครงการนี้จัดเอาพื้นที่ส่วนกลางยกไปไว้ชั้นบนสุดของทั้ง 2 อาคารเลย ทำให้ทุกคนสามารถใช้งานและชมวิวไปพร้อมๆกันได้ และพื้นที่ส่วนกลางมองจากทัศนียภาพจำลองเเล้วก็ถือว่าออกแบบมาดูน่าใช้งานนะคะ (เทียบกับราคาต่อตร.ม.แล้วก็จัดว่าดีเลย) ในแง่ฟังก์ชันต่างๆก็ให้มาครบครัน ทั้ง Lobby, สวน , สระว่ายน้ำ , Fitness , Sky lounge และอื่นๆอีกค่ะ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 69,000 บาท/ตร.ม., 28 June 2019
- ทำเล 7.75/10 – ทำเลอยู่ตรงถนนจรัญฯกับถนนพรานนก ตัวโครงการอยู่ในซอยนะคะ แต่ว่าไม่ไกลจากถนนใหญ่มาก บริเวณรอบๆยังสามารถหาของกินในระยะเดินได้
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – เข้าออกโครงการที่ถนนจรัญฯ ซึ่งเป็นถนนหลักที่คนย่านนี้ใช้งาน จุดกลับรถอยู่ไม่ไกล เข้าเมือง ออกเมืองสะดวก
- ไม่ใช้รถ 8/10 – ทั้งป้ายรถเมล์ รถสองเเถว และรถไฟฟ้าอยู่ไม่ไกล สามารถเดินเท้าถึง
- วัสดุ 8.5/10 – เมื่อเทียบกับราคาเเล้วถือว่าได้ค่อนข้างดีเลย มี Home Automation และ Digital Door Lock ให้มาด้วย
- แบบ 8/10 – แบบหลากหลาย จัดพื้นที่ใช้สอยภายในห้องได้ลงตัว
- สาธารณูปโภค 8.5/10 – อ้างอิงจากพื้นที่สวน 2 ไร่ และพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้นสูงสุดของทั้ง 2 อาคารแบบเต็มชั้น
- MAIN CLASS
- 8.04 / 10.00
BOTTOM LINE
Supalai Park สถานีแยกไฟฉาย ถือเป็นคอนโดอีกหนึ่งตัวเลือกของคนที่มองหาคอนโดย่านพรานนก – จรัญฯ ที่เน้นเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินถึง พื้นที่ใช้สอยภายในห้องเยอะในงบประมาณ 2-5 ล้าน มีพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้งานครบฟังก์ชัน และมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ภายในโครงการ อยู่อาศัย 1-4 คน หรือมีกำลังผ่อนที่ 16,000 – 30,000 บาทต่อเดือน
เปิดให้ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้กับ หนังสือเล่มล่าสุด “คุ้มค่า ราคาบ้าน” คลิก
แล้วมารับฟรีในงาน Living Expo 2019 วันที่ 22-25 ส.ค. นี้ ชั้น 1 สยามพารากอน
ติดตามพวกเราเพิ่มเติมได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving