รีวิวโครงการ
คอนโดเพดานสูง ต่างจากปกติยังไง? (ฉบับเข้าใจง่าย by BoomTharis)
14 มิถุนายน 2018
รีวิวฉบับที่ 1543 … สวัสดีค่ะ ก่อนเปิดตัวให้ชมห้องตัวอย่างกันเราจะพาไปชมห้องตัวอย่างกันก่อนกับโครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin คอนโด High Rise ติดถนนพหลโยธินใกล้แยกรัชโยธิน และห่างจากสถานีพหลโยธิน 24 เพียง 20 ตร.ม. มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ “Duo Space” การออกแบบเลย์เอ้าท์สไตล์ Loft เพดานสูง 4.2 เมตร ทั้งโครงการ
Fact @ 13 February 2018
- Knightsbridge Space Ratchayothin (ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน)
- บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
- LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : จตุจักร
- คอนโด High Rise 33 ชั้น 1 อาคาร 488 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด n/a ยูนิตที่อาคาร n/a
- ที่จอดรถรวม Auto Park 70% (update 12/5/2023)
- ที่ดินประมาณ 2-2-74.1 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : n/a
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : n/a
- 1 Bedroom 22.7-30.9 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 35-35.4 ตร.ม.
- 2 Bedroom 54.3-61.8 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 4.2 เมตร (Duo Space) และชั้น Exclusive Floor ฝ้าเพดานสูง 4.5 ม.
- ราคาห้องเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรเริ่มต้น (รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด) 130,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรเฉลี่ย (รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด) 150,000-160,000 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 02-030-0000
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.825124, 100.566853
ที่ตั้งโครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin อยู่ติดถนนพหลโยธิน ข้างซอยพหลโยธิน 27 ตรงข้ามตึกช้าง และใกล้รถไฟฟ้าสถานีพหลโยธิน 24 เพียง 20 ม. โดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์สูงอยู่ไม่ไกลจากอาคารสำนักงานอย่าง SCB และห้างสรรพสินค้าทั้ง เมเจอร์ รัชโยธิน เซนทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์
ที่ตั้งโครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin จัดอยู่ในทำเลระหว่างห้าแยกลาดพร้าวและแยกรัชโยธิน ฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกรัชโยธิน การเดินทางจัดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชูโรงของโครงการด้วยความที่อยู่ติดกับถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นถนนใหญ่สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้สะดวก รวมทั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดตัดกับถนนรัชดาภิเษก บริเวณแยกรัชโยธินจึงสามารถวิ่งเข้าถนนวิภาวดีรังสิต หรือตรงไปประชาชื่นได้สะดวก ในส่วนของสภาพการจราจรในย่านนี้ปัจจุบันค่อนข้างติดขัดพอสมควร นอกจากเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ที่มีพนักงานเดินทางเข้ามาทำงานในย่านนี้จำนวนมากแล้ว ก็ยังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายอีก
สำหรับการเดินแบบไม่ใช่รถเรียกได้ว่าสะดวกมาก เพราะตัวสถานีพหลโยธิน 24 อยู่ห่างจากโครงการไปประมาณเพียง 20 ม. ซึ่งเป็นระยะที่เดินได้ง่ายมาก รวมไปถึงรถไฟสายสีเขียวนี้ยังมุ่งหน้าไปเข้าเมืองตรงไปถึงสยามได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนสายด้วย ส่วนในอนาคตอีกไกลหน่อยมีข่าวมาว่าจะมีการทำรถไฟฟ้าสายเหลืองมา Interchange ที่สถานีนี้ด้วยเช่นกันนะคะ แต่ยังไม่ได้คอนเฟิร์มชัดเจนนะคะ ต้องรอติดตามข่าวกันอีกที
สำหรับทำเลนี้เรียกได้ว่าเป็นแหล่งอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ใครที่ทำงานแถบนี้เช่น SCB, ตึกช้างต่างๆ หากกำลังมองหาคอนโดใกล้ที่ทำงาน เรียกว่าเดินไปทำงานยังได้ ที่ตั้งโครงการนี้ก็ตอบโจทย์นะคะ เพราะตัวโครงการอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกช้างเลยและห่างจาก SCB สำนักงานใหญ่ไปเพียง 400 ม. เท่านั้น เดินได้ง่ายมาก ประหยัดค่ารถและไม่ปวดหัวรถติดได้อีกด้วย
ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์ก็หายห่วง เพราะอยู่ใกล้แยกรัชโยธินที่มี Major รัชโยธิน และ Avenue รัชโยธิน จะกินข้าวดูหนังตรงนี้ก็ได้เลยค่ะ ขยับมาอีกหน่อยมีห้างใกล้ๆ เช่น Central ลาดพร้าว และยูเนี่ยนมอลล์ ซึ่งถ้ารถไฟฟ้าเสร็จแล้วนั่งรถไฟฟ้าไปลงแค่สถานีเดียวเท่านั้นก็ถึงแล้วสบายมาก
ในอนาคตพื้นที่ในบริเวณนี้กำลังจะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากข่าวการลงทุนแบบ Mega Project บนที่ดินแปลงใหญ่มากๆ แปลกแรกคือที่ดินตรงบริเวณถนนพหลโยธิน 19/1 ที่ทาง G Land และ BTS ร่วมทุนกันตั้ง Bay water ประมูลที่ดินขนาด 48.5 ไร่มาด้วยราคาสูงถึง 7,530 ล้านบาท ในเบื้องต้นนั้นมีแผนที่จะตัดถนนเชื่อมระหว่าง วิภาวดี กับ พหลโยธิน และทำโครงการ Mixed Used เพื่อสร้างแหล่งชุมชนขนาดใหญ่จะมีทั้งห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ที่อยู่อาศัยพร้อมทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้า เรียกว่าทำแบบครบวงจรเลย ส่งผลให้บริเวณทำเลโครงการในอนาคตจะยังมีความเจริญอีกเยอะมากทีเดียว
สำหรับใครที่ทำงานบนถนนวิภาวดีรังสิตก็ง่ายเช่นกันเพราะมีทางลัดเข้าซอยพหลโยธิน 23 ไปออกถนนพหลโยธินแล้วเลี้ยวเข้าโครงการได้ง่ายเลย
การเดินทางในวันนี้เริ่มต้นจากถนนพหลโยธินบริเวณด้านหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว วิ่งมุ่งหน้าไปทางแยกรัชโยธินตรงไปประมาณ 1.2 กม. ก่อนถึงแยกรัชโยธิน บริเวณที่ติดกับซอยพหลโยธิน 27 ก็จะถึงโครงการแล้วค่ะ
เริ่มต้นที่ถนนพหลโยธินฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกรัชโยธิน บริเวณด้านหน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่คึกคักมากๆ ในย่านนี้ ใครชอบช็อปปิ้งมาได้เลยค่ะ
ถัดมาหน่อยคือโรงเรียนหอวังนะคะ
ช่วงบริเวณนี้ที่กำลังทำรถไฟฟ้ากันอยู่รถจะค่อนข้างหนาแน่นทั้งวันนะคะ ในส่วนของการเดินทางเราจะมุ่งหน้าตรงไปกันต่อนะคะ ซึ่งตำแหน่งโครงการให้สังเกตที่ตึกช้างได้เลย เพราะจะอยู่ตรงข้ามกับตึกช้างนี่เองค่ะ
ตรงมาหน่อยเราจะเริ่มเห็นสถานีพหลโยธิน 24 แล้วนะคะ ตอนนี้ยังเป็นโครงอยู่ยังไม่ได้มีตำแหน่งขาขึ้น-ลงชัดเจน ซึ่งทางโครงการเคลมไว้ว่าจากโครงการถึงขาขึ้น-ลงสถานีจะมีระยะห่างเพียง 20 ม. เท่านั้นเอง เรียกว่าเดินได้ง่ายมาก
ถัดมาบริเวณหน้าปากซอยพหลโยธิน 23 เป็ยซอยที่สามารถวิ่งเข้า-ออกไปทะลุออกถนวิภาวดีรังสิต ได้นะคะ
จากนั้นตรงมาอีกหน่อยติดกับซอยพหลโยธิน 27 ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin แล้วค่ะ
สภาพแวดล้อมโครงการอยู่ติดกับโครงการพี่อย่าง Knightsbridge Prime Ratchayothin ที่มีความสูง 35 ชั้น ใกล้เคียงกับโครงการ ซึ่งตำแหน่งของอาคารจะอยู่เยื้องๆ กัน ไม่บล็อกวิวกันโดยตรงนะคะ โครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin นี้ตัวอาคารจะอยู่ลึกเข้าไปอีกจากหน้าถนนพหลโยธิน เพื่อไม่บล็อกวิวกันและกันมากนัก แต่แน่นอนว่ายังสามารถเห็นเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามได้ระดับนึง ส่วนทิศอื่นๆ โดยรอบโปร่งโล่ง อยู่ใกล้กับอาคารแนวราบก่อนถึงอาคารสูงอย่าง SCB หรือตึกช้าง
- ทิศเหนือ : Knightsbridge Prime Ratchayothin
- ทิศตะวันออก : ติดถนนพหลโยธิน
- ทิศใต้ : ติดซอยพหลโยธิน 27
- ทิศตะวันตก : อาคารและบ้านพักอาศัยสูงไม่เกิน 2-3 ชั้น
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Major รัชโยธิน ~ 300 ม.
- SCB Park ~ 400 ม.
- โรงเรียนหอวัง ~ 1.2 กม.
- Tesco Lotus ~ 1.5 กม.
- ยูเนียน มอลล์ + MRT พหลโยธิน ~ 2.2 กม.
- โรงเรียนเซนต์จอห์น ~ 2.4 กม.
- Central Plaza ลาดพร้าว ~ 2.8 กม.
- สวนรถไฟ + สวนจตุจักร ~ 5 กม.
- ตลาด อ.ต.ก. + ตลาดนัดจตุจักร ~ 5.7 กม.
โครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin จัดเป็นโครงการรูปแบบใหม่ของทาง Origin ที่มีจุดเด่นต่างจากโครงการอื่นๆในละแวกทั้งหมด ด้วยการออกแบบยูนิตห้องทุกห้องเป็นห้องฝ้าเพดานสูงถึง 4.2 เมตร ที่เรียกว่า “Duo Space” พบกับห้องที่มีความโปร่งโล่ง และสามารถใช้พื้นที่ใช้สอยได้อย่างเต็มที่มากมิติยิ่งขึ้น เพราะนอกจากความกว้างและยาวแล้วยังเป็นเรื่องของความสูงที่สามารถใช้งานได้อีกด้วย
ตัวอาคารตกแต่งภายในสไตล์โมเดิร์น โดยมีแนวคิด Vertical Ascendence Vertical Accent เล่นเส้นสายเพรียวบาง (The Thin Silver Line) ภายนอกอาคารสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวอาคาร
คอนโด High Rise สูง 33 ชั้น มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 488 อยู่บนเนื้อที่ดินทั้งหมดรวม 2 ไร่กว่า และมูลค่าโครงการร่วม 2,770 ล้านบาทเลยทีเดียวค่ะ
- ชั้นล่าง (Ground Floor) – จัดให้เป็นพื้นที่สำหรับจอดรถแบบ automatic parking ซึ่งลักษณะของการใช้งานแบบนี้ทำให้เกิดฟังก์ชันคาเฟ่ร้านค้า และส่วน Co-working Space เพื่อให้ลูกบ้านได้มีพื้นที่นั่งระหว่างรอรับรถได้
- ชั้น 2 : เป็นยก Step ขึ้นมาเป็นส่วนล็อบบี้อาคาร โดยจะเชื่อมกับส่วน Drop-Off หน้าโครงการ
- ชั้น 3-13 : เป็นพื้นที่ของ automatic parking ทั้งหมด โดยจำนวนช่องจอดรถทั้งหมดทางโครงการให้มา 70 เปอร์เซ็นต์
- ชั้น 14-32 : เป็นพื้นที่ของห้องพักอาศัยทั้งหมด ซึ่งจะมีชั้น 31-32 ที่เป็นชั้น Exclusive Floor ที่ได้ฝ้าเพดานสูง 4.5 ม.
- ชั้น 33 : เป็นชั้น Facilities หลักของอาคาร โดยยกทั้งชั้นให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด สามารถใช้ Facilities ในขณะที่ชมวิวมุมสูงได้สบาย
- ชั้น Rooftop : จัดเป็น Rooftop Garden ให้ทั้งชั้น ไว้ยืนชมวิวสวยบนพื้นที่สีเขียวแบบลอยฟ้า
เรามาดูส่วนภาพและบรรยากาศจำลองกัน เริ่มจากชั้นล่าง Ground Floor ในบริเวณ Cafe 24 ที่เชื่อมกับพื้นที่ Car Waiting จัดให้เป็นเสมือน Lounge ขนาดย่อมลงมาจากส่วน Lobby หน่อย เป็นพื้นที่ให้ลูกบ้านที่กำลังรอรถมีพื้นที่สำหรับนั่งเล่นสบายๆ ได้ ไม่ต้องยืนรอ ภายในตกแต่งเรียบหรูและได้ฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume ดูโอ่โถง ตรงกับแนวความคิดโครงการที่มาในแนวฝ้าเพดานสูงค่ะ
ถัดมาบริเวณทางขึ้นชั้น 2 จาก Drop-Off ขึ้นไปยัง Lobby ออกแบบให้เป็นขั้นบันไดแบบเล่นระดับจากพื้นชั้นล่างขึ้นมาชั้น 2 พร้อมกับแทรกทางลาดเอียงตรงบันไดด้วย สามารถขนของได้ง่ายหรือจะเข็นรถเข็นต่างๆ ก็ไม่ยากค่ะ สำหรับชั้น 2 นี้นอกจากจะเป็นพื้นที่ Lobby แล้วก็มีฟังก์ชันอื่นๆ อีกเช่น ห้องประชุม (Presentation Room), Co-Working Space เป็นต้น สะดวกมากขึ้นสำหรับลูกบ้านที่ทำงานที่บ้านแล้วต้องการติดต่อกับลูกค้าก็สามารถเรียกลูกค้ามาประชุมงานหรือคุยงานต่างๆ ที่คอนโดตัวเองได้เลย และการที่จัดไว้ในชั้นล่างทำให้ลูกค้าหรือแขกของลูกบ้านไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงพื้นที่ส่วนพักอาศัยด้านในที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเฉพาะลูกบ้านโดยเฉพาะอีกด้วย เพราะจะเห็นว่าส่วนใหญ่พวกห้องประชุมจะจัดให้อยู่ในพื้นที่ภายในอาคารด้านในที่ไว้สำหรับลูกบ้านใช้งานเท่านั้น
ส่วนภายใน Co-Working Space สามารถเข้าได้จากทั้ง 2 ทาง คือชั้นล่าง (Ground Floor) และชั้น 2 จาก Lobby ลักษณะการจัดวางฟังก์ชันภายในค่อนข้างน่าสนใจนะคะ เพราะเป็นห้องแบบ Double Volume โอ่โถง และโปร่งโล่งด้วยกระจกรอบด้านที่สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานเลยทีเดียว พร้อมมีการตกแต่งด้านในโดยใช้ Step ขั้นบันได เป็นทั้งพื้นที่นั่งเล่นและทางเดิน เป็น Gimmick อีกอย่างที่ทางโครงการนำมาใช้ให้สอดคล้องกับแนวความคิดการออกแบบที่ใส่ใจพื้นที่แนวตั้งมากขึ้นอีกด้วย
ขยับขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของอาคารกันต่อนะคะ ในบริเวณ Sky Relaxing Lounge จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนพร้อมชมวิวมุมสูง และได้มุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้นด้วยฝ้าเพดานแบบ Double Volume อีกเช่นเคยนะคะ สำหรับห้องนี้จะสามารถชมวิวได้ทั้งหมด 3 ฝั่งด้วยกันคือทิศเหนือที่หันไปทางแยกรัชโยธินเลยไปถึงสะพานใหม่ ฝั่งทิศตะวันออกหันไปทางถนนพหลโยธิน และทิศใต้ที่หันไปทางห้าแยกลาดพร้าว
สำหรับสระว่ายน้ำที่นี่มีความน่าสนใจตรงตำแหน่งของสระที่หันไปทางทิศตะวันตก บริเวณนี้จะได้วิวฝั่ง SCB Park ไปเต็มๆ นะคะ นอกจากนี้ยังเป็นตำแหน่งที่ว่ายน้ำไปแล้วยังชมพระอาทิตย์ตกดินได้อีกด้วยค่ะ จึงได้ชื่อสระว่า Sunset Swimming Pool
อีกภาพและบรรยากาศจำลองนึง เป็นมุมมองที่หันจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ แสดงส่วนชั้น Facilities หลักที่อยู่บนชั้นบนสุดของอาคาร รวมไปถึงชั้น Rooftop ที่จัดให้เป็น Rooftop Garden ได้พื้นที่สีเขียวในมุมสูง
สำหรับ Master Plan โครงการจะเห็นว่าจากถนนทางเข้าโครงการเข้ามาด้านในพอสมควร ถือว่ามีระยะ Set Back ให้ระดับนึงเลยทีเดียว จึงช่วยลดเรื่องของมลภาวะต่างๆ จากบนถนนใหญ่ได้ดี เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นได้อีกด้วย เมื่อเข้ามาด้านใน จุดแรกที่เจอคือส่วน Drop-Off ก่อนนะคะ คนลงจากรถแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 2 ที่เป็น Lobby อาคารได้เลย และสำหรับคนที่จะไปเก็บรถนั้นขับตรงเข้ามาหน่อยจะมีเจอกับลิฟต์จอดรถทั้งหมด 4 ลิฟต์ด้วยกัน มีติดกัน 3 ลิฟต์ และอีก 1 จะอยู่ใกล้กับจุด Loading Area ลักษณะการใช้งานคือเข้าไปจอดเลย แล้วลิฟต์จะเป็นผู้จัดการให้จอดในชั้นบนให้เองค่ะ ส่วนเวลาจะรับลิฟต์นี้ก็จะนำรถลงมาจอดให้ที่เดิมเช่นเดียวกัน ซึ่งจุดเด่นของ Automatic Parking ก็จะเป็นเรื่องความสะดวกสบายในการที่เราเองไม่ต้องมาหาช่องจอดเอง และพื้นที่ที่จะนำมาที่จอดรถน้อยลง แต่จำนวนช่องจอดรถเท่าเดิม ส่วนข้อด้อยก็มีเช่นเดียวกันคือเราอาจจะต้องมารอจอดที่ลิฟต์ และรอรับรถซึ่งใช้เวลาเหมือนกัน นอกจากนี้คือเวลาเราลืมของไว้ที่รถก็ไม่สามารถเดินไปหยิบของได้ง่ายนะคะ ต้องรอเรียกรถลงมาเพื่อหยิบของแทน ซึ่งเมื่อใช้เวลาแบบนี้ทางโครงการจึงมีพื้นที่ Car Waiting Area และ Cafe 24 ไว้รองรับลูกบ้านอยู่ด้านข้าง Automatic Parking เลยค่ะ ส่วนอีกฝั่งคือมุม Co-Working Space ที่สามารถมองออกไปยังส่วน Co-Living Garden ได้ จึงได้วิวต้นไม้พักผ่อนสายตาได้เวลานั่งทำงาน
ชั้น 2 ขึ้นมาเป็นพื้นที่ Lobby ขนาดใหญ่ มีชุดโซฟาต่างๆ รองรับแขกของลูกบ้านหรือผู้เข้ามาติดต่อได้ รวมไปถึงมีห้อง Presentation Room อยู่ด้านหน้าติดกับพื้นที่ Lobby เลยค่ะ ก่อนเข้าสู่ลิฟต์โดยสารจะมีประตูกั้นอีกโซนเพื่อให้ลูกบ้านเท่านั้นที่จะเข้าได้ผ่านการสแกนบัตร เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน เข้ามาด้านในแล้วจะเห็นลิฟต์โดยสารขึ้นไปยังชั้นพักอาศัยได้เลย เลยมาอีกหน่อยมีห้อง Mail Box และทางเข้า Co-Working Space
ชั้น 14-30 เป็นชั้น Typical Floor Plan มีจำนวนยูนิตต่อชั้นอยู่ที่ 26 ห้องด้วยกัน ลักษณะผังเป็นรูปตัว L เน้นหันห้องไปทางเหนือ-ใต้มากที่สุดเพราะเป็นทิศที่เหมาะกับการอยู่อาศัย อย่างทิศเหนือเด่นในเรื่องของทิศทางแดด ไม่เจอแดดยามบ่าย และวิวดีเพราะสามารถมองเห็น SCB Park ได้ด้วยนะคะ ส่วนทิศใต้แม้จะแดดร้อนกว่าทางทิศเหนือ แต่ก็จะเด่นในเรื่องของทิศทางลมและวิวที่โปร่งโล่งมากกว่า สำหรับห้องส่วนใหญ่ของชั้นนี้เน้นเป็นห้อง 1 Bedroom ขนาดเริ่มต้นที่ 26 ตร.ม. มีมากที่สุด ห้องมุมจะเป็นห้อง 1 Bedroom plus ขนาดประมาณ 30-35 ตร.ม. ส่วนห้องทิศตะวันตกจะเห็นว่ามีการจัดผังแตกต่างจากทิศอื่นๆ หน่อย โดยการทำห้องให้มี Corner ยื่นออกมา เกิดเป็นมิติที่สามารถเบี่ยงแสงแดดตะวันตกได้ระดับนึง และยังเปิดมุมมองที่กว้างขวางมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
ชั้น 31-32 เป็นชั้น Exclusive Floor จำนวนยูนิตจะน้อยลงมาหน่อยอยู่ที่ 23 ห้องต่อชั้นแทน โดยเปลี่ยนห้องมุมเป็นห้องขนาดใหญ่ 2 Bedroom แทน ในส่วนของเรื่องความหนาแน่นลิฟต์อยู่ที่ประมาณ 122 : 1 จัดว่าให้มาประมาณนึง ไม่มากไปไม่น้อยไป เลยความพอดีของความหนาแน่นไปเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ
ชั้น 33 เป็นชั้น Facilities ยกชั้นเลยทีเดียวค่ะ แบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ Indoor และ Outdoor ส่วน Indoor นี้ประกอบไปด้วย Sky Infinite Space โถงกลางที่ยกฝ้าเพดานสูงถึง 3 ชั้นทีเดีย พร้อมตกแต่งบันไดโค้งขนาดใหญ่ดูโอ่อ่าสวยงาม จากนั้นแจกไปยังห้องต่างๆ คือ Private Spa ห้องสปาแบบส่วนตัว, Sky Dinning Lounge ห้องรับประทานอาหาร พร้อมทำครัวเล็กน้อย ที่ลูกบ้านสามารถมาจองเพื่อจัดปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงในวันสำคัญต่างๆ ได้ค่ะ ถัดมาคือ Sky Social Fitness ห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ พร้อมห้อง Studio ไว้จัดคลาสต่างๆ ได้ และสุดท้ายคือห้อง Sky Relaxing Lounge พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนขนาดใหญ่พร้อมเสพวิวมุมสูง
ชั้น Rooftop ไม่มีลิฟต์ขึ้นมาแล้วนะคะ หากจะขึ้นมาสูดอากาศพร้อมเดินเล่นในสวนชั้นดาดฟ้าที่จัด Landscape ออกมาได้น่าสนใจ จะต้องเดินขึ้นจากบันไดด้านข้าง 2 ฝั่งค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น Ground
- Cafe 24
- Car Waiting Area
- Co-Working Space
- Co-Living Garden
- Lobby
- Presentation Room
- Mail Box
- Co-Working Space (เชื่อมกับชั้น Ground)
- Sunset Swimming Pool
- Sky Infinite Space
- Private Spa
- Sky Dinning Lounge
- Sky Social Fitness
- Sky Relaxing Lounge
- Rooftop Garden
จุดเด่นของโครงการเลยคือ ห้องพักอาศัยทั้งหมดเป็นห้อง Loft แบบ “Duo Space” ที่มีความสูงฝ้าเพดานถึง 4.2 ม. จะมีชั้นบน 2 ชั้นที่เป็นห้องฝ้าเพดานสูง 4.5 ม. นะคะ ทำให้ลักษณะการอยู่อาศัยมีความไม่ธรรมดาเหมือนห้องพักอาศัยความสูงทั่วไป เพราะสามารถมีพื้นที่ใช้สอยภายในห้องที่มากกว่าจึงสามารถจัดฟังก์ชันได้มากขึ้น หรือได้ขนาดของฟังก์ชันที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงความโปร่งโล่งของห้องที่จะมีความโปร่งโล่งมากกว่า เป็นไปตามปริมาตรของห้องที่มีมากกว่านั่นเองค่ะ
รูปแบบการขายของโครงการนี้จะเป็น Fully Fitted โดยมีเฟอร์นิเจอร์แบบ Built-in ให้ทั้งหมด ยกเว้นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ชุดครัว พร้อมสุขภัณฑ์จาก TOTO รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ชั้นบน (บันได พื้นชั้นบน การกั้นพื้นที่เป็นห้อง Walk-in Closet พร้อมชุด Built-in ภายใน)
นอกจากนี้ก็มีการให้ฟังก์ชัน Home Automation เข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากขึ้นโดยสามารถควบคุมเครื่องปรับอากาศ, Digital Door Lock, แสงสว่าง และรางผ้าม่าน ผ่าน Application ใน Smart phone ได้อีกด้วยค่ะ
แบบห้องพักอาศัยมีทั้งหมดหลักๆ 3 แบบ ด้วยกันคือ
- 1 Bedroom 22.7-30.9 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 35-35.4 ตร.ม.
- 2 Bedroom 54.3-61.8 ตร.ม.
โดยวันนี้เราจะพาไปชมห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตร.ม. และห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตร.ม.กันนะคะ
ขอแนบลิ้งค์เพิ่มเติมสำหรับใครที่ยังสงสัยห้อง Loft กับ Duplex ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรนะคะ (คลิกที่นี่)
สำหรับห้องตัวอย่างห้องแรกที่เราจะพาไปดู คือห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตารางเมตร ฉันเป็นห้องที่มีจำนวนยูนิตมากที่สุดในโครงการ ลักษณะตัวห้องด้วยความที่เป็นห้องแบบ Loft ความรู้สึกจะแตกต่างกับห้องทั่วไปขนาด 26 ตารางเมตร มากทีเดียวนะคะ เพราะสามารถจัดฟังก์ชั่นได้เป็นสัดส่วนมากกว่า เริ่มต้นจากทางเข้าห้อง เข้ามาจะเป็นส่วนของห้องครัวก่อน ตัวห้องครัวนี้เป็นแบบครัวปิด มีประตูบานเลื่อน 3 ตอนกั้นไว้ให้เป็นสัดส่วน สำหรับใครที่ชอบทำอาหารหนักก็จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดี ติดกับห้องครัวนั้นเป็นส่วนห้องน้ำ แยกโซน Service ไว้ชัดเจนเป็นสัดส่วนดี แต่ในขณะเดียวกันหากมองในแง่ของการใช้สอยแล้วอาจจะไม่สะดวกมากนักเพราะอยู่แยกออกมาจากส่วน Common area และห้องนอนนะคะ
ถัดมาที่ส่วน Common area นี้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ได้ฝ้าเพดานสูงถึง 4.2 เมตร บริเวณนี้สามารถวางฟังก์ชันได้ทั้งหมด 3 ฟังก์ชั่นด้วยกัน ประกอบไปด้วย พื้นที่รับประทานอาหาร พื้นที่นั่งเล่น และพื้นที่ทำงานขนาดกะทัดรัด ติดกับส่วน Common area เป็นส่วนระเบียงซักล้างค่ะ
ขึ้นมาที่ชั้นบน จัดให้เป็นพื้นที่ของห้องนอนทั้งหมด สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้กำลังดี ที่พิเศษกว่าห้อง Loft ทั่วไป คือมีการจัดฟังก์ชั่นของ walk in closet ให้ ตอบโจทย์การใช้งานภายในห้องนอนอย่างครบครัน
เริ่มจากส่วนทางเข้าห้องบริเวณพื้นที่ครัว มีขนาดประมาณ 2.25 x 2.5 เมตร ฝ้าเพดานส่วนนี้สูงอยู่ที่ประมาณ 2.2 ม. จัดว่าเป็นความสูงฝ้าที่ไม่เตี้ยเกินไป ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัด ตัวพื้นของพื้นที่นี้ปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้เพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด และมีความคงทนในการใช้งานครัวมากกว่าพื้นลามิเนต ฝั่งซ้ายจัดให้เป็นส่วนพื้นที่เก็บของ เก็บรองเท้า และตู้เย็น ส่วนฝั่งขวาเป็นส่วนเคาน์เตอร์ครัว ถัดไปเป็นห้องน้ำค่ะ
สำหรับเคาน์เตอร์ครัวของที่นี่จะได้เหมือนกับห้องตัวอย่างเป็นมาตรฐาน ยกเว้นการกรุกระจกสีชาด้านหลังที่จะไม่ได้นะคะ จะได้เป็นผนังฉาบเรียบมาตรฐาน แต่หากใครที่ชอบทำครัวเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้วจะแนะนำให้กรุกระเบื้องหรือกระจกเพิ่มเติมบริเวณผนังนะคะ เพราะคราบน้ำมันจะได้ไม่ติดกับผนังและทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย
ตัว Top Counter ใช้เป็นหินเทียม ด้านล่างบานเปิดเป็น Soft Close ทั้งหมด มีช่องวางใส่ของให้ระดับนึง ตรงกลางเว้นช่องว่างไว้ให้ลูกบ้านวางเครื่องซักผ้าขนาด 7.5 กิโลกรัม ได้กำลังดี
ส่วนด้านบนนั้นให้ เตาเซรามิคแบบ 2 หัว จาก HAFELE พร้อมเตาดูดควันด้านบนเป็นมาตรฐาน
ถัดมาเป็น Sink ล้างจานหลุมเดี่ยวฝั่งเข้าเคาน์เตอร์ครัวเรียบร้อย
ด้านบน Built in ให้บานเปิดแบบเดียวกับเคาน์เตอร์ครัวด้านล่างโดยปิดผิวเป็นแบบ Gloosy พร้อม Soft Close ทั้งหมด ที่ชอบคือมีพื้นที่ว่างสำหรับวางไมโครเวฟได้ และออกแบบให้มีที่พักจานด้านบนของซิงค์ล้างจาน
ฝั่งตรงข้ามจะได้ชุด Built-in ทั้งหมดเหมือนกับห้องตัวอย่างเลยค่ะ สเปคของชุดตู้เหมือนกับสเปคบานเปิดของเคาน์เตอร์ครัว มาในตีมเดียวกันดูสวยงาม
เริ่มแรกเป็นชุดตู้ไว้สำหรับวางของและเก็บรองเท้า ติดกันมีที่นั่งให้สามารถใส่รองเท้าได้สะดวกพร้อมลิ้นชักสำหรับเก็บของได้และชั้นวางของด้านบนที่สามารถเก็บของได้อีกเช่นเดียวกันหรือใครจะวางของตกแต่งก็ได้เช่นเดียวกัน
ถัดมาเป็นช่องว่างสำหรับวางตู้เย็นขนาดกลางได้กำลังดีเลยค่ะ
ถัดมานั้นเป็นประตูทางเข้าห้องน้ำ โดยมีการกั้นธรณียกขึ้นเล็กน้อยสามารถกันน้ำไหลย้อนได้ดีระดับหนึ่ง
ภายในห้องน้ำแบ่งเป็นโซนเปียกและโซนแห้งชัดเจน เริ่มจากโซนแห้งก่อนบริเวณผนังจะได้เป็นกระจกเงาขนาดใหญ่ติดผนังเลยนะคะ จะไม่เหมือนห้องตัวอย่างตรงที่ไม่มีการซ่อนไฟด้านหลังให้ ส่วนพื้นที่เคาน์เตอร์ทำเป็น Low Wall ให้เรียบร้อย สามารถวางของใช้ต่างๆได้ดีมาก อีกทั้งยังมีความสวยงามอีกด้วยนะคะ
พื้นห้องน้ำเป็นพื้นเซรามิคสีเทาเล่นลวดลายเล็กน้อย
สำหรับสุขภัณฑ์ห้องน้ำทั้งอ่างล้างมือและโถสุขภัณฑ์ใช้ยี่ห้อ TOTO ทั้งหมด
ถัดมาเป็นพื้นที่อาบน้ำการด้วยฉากกั้นกระจก ซึ่งจะได้แบบนี้เป็นมาตรฐานเลยค่ะ สามารถกันน้ำกระเด็นออกมายังโซนแห้งได้ดีมากและเป็นสัดส่วน
ภายในพื้นที่อาบน้ำกันด้วยธรณีที่ยกสูงเล็กน้อยเพื่อกันน้ำไหลย้อนออกมายังโซนแห้ง ขนาดพื้นที่อาบน้ำอยู่ที่ประมาณ x x x ม. เป็นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปในการใช้งานจริง
ภายในพื้นที่อาบน้ำมีติดตั้งพัดลมดูดอากาศให้ นอกจากจะช่วยระบายอากาศแล้วยังสามารถระบายความชื้นได้ดี ในส่วนของฝักบัวให้มาทั้ง 2 แบบ ฝักบัวสายอ่อนและ Rain shower
พื้นที่ด้านข้างทำช่องไว้สำหรับวางครีมแชมพูต่างๆได้ดี
ถัดมาเป็นประตูบานเลื่อนกระจกแบบ 3 ตอนสามารถเปิดพื้นที่ได้กว้างขวาง
ในส่วนของ Common area เป็นพื้นที่เปิดโล่งเชื่อมต่อกัน บริเวณนี้นอกจากมีพื้นที่ขนาดใหญ่มากที่สุดของทั้งห้องพักอาศัยแล้ว ยังมีความโปร่งโล่งมากกว่าพื้นที่อื่นๆในห้อง เพราะได้ฝ้าเพดานสูงถึง 4.2 เมตร ด้านหน้าให้หน้าต่างกระจกจากพื้นถึงฝ้าเพดาน ส่งเสริมให้แสงสว่างธรรมชาติเข้ามาภายในได้ดี ส่วนประตูหลังขวาที่เห็นนั้นเป็นประตูบานเลื่อนออกไปยังระเบียงซักล้าง
สำหรับรูปนี้คือห้อง Type เดียวกัน แต่เป็นห้องที่อยู่ฝั่งทิศตะวันตกซึ่งเป็นห้องที่จะต้องรับแสงแดดมากกว่าในทิศอื่นๆ ทางโครงการออกแบบให้เพิ่ม Corner เป็นลักษณะกระจกเข้ามุมเบี่ยงทิศทางตะวันตกเพื่อหลบแดดได้ระดับหนึ่งและยังได้วิวในฝั่งทิศเหนือมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆในห้องก็จะเหมือนกับห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 ตารางเมตรของทิศอื่นๆเลย
สำหรับความยาวของส่วน Common area มีความยาวประมาณ 4 ม. จัดสรรให้วางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 2 ที่นั่งได้ ชุดโซฟาสำหรับ 2 ที่นั่ง และด้านข้างติดมุมกระจกเป็นโต๊ะทำงานได้ 1 ที่นั่งกำลังดี ซึ่งในส่วนนี้ลูกค้าสามารถจัดวางฟังก์ชันภายในเองได้ตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง เช่น เป็นคนชอบนอนดูทีวีไม่ซีเรียสว่าต้องมีโต๊ะทำงาน ก็สามารถเลือกวางชุดโซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้ แผนการวางเป็นโต๊ะทำงานเหมือนในห้องตัวอย่างค่ะ
บริเวณสวนเข้ามุมนี้สามารถจัดเป็นฟังก์ชันได้ 1 ฟังก์ชันด้วยการอย่างที่เห็นคือเป็นพื้นที่ะทำงาน แต่ใครที่ชอบนั่งอ่านหนังสือชิวๆ ในห้อง ก็สามารถทำเป็นมุมชุดโซฟาขนาดเล็กไว้สำหรับนอนเล่นอ่านหนังสือได้
สำหรับระเบียงซักล้างนี้มีขนาดกะทัดรัดพอสมควรทีเดียวนะคะ มีขนาดอยู่ที่ประมาณ 1.4 x 0.6 ม. สามารถใช้ตากผ้าได้เล็กน้อยไม่มากนัก ราวกันตกเป็นราวเหล็กพ่นสีมาตรฐาน
ด้านบนแขวนคอมเพรสเซอร์แอร์ต่อออกด้านนอกให้เรียบร้อย ข้อดีของห้องฝ้าเพดานสูงนี้คือบริเวณระเบียงไม่ร้อนเพราะคอมเพรสเซอร์แอร์อยู่ค่อนข้างสูงมากทีเดียว เลยระดับความสูงคนไปอีกเท่าตัว
กลับมาที่ส่วน Common area อีกรอบ ฝั่งตรงข้ามกับชุดโซฟาจะได้เป็นชั้นวางทีวีตามที่เห็นในห้องตัวอย่างเลยค่ะ ด้านข้างของบันไดที่ได้มีการทำเป็นช่องไว้สำหรับวางของเล็กๆน้อยๆได้ จัดว่าออกแบบมาได้ตอบโจทย์ อยู่อาศัยในคอนโดอย่างเต็มที่ ด้วยความที่การใช้ชีวิตในคอนโดนั้นมีพื้นที่ไม่มากนักการจัดสรรพื้นที่ต่างๆให้สามารถวางของ เก็บของหรือเกิดเป็นฟังก์ชันได้ ก็จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้พื้นที่ในห้องพักอาศัยของตนเองได้คุ้มค่ามากที่สุด
ถัดมาเดี๋ยวเราจะขึ้นไปชั้นบนกัน สำหรับโครงการนี้จะได้ชุดเฟอร์นิเจอร์เป็นบันได พื้น พร้อมตกแต่งชุดตู้ Built-in ชั้นบนให้ครบเหมือนในห้องตัวอย่าง แต่จะไม่ได้ถูกเคลมเป็นพื้นที่ในโฉนดเหมือนห้อง Duplex แต่ถูกเคลมเป็นเพียงชุดเฟอร์นิเจอร์ทั้งเซตแทน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการอยู่อาศัยของเราสามารถนับได้ว่ามีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นจาก 26 ตารางเมตรได้ค่ะ
ตัวบันไดนี้ออกแบบมาได้น่าสนใจระดับหนึ่ง คือ มีลักษณะการใช้พื้นที่ใต้ท้องบันไดเช่นเดียวกับบ้านที่เรามักจะเห็นกันว่ามีห้องเก็บของใต้ท้องบันได ซึ่งที่นี่ก็เช่นกันค่ะ ในส่วนของบันไดมีขนาดความกว้างไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 0.7 เมตร การเดินจริงๆไม่ค่อยถนัดมากนัก ด้วยความที่มีความกว้างไม่มาก รวมถึงไม่มีราวจับให้ ลูกบ้านอาจจะต้องทำราวเพิ่มเติมในส่วนนี้จะสะดวกขึ้นเยอะมากเลยค่ะ
พื้นที่ใต้ท้องบันไดถูกจัดทำให้เป็นตู้ Built-in สามารถวางของได้พอสมควรเลยทีเดียว อย่างห้องตัวอย่างก็มีการวางเป็นกระเป๋าเดินทางให้ดู ส่วนด้านบนทำเป็นชั้นวางของได้
ขึ้นมาที่ชั้นบนก็จะเจอกับพื้นที่เตียงนอน ซึ่งบริเวณนี้มีขนาดประมาณ 3.45 x 2.35 ม. สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้กำลังดี การวางเตียงจะมีด้านหนึ่งที่ติดกับผนังและอีกด้านมีพื้นที่ทางเดินได้สะดวก สามารถวางโต๊ะข้างเตียงได้
สำหรับปลายเตียงนั้นจะเป็นราวเหล็กให้กระจกใสตรงกลาง เป็นราวกันตกลงไปด้านล่าง บริเวณนี้เมื่อออกไปจะรู้สึกโปร่งโล่งเพราะกลับพื้นที่ส่วน Common area ที่ฝ้าเพดานสูงและยังสามารถมองวิวภายนอกได้เนื่องจากกระจกที่ได้เป็นกระจกที่สูงเกือบถึงฝ้า
การข้างเตียงจัดให้เป็น walk in closet โดยกั้นด้วยประตูบานเลื่อนกระจกแบบ 3 ตอน เป็นสัดส่วนชัดเจน ทำให้พื้นที่ชั้นบนนี้เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ของห้องนอนได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ เพราะตอบโจทย์การใช้งานเกือบทั้งหมด เหลือแต่ไม่มีห้องน้ำในห้องนอนเท่านั้นเอง
ภายในส่วน walk in closet ตกแต่งด้วยตู้ Built-in พร้อมโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนกับที่เห็นในห้องตัวอย่างเลย
ภายในสามารถจัดวางเสื้อผ้าหรือเก็บของได้เพราะสมควรดีทีเดียวนะคะ ถือว่าให้มาโอเคเลย และไม่ค่อยได้เห็นโครงการไหนที่ทำห้อง Loft ชั้นบนเป็นห้องนอนที่มี walk in closet ในตัว
นอกจากตู้เสื้อผ้าแล้วก็ยังทำเป็นชั้นวางของเพิ่มเติมให้อีกด้วยค่ะ
ถัดมาที่ห้องขนาดใหญ่มากขึ้นหน่อยคือห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร ห้องนี้มีความน่าสนใจตรงที่เป็นห้องขนาด 35 ตารางเมตรที่สามารถทำเป็น 2 ห้องนอนได้สำหรับใครที่อาศัยอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็กหรือวางแผนว่าจะมีลูกแต่มีงบไม่ถึงซื้อห้องแบบ 2 Bedroom ห้องนี้ก็ตอบโจทย์ได้ดี นอกจากนี้สำหรับใครที่ต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติมจากฟังก์ชันมาตรฐานทั่วไปเช่นอยากทำชั้นบนให้เป็นห้องสตูดิโอของตัวเอง ไว้สะสมผลงานอดิเรก หรือจะจัดเป็นพื้นที่ทำงานอย่างเป็นสัดส่วนก็จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าห้องขนาด 26 ตารางเมตร
การจัดวางฟังก์ชั่นของห้องนี้ไม่แตกต่างจากห้องที่แล้วเท่าไหร่นัก มีที่เพิ่มเติมคือ ในชั้นล่างมีห้อง Master Bedroom เพิ่มขึ้นมาพร้อมระเบียงที่กว้างขวางมากขึ้นสามารถใช้งานได้ดีกว่า
เข้ามาภายในห้องเจอกับพื้นที่ครัวก่อนเช่นเดียวกับห้องที่แล้ว ซึ่งขนาดของพื้นที่ครัวมีความกะทัดรัดมากกว่าห้องที่แล้วนะคะ ฝั่งซ้ายมือจัดให้เป็นตู้ Built-in สำหรับวางของและรองเท้าด้านล่าง ถัดไปด้านในเป็นชั้นวางของด้านบน และเว้นช่องว่างไว้สำหรับวางตู้เย็นในด้านล่าง ส่วนฝั่งขวาเป็นเคาน์เตอร์ครัวซึ่งมีขนาดและสเปคเดียวกับห้องตัวอย่างที่ผ่านมา สุดทางนั้นกั้นด้วยประตูบานเลื่อนแบบ 2 ตอน ทำให้พื้นที่ครัวเป็นแบบครัวปิดสามารถทำอาหารหนักได้พอสมควร กลิ่นอาหารไม่ฟุ้งเข้าไปในส่วนของ Common area
สิ่งที่แตกต่างจากห้องที่ผ่านมาคือชั้นวางของที่มีขนาดกะทัดรัดมากขึ้นไม่มีพื้นที่นั่งใส่รองเท้าเหมือนห้องที่แล้ว
ตู้เก็บของด้านบนจะเป็นชั้นวางของทั่วไปและด้านล่างมีชั้นวางสำหรับวางรองเท้าทั้งหมด 2 ชั้น
เข้ามาในส่วนของ Common area ฝั่งขวามือเป็นทางเข้าห้องน้ำห้องเดียวของแปลน Type นี้ ถัดไปอีกหน่อยเป็นทางเข้าห้อง Master Bedroom ซึ่งเราจะไปดูห้องน้ำก่อนนะคะ
ประตูทางเข้าห้องน้ำสามารถเข้าได้ทั้งจาก 2 ทางโดยเข้าได้จาก Common Area และห้องนอนใหญ่ บริเวณทางเข้ามีธรณียกสูงขึ้นเล็กน้อย
ภายในห้องน้ำได้ขนาดค่อนข้างกว้างขวางกว่าห้องตัวอย่างแรกเล็กน้อย ส่วนการจัดวางและสเป็คสุขภัณฑ์เหมือนกันทั้งหมด คือมีการแบ่งเป็นโซนเปียกและแห้งเป็นสัดส่วน และใช้ยี่ห้อสุขภัณฑ์จาก TOTO
ถัดมาเป็นส่วน Common Area สำหรับบริเวณนี้จุดเด่นของแปลนนี้ด้วยความที่เป็นห้องมุมของอาคารเลยทางโครงการจะออกแบบให้ทั้งผนังฝั่งนึงเป็นกระจกทั้งหมดสูงเกือบจากพื้นถึงฝ้าเพดานเลยทีเดียวค่ะ และยังมีกระจกเข้ามุมด้านข้างอีกหน่อย เปิดมุมมองให้สามารถมองวิวภายนอกได้เต็มตามากๆ โดยถ้าเลือกห้อง type นี้น่าจะเลือกฝั่งทิศเหนือที่ได้วิวหันไปทาง SCB Park นะคะ
ในส่วนของพื้นที่ใช้สอยบริเวณนี้สามารถจัดฟังก์ชันได้ทั้งพื้นที่รับประทานอาหารและพื้นที่นั่งเล่นซึ่งจะไม่ได้เป็นสัดส่วนชัดเจนเท่าไหร่นักนะคะ เน้นเป็นพื้นที่ใช้สอยเดียวกันมากกว่า
พื้นที่รับประทานอาหารจะสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาดกะทัดรัดได้ประมาณ 2 ที่นั่งแบบเต็มที่ ส่วนติดกันจะได้ชุดชั้นวางทีวีเป็นมาตรฐาน
ส่วนชุดโซฟาสามารถวางที่นั่งขนาดใหญ่สุดอยู่ที่ 3 ที่นั่งเลยค่ะ
เข้าไปที่ห้องนอนใหญ่ที่อยู่ติดกับส่วน Common Area กันต่อนะคะ
เข้ามาภายในห้องนอนใหญ่มีขนาดประมาณ 3.35 x 2.5 ม. ภายในประกอบไปด้วยส่วนเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าซึ่งจะได้เป็นมาตรฐาน ห้องนอนนี้ก็ได้ฝ้าเพดานสูง 4.2 ม.เช่นเดียวกับส่วน Common Area นะคะ เวลาเงยหน้านอนอาจจะรู้สึกโหว่งๆ ได้เหมือนกันนะคะ ใครรู้สึกแบบนี้เวลานอนก็อาจจะลองแขวนโคมระย้าแบบห้องตัวอย่างดูนะคะ เพราะช่วยให้ความรู้สึกของฝ้าเพดานที่เตี้ยมากขึ้น
ตู้เสื้อผ้าได้ขนาด 3 บานเลื่อน มี 2 บานที่เป็นบานกระจกใช้ส่องตัวเองเวลแต่งตัวได้ดีเลยค่ะ ส่วนภายในสามารถจัดวางเครื่องแต่งกายได้พอสมควรนะคะ ด้านบนที่เหลือจากความสูงของตู้เสื้อผ้าแล้วก็สามารถวางกระเป๋าเดินทางหรือใครอยากจะ Built-in ชั้นวางของต่อขึ้นไปอีกก็ได้เช่นกัน
ถัดมาเป็นพื้นที่เตียงนอนจะได้เตียงนอนขนาดประมาณ 5 ฟุต ซึ่งจะได้เฉพาะตัวเตียงนะคะไม่รวมฟูก ลึกไปในสุดเป็นส่วนระเบียงซึ่งกั้นพื้นที่ด้วยประตูบานกระจกแบบ 3 ตอน
ขนาดพื้นที่ระเบียงให้มาขนาดใหญ่พอสมควรนะคะ สามารถใช้ซักล้างและตากผ้าได้จริง
ส่วนด้านบนก็เช่นเดียวกันกับห้องที่แล้วคือการที่สามารถวางคอมเพรสเซอร์แอร์สูงได้ตามฝ้าเพดานของห้อง
เรามาต่อกันที่ชั้นบนของห้องกันต่อนะคะ ลักษณะก็จะคล้ายคลึงกับห้องที่แล้วคือทำชั้นบนให้เป็นห้องนอนที่ 2 พร้อม Walk in Closet ด้านบน แต่ก็จะมีความแตกต่างกันในบางจุดซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายเป็นจุดๆ ไปนะคะ
เริ่มจากชุดบันไดจะได้เป็นมาตรฐานเดียวกับห้องตัวอย่างที่แล้วคือได้ชุดบันไดพร้อมชุด Built-in ใต้โถงบันไดด้วย
สิ่งที่แตกต่างหน่อยคือขนาดพื้นที่ใต้โถงบันไดที่มีขนาดเล็กกว่าหน่อย ด้านล่างสามารถเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กได้ประมาณ 4 อันเต็มที่ (รวมซ้อนด้านบนด้วย) ส่วนชั้นบนสามารถเก็บของได้ระดับนึงค่ะ
มาที่บันไดกันบ้างนะคะ ตัวบันไดนี้ที่ได้เป็นรูปตัว U แบบไม่ได้ชานพักบันไดเหมือนกับห้องตัวอย่างแรก ลักษณะจะเป็นขั้นสามเหลี่ยมซอยย่อยเยอะพอสมควรนะคะ เพื่อที่จะได้พื้นที่ใช้สอยบริเวณ Common Area และห้องนอนชั้นบนมากขึ้น ดังนั้นตัวบันไดก็อาจจะทำให้เดินยากหน่อยนะคะ
ขึ้นมาด้านบนเจอกับพื้นที่เตียงนอนก่อนเลย ซึ่งขนาดที่ให้ฐานและหัวเตียงมาจะเป็นขนาด Single Bed นะคะ ไม่ได้ไซส์ใหญ่เท่าห้อง 26 ตร.ม. ลึกเข้าไปด้านในจัดให้เป็นพื้นที่ Walk in Closet เช่นเดียวกับห้องตัวอย่างที่แล้วค่ะ
เมื่อวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต หรือ Single Bed แล้วก็จะเห็นว่าเหลือพื้นที่ทางเดินได้ทั้ง 2 ทาง เดินได้สะดวก
สุดท้ายภายในพื้นที่ Walk in Closet ที่จัดมาให้นั้นจะ Built-in ให้ตามห้องตัวอย่างเเลยนะคะ สเป็คต่างๆ ก็แบบเดียวกับห้องตัวอย่างแรกเลยที่พาไปดูกัน เพิ่มเติมคือมีขนาดของพื้นที่ใหญ่มากอีกหน่อยค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 13 February 2018
- ห้องพักอาศัย ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด (พื้นที่ชั้นล่าง+บน) 150,000-160,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้น รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด (พื้นที่ชั้นล่าง+บน) 130,000 บาท/ตร.ม.
- Fully Fitted
- ฝ้าเพดานสูง 4.2 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง n/a บาท
- ทำสัญญา n/a บาท
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง n/a บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
โครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin จัดเป็นโครงการที่มีความโดดเด่นในเรื่องของ Product แปลกใหม่แตกต่างจากโครงการข้างเคียงชัดเจนมาก ด้วยการทำห้องเป็นห้อง Loft ที่เรียกว่า Duo Space ความสูงฝ้าเพดาน 4.2 ม. ทั้งโครงการ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มคนที่ชื่นชอบห้องพักอาศัยแบบ Loft (ฝ้าเพดานสูง) ได้ความโปร่งโล่ง และการจัดฟังก์ชันเป็นสัดส่วนแยก Private Zone ด้วยการจัดขึ้นไปในชั้นบนได้โดยเฉพาะ
ทำเล – โครงการอยู่ระหว่างห้าแยกลาดพร้าวและแยกรัชโยธิน อยู่ติดกับย่านจตุจักร-บางซื่อ ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพในอนาคต โดยพื้นที่บริเวณบางซื่อ-จตุจักร นั้นจะกลายเป็น Hub (ศูนย์รวม) ของการเปลี่ยนถ่ายเส้นทางการเดินทางของรถไฟฟ้าหลายสาย และยังมีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีกลางบางซื่อ รวม 305.5 ไร่ ให้เป็นเชิงพาณิชย์หรือคอมเพล็กซ์ซิตี้ อาทิ สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ที่พักอาศัย และพื้นที่นันทนาการ วงเงินประมาณ 68,000 ล้านบาท ส่วนทาง BTS ก็มีแผนจะพัฒนาที่ดินเยื้องแดนเนรมิตเก่า ทำโครงการมิกซ์ยูสคอมเพลกซ์ทั้งร้านค้า สำนักงาน โรงแรมและที่อยู่อาศัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการปลายปี 2560 ทำให้ที่ดินบริเวณจตุจักร – รัชโยธินนี้จะมีความคึกคักอย่างมากในอนาคต
มาดูพื้นที่โดยรอบโครงการ Knightsbridge Space Ratchayothin ในระยะใกล้กันบ้าง ตัวโครงการอยู่ติดกับถนนพหลโยธิน ใกล้แยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ซึ่งในละแวกก็ประกอบไปด้วย SCB ตึกช้าง เป็นต้นค่ะ ที่ตั้งโครงการอยู่ในระยะที่เรียกว่าเดินไปทำงานได้เลยหากใครที่ทำงานใกล้แยกรัชโยธิน อย่าง SCB ตึกช้าง ตอบโจทย์กลุ่มคนที่ทำงานในละแวกและกำลังมองหาคอนโดใกล้ที่ทำงาน นอกจากนี้ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ก็คึกคักไม่แพ้แหล่งงานเพราะอยู่ใกล้เมเจอร์รัชโยธินแบบที่สามารถเดินไปได้ ให้ไปช็อปปิ้ง กินข้าว ดูหนังได้ง่ายมาก แต่ถ้าอยากขยับมาหาศูนย์การค้าที่ใหญ่ขึ้นมาก็มี Central ลาดพร้าวที่อยู่ไม่ไกลอีกเช่นกัน ในอนาคตเมื่อรถไฟฟ้าเสร็จแค่นั่งรถไฟฟ้าเพียงสถานีเดียวก็ถึงห้างแล้ว สะดวกมาก
มาที่ที่ตั้งโครงการอยู่ติดกับโครงการ Knightsbridge Prime Ratchayothin โครงการรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปปลายปีที่ผ่านมา ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเรื่องการบล็อกวิวแต่อย่างใดนะคะ อาคารจะอยู่เยื้องกันแทน
การเดินทางโดยใช้รถส่วนตัว – โครงการนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณแยกรัชโยธิน จึงเป็นจุดตัดทางเชื่อมกับถนนหลักสำคัญอย่างถนนรัชดาภิเษกและถนนพหลโยธิน โดยถนนรัชดาภิเษกเป็นถนนสำคัญในเมืองที่จะไปเชื่อมออกเส้นวิภาวดีรังสิตขาออกที่มุ่งหน้าไปดอนเมือง-รังสิต หรือจะเข้าเมืองก็จะวิ่งมาถึงย่านพระราม 9, อโศก ได้สะดวก ส่วนเส้นพหลโยธินก็เป็นถนนหลักที่เชื่อมกับเมืองทางอารีย์ อนุสาวรีย์ชัยฯ หรือจะวิ่งขึ้นเหนือไปทางมหาวิทยาลัยเกษตรฯ ไปรังสิตก็สะดวกเช่นกัน ซึ่งทางโครงการให้ที่จอดรถมาถึง 70% ทำให้สะดวกกับคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักมากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่นี้จะมีการจราจรที่ติดขัดเป็นพิเศษสักหน่อย ซึ่งก็คาดว่าเมื่อโครงการสร้างเสร็จ รถไฟฟ้าก็น่าจะเสร็จหรือใกล้เสร็จเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้การจราจรดีขึ้น ไม่ติดขัดเท่าปัจจุบันนะคะ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถส่วนตัว – ค่อนข้างสะดวกมาก เพราะติดถนนใหญ่ เรียกรถง่าย มี Taxi ผ่านตลอด และเดินไปแค่ประมาณไม่เกิน 100 เมตร (20 ม.ตามโครงการ) ก็ขึ้นรถไฟฟ้าสถานีพหลฯ 24 ได้ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เชื่อมเข้ากับรถไฟฟ้าสายหลักที่วิ่งเข้าสยามฯ อยู่ในปัจจุบัน ใครที่เข้าเมืองก็นั่งยาวๆ ไปได้เลย และนั่งเพียง 1 สถานีก็สามารถมาเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงินที่สถานีพหลโยธินได้ด้วย
การออกแบบ – ตัวโครงการมีการออกแบบที่น่าสนใจโดยใช้แนวความคิดหลักคือ Vertical Ascendence Vertical Accent โดยถูกแปลงมาเป็นฝ้าเพดานสูงตั้งแต่ห้องพักอาศัย ถึง Facilities ที่ให้ฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume เกือบทั้งหมด ในส่วนของห้องพักอาศัยที่ออกแบบมาเป็นห้อง Loft เรียกว่า Duo Space ทำออกมาได้น่าสนใจนะคะ อย่างห้อง 26 ตร.ม. (พื้นที่ตามโฉนด) จัดเป็นห้อง 1 Bedroom ที่จัดฟังก์ชันมาได้ค่อนข้างลงตัว ได้ครัวปิดเป็นสัดส่วน และที่ชอบคือชุด Built-in เก็บของ เก็บรองเท้า และมีที่นั่งใส่รองเท้าให้อีก นอกจากนี้ตัวบันไดที่ทางโครงการให้มาเป็นมาตรฐานก็มีพื้นที่เก็บของใต้โถงบันไดให้อีกด้วย ซึ่งออกแบบมาให้สามารถใช้พื้นที่ใช้สอยได้เต็มที่ดี ส่วนชั้นบนออกแบบเป็นห้องนอนที่มีห้อง Walk in Closet เป็นสัดส่วนดีมากส่วนห้อง 35 ตร.ม. เป็นห้อง 1 Bedroom Plus ที่ห้องตัวอย่างจัดมาให้ดูว่าห้อง 35 ตร.ม. สามารถจัดเป็นห้อง 2 Bedroom ได้เลย สำหรับใครที่วางแผนจะมีครอบครัวขนาดเล็กแต่งบประมาณมีจำกัดที่ไม่สามารถเลือกห้องใหญ่แบบ 2 Bedroom ได้ก็ยังสามารถเลือกเป็นห้อง 1 Bedroom plus ได้นะคะ ส่วนข้อจำกัดของห้อง Duo Space ที่นี่คือห้องนอนชั้นบนไม่ได้อยู่ใกล้กับห้องน้ำ เวลาใช้งานอาจจะลำบากหน่อย รวมไปถึงบันไดของห้อง 1 Bedroom Plus ที่มีลูกนอนขั้นสามเหลี่ยมค่อนข้างถี่เดินได้ไม่สะดวกมากนัก
วัสดุ – ขายในรูปแบบ Fully Fitted ให้เฟอร์นิเจอร์ครบทั้งหมดยกเว้นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวเท่านั้นค่ะ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์นี้ก็รวมชั้นบนทั้งหมดด้วย เช่น บันได ราวกันตก พื้น และชุด Built-in ในเรื่องของสเป็คให้มาค่อนข้างดีทีเดียว บานเปิดเป็น Gloosy ตัวบาน Soft Close ทั้งหมด ส่วน Pantry ครัวได้ครบทั้งชุด ท็อปเป็นหินเทียม พร้อม Hob & Hood และ Sink ส่วนสุขภัณฑ์ทั้งหมดจาก TOTO และโครงการนี้ลูกค้าจะได้Home Automation ที่ครอบคลุมการใช้งานทั้งแสงสว่าง Digital Door Lock รางผ้าม่าน และเครื่องปรับอากาศ ผ่าน Application ทาง Smartphone เป็นมาตรฐานในทุกห้องอีกด้วย
ว่ากันเรื่องราคาขายของโครงการนี้ค่อนข้างแปลกใหม่นะคะ โครงการบอกราคาเป็นราคาเฉลี่ยรวมพื้นที่ชั้นบน ที่สามารถใช้งานได้จริงไปด้วย แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่ได้ในโฉนด ด้วยราคาต่อตาราเมตรจะเริ่มต้นอยู่ที่ 130,000 บาท และราคาเฉลี่ยทั้งโครงการต่อตารางเมตรจะอยู่ราวๆ 150,000-160,000 บาท หากลองคำนวนเป็นราคาต่อตารางเมตรเริ่มต้นแบบนับเฉพาะพื้นที่ในโฉนดจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท/ตร.ม. บวกลบอีกเล็กน้อย ก็จัดว่าเป็นราคาที่สูงพอสมควร เทียบกับโครงการข้างเคียงในละแวกนี้ ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าได้มาก็จะหาได้ยากในโครงการอื่นๆ เหมือนกัน เช่น ชุดเฟอร์นิเจอร์ที่ให้มาครบครัน ออกแบบมาโดยเฉพาะในการอยู่อาศัยแบบ Loft และปริมาตรห้องที่ได้มากขึ้นกว่าห้องพักอาศัยทั่วไปด้วยความสูง 4.2 ม.
สาธารณูปโภค – ให้มาพอสมควรและค่อนข้างหลากหลายดี ซึ่ง Facilities หลักถูกยกขึ้นไปชั้นบนสุดสามารถใช้งาน Facilities ไปในขณะที่ก็สามารถชมวิวไปด้วยได้ โดยพื้นที่ส่วนกลางที่โครงการให้มาก็ร่วม 1,600 ตร.ม.ทีเดียวนะคะ ส่วนฟังก์ชันที่น่าสนใจที่เพิ่มขึ้นมาคือการทำพื้นที่ Cafe 24 และ Car Waiting Area ไว้ให้สำหรับให้ลูกบ้านที่คอยรถนั่งรอได้สบายๆ ด้วยความที่ตัวโครงการนี้ใช้ระบบที่จอดรถเป็น Automatic Parking ทั้งหมด
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคา (รวมพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด) 150,000-160,000 บาท/ตร.ม.,
- ทำเล 8.5/10 – ใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ทั้ง Major รัชโยธิน, SCB แบบเดินไปได้ และมีศักยภาพในอนาคต
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – เดินทางสะดวกอยู่ใกล้แยกรัชโยธิน ติดถนนใหญ่ และสามารถลัดเลาะเข้าวิภาวดีรังสิตผ่านซอยย่อยได้
- ไม่ใช้รถ 8.5/10 – ใกล้สถานีพหลโยธิน 24 ในระยะที่เดินได้สบาย และเรียกรถสาธารณะง่าย
- วัสดุ 7.5/10 – ให้วัสดุแบบ Fully Fitted ที่สเป็คดี พร้อมระบบ Home Automation
- แบบ 7.5/10 – น่าสนใจ มีการออกแบบในรูปแบบ Vertical และการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้สามารถใช้งานเต็มที่
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – ให้ Facilities มาหลากหลาย ร่วม 1,600 ตร.ม.
- LUXURY CLASS
- 8.08 / 10.00
BOTTOM LINE
Knighsbridge Space Ratchayothin เหมาะกับคนที่อยากได้คอนโดใกล้ทำงานหรือต้องการอาศัยในละแวกนี้ ชอบห้อง Loft หรือห้องฝ้าเพดานสูง เน้นเดินทางสะดวกทั้งแบบใช้รถและไม่ใช่รถ ในราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนเริ่มต้นประมาณ 32,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป