…หลังจากผ่านมา 2 ปี ในที่สุดโครงการ KAVE TU ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ และเพิ่งเปิด Open House ให้ชมกันไปเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เองครับ ซึ่งถ้าใครได้ไปก็คงจะประทับใจกับฟังก์ชันพื้นที่ส่วนกลางต่างๆที่เค้าจัดมาให้แน่นอน เรียกได้ว่าให้มาเยอะสุดในย่านเลยทีเดียวครับ โดยจุดเด่นหรือ Highlights ของโครงการนี้ที่ดูแล้วน่าสนใจก็จะมีดังนี้

  • Facilities : เรียกได้ว่าให้มาเยอะที่สุดในย่านเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งมีทั้งหมดกว่า 40 ฟังก์ชัน กับทีเด็ดคือสระว่ายน้ำยาว 100 m. ฟิตเนสขนาดใหญ่ และ E-Sport ที่ตกแต่งสวยจริงจังยิ่งกว่าร้านเกมส์ซะอีก
  • การออกแบบโครงการ : วางผังให้อาคารโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลาง และยังมีการแบ่งโซนการใช้งานได้เป็นสัดส่วนดี
  • ทำเล : อยู่เยื้องๆกับประตูเชียงราก 2 และโซน U-Square ที่เป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยหลักของน้องๆม.ธรรมศาสตร์ โดยยังเป็นระยะที่พอจะเดินได้ครับ
  • การลงทุน : สามารถลงทุนปล่อยเช่าให้กับน้องๆนักศึกษาได้

ข้อมูลโครงการ

KAVE TU (เคฟ ทียู) ณ วันที่ 22 กันยายน 2564

 ชื่อโครงการ  KAVE TU (เคฟ ทียู)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด
 SEGMENT CLASS  ECONOMY – MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ถนน เชียงราก อำเภอ คลองหลวง
 ที่ดิน  11-0-26.6 ไร่
 ประเภทคอนโด  Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร
 จำนวนยูนิต  1,016 ยูนิต (อาคาร A 246 ยูนิต, อาคาร B 255 ยูนิต, อาคาร C 243 ยูนิต, อาคาร D 272 ยูนิต)
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด   40 ยูนิต ที่อาคาร D
 ที่จอดรถ  332 คัน คิดเป็น 42% แบบรวมจอดซ้อนคัน (ซ้อนคัน 103 คัน ที่จอดมอเตอร์ไซค์ 134 คัน)
 สถานะโครงการ  สร้างเสร็จพร้อมอยู่
 ประเภทห้องพัก
  • 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 23.93 – 25.48 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ใช้สอย 27.18 – 35.71 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ใช้สอย 28.32 – 28.38 ตร.ม. (sold out)
  • 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ใช้สอย 34.06 – 39.58 ตร.ม. (sold out)
  • 2 Bedrooms ขนาดพื้นที่ใช้สอย 40.42 – 44.77 ตร.ม. (sold out)

 ฝ้าเพดานสูง  2.4 เมตร
 ราคาเริ่มต้น  1.69 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 กันยายน 2564)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 67,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://kavecondo.com/condominium/kavetu/
 Call Center 02-168-0000

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • ตั้งอยู่บนถนนเชียงราก โดยจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับ U-Square และประตูเชียงราก 2
  • สามารถลงทุนปล่อยเช่าให้กับน้องๆนักศึกษาได้ เพราะเป็นทำเลโซนใกล้มหาลัย น้องๆสามารถเดินทางไปเรียนได้ไม่ยาก และรอบๆก็เต็มไปด้วยหอพักมากมาย แต่การแข่งขันก็จะสูงอยู่สักหน่อย
  • ใกล้ทางด่วนอุดรรัถยา 3.5 km. และห่างจากทางยกระดับอุตราภิมุขประมาณ 12 km.

พิกัด Google Maps : 14.064216, 100.610008
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

โครงการ KAVE TU ตั้งอยู่บนถนนเชียงราก บริเวณฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับ U-Square และประตูเชียงราก 2 โดยเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบริเวณนี้ จะเต็มไปด้วยหอพักของน้องๆนักศึกษามากมาย และมีคอนโดมาเปิดใหม่กันก็เยอะ ซึ่งนี่ก็ยังถือเป็นคอนโดแรกของ AssetWise ที่มาบุกเบิกในทำเลของมหาลัยธรรมศาสตร์อีกด้วยครับ แน่นอนว่าย่อมเป็นที่หมายปองของกลุ่มนักลงทุนด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะมีนักศึกษาแล้ว ก็ยังมีทั้งบุคลากรมหาวิทยาลัย คุณหมอ/พยาบาลที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และ สวทช. เป็นต้น

สำหรับความอุดมสมบูรณ์หลักๆคือ U-Square ที่เป็นเหมือนเต็นท์และศูนย์อาหารขนาดใหญ่ของโซนนี้ ซึ่งจะมีน้องๆนักศึกษาและคนทำงานแถวๆนั้นแวะมาฝากท้องกันเพียบ ยิ่งช่วงกลางคืนก็ยิ่งคึกคักครับ หรือจะเป็น TU Dome โครงการโปรเจค Mixed-use ของมหาลัย ที่ด้านในจะเป็นหอพักนักศึกษา และด้านหน้าจะทำเป็นเหมือนศูนย์การค้าขนาดย่อมๆ ที่มีร้านค้าต่างๆค่อนข้างครบ เช่น MK, Yayoi, Chester’s Grill และ Watson เป็นต้น รวมถึงบริเวณด้านหน้าก็จะมีตลาดนัดเล็กๆที่เปิดทุกวันอีกด้วยครับ เรียกได้ว่าเป็นโซนมหาลัยที่คึกคักมากๆเลยทีเดียว

จากภาพ เราสามารถแบ่งแยกโซนที่พักอาศัยของถนนเชียงรากออกได้อีกเป็น 4 โซน ซึ่งแต่ละโซนก็จะมีลักษณะ สถาพแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป คือ

  1. โซน U-Square : เป็นโซนที่อุดมสมบูรณ์และใกล้กับประตูมหาลัยมากที่สุด มีหอพักนักศึกษาขึ้นกันอยู่อย่างหนาแน่น และมีร้านค้าต่างๆมากมาย สรุปคือเป็นโซนที่สะดวกสบาย แต่ก็พลุกพล่านมากที่สุดโซนหนึ่ง ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว ก็อาจยังไม่เหมาะกับโซนนี้มากนักนะครับ
  2. โซน SUNTA : เป็นโซนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาลัยและ U-Square ซึ่งจะสามารถเดินข้ามไป-มาได้ด้วยสะพานลอย ก็ยังถือว่าเดินไปเรียนค่อนข้างสะดวกอยู่ครับ รวมถึงเรื่องอาหารการกินก็พอจะมีตรงบริเวณริมถนนและปากซอยต่างๆ หรือส่วนใหญ่น้องๆนักศึกษาก็จะหาซื้อของกินกันตั้งแต่ฝั่ง U-Square เสร็จแล้วค่อยข้ามฝั่งเพื่อกลับไปยังที่พักได้ สรุปแล้วโซนนี้ถือว่ายังมีความสะดวกสบายอยู่นะ และมีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาหน่อย ไม่พลุกพล่านเหมือนฝั่งมหาลัย จึงเหมาะแก่การอยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งโครงการ KAVE TU ก็จะอยู่ในโซนนี้ด้วยครับ
  3. โซน J-Park : เป็นอีกโซนที่อยู่ฝั่งเดียวกับมหาลัย แต่จะอยู่บริเวณด้านหลัง และถ้าออกมาจากมหาลัย ก็จะต้องไปกลับรถมาก่อน 2 รอบ โซนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นโซนที่มีหอพักราคาแพงอย่าง J-Park ตั้งอยู่ ด้านหน้ามี Plaza เป็นของตัวเอง ซึ่งก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังมีหอพักอื่นๆอยู่ด้านในซอยอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ถือว่าสงบมากกว่า U-Square เพราะเดิมทีโดยรอบเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิม แต่หากใครคิดว่าจุดนี้เป็นแหล่งผับและแฮงค์เอ้าท์ ตอนนี้ไม่มีแล้วนะครับ เพราะร้านปิดไปหมดแล้ว (T^T)
  4. โซน Golf View : โซนนี้ถือว่าเป็นเอกเทศมากๆ แยกตัวออกมาจากโซนอื่นๆ และได้ตั้งอาณาจักรขึ้นมาเป็นของตัวเองด้านใน แต่ด้วยความที่มันไกลและเดินทางลำบากมากสุดในบรรดาทุกๆโซน จึงทำให้ราคาหอพักค่อนข้างถูก เหมาะกับนักศึกษาที่ไม่เน้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ไม่กลัวเรื่องเดินทางลำบาก แต่อันที่จริงแล้วทางหอก็มีรถรับ-ส่งนะ ดังนั้นถ้าใครที่เน้นเรื่องราคาถูกและความเป็นส่วนตัวก็จะเลือกอยู่ที่โซนนี้กันครับ

ในเรื่องของการเดินทางไปมหาลัย โครงการมีแผนว่าจะทำสะพานลอยตรงด้านหน้าในอนาคตครับ ซึ่งจะทำให้น้องๆสามารถเดินเท้าไปเรียนกันได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหากวัดระยะตั้งแต่หน้าโครงการไปจนถึงประตูเชียงราก 2 จะมีระยะประมาณ 280 m. และเดินอีกนิดก็จะถึงท่ารถตู้ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ตรงบริเวณด้านหน้าคณะสถาปัตย์แล้วล่ะครับ ซึ่งนอกจากจะมีรถตู้แล้วก็ยังมีพวกรถราง NGV ที่นักศึกษาใช้เดินทางไปเรียนตามอาคารต่างๆในมหาลัยได้ฟรีอีกด้วย

และผมอัพเดตให้นิดนึงว่าปัจจุบันจะมีประตูหนอนเล็กๆ ที่เชื่อมต่อโซน U-Square และท่ารถตู้ได้ด้วยครับ ซึ่งน้องๆบางคนเค้าก็จะใช้เป็นทางเข้า-ออก ที่ช่วยร่นระยะทางลงได้พอสมควร และอีกอย่างคือโซน U-Square จะมีการขยายไปทำเลใหม่เป็น U-Square 2 ตรงประตูเชียงราก 2 ซึ่งพื้นที่เดิมของ U-Square อนาคตจะเปลี่ยนเป็นโครงการ Modiz Launch จาก AssetWise และเบื้องต้นทางโครงการยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า Shuttle Service ของโครงการ KAVE TU ที่คอยบริการรับ-ส่งน้องๆ ก็น่าจะมาจอดที่หน้าโครงการ Modiz Launch แห่งนี้ด้วย ซึ่งเดินต่ออีกประมาณ 100 m. ก็เข้าประตูหนอนแล้วล่ะครับ

การเดินทางด้วยรถยนต์จากประตูเชียงราก 1 และ 2 :

Image 1/2
หากวัดขาไปมหาลัย เราจะต้องไปกลับรถมาก่อนรอบหนึ่ง แล้วจึงเลี้ยวเข้ามหาลัยที่ประตูเชียงราก 1 ได้ครับ ซึ่งจะมีระยะทางประมาณ 3.5 km. หรือใช้เวลาประมาณ 4 - 5 นาทีเท่านั้น (ในกรณีที่รถไม่ติด)

หากวัดขาไปมหาลัย เราจะต้องไปกลับรถมาก่อนรอบหนึ่ง แล้วจึงเลี้ยวเข้ามหาลัยที่ประตูเชียงราก 1 ได้ครับ ซึ่งจะมีระยะทางประมาณ 3.5 km. หรือใช้เวลาประมาณ 4 - 5 นาทีเท่านั้น (ในกรณีที่รถไม่ติด)

การเดินทางไปใช้ทางด่วน :

Image 1/2
สำหรับทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ อุดรรัถยา ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการเพียง 3.5 km. สามารถเดินทางไปแจ้งวัฒนะ ดินแดง ดาวคะนอง และบางนา ได้ครับ

สำหรับทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ อุดรรัถยา ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการเพียง 3.5 km. สามารถเดินทางไปแจ้งวัฒนะ ดินแดง ดาวคะนอง และบางนา ได้ครับ

การเดินทางไปยังโครงการ :

Image 1/8
การเดินทางในวันนี้เราเริ่มกันที่บนทางยกระดับอุตราภิมุข หรือทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ จากนั้นมาลงที่ถนนพหลโยธิน แล้วขับรถมุ่งหน้ามาทางรังสิตเรื่อยๆ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเชียงราก ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ ฝั่งตรงข้ามกับประตูเชียงราก 2 ของมหาลัยธรรมศาสตร์ครับ

การเดินทางในวันนี้เราเริ่มกันที่บนทางยกระดับอุตราภิมุข หรือทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ จากนั้นมาลงที่ถนนพหลโยธิน แล้วขับรถมุ่งหน้ามาทางรังสิตเรื่อยๆ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเชียงราก ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือ ฝั่งตรงข้ามกับประตูเชียงราก 2 ของมหาลัยธรรมศาสตร์ครับ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

บริบทโดยรอบโครงการปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นที่ว่างครับ รวมถึงยังมีคอนโดเพื่อนบ้านอยู่ใกล้เคียงด้วย บรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบสงบ ยังไม่พลุกพล่านหรือแออัดมากนัก สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : เป็นทางเข้าโครงการ อยู่ติดกับคลองและถนนเชียงราก
  • ทิศใต้ : ติดกับ ที่ว่างและโครงการคอนโดเพื่อนบ้านที่สูง 8 ชั้น
  • ทิศตะวันออก : ติดกับ ที่ว่าง
  • ทิศตะวันตก : ติดกับ ที่ว่างและโครงการคอนโดเพื่อนบ้านที่สูง 8 ชั้น

นี่เป็นภาพบรรยากาศริมถนนเชียงราก ซึ่งปัจจุบันกำลังมีการทำถนนอยู่นะครับ รวมถึงอนาคตทางโครงการก็มีแผนทำสะพานลอยตรงบริเวณแถวๆนี้ เพื่อให้น้องๆสามารถเดินข้ามไปเรียนได้สะดวกมากขึ้นด้วย

ส่วนทางเข้าโครงการเราจะต้องข้ามสะพานมาก่อนนะครับ จากนั้นก็เลี้ยวไปตามทางด้านซ้ายมือ ก็จะเจอกับโครงการตั้งอยู่ด้านหน้าแล้วล่ะครับ

 

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • TU DOME PLAZA – 1.1 กม.
  • ตลาดไท – 9.8 กม.
  • Major รังสิต 14.3 กม.
  • Future Park รังสิต – 15 กม.

โรงพยาบาล

  • รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ – 5.9 กม.

โรงเรียน

  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – 280 ม.
  • รร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – 8.3 กม.
  • มหาวิทยาลัยกรุงเทพ – 10.4 กม.

สถานที่ราชการและแหล่งงาน

  • จุดขึ้น – ลง ทางด่วนอุดรรัถยา – 3.5 กม.
  • สวทช. – 8.2 กม.
  • จุดขึ้นลงทางด่วนอุตราภิมุข – 12 กม.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • Facilities : ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางเยอะสุดในย่านเลยก็ว่าได้ครับ ด้วยจำนวน Facilities กว่า 40 ฟังก์ชัน และสระว่ายน้ำที่ยาวกว่า 100 m. อีกทั้งยังมีฟังก์ชันน่าสนใจที่เหมาะกับการใช้งานของน้องๆนักศึกษาหลายอย่างทีเดียว
  • การแบ่งโซน : แต่ละอาคารจะมีคอนเซปต์เป็นของตัวเอง ซึ่งจะแยกฟังก์ชันของส่วนกลางออกเป็น 4 โซนใหญ่ๆไปตามลักษณะการใช้งาน เช่น โซนพักผ่อน โซนพบปะพูดคุย โซนออกกำลังกาย และโซนนั่งทำงานอ่านหนังสือ เป็นต้น รวมถึงยังมีการใช้ระบบ Key Card ตามจุดต่างๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในการพักอาศัยมากขึ้นอีกด้วยครับ
  • การออกแบบ : อาคารทั้ง 4 จะโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางเอาไว้ ทำให้ห้องที่หันเข้ามาด้านในจะได้รับวิวสระว่ายน้ำ และพื้นที่สวนที่ค่อนข้างสวยเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งอาคารด้วยสีสันที่ค่อนข้างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทั้งภายนอกและภายในเลยครับ

โครงการ KAVE TU ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 11-0-26.6 ไร่ และมีห้องพักอาศัย 1,016 ยูนิต ถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ แต่ในขณะเดียวกันเค้าก็มีพื้นที่ส่วนกลางมาให้เยอะมากเช่นกัน โดยจะอยู่บริเวณชั้น 1 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ตรงส่วน Outdoor และใต้อาคารทั้ง 4 นอกจากนี้ที่ดินทางด้านขวาจะมีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน ซึ่งพื้นที่ส่วนนั้นจะไม่สามารถทำสิ่งปลูกสร้างใดๆได้ครับ ดังนั้นทางโครงการจึงจัดเป็นพื้นที่จอดรถกลางแจ้งให้ทั้งหมด และสามารถจอดรวมกันได้ถึง 332 คัน หรือคิดเป็น 42% แบบรวมซ้อนคันซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเยอะดีอยู่เหมือนกัน

ส่วนจุดเด่นของการวางผังโครงการคือ อาคารทั้ง 4 ที่โอบล้อม Facilities เอาไว้ ทำให้ห้องพักอาศัยที่หันเข้ามาด้านใน จะได้วิวและบรรยากาศสวยๆที่ทางโครงการจัดเอาไว้ให้หลายห้องเลยล่ะครับ รวมถึงยังมีการจำกัดโซนของบุคคลภายนอก ที่จะเข้ามาได้เฉพาะตรง Lobby อาคาร A ที่อยู่หน้าสุดเท่านั้น แต่ไม่สามารถเข้ามาภายในพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆได้ครับ (ไม่ว่าจากประตูของอาคารไหนก็ตาม) เพราะจำเป็นต้องใช้ Key Card Access สำหรับลูกบ้านเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยของผู้พักอาศัย ซึ่งแน่นอนว่าทางเข้าหลักด้านหน้าก็จะมีพี่ยาม และกล้องวงจรปิดคอยดูแล 24 ชม. คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ

และต้องอัพเดตกันสักหน่อยว่าปัจจุบันโครงการขายไปได้แล้วกว่า 90% โดยอาคาร A และ C จะเป็นอาคารแรกๆที่เปิดขายก่อน ดังนั้นตอนนี้ก็เลยมีเหลือไม่มากแล้วนะครับ แต่ถ้าเป็นอาคาร B และ D จะยังพอมีตำแหน่งให้เลือกพอสมควร ซึ่งทั้ง 2 อาคารนี้จะมีลักษณะเป็นแนวยาวที่ขนานไปกับสวนและสระว่ายน้ำ เลยสามารถมองเห็นวิวต่างๆเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว หรือจะเป็นห้องที่หันรับวิวด้านนอกโครงการที่ราคาดีๆ ก็มีให้เลือกอยู่เช่นกันครับ

ซุ้มประตูทางเข้าโครงการจะเป็นสไตล์โมเดิร์นเรียบๆ และใช้สี Red Wine แบบเดียวกับตัวอาคาร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์มากๆเลยครับ โดยจะมีการแบ่งทางเข้า-ออก ของลูกบ้านและ Visitor ออกจากกันชัดเจน มาพร้อมกับหลังคาช่วยบังแดดบังฝนได้เป็นอย่างดีครับ

ระบบการเข้า-ออกจะใช้เป็น RFID หรือสัญญาณ Bluetooth ที่ไม้กั้นกระดกจะเปิดให้อัตโนมัติเหมือน Easy Pass บนทางด่วน ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างดี และยังมีกล้อง CCTV คอยจับภาพป้ายทะเบียนรถอีกด้วย ส่วน Visitor ก็จะต้องแลกบัตรกับพี่ยามก่อนตามปกติครับ

และเมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาก็จะมีทางแยก 2 ทางด้วยกันครับ ซึ่งหากเป็นลูกบ้านที่อยู่อาคารด้านในๆหน่อย อย่างอาคาร B, C หรือ D ก็สามารถขับตรงเข้าไปเพื่อหาที่จอดรถใต้ตึกตัวเองได้เลย เวลาขึ้น-ลงอาคารก็จะได้สะดวกไม่ต้องเดินไกล

แต่ถ้าเราเลี้ยวขวามาก็จะเป็นทางไป Drop Off เพื่อรับ-ส่งคนที่บริเวณหน้าอาคาร A ซึ่งเป็นทางเข้าหลักได้ครับ รวมถึงยังมีลานจอดรถกลางแจ้งไว้คอยบริการอีกด้วย

ก่อนจะเข้าไปดูในแต่ละอาคารกันต่อ ผมจะให้ดูแปลนและฟังก์ชันกันก่อนทุกครั้งนะครับ เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพรวมไปพร้อมๆกันมากขึ้น โดยอาคาร A เป็นอาคารแรกที่อยู่ทางด้านหน้าสุด และมีคอนเซปต์ว่า Be Relaxed คือต้องการให้เป็นพื้นที่สบายๆ สำหรับนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจกันได้แบบชิลๆนั่นเองครับ ซึ่ง Lobby ของอาคารนี้ก็มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เพราะต้องใช้เป็นพื้นที่นั่งคอยหรือรับรองแขกภายนอกด้วย

คือถ้าน้องๆมีเพื่อนหรือแขกมาหา ก็สามารถให้เค้าเข้ามานั่งรอที่ด้านใน Lobby ตรงนี้ได้เลยครับ แต่ในขณะเดียวกันบุคคลภายนอกเค้าจะไม่สามารถเดินเข้าไปด้านในโครงการส่วนอื่นๆ หรือโถงลิฟต์ของอาคารนั้นๆได้นะ เพราะจะต้องใช้ Key Card Access สำหรับลูกบ้านเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าไปได้ครับ (ตรงจุดที่วงสีแดง) ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยมากขึ้นนั่นเอง บรรยากาศจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

เมื่อเข้ามาภายในอาคาร A เราจะเจอกับ Lobby ขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งเป็นโทนสีเหลือง-ขาว ดูสดใสและอบอุ่นครับ บริเวณตรงกลางคือฟังก์ชันที่เรียกว่า Kave Kafe ลักษณะจะเป็นเคาน์เตอร์ยาวขนาดใหญ่ โดยอนาคตก็จะมีร้านกาแฟเล็กๆมาให้บริการด้วย (เป็นพื้นที่ให้เช่า ซึ่งรายได้จะเข้าส่วนกลางของโครงการครับ)

ส่วนพื้นที่รอบๆจะมีจุดให้นั่งเล่นพักผ่อนกันได้หลายจุดเลยทีเดียว โดยดีไซน์ของเค้าได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Cave หรือถ้ำ (เป็นการเล่นคำมาจากชื่อแบรนด์ KAVE ) ลักษณะก็จะตกแต่งผนังและพื้นเป็นการเล่นระดับ Layer เหมือนเป็นชั้นดิน/ชั้นหินนั่นเองครับ ซึ่งลูกค้าที่ซื้อกาแฟมาจาก Kave Kafe ก็สามารถมานั่งทำงานจิบกาแฟกันตรงนี้ได้เลย

อีกด้านของ Lobby จะมีบันไดวนให้สามารถเดินขึ้นไปใช้งานบนชั้น 2 ได้ด้วย รวมถึงจะมีทางเดินแยกออกไปยังส่วนของโถงลิฟต์ ห้องน้ำ และนิติบุคคลครับ

โดยการเข้ามายังส่วนของโถงลิฟต์ เราจะต้องใช้ Key Card ถึงจะผ่านเข้ามาได้ครับ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว รวมถึงเราจะได้เห็น Mailbox สีเหลืองโดนเด่น ซึ่งแต่ละอาคารเค้าก็จะมีสีที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแตกต่างกันออกไป (เดี๋ยวจะค่อยๆพาดูกันไปทีละตึกนะ) ส่วนลิฟต์โดยสารก็จะมีให้ใช้ 2 ตัว/อาคารครับ

ชั้น 2 ของอาคาร A จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยแล้วครับ โดยจะมีเพื่อนบ้านแค่เพียง 30 ห้อง รวมถึงจะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารชั้นนี้ ที่ยังคงเป็นพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้วย และสามารถเดินขึ้นบันไดมาได้จาก Lobby เมื่อครู่นี้นั่นเองครับ โดยฟังก์ชันหลักๆจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น และนั่งทำงานอ่านหนังสือ ซึ่งถ้าใครที่พักอาศัยอยู่ที่ชั้นนี้ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีเพื่อนแวะเวียนมาหาบ่อยๆ หรือชอบที่จะลงไปทานกาแฟเป็นประจำ ก็น่าจะเหมาะกับการอยู่ชั้นนี้ดีทีเดียวครับ เพราะจะมีประตูทางเชื่อมระหว่างส่วนกลางและโซนพักอาศัยอยู่ด้วย แน่นอนว่าจะต้องใช้ Key Card เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนะ

สำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ผมแนะนำให้ขึ้นมาชั้น 2 เลยครับ จะมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งหลายจุดเลย มีทั้งแบบเป็นชุดโซฟานั่นสบายๆ โต๊ะตัวยาวขนาดใหญ่สำหรับนั่งทำงานกลุ่ม หรือถ้าใครอยากได้ความเป็นส่วนตัว ก็จะมีโซนที่สามารถกั้นประตูบานเลื่อนปิดได้ด้วยนะครับ

ส่วนถ้าเรามองไปทางขวามือก็จะเห็นประตูบานทึบบานหนึ่ง ที่จะเชื่อมกับโซนห้องพักอาศัยชั้น 2 ของอาคาร A แต่จะต้องใช้ Key Card สำหรับคนอยู่ชั้น 2 นี้เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ครับ

ในส่วนของแปลนชั้น 3 ก็จะคล้ายกับชั้น 2 ก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่จะมีห้อง 1 Bedroom Plus เพิ่มขึ้นมาทางขวามืออีกห้องหนึ่งครับ

ชั้น 4 – 8 จะมีโซนของห้อง 2 Bedroom และ 1 Bedroom Extra เพิ่มขึ้นมาครับ ซึ่งจะเชื่อมต่อกับอาคารหลักด้วยสะพานทางเชื่อมตึกเล็กๆ รวมถึงยังมีเพื่อนบ้านเพียง 6 ห้อง/ชั้นเท่านั้น ถือว่าเป็นโซนพิเศษที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆเลยทีเดียว แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆคือ ตำแหน่งของห้อง 2 Bedroom จะสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่กลางแจ้งชั้น 1 ได้ทั้งหมดเลยครับ (ตามรูปหน้าปกรีวิวนี้เลย)

แต่แน่นอนว่าห้องที่หันเข้ามาส่วนกลางด้านในโครงการ แบบนี้ ก็อาจต้องมีความเสี่ยงในเรื่องของเสียงดังรบกวน หรืออาจเป็นสายตาจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ที่อาจเป็นห้องฝั่งตรงข้ามก็ดี หรือคนที่ใช้ส่วนกลางแล้วอาจมองขึ้นมาก็ได้ ความเป็นส่วนจึงลดลงไปบ้าง เลยอาจต้องคอยปิดม่านอยู่ตลอดเวลา และเปิดเมื่อต้องการวิวเป็นบ้างครั้งแทนครับ

จากตรงนี้ถ้าเราจะเข้าไปด้านในบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง เราจะต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออก ซึ่งก็จะช่วยคัดกรองไม่ให้คนภายนอก ที่อาจมานั่งรอเพื่อนที่ Lobby อาคาร A แห่งนี้เข้าไปด้านในโครงการได้ เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวอีกชั้นหนึ่งครับ

เข้ามาด้านในบริเวณตรงกลางเราจะเจอกับสวน และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่ถูกโอบล้อมด้วยอาคารพักอาศัยทั้ง 4 อาคาร โดยสีของตัวอาคารจะเป็นสี Red Wine ตัดกับสีเขียวของต้นไม้เลยทำให้ดูโดดเด่นมากขึ้น

สระว่ายน้ำของที่นี่ถือเป็น Highlight ของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ครับ เพราะเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่รูปทรง Freeform ที่เชื่อมต่อกันยาวถึง 100 m. ซึ่งถือว่ามีความยาวที่สุดในย่านเลยทีเดียว แต่จะไม่ได้เป็นสระใหญ่ที่ว่ายต่อเนื่องกันทั้งหมดนะครับ โดยจะมีส่วนของน้ำตื้น สระเด็ก และสระใหญ่สลับกันไป

เรามาเริ่มกันตรงสระส่วนแรกจะเป็นสระเด็กครับ ซึ่งหากใครมีน้องๆหลานๆมาเที่ยวหาล่ะก็ สามารถพามาเล่นน้ำตรงนี้ได้เลยนะ

ถัดมาเราจะเจอกับส่วนของน้ำตื้นมาคั่นกลาง อยู่ระหว่างสระเด็กและสระใหญ่พอดีครับ อีกทั้งยังมี Shower ให้ได้ล้างตัวกันก่อนเดินลงสระได้นะอีกด้วย

ส่วนสระว่ายน้ำหลักที่เป็นทางตรงยาวๆ จะมีความยาวระดับ half olympic หรือประมาณ 25 m. ซึ่งก็สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้จริงจังเลยล่ะครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีมุม Jacuzzi / สไลเดอร์ รวมถึงจุดให้นั่งเล่นรอบๆสระหลายจุดเลย และเนื่องจากเป็นสระแบบกลางแจ้ง จึงอาจต้องเลือกเวลามาใช้งานเป็นตอนแดดร่มๆหน่อย ก็จะค่อนข้างเหมาะเลยครับ

ส่วนห้องน้ำริมสระจะอยู่อีกด้านหนึ่งบริเวณใต้อาคาร C ที่อยู่ถัดเข้าไป ภายในจะมีทั้งโถสุขภัณฑ์ และห้องอาบน้ำให้ใช้ล้างเนื้อล้างตัวได้ครับ รวมถึงจะมีห้องสตรีมให้ได้ใช้งานด้วยนะครับ (แต่ปัจจุบันทางโครงการกำลังทำอยู่นะ เลยอาจยังไม่มีรูปภาพมาให้ชมกัน)

บริเวณปลายสระจะเป็นพื้นที่สวนสีเขียวครับ ซึ่งน้องๆก็สามารถมานั่งเล่น หรืออ่านหนังสือตามม้านั่งใต้ต้นไม้ต่างๆเหล่านี้ได้เลย

คราวนี้เราจะไปดูฟังก์ชันภายในอาคารกันบ้างครับ โดยเริ่มจากอาคาร B เค้าจะมีคอนเซปต์ว่า Be Socialized คือเน้นฟังก์ชันที่สามารถมาพบปะ พูดคุย และทำกิจกรรมร่วมกันหลายๆคนได้ครับ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ Co-Working Space ที่อยู่ทางอาคารด้านขวา และ Co-Creation Kitchen & Chef Table Corner ที่อยู่ทางด้านซ้าย แต่รวมๆแล้วก็จะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่มีโต๊ะ/เก้าอี้ให้ได้นั่งเล่นพักผ่อนกันได้หลายมุมเลยนั่นเอง หรือจะจัดงานปาร์ตี้ก็เหมาะนะ

อาคาร B ภายในจะตกแต่งเป็นโทนสีน้ำเงิน ที่ดูเย็นตาและเท่ๆหน่อย ซึ่งโซนนี้จะเป็น Lobby ที่มีพื้นที่นั่งคอยครับ โดยลูกบ้านอาคารอื่นๆก็ยังสามารถเข้ามาบริเวณนี้ได้นะ

ด้านซ้ายจะมีทางแยกสำหรับเข้ามายังโถงลิฟต์ ซึ่งจะต้องใช้ Key Card สำหรับคนที่พักในอาคารนี้เท่านั้นจึงจะเข้ามาได้ และด้านในก็จะรายล้อมด้วย Mailbox สีน้ำเงิน ตามโทนสีของคอนเซปต์อาคารนั่นเอง

ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่ Co-Working Space ขนาดใหญ่ น้องๆสามารถมานั่งพบปะพูดคุย และทำงานอ่านหนังสือร่วมกันได้อย่างเต็มที่ โดยจะเป็นโซนที่อาจมีการใช้เสียงกันได้อยู่สักหน่อยนะครับ ถ้าใครต้องการที่ทำงานเงียบๆแบบใช้สมาธิ เค้าก็จะจัดเอาไว้ให้ที่อาคาร D แล้วครับ

ส่วนภายใน Co-Working Space จะมีที่ให้นั่งหลายจุดเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นชุดโซฟาริมหน้าต่าง ที่สามารถชมวิวด้านนอกชิลๆได้ดี หรือจะเป็นโต๊ะที่ดูนั่งทำงานได้จริงจังขึ้นมาหน่อย เพราะจะมีโคมไฟช่วยส่องสว่าง รวมถึงมีการเว้นระยะห่างของโต๊ะ ให้แยกออกจากกันเป็นคู่ๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ

อีกด้านหนึ่งของห้องจะมีบันไดวนที่สามารถเดินขึ้นไปใช้งานฟังก์ชันด้านบนได้ด้วย

ชั้น 2 ของอาคาร B จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยแล้วครับ และจะไม่มีทางเชื่อมกับ Facilities ที่อยู่ชั้นเดียวกันนี้เลย ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นครับ เพราะอย่างที่บอกว่าอาคารนี้จะเน้นความคึกคักและการทำกิจกรรมร่วมกันเป็นหลัก การแยกโซนพักอาศัยให้ชัดเจนไปเลยก็ถือว่าเหมาะสมดี โดยเพื่อนบ้านในชั้นนี้ก็จะมีอยู่ 27 ห้องด้วยกัน ส่วน Facilities ก็จะมีอยู่ 3 ฟังก์ชันหลักๆ บรรยากาศจะเป็นอย่างไรเราตามไปดูกันต่อเลยครับ

เมื่อขึ้นมาเราจะเจอกับโต๊ะพูลตั้งอยู่ตรงกลาง โดยพื้นที่ตรงนี้จะเรียกว่า Game Area สามารถชวนเพื่อนๆมาเล่นด้วยกันหลายๆคนได้ครับ และจากตรงนี้จะเห็นว่ายังมีห้องอีก 2 ห้องที่แยกออกไปด้วย

เริ่มจากห้องแรกคือ Live Studio เป็นห้องที่น้องๆสามารถมาใช้ถ่ายแบบ หรือไลฟ์สดลงโซเชียลกันได้แบบจริงจัง ซึ่งภายในจะมี Softbox lighting ที่ช่วยในเรื่องแสงสว่าง และอนาคตก็จะมีพวกสกรีนหรือฉากหลังให้ใช้งานด้วยครับ

ติดกันจะเป็น Music Studio ลักษณะจะเป็นห้องทึบและเป็นห้องเก็บเสียงไปด้วยในตัว ภายในจะมีเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นครบ น้องๆสามารถชวนเพื่อนๆมาซ้อมดนตรีกันที่นี่ได้เต็มที่เลยครับ

มาต่อกันที่บริเวณชั้น 1 อีกครั้ง เราจะเจอกับพื้นที่ Semi Outdoor ใต้อาคาร B ที่มาคั่นกลางระหว่าง Facilities ทั้ง 2 โซน ซึ่งตรงนี้เราสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังสระว่ายน้ำส่วนกลางได้ รวมถึงยังมีประตูกระจกเล็กๆที่เชื่อมต่อมาจากพื้นที่จอดรถใต้อาคารได้อีกด้วย แน่นอนว่าตรงนี้ก็จะต้องใช้ Key Card เพื่อความปลอดภัยนะครับ ส่วนพื้นที่ตรงนี้ที่ยังคงดูโล่งๆอยู่สักหน่อย อนาคตอาจมีการทำเป็นพื้นที่นั่งเล่นเพิ่มเติมก็ได้นะครับ

ถัดมาจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นและนั่งทำงานอีกโซนหนึ่ง หรือก็คือฝั่งของ Co-Creation Kitchen ซึ่งคราวนี้มีโต๊ะให้เลือกนั่งเยอะเลยครับ และจะเน้นให้สามารถนั่งเป็นกลุ่มกันได้มากขึ้นด้วย โดยด้านขวาจะเป็นเคาน์เตอร์ทรงสูงแบบชิลๆ ตรงกลางเป็นโต๊ะแบบปกติที่นั่งทำงานได้สบายๆ ส่วนทางซ้ายจะเป็นชุดโต๊ะตัวเล็กที่นั่งชมวิวภายนอกได้ดี

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็น Chef Table Corner ซึ่งเป็นส่วนที่อาจต้องมีการทำอาหารจริงจัง และจะมีกลิ่นหรือควันได้ง่าย จึงต้องมีประตูการคอยปิดกั้น แยกออกจากโซนนั่งเล่นเอาไว้ให้เป็นสัดส่วนแบบนี้ครับ

ภายในมีอุปกรณ์ที่ครบครัน น้องๆคนไหนที่อยากใช้ครัวแบบจริงจัง หรือกำลังฝึกทำอาหารอยู่ก็สามารถมายืมใช้ครัวที่นี่ได้ รวมถึงเวลามีจัดงานปาร์ตี้สังสรรค์ เราก็สามารถเปิดพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนครัว กับโซนพื้นที่นั่งเล่นด้านใน ให้กลายเป็นพื้นที่จัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ได้สบายๆเลยล่ะครับ

ชั้น 3 – 8 ของอาคาร B จะเป็นส่วนพักอาศัยทั้งหมด และมีเพื่อนบ้าน 38 ห้อง/ชั้น โดยวิวของห้องพักหลักๆจะมีแค่ 2 ด้านเท่านั้นครับ คือห้อง 1 Bedroom Extra จะเป็นวิวสวนและสระว่ายน้ำด้านในโครงการ ส่วนห้อง 1 Bedroom จะได้เป็นวิวด้านนอกโครงการแทนครับ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีให้เลือกอยู่ทั้งคู่เลยนะ สามารถลองเข้าไปดูห้องของจริงที่โครงการกันได้เลยครับ ว่าชอบฟังก์ชันห้องแบบไหนและวิวไหน

ถัดมาคืออาคาร C มาในคอนเซ็ปต์ Be Active คือจะเน้นฟังก์ชันที่มีการเคลื่อนไหว ดูสนุกสนาน และมีความ Entertain สูงๆ ซึ่งก็จะประกอบด้วย Fitness และ E-Sport เป็นหลักครับ

เรามาเริ่มจาก Fitness กันก่อนเลยครับ ซึ่งถือได้ว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับโครงการเพื่อนบ้านย่านเดียวกัน

ภายในคือมีอุปกรณ์ครบครันและหลากหลายมากๆ คือต้องบอกก่อนว่าหอพักแถวเชียงรากนี้จะมีร้าน Fitness มาเปิดแบบ Stand alone ค่อนข้างเยอะ แต่ละแห่งก็มีเครื่องเล่นค่อนข้างจัดเต็มมากๆ (การแข่งขันค่อนข้างสูง) แต่เมื่อโครงการนี้มีของครบขนาดนี้ ก็เชื่อว่าน้องๆไม่จำเป็นต้องออกไปเล่นด้านนอกให้เสียเงินอีกแล้วนั่นเองครับ

รวมถึงยังมีโซน Boxing Corner ให้ได้ฝึกซ้อมชกมวยออกกำลังกายกันได้ด้วยนะครับ (มีนวมให้ยืมพร้อมเลย และอนาคตก็จะมีกระสอบทรายมาเพิ่มด้วยนะ)

อีกด้านหนึ่งจะมีห้องกระจกที่ถูกกั้นแยกเอาไว้เป็นสัดส่วน เรียกว่าเป็น Yoga and Dancing Studio สามารถจัดคลาสเต้นต่างๆแบบส่วนตัวได้เลย ซึ่งผนังกระจกที่เราเห็นอยู่นี้ เค้าออกแบบให้สามารถเปิดออกเพื่อเก็บของได้ทุกบานเลยครับ จะได้ไม่มีของวางที่พื้นเกะกะเวลาซ้อมเต้นอยู่นั่นเอง

ส่วนมุมนี้คือ Health Station ครับ ซึ่งทาง AssetWise Health Solution ต้องการที่จะยกระดับการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมของลูกบ้าน ให้ตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพมากขึ้น โดยจะนำเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆมาไว้ภายใน Fitness ของโครงการ ประกอบด้วย

  • เครื่องวัดความดันอัตโนมัติ (ชนิดสอดแขน) : ใช้วัดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของชีพจร
  • เครื่องคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) : จะใช้น้ำหนักและส่วนสูง เพื่อคำนวณหาค่าดัชนีมวลกายและน้ำหนักส่วนเกิน โดยจะสามารถปริ้นใบข้อมูลออกมาดูได้แบบอัตโนมัติ
  • เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า (AED) : เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา ที่สามารถวินิจฉัยภาวะการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และยังช่วยรักษาโดยการช็อตไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นการทำงานหัวใจได้อีกด้วย
  • เครื่อง TYTOCARE : เป็นอุปกรณ์สำหรับตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบ Virtual Hospital ที่สามารถพูดคุยกับแพทย์แบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม. ซึ่งข้อมูลต่างๆที่เก็บได้จากอุปกรณ์ชิ้นนี้ จะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและอาการเบื้องต้นของเราได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาออกไปที่โรงพยาบาลเองเลยครับ ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 5 ฟังก์ชันคือ

  1. ปอด หัวใจ และอัตราการเต้นของหัวใจ : โดยจะใช้อุปกรณ์ทาบลงบนตำแหน่งที่กำหนด เพื่อให้เครื่องบันทึกเสียงการเต้นของหัวใจ แล้วส่งให้คุณหมอวินิจฉัยต่อไป
  2. หู : ให้สอดกล้องเข้าไปในหูอย่างช้าๆ จนสามารถเห็นแก้วรูหูได้อย่างชัดเจน แล้วถ่ายภาพส่งให้คุณหมอ
  3. ช่องคอ : ใช้กล้องของอุปกรณ์เพื่อส่องดูในช่องคอ ลิ้นไก่ และต่อมทอนซิล ซึ่งจะใช้ควบคู่กับอุปกรณ์กดลิ้นด้วย เพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
  4. ผิวหนัง : ใช้กล้องเพื่อส่องและเก็บทั้งถ่ายรูปและวิดีโอบริเวณผิวหนังของเรา
  5. อุณหภูมิ : นำเครื่องมาจ่อบริเวณหน้าผากโดยไม่ต้องสัมผัสกับผิวหนัง เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกาย

โดยเครื่อง TYTOCARE จะได้รับการดูแลสุขภาพจาก 2 โรงพยาบาลชั้นนำคือ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลเปาโลครับ

ถัดจากฟิตเนสเราจะเจอกับ Lobby ของอาคาร C ที่เป็นโทนสีขาว-แดง พร้อมลวดลายเท่ๆแบบนี้ ดูแล้วมีความ Active หรือการเคลื่อนไหวตลอดเวลานั่นเองครับ

และเช่นเดิมสำหรับโถงลิฟต์จะต้องใช้ Key Card เท่านั้น ถึงจะเข้ามาได้นะครับ แต่พิเศษหน่อยสำหรับอาคารนี้คือ คนจากอาคารอื่นจะเข้ามาใช้ลิฟต์ได้ด้วย เพราะเค้าจะเป็นอาคารเดียวที่มี Facilities บนดาดฟ้าให้ใช้งานด้วยครับ

และถ้าเราเดินต่อมาก็จะเจอกับห้องน้ำแยกชาย-หญิง รวมถึงมีทางเดินเชื่อมไปยัง Facilities อีกจุดหนึ่งได้ด้วย

ซึ่งโซนนี้คือ E-Sport จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานเยอะเลยครับ แถมยังมีการตกแต่งบรรยากาศด้วยการซ่อนแสงไฟต่างๆได้เท่ และดูดีเหมือนอยู่ร้านเกมส์เลย ถูกใจน้องๆวัยรุ่นแน่นอนครับ

และหากสังเกตดีๆจะเห็นว่า เค้ามีการแบ่งโซนเครื่องคอมพิวเตอร์ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยฝั่งซ้ายจะเป็นเครื่องที่เอาไว้เล่นเกมส์โดยเฉพาะ และจะมีสเปคเครื่องที่แรงกว่า แถมยังมาพร้อมกับหูฟังในตัวด้วยนะ ส่วนทางขวาจะมี CPU ที่เล็กกว่า และเหมาะที่จะเป็นเครื่องมานั่งพิมพ์งานส่งอาจารย์ครับ

คือเรียกได้ว่า เหมือนยกร้านเกมส์มาไว้ในคอนโดเลยทีเดียว น้องๆไม่จำเป็นต้องออกไปเล่นที่ร้านด้านนอกให้เสียเวลากันอีกต่อไป ถึงแม้เดี๋ยวนี้การเล่นคอมออนไลน์จะเป็นที่นิยม แต่การได้มาเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่มๆตัวต่อตัว ก็ถือว่าเป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่งที่แทนกันไม่ได้ ยิ่งออกแบบและตกแต่งมาแบบนี้ ก็ยิ่งน่าใช้งานมากขึ้นด้วยครับ

ส่วนอีกด้านจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปใช้งานฟังก์ชันด้านบนได้ด้วยครับ

ในส่วนของชั้น 2 อาคาร C จะเป็นโซนพักอาศัย 30 ห้อง และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น Facilities ที่ต่อเนื่องมาจากเมื่อครู่นี้คือ Movie Theatre ซึ่งจะแยกออกจากโซนพักอาศัยเพื่อความเป็นส่วนตัวครับ

นอกจากนี้ที่ชั้นบนจะมีสไลเดอร์ให้เราได้เล่นกันแบบนี้ด้วยนะ เผื่อใครไม่อยากเดินลงบันได หรือนึกสนุกก็มาลงทางนี้กันได้เลยครับ

รวมถึงยังมีพื้นที่นั่งพักผ่อน ที่สามารถมองออกไปชมสวนด้านนอกได้ เวลาเล่มคอมมานานๆเหนื่อยๆ ก็สามารถมานั่งพักที่มุมสงบๆบนนี้ได้เลยครับ

สุดท้ายจะเป็นห้อง Movie Theatre ที่ให้เราสามารถเข้ามาดูหนังจอใหญ่กันเป็นกลุ่มๆได้ครับ โดยลักษณะที่นั่งก็จะเป็นขั้นบันไดชิลๆแบบนี้ พร้อมพื้นและผนังที่เก็บเสียง-ซับเสียงได้ดี สามารถดูหนังหรือดูบอลได้อย่างเต็มที่เลยครับ

ชั้น 3 – 7 จะเป็นชั้นพักอาศัยแบบเต็ม Floor มีทั้งหมด 37 ยูนิต โดยตำแหน่งน่าสนใจจะเป็นห้องในโซนกรอบสีแดง ซึ่งจะสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวน และสระว่ายน้ำได้แบบตอนลึกทั้งหมดเลยครับ ส่วนห้อง 1 Bedroom Extra หากก้มลงไปก็จะมองเห็นสวนสีเขียวชั้นล่างได้เช่นกัน

สำหรับชั้น 8 ของอาคาร C จะมีห้องพักลดลง เนื่องจากพื้นที่ส่วนหนึ่งจะกลายเป็นส่วนกลาง อย่างห้องน้ำ และห้องงานระบบที่อยู่ใต้สระว่ายน้ำครับ แต่นั่นก็ทำให้ความหนาแน่นของห้องพักอาศัยชั้นนี้ลดลงไปบางส่วนด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นชั้นที่สามารถเดินมาว่ายน้ำที่สระบนนดาดฟ้าได้สะดวกที่สุดอีกด้วย

และอย่างที่บอกว่าอาคาร C จะพิเศษกว่าเพื่อนนิดนึงครับ คือตรงที่จะมี Facilities ให้ใช้งานบนชั้นดาดฟ้าด้วย หลักๆจะเป็นสระว่ายน้ำ ที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าสระที่อยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังสามารถขึ้นมาชมวิว และมองพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดของโครงการจากมุมสูงตรงนี้ได้อีกด้วย

คราวนี้ผมพาวาร์ปขึ้นมาดูบนชั้นดาดฟ้ากันเลยนะ (ที่ชั้น 8 จริงๆจะมีโซนห้องน้ำก่อนจะขึ้นมาบริเวณนี้ให้ใช้งานด้วย แต่ปัจจุบันเค้ากำลังเก็บงานกันอยู่เลยครับ)

ด้านบนนี้ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน และสระว่ายน้ำที่ยาวประมาณ 23 m. สามารถว่ายออกกำลังกายจริงจังได้ แถมยังเป็นส่วนตัวด้วยครับ โดยวิวที่เรามองเห็นก็จะเป็น dcondo เพื่อนบ้านเรานี่เอง

และถ้าเราลองมาดูอีกด้านของสระ ก็จะสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ทั้งหมดเลยครับ

มาถึงอาคารสุดท้ายกันแล้วครับ ซึ่งเค้าจะมีทางเดินแยกมาจากเพื่อนๆ จึงทำให้เป็นอาคารที่จะไม่พลุกพล่านมากนัก

สำหรับอาคาร D จะมีคอนเซปต์ที่ว่า Be Focused คือเป็นพื้นที่เน้นความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับการมานั่งทำงานอ่านหนังสือ และด้วยเหตุนี้เลยเป็นอาคารเดียวที่มีการแยก Lobby ออกจากพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆไปเลย เพื่อไม่ให้ต้องมีคนเดินผ่านเยอะแล้วทำให้เสียสมาธินั่นเองครับ

เรามาดูกันที่ส่วนกลางในอาคารกันต่อเลย ซึ่งบริเวณพื้นที่ส่วนแรกจะเป็นเหมือนโถงต้อนรับขนาดใหญ่เลยทีเดียว ตัวอักษรด้านบนเขียนว่า “Pround to be you เป็นคุณให้สุดในทุกด้าน” ซึ่งนั่นคือ Concept ของโครงการนี้ ที่แต่ละอาคารก็จะมีคอนเซ็ปต์แยกย่อย และโดดเด่นไปเป็นของตัวเองไม่เหมือนกันครับ

อาคาร D จะใช้โทนสีเขียวที่ทำให้ดูร่มรื่นสบายตา และยังมีวิวต้นไม้สีเขียวริมสระให้ได้ชมกันอีกด้วยครับ โดยภายในจะมีโต๊ะให้น้องๆเลือกนั่งกัน 2 โซนหลักๆคือ ด้านซ้ายจะเป็น Study Area โต๊ะขนาดใหญ่ที่มีพาร์ทิชั่นกั้นแยกตรงกลาง สามารถนั่งทำงานอ่านหนังสือแบบเป็นกลุ่มๆได้ หรือหากใครต้องการนั่งแยกเดี่ยวแบบส่วนตัวไปเลย ก็จะมี Reading Corner ที่เป็นโต๊ะหันหน้าเข้าหาผนังด้านขวา และแบ่งที่นั่งเป็นล็อคๆแยกกันชัดเจนครับ

ต่อมาเราจะเดินขึ้นไปดูชั้นบนกันบ้างนะครับ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางโครงการนี้จะมีพื้นต่างระดับค่อนข้างเยอะ อาจต้องเดินระมัดระวังกันสักนิดนึงด้วยนะ

ชั้น 2 ของอาคาร D ในส่วนของ Facilities หลักๆจะเป็นพวกห้องประชุมและพื้นที่นั่งทำงานต่างๆครับ ซึ่งสามารถเดินขึ้นมาได้จากบันไดเมื่อครู่นี้เท่านั้น ส่วนโซนชั้นพักอาศัยจะต้องขึ้นมาด้วยลิฟต์ผ่านทาง Lobby โดยที่ชั้น 2 ก็จะมีเพื่อนบ้านอยู่ประมาณ 17 ห้องด้วยกันครับ ซึ่งถ้าใครที่กำลังมองหาโซนห้องพักที่เงียบสงบของโครงการนี้อยู่ล่ะก็ อาคาร D ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับ Facilities บนชั้น 2 จะมีการกั้นห้องเป็น Workshop Room ให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ ด้านในก็จะมีที่ให้นั่งกันเป็นกลุ่มๆได้ หรือหากใครต้องการโต๊ะขนาดใหญ่แบบจัดประชุมจริงจัง ก็จะมี Meeting Room อยู่ที่ห้องด้านในสุดให้ใช้อีกด้วย

ส่วน Lobby ของอาคาร D ตอนนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนะครับ ผมก็เลยเอาภาพตรงโถงลิฟต์และ Mailbox มาฝากก่อน ให้เห็นว่าโทนสีและบรรยากาศก็จะเป็นประมาณนี้ ดูเย็นตาและสบายตาดีทีเดียวครับ

ชั้น 3 – 8 ของอาคาร D จะเป็นส่วนพักอาศัยทั้งหมด และมีเพื่อนบ้าน 40 ห้อง/ชั้น ถือว่าค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะด้วยลักษณะอาคารของเค้าที่ค่อนข้างยาว แต่ก็มีความน่าสนใจตรงที่ จะมีห้อง 1 Bedroom ไซส์เล็ก ที่หันหน้าเข้ามาเห็นวิวสวยๆของพื้นที่ส่วนกลางให้เลือกหลายตำแหน่งเลย ซึ่งถ้าเป็นอาคารอื่นๆห้องที่หันหน้ารับวิวด้านในแบบนี้ ส่วนมากจะเป็นห้องไซส์ใหญ่ ก็เลยอาจทำให้มีราคาค่อนข้างเอื้อมถึงได้ยากอยู่สักหน่อย

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือห้อง 1 Bedroom Extra ที่หันออกไปรับวิวด้านนอก ซึ่งก็จะมีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่าห้องแบบเดียวกัน แต่หันหน้ารับวิวด้านในของอาคารอื่นๆครับ เรียกได้ว่าอาคารนี้มีตำแหน่งห้องจะไม่เหมือนอีก 3 อาคารเลย ซึ่งเราสามารถได้ห้องวิวดีๆแต่เป็นห้องไซส์เล็ก กับห้องไซส์ใหญ่ในราคาที่จับต้องได้ไม่ยากนักได้ที่อาคารนี้เท่านั้น โดยอาคารนี้ก็ยังคงมีตำแหน่งห้องให้เลือกอยู่พอสมควรนะครับ

ลิฟต์โดยสารจะมี 2 ตัว/อาคาร และจุดที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ ปุ่มกดลิฟต์ของที่นี่จะไม่ต้องสัมผัสโดยตรงครับ เพียงแค่เราเอานิ้วไปชี้ใกล้ๆ ห่างประมาณ 1 cm. เซ็นเซอร์ก็จะทำงาน เหมาะกับช่วงสถานการณ์แบบนี้มากๆเลย

ส่วนบรรยากาศของโถงลิฟต์บนชั้นพักอาศัยก็จะเป็นสไตล์เรียบๆ และมีหน้าต่างช่วยเพิ่มความสว่างโปร่งโล่งแบบนี้ทุกอาคารครับ

รวมถึงบริเวณโถงทางเดินก็จะมีการทำท่อระบายน้ำ เผื่อกรณีเกิดน้ำรั่วซึมที่ด้านนอก ก็จะสามารถระบายออกไปได้ โดยที่ไม่ส่งผลต่อภายในห้องพักของเรานั่นเองครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ส่วนกลางบริเวณตรงกลางโครงการ ประกอบด้วย

  • สวนหย่อมบริเวณชั้น 1
  • สระว่ายน้ำระบบ เกลือ ขนาด 5 x 100 เมตร
  • Jacuzzi Corners
  • Water Splasher
  • Sunken in Pool
  • Pool Side Garden
  • Multi-Purpose Courtyard

 

  • อาคาร A (Be Relaxed)

  • Triple Volume Lobby
  • Kave Kafe
  • Locker Corner
  • Adaptive Meeting Room
  • Mailbox
  • Laundry Room

 

  • อาคาร B (Be Socialized)

  • Double Volume Co-Working Space
  • Co-Creation Kitchen
  • Chef Table Corner
  • Music Studio
  • Live Studio
  • Game Area
  • Lobby Area
  • Mailbox

 

  • อาคาร C (Be Active)

  • Fitness (Cardio + Weight Training)
  • Boxing Corner
  • TRX Corner
  • Yoga And Dancing Studio
  • E-Sport
  • Movie Theater
  • Lobby Area
  • Mailbox
  • Laundry Room
  • Locker Corner
  • Stream Room
  • E-Library Room
  • สระว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้า ยาว 23 เมตร

 

  • อาคาร D (Be Focused)

  • Reading Corner
  • Meeting Room
  • Workshop Room
  • Study Area
  • Lobby
  • Mailbox
  • Laundry Room

 

  • ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 127 :  1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก A 123 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก B 127.5 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก C 121.5 : 1
  • อัตราส่วนลิฟต์ตึก D 136 : 1
  • ที่จอดรถรวมรถยนต์ 332 คัน คิดเป็น 42% (ซ้อนคัน 103 คัน ที่จอดมอเตอร์ไซค์ 134 คัน)
  • Shuttle Service ไป-กลับมหาลัยธรรมศาสตร์
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV/ Key Card

แบบห้อง

Highlights :

  • สามารถอยู่อาศัยได้ 1 – 2 คน มีทั้งห้องแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ให้เลือกตามความเหมาะสม
  • มุมนั่งทำงานขนาดใหญ่ อยู่ติดริมหน้าต่างกระจกเข้ามุม Bay Window ชมวิวภายนอกได้ดี
  • ระยะดูทีวีกว้าง 3.3 m. สามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆได้
  • ขายแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ มีระบบ Bluetooth Sound System และได้โซฟาที่ปรับเป็นที่นอนได้ด้วย

คือต้องบอกก่อนครับว่าเดิมทีโครงการนี้จะมีแบบห้องทั้งหมด 5 แบบด้วยกัน แต่ปัจจุบันก็ขายไปได้แล้วกว่า 90% ตอนนี้จึงมีห้องให้เลือกอยู่เพียง 2 แบบเท่านั้น ซึ่งเป็นขนาดเริ่มต้นของโครงการคือ

  • 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 23.93 – 25.48 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ใช้สอย 27.18 – 35.71 ตร.ม.

โดยจะขายแบบ Fully Furnished คือให้เฟอร์นิเจอร์ครบตามที่เห็นในห้องตัวอย่างเลยครับ ขาดแต่เพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าเท่านั้นก็เข้าอยู่ได้เลย ซึ่งวันนี้ผมจะพาไปชมห้องตัวอย่างของทั้ง 2 Type เลยครับ จะเป็นอย่างไรบ้างไปชมกัน

ผมขอเริ่มที่ห้องไซส์ใหญ่อย่าง 1 Bedroom Extra 27 ตร.ม. กันก่อนนะครับ ซึ่งลักษณะของเค้าจะเป็นห้องตอนลึก และกั้นห้องตรงกลางด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเพื่อความโปร่งโล่ง โดยเค้าจะวางตำแหน่งฟังก์ชันใช้งานอย่างครัวและห้องน้ำไว้ทางด้านหน้า แล้วคั่นด้วยห้องนั่งเล่นที่อยู่ตรงกลางอีกที ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จะช่วยกันเสียงหรือความวุ่นวายบริเวณหน้าห้อง ให้ห่างจากโซนพักผ่อนที่อยู่ด้านใน เลยทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

และห้องนอนก็ถือว่าเป็นหนึ่งในจุดเด่นของห้องนี้เลยครับ เพราะสามารถวางเตียง 3 ฟุตได้ 2 เตียง เหมาะที่จะอยู่กันแบบรูมเมท 2 คนได้สบายๆ รวมถึงมุมนั่งทำงานอ่านหนังสือริมหน้าต่างก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะจะมีหน้าต่างกระจกเข้ามุม Bay Window ให้เราสามารถนั่งทำงานไปและชมวิวภายนอกไปด้วยได้พร้อมๆกัน ถือเป็นตำแหน่งที่โครงการค่อนข้างให้ความสำคัญมากที่สุดเลยทีเดียวครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย

เริ่มจากประตูหน้าห้องจะเป็นไม้บานทึบสีขาว พร้อมตาแมว และมีขอบธรณีประตูที่ยกสูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกต่างๆเข้ามาในห้องได้ง่ายครับ (แต่ก็ระวังเดินสะดุดกันด้วยนะ)

นอกจากนี้ยังติดตั้ง Digital Doorlock ของ Home Huk ที่สามารถเปิดได้ 5 ระบบเลย ได้แก่ Keycard, Finger Scan, กดรหัส, กุญแจ Master Key และยังใช้ Apps Tuya Smart เพื่อตั้งรหัสแบบ One Day Pass สำหรับเพื่อน/แม่บ้าน/ช่างที่นัดไว้ได้อีกด้วย

เมื่อเข้ามาภายในเราจะเจอกับพื้นที่ครัวก่อนเลยครับ โดยลักษณะจะเป็นห้องหน้าแคบ แต่การจัดฟังก์ชันแบบนี้ก็จะทำให้ภายในห้องส่วนอื่นๆ มีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งด้วยนะครับ เพราะจากมุมนี้เราจะยังมองไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดภายในห้องได้นั่นเอง

และส่วนใหญ่แล้วน้องๆนักศึกษามักจะใช้วิธีออกไปทานข้าวด้านนอก หรือซื้อแบบสำเร็จเข้ามาทานกันมากกว่า ดังนั้นการกั้นพื้นที่ครัวก็อาจไม่จำเป็นนักก็ได้ครับ แต่สำหรับคนที่อยากกั้นทำเป็นครัวปิดแบบจริงจังเพื่อทำอาหาร ก็อาจติดระยะของพื้นที่วางตู้เย็นอยู่บ้าง เลยต้องใช้ตู้ที่มีขนาดเล็กลง หรือลองหาที่วางน้องใหม่ในจุดอื่นๆดูครับ

พื้นที่ครัวจะมีระยะกว้างประมาณ 1.2 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ โดยที่พื้นจะเป็นกระเบื้องยางไวนิลทั้งห้อง ซึ่งจะทนน้ำและความชื้นได้ดีกว่าไม้ลามิเนต จึงสามารถใช้งานตรงบริเวณครัวและหน้าห้องน้ำได้ไม่ค่อยมีปัญหาครับ

แต่สิ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมก็คือ “จุดวางรองเท้า” ซึ่งห้องนี้อาจไม่ได้มีตู้เก็บรองเท้าเป็นสัดส่วนมาให้ จึงต้องวางอยู่ริมโถงทางเดินนี้แทน และอาจลองหาพวกกล่องเก็บรองเท้ามาใช้ก็จะดูเรียบร้อยและเป็นระเบียบมากขึ้นได้นะครับ

ส่วนเคาน์เตอร์ครัวทางโครงการจะ Built-in มาให้แบบนี้เลยครับ หน้าบานปิดผิวด้วยไม้ลามิเนตเป็นลายไม้ธรรมชาติ ส่วน Top เคาน์เตอร์จะเป็นเมลามีน ซึ่งเค้าจะไม่ค่อยถูกกับน้ำหรือความชื้นสักเท่าไหร่ ถ้าน้องๆใช้อ่างล้างจานบ่อยๆ ก็อาจต้องเช็ดให้แห้งทุกครั้ง ไม่งั้นผิวเมลามีนเค้าจะบวมหรือเสียได้ง่ายอยู่สักหน่อยนะครับ

ส่วนพื้นที่เก็บของก็มีมาให้เพียงพอสำหรับการอยู่ 1 – 2 คน มีทั้งที่เก็บอุปกรณ์ครัวชิ้นใหญ่ๆด้านล่าง และชั้นวางของที่อยู่ด้านบนตามภาพเลย รวมถึงที่ผนังก็จะกรุกระเบื้องเพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายมาด้วย 1 ด้านครับ

ภายในห้องน้ำเราจะได้สุขภัณฑ์ครบตามห้องตัวอย่างแบบนี้เลยครับ ซึ่งห้องน้ำของที่นี่จะเป็นแบบก่ออิฐฉาบปูน มีความแข็งแรงทนทานและใช้งานได้ดีครับ

พื้นที่ใช้สอยภายในจะมีขนาดพอดีๆไม่ใหญ่มาก โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะกว้างประมาณ 1.6 x 1 m. และพื้นที่ยืนอาบน้ำ 90 x 90 cm. ซึ่งสุขภัณฑ์ทั้งหมดจะเป็นของ Cotto นะครับ

ฉากกั้นอาบน้ำจะเป็นแบบบานเลื่อน 3 ตอน ทำให้เปิดออกได้กว้างมากขึ้น เดินเข้า-ออกก็จะสะดวกหน่อย ภายในมี Hand Shower พร้อม Junction box ให้ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนฝั่งตรงข้ามจะมีการเจาะช่องผนัง ให้เราสามารถวางอุปกรณ์อาบน้ำได้ด้วย แต่หากใครที่มีของเยอะ ก็อาจเพิ่มจำนวนชั้นวางเพิ่มเติมได้นะครับ

สุดท้ายคือด้านบนฝ้าเพดาน ถึงแม้จะเป็นห้องน้ำเล็กๆแต่ก็ติดตั้งไฟส่องสว่างให้ 2 จุดเลยครับ รวมถึงมีพัดลมดูดอากาศให้อีก 1 ตัวด้วย

ถัดเข้ามาในห้องจะเป็น Living Area ซึ่งข้อดีของการวางฟังก์ชันนี้ เอาไว้ตำแหน่งกลางห้องแบบนี้คือ เราจะมีระยะดูทีวีที่กว้างมากขึ้น เพราะไม่ติดระยะของห้องน้ำนั่นเองครับ ซึ่งความกว้างของห้องนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณ 3.3 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้เลย อีกทั้งเมื่อตำแหน่งของโซฟาไม่ได้อยู่ใกล้ประตูหน้าห้องแบบนี้ เราก็จะไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นเงาคนเดินผ่านไป-มาหน้าห้องบ่อยๆ เลยทำให้มีสมาธิในการดูทีวีมากขึ้นด้วยนะครับ

ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆเราก็จะได้ตามที่เห็นในห้องตัวอย่างนี้ทุกชิ้นเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางทีวี โต๊ะกลางตัวเล็ก และทีเด็ดคือ “โซฟา” ที่สามารถพับออกมากลายเป็นที่นอนได้อีกด้วย เหมาะที่จะนอนดูหนังกับแฟน หรือหากมีเพื่อนมาค้างที่ห้องหลายๆคน ก็สามารถใช้เป็นที่นอนเสริมได้อีกด้วย (ซึ่งการวางทีวีกับชั้นวางที่ไม่สูงมากแบบนี้ จึงเหมาะสมแล้วครับ เวลานอนดูกับพื้นแบบนี้จะได้ไม่สูงจนเกินไปนักนั่นเอง)

และข้างๆผนังจะเป็น Bluetooth Sound System ที่เราสามารถเปิดเพลงฟังผ่านลำโพงที่ฝังอยู่บนฝ้าเพดานได้ (มีอยู่ 2 จุด) โดยสามารถควบคุมผ่านมือถือ หรือจะกด Touch Screen จากหน้าจอโดยตรงเลยก็ได้ครับ ส่วนแอร์ก็จะให้มา 2 เครื่องเลย อยู่ใน Living Area กับในห้องนอนอย่างละเครื่อง

ต่อมาบริเวณกลางห้องจะมีประตูกระจกบานเลื่อน และกรอบอลูมิเนียมสีดำ ที่กั้นแยกระหว่างพื้นที่นั่งเล่นกับห้องนอนออกจากกันเป็นสัดส่วน แต่ก็ยังคงได้ความสว่างโปร่งโล่ง และห้องก็ดูกว้างขวางเชื่อมต่อกันดีอีกด้วย ซึ่งถ้าใครอยากเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้มากขึ้น ก็อาจลองติดเป็นม่านดูก็ได้นะครับ เวลามีแขกหรือเพื่อนมาหาก็จะได้มองไม่เห็นพื้นที่ส่วนตัวในห้องนอนได้นั่งเอง

ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้สอยพอดีๆ มีช่องแสงขนาดใหญ่ถึง 2 จุด ทั้งบริเวณหน้าต่างและระเบียงห้อง รวมถึงเราจะได้เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตามที่เห็นภายในห้องนี้ครบทั้งหมดด้วยนะ

เริ่มจากเตียงนอนของห้อง Type 27 ตร.ม. เราจะได้ฐานเตียงขนาด 3 ฟุต 2 เตียง เหมาะกับน้องๆที่อาจเช่าห้องอยู่เป็นรูมเมทกัน 2 คน โดยอาจมีพื้นที่รอบๆเตียงให้ใช้งานเหลือไม่มากนัก (แค่พอดีๆให้แทรกตัวเดินผ่านได้เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นจะวางโต๊ะหัวเตียงเพิ่มได้นะครับ) หรือหากใครต้องการเป็นเตียงเดี่ยวใหญ่ๆ ก็สามารถเลื่อนทั้ง 2 เตียงมาติดกัน กลายเป็นเตียงขนาด 6 ฟุตไปเลยก็ยังได้

ส่วนปลายเตียงก็จะมีตู้เสื้อผ้าที่ Built-in มาให้แบบนี้ โดยจะแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ฝั่งสำหรับ 2 คน และตรงกลางจะเว้นไว้เพื่อให้สามารถติดทีวีแขวนผนัง แล้วนอนดูบนเตียงได้สบายๆเลยล่ะครับ

มาถึงจุดที่ผมชอบที่สุดของห้องนี้คือ “พื้นที่นั่งทำงานริมหน้าต่าง” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่สำคัญมากสำหรับน้องๆนักศึกษา โดยทางโครงการออกแบบเป็นโต๊ะรูปตัว L เต็มพื้นที่ พร้อมกับมีเก้าอี้มาให้ 2 ตัว ซึ่งสามารถมานั่งทำงานอ่านหนังสือพร้อมๆกันได้ อีกทั้งยังมีหน้าต่างกระจกเข้ามุม Bay Window ที่สามารถมองเห็นวิวภายนอกได้กว้างมากขึ้นอีกด้วยครับ โดยเฉพาะห้องตัวอย่างที่หันหน้ารับวิวสวนด้านในแบบนี้ ก็จะสามารถมองเห็นสวนและสระว่ายน้ำสวยๆของโครงการได้นั่นเองครับ

สุดท้ายคือระเบียงห้องที่มีขนาด 1.75 x 1 m. สามารถออกมายืนสูดอากาศ หรือตากผ้าได้นะครับ ซึ่งเค้าจะมีพวกปลั๊กไฟหรือท่องานระบบต่างๆ ไว้รองรับการวางเครื่องซักผ้าตำแหน่งนี้มาให้แล้ว หรือถ้าใครไม่มีเครื่องซักผ้าของตัวเอง อาจนำผ้าลงไปซักที่ Laundry ด้านล่าง แล้วค่อยเอาขึ้นมาตากก็ได้นะครับ แถมเรายังมีพื้นที่ระเบียงกว้างๆให้ใช้งานได้อีกด้วย ส่วน Condensing Unit จะติดอยู่ด้านบน 2 ตัวเลย และเป่าลมร้อนออกมาด้านข้างแบบนี้ ซึ่งถ้าเราตากผ้าอยู่ผ้าก็คงแห้งไวแน่นอนครับ

ส่วนภาพนี้จะเป็นวิวจากระเบียงของห้องตัวอย่างชั้น 3 ที่ผมถ่ายมาฝากครับ ซึ่งก็จะอยู่ระดับเดียวกับพุ่มไม้สีเขียวๆพอดี ทำให้เราสามารถมองเห็นจากภายในห้องได้ โดยไม่ต้องก้มมองที่หน้าต่างหรือระเบียง แต่หากเรามองลงไปด้านล่างก็จะเห็นทั้งสระว่ายน้ำ และพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่กลางแจ้งทั้งหมดได้สวยงามดีทีเดียว

สำหรับห้อง 24 ตร.ม. ฟังก์ชันห้องเรียกได้ว่าเหมือนกับห้อง 27 ตร.ม. ก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่ตัวห้องเค้าจะตื้นขึ้น และมีพื้นที่เตียงเดี่ยว 5 ฟุตได้หลังเดียว กับขนาดตู้เสื้อผ้าก็จะเล็กลงนิดหน่อย จึงเป็นห้องที่เหมาะจะพักอาศัยอยู่แบบคนเดียวสบายๆ หรือหากอยู่กัน 2 คน ก็อาจต้องเป็นแฟนกัน หรือเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆครับ เพราะต้องนอนเตียงเดียวกันนั้นเอง แต่สิ่งที่ยังให้ความสำคัญและมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมคือ มุมนั่งทำงานริมหน้าต่าง ที่สามารถนั่งได้ 2 คนสบายๆ พร้อมกับชมวิวจากหน้าต่างได้ด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมภาพใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

Image 1/10
เข้ามาก็จะเจอกับครัวก่อนเหมือนเดิมครับ

เข้ามาก็จะเจอกับครัวก่อนเหมือนเดิมครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคา

KAVE TU (เคฟ ทียู) ราคา ณ วันที่ 22 กันยายน 2564

  • 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 23.93 – 25.48 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท (Promotion)
  • 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ใช้สอย 27.18 – 35.71 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท (Promotion)

  • รูปแบบการขาย Fully Furnished
  • Smart Digital Door Lock
  • Bluetooth Sound System
  • Air Circulation Control
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.4 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปเมลามีน
  • มีรถ Shuttle Service ไป-กลับมหาลัยธรรมศาสตร์
  • จอง 999 บาท (Promotion)
  • ทำสัญญา ฟรี (Promotion)
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 47 บาท/ตร.ม./เดือน (จัดเก็บล่วงหน้า 1 ปี)

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการ KAVE TU ตั้งอยู่บนถนนเชียงราก เยื้องๆกับประตูเชียงราก 2 ของมหาลัยธรรมศาสตร์ และ U-Square โดยการที่เป็นโซนที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามมหาลัยแบบนี้ จะมีข้อดีในเรื่องความเงียบสงบและไม่พลุกพล่านเหมือนฝั่งเดียวกับมหาลัย ซึ่งหากน้องๆต้องการไปเรียนหรือจับจ่ายใช้สอย ก็เพียงแค่เดินข้ามสะพานลอยไปเท่านั้นครับ ก็จะเจอกับโซน U-Sqare ที่มีร้านค้าร้านอาหารเยอะแยะเลย ซึ่งผมถือว่าเป็นโซนที่น้องๆยังสามารถใช้ชีวิต และเดินทางได้สะดวกอยู่นะครับ

หากใครที่เป็นสายนักลงทุน และกำลังมองหาคอนโดเพื่อซื้อปล่อยเช่าในทำเลนี้ก็น่าสนใจไม่น้อยนะครับ เพราะหอพักแถวนี้ส่วนใหญ่ช่วงเปิดเทอมก็จะเต็มกันเกือบหมด โดยจะมีเรทราคาค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท/เดือน (สำหรับห้องราคาประมาณ 1.5 ล้าน) แน่นอนว่าทำเลที่โครงการ KAVE TU ตั้งอยู่นี้ ก็เป็นโซนที่มีความต้องการของน้องๆสูงอยู่แล้วครับ เพราะใกล้ทั้งมหาลัย แหล่งของกิน และหอพักอื่นๆอีกหลายแห่งเลยทีเดียว ซึ่งก็อาจได้มีเพื่อนๆอยู่ใกล้ๆกันไม่เหงาแน่นอน

หรือใครอาจมองไปถึงแหล่งงานอื่นๆ อย่างกลุ่มบุคลากรมหาวิทยาลัย คุณหมอ/พยาบาล หรือคนที่ทำงานอยู่แถวนั้นก็มีเยอะครับ แต่ด้วยปัจจุบันมีคอนโดเกิดใหม่ในพื้นที่เยอะพอสมควร ก็เลยอาจทำให้มีการแข่งขันค่อนข้างสูงเพราะคู่แข่งอยู่สักหน่อย ยังไงก็ลองสำรวจตลาดและความต้องการของน้องๆในช่วงเวลานั้นๆกันดูดีๆอีกครั้งนะครับ

การเดินทางโดยใช้รถ : ตัวโครงการอยู่ห่างจากประตูมหาลัยแค่ 1.6 – 3.5 km. และใช้เวลาขับรถเพียง 3 – 5 นาทีก็ถึงแล้วครับ (กรณีที่รถไม่ติดนะ) ส่วนทางด่วนก็เช่นเดียวกัน มีทางด่วนอุดรรัถยาที่อยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากโครงการเพียง 3.5 km. กับทางยกระดับอุตราภิมุขก็จะอยู่ห่างออกไปประมาณ 12 km. และนอกจากนี้ยังมีที่จอดรถอยู่ประมาณ 42% แบบรวมจอดซ้อนคัน ซึ่งผมถือว่าค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านโดยรอบครับ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ปัจจุบันทางโครงการมี Shuttle Service บริการรับ-ส่งมหาลัยให้บริเวณหน้าโครงการ Modiz Launch หรือแถวๆ U-Square เก่า ที่อยู่ไม่ไกลจากท่ารถตู้ของมหาลัยครับ ซึ่งจะมีรถราง NGV คอยให้บริการฟรีอีกต่อหนึ่งด้วย และในอนาคตก็คาดว่าทาง AssetWise มีแผนที่จะทำสะพานลอยตรงบริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อใช้ข้ามถนนไปยังฝั่งมหาลัยได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะทำให้น้องๆสามารถเดินไปเรียนได้สะดวกมากขึ้นเยอะเลยครับ (ไม่ต้องเดินอ้อมไปที่หน้าหอ City Park เหมือนปัจจุบัน) โดยระยะทางจากหน้าโครงการเดินข้ามสะพานลอย(ในอนาคต) ไปยังประตูเชียงราก 2 คือประมาณ 280 m.

การออกแบบโครงการ : ถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ครับ ด้วยจำนวน 1,016 ยูนิต เรียกว่าเยอะสุดในย่านเลยก็ว่าได้ แต่ก็ทำให้เราได้มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ กับฟังก์ชันที่เยอะมากๆแบบนี้ด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่ผมชอบในการออกแบบคือ “การวางผังอาคาร” ที่มีการโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวนและสระว่ายน้ำเอาไว้ ทำให้ห้องพักที่หันเข้ามาด้านในได้วิวที่มีบรรยากาศค่อนข้างดีเลยทีเดียว

และอีกเรื่องหนึ่งคือ “การแบ่งโซน” ที่ทำได้ค่อนข้างดีครับ อย่างที่รู้กันว่าเค้ามีฟังก์ชันส่วนกลางเยอะ และกระจายอยู่ตามอาคารต่างๆ แต่ก็มีการพยายามจับกลุ่มฟังก์ชันให้สอดคล้องกับคอนเซปต์ และกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นจะต้องไม่รบกวนกัน โดยมีแนวคิดที่ว่า “Pround To Be You เป็นคุณให้สุดในทุกๆด้าน” ไม่ว่าจะเป็น BE RELAED, BE SOCIALIZED, BE ACTIVE และ BE FOCUSED รวมถึงยังมีการแบ่งโซนพื้นที่ส่วนกลางออกจากโซนพักอาศัยแต่ละจุดได้ดีด้วยครับ ซึ่งคนภายนอกหรือคนที่ไม่ได้พักอาศัยในอาคารนั้นๆ ก็ไม่สามารถผ่านประตูเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวได้หากไม่มี Key Card ถือได้ว่ามีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

การออกแบบห้องพักอาศัย : ปัจจุบันโครงการขายไปแล้วกว่า 90% ตอนนี้เหลือเฉพาะห้องไซส์เล็กเพียง 2 Type เท่านั้นครับ โดยลักษณะของการจัดฟังก์ชันจะเหมือนๆกันเลย คือเป็นห้องตอนลึกที่กั้นฟังก์ชันตรงกลาง ด้วยประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่เพื่อความโปร่งโล่ง แต่ก็จะมีความต่างกันตรงระยะความลึกของห้อง ที่ทำให้ขนาดห้องนอนกว้างต่างกัน โดยหากเป็นห้อง 24 ตร.ม. จะสามารถใช้เตียงเดี่ยว 5 ฟุตได้ เลยเหมาะกับการอยู่อาศัย 1 คนแบบสบายๆ หรือถ้าอยู่กัน 2 คนก็อาจต้องเป็นแฟน หรือเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆหน่อย เพราะต้องนอนเตียงเดียวกันนั่นเอง

ในขณะที่ห้อง 27 ตร.ม. เค้าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย เลยสามารถใช้เตียงคู่ 3 ฟุต 2 เตียงได้พอดีๆครับ เลยทำให้เหมาะกับการอยู่แบบรูมเมท 2 คนได้สบายๆ นอกจากนี้เค้ายังให้ความสำคัญกับพื้นที่นั่งทำงานมากๆ ซึ่งจะอยู่ติดกับหน้าต่างกระจกเข้ามุม Bay Window สามารถนั่งทำงานอ่านหนังสือไป และชมวิวภายนอกไปด้วยได้ดีเลยครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นห้องที่เห็นวิวสวนกับสระว่ายน้ำด้านในนี่ก็สวยดีทีเดียวนะ

วัสดุ : ขายแบบ Fully Furnished ขาดแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่ชิ้นก็เข้าอยู่ได้เลยครับ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือพวกเฟอร์นิเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนได้ อย่างเช่นเตียงนอนที่ 2 ห้องจะได้ไม่เหมือนกัน โดยถ้าเป็นเตียง 3 ฟุต 2 ชิ้น ก็สามารถเลื่อนมาชิดกันให้กลายเป็นเตียงใหญ่ 6 ฟุตได้ด้วย หรือจะเป็นโซฟาที่สามารถปรับนอนได้ เหมาะกับน้องๆที่อาจมีเพื่อนมาเที่ยวหาและค้างที่ห้องบ่อยๆ ก็จะสามารถมีที่นอนเสริมให้เพื่อนๆได้สบายๆเลย ไม่ต้องไปนอนเบียดบนเตียงเดียวกันอีกต่อไป อีกทั้งยังได้ช่องหน้าต่างกระจกเข้ามุม Bay Window ขนาดใหญ่ รวมถึง Bluetooth Sound System ภายในห้องพักอาศัยอีกด้วยครับ

สาธารณูปโภค : นับว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งรวมๆแล้วก็มีมาให้ถึง 40 ฟังก์ชันด้วยกัน ที่เด่นๆเลยก็เป็นสระว่ายน้ำยาว 100 m., Co-Working Space ขนาดใหญ่, Fitness ที่มีเครื่องออกกำลังกายครบเหมือน Gym ด้านนอกเลยครับ และที่ผมชอบมากๆก็คือ โซนคอมพิวเตอร์ของ E-Sport ที่ตกแต่งแสงไฟออกมาได้จัดเต็มสวยยิ่งกว่าตามร้านเกมส์ในห้างซะอีก ซึ่งก็คงถูกใจน้องๆวัยรุ่นด้วยแน่นอน สามารถมาเล่นเกมส์ร่วมกันกับเพื่อนๆก็ได้ หรือจะมานั่งทำงานส่งอาจารย์ก็ดี

นอกจากนี้ก็ยังมีฟังก์ชันอื่นๆอีกหลายจุด ที่ทุกคนน่าจะได้เห็นกันไปแล้วนะครับ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ต้องแลกมากับจำนวนลูกบ้าน ที่ต้องมีการแชร์การใช้งานกันค่อนข้างเยอะอยู่สักหน่อย รวมถึงยังมีค่าส่วนกลาง 47 บาท/ตร.ม. ซึ่งหากเทียบกับคอนโดปกติทั่วๆไปแล้ว ก็ถือว่าค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกันครับ แต่ถ้าใครที่เป็นคนใช้งานส่วนกลางบ่อยๆล่ะก็ ผมถือว่าค่อนข้างคุ้มเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีให้ใช้ทุกอย่างครบ ไม่ต้องออกไปเสียเงินใช้ด้านนอกโครงการเพิ่มเลยล่ะครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 65,000 – 90,000 บาท/ตร.ม., 22 กันยายน 2564

  • ทำเล 7.5/10 – อยู่บนถนนเชียงราก หาของกินได้ไม่ยาก และเดินทางไปเรียนได้สะดวก
  • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ค่อนข้างสะดวก ถ้าขับไปมหาลัยอาจต้องไปกลับรถวนมาหน่อย และได้ที่จอดรถค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
  • ไม่ใช้รถ 7.75/10 – มี Shuttle Service และยังอยู่ในระยะที่สามารถเดินไปมหาลัยได้ อนาคตอาจมีสะพานลอยให้ใช้เดินข้ามได้สะดวกมากขึ้น
  • วัสดุ 8.5/10 – Fully Furnished ได้เกรดตามมาตรฐานระดับราคานี้ และมี Bluetooth Sound System ที่โครงการอื่นไม่ค่อยมีให้ด้วย
  • แบบ 8.5/10 – ผังโครงการโอบล้อมส่วนกลาง แบ่งโซนการใช้งานดี ห้องพักแบบตอนลึกเป็นสัดส่วน อยู่แบบเดี่ยวก็ได้หรือรูมเมทก็ดี
  • สาธารณูปโภค 9/10 – ให้มาเยอะที่สุดในย่าน มีความหลากหลายน่าใช้งาน ค่าส่วนกลางและความหนาแน่นสูงอยู่สักหน่อย

  • ECONOMY – MAIN CLASS
  • 7.98 / 10.00

KAVE TU เหมาะกับใคร

โครงการ KAVE TU เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้มหาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นทำเลบนถนนเชียงราก ใกล้กับโซน U-Square และประตูเชียงราก 2 โดยอนาคตคาดหวังว่าจะมีสะพานลอย เพื่อให้ใช้เดินข้ามไปเรียนและหาของกินได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงเน้นเป็นโครงการที่มี Facilities ขนาดใหญ่ และมีฟังก์ชันที่หลากหลายกว่า 40 จุด เรียกได้ว่าเยอะสุดในย่าน และค่อนข้างน่าใข้งานมากๆครับ โดยเฉพาะสระว่ายน้ำยาว 100 m. พื้นที่นั่งทำงานอ่านหนังสือ และห้อง E-Sport ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เยอะๆ ตกแต่งแสงไฟได้ฟิลร้านเกมส์แบบจริงจังเลย

ส่วนในแง่ของการลงทุนปล่อยเช่า ก็ยังถือว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจครับ เพราะอยู่ใกล้มหาลัยขนาดใหญ่ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักๆคือน้องๆนักศึกษา ซึ่งโครงการนี้ก็มีฟังก์ชันที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต และการใช้งานของน้องๆได้เป็นอย่างดี แถมยังอยู่ในโซนที่เดินทางไปเรียนได้ง่าย จึงน่าจะเป็นจุดเด่นที่น้องๆหรือผู้ปกครองให้ความสนใจไม่น้อย ซึ่งห้องพักอาศัยจะสามารถอยู่ 1 คนก็ดี หรือ 2 คนเป็นรูมเมทกันแบบเตียงคู่ก็ได้ โดยจะเน้นห้องตอนลึกที่เป็นสัดส่วน และมีมุมนั่งทำงานอยู่ริมหน้าต่าง Bay Window น่าใช้งาน โดยจะต้องมีงบประมาณระดับ 1.69 – 2.09 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 12,000 – 15,000 บาท/เดือนขึ้นไป และถ้าปล่อยเช่าในย่านนี้ก็จะมีเรทราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท/เดือนครับ


ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc