…สังคมคนไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” วันนี้ผมเลยเอาใจคุณลุงคุณป้า หรือคนที่วางแผนจะเกษียณตัวเองในอนาคต แล้วกำลังจะหาที่อยู่สำหรับบั้นปลายชีวิตกันสักหน่อยครับ ซึ่งมีโปรดักส์อยู่โครงการหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ คือ Jin Wellbeing County
เป็นคอนโดมิเนียมภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลธนบุรี ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ และมีคุณหมอคุณพยาบาลดูแลตลอด 24 ชม. ซึ่งผมได้ข่าวว่าเค้าสร้างเฟสแรกเสร็จพร้อมอยู่แล้ว วันนี้เลยอยากจะพาเข้ามาอัพเดทโครงการ พร้อมวิเคราะห์กันสักหน่อยครับว่าโครงการนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
Fact @ 12 June 2020
- Jin Wellbeing County (จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้)
- บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป
- MAIN – UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนพหลโยธิน จังหวัดปทุมธานี
- คอนโด Low Rise 7 ชั้น 5 อาคาร 494 ยูนิต (เฉพาะเฟส 1)
- ที่จอดรถประมาณ 30% รวมจอดซ้อนคัน
- ที่ดินประมาณ 140 ไร่ (เฉพาะเฟสแรก 35 ไร่)
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ปี 2563 (แล้วเสร็จ พร้อมอยู่)
- Room Type
– 1 Bedroom ขนาด 43-46 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้าน
– 1 Bedroom Plus ขนาด 63-66 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- ราคาเฉลี่ยประมาณ 100,000 บาท/ตร.ม.
- เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 020785777
ตอนนี้ผมอยู่ด้านหน้า Sale Gallery แล้วนะครับ แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถถ่ายภาพของจริง หรือพาทุกคนเข้าไปชมรายละเอียดภายในโครงการกันได้ (พอดีว่าทางโครงการไม่อนุญาตให้เก็บข้อมูลและถ่ายภาพสถานที่ครับ)
แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่กันแล้ว งั้นผมจะเล่าถึงข้อมูลเท่าที่ทราบมา (โดยใช้รูปภาพจากเว็บไซต์หลักของโครงการในการเล่าประกอบ) พร้อมจับประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ ที่อาจมีผลประกอบในการตัดสินใจมาพูดกันด้วยดีกว่าครับ
ทำเลและที่ตั้งโครงการ
พิกัด Google Maps : 14.029814, 100.615501
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
โครงการตั้งอยู่ติดถนนพหลโยธินในย่านรังสิต-ปทุมธานี โดยในละแวกนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต เซียร์รังสิต ตลาดไท รวมถึงโรงพยาบาล 3 แห่ง และยังมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ 2 แห่งด้วยกัน ทั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนตัวผมมองว่าถ้าใครมีลูกหลานเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้ (หรือมีแพลนในอนาคต) ก็อาจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลาน หรือน้องๆก็สามารถแวะมาดูแลคุณปู่คุณย่าได้สะดวกอีกด้วยครับ
ที่ดินโครงการจะอยู่ติดกับ Plum Condo Park Rangsit ที่เป็นอาคาร Low Rise เหมือนกัน และห่างจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพประมาณ 1 km. ซึ่งเป็นช่วงก่อนถึงสะพานกลับรถพอดีครับ นั่นจึงทำให้เราสามารถกลับรถเข้าเมืองไปฟิวเจอร์ได้ไม่ยากนัก
ส่วนตัวผมมองว่าเป็นทำเลที่เหมาะจะใช้รถในการเดินทาง ซึ่งโครงการจัดที่จอดรถมาให้ประมาณ 30% ส่วนตัวผมยังมองว่าน้อยไปสักหน่อยครับ ถึงแม้จะคาดการณ์ว่าผู้สูงอายุกว่าครึ่งหนึ่ง สภาพร่างกายอาจไม่เอื้อต่อการขับรถด้วยตัวเองแล้วก็ตาม ดังนั้นการเรียกแท็กซี่จาก Application หรือบริการคนขับรถรับ-ส่ง จึงอาจเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นครับ
รายละเอียดโครงการ
โครงการ Jin Wellbeing County ถือเป็นโปรเจค Mixed Use ที่มีทั้ง Condominium + Wellness Center + Hospital และ Community Mall อยู่ในโครงการเดียวกัน กลายเป็นศูนย์รวมการดูแลรักษาสุขภาพที่ครบวงจร และยังเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกในเครือของโรงพยาบาลธนบุรีอีกด้วยครับ
สำหรับพื้นที่ส่วนแรกด้านหน้าสุด (ปัจจุบันเป็น Sale Gallery) ในอนาคตอีกประมาณ 3 ปีจะกลายเป็นโรงพยาบาลธนบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 350 เตียง สามารถรองรับการรักษาเคสหนักๆ เช่น การผ่าตัดต่างๆ ได้เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป นั่นหมายความว่า เวลามีเหตุฉุกเฉินต่างๆ ก็สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์ได้อย่างทันท่วงที นั่นเองครับ
ผมขอเสริมนิดนึงสำหรับ “โรงพยาบาลธนบุรี” เดิมทีเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงของทางฝั่งธน ปัจจุบันอยู่ 2 สาขาใหญ่ๆด้วยกัน เปิดมานานแล้วกว่า 40 ปี ซึ่งผมได้ยินมาว่า นายแพทย์ส่วนใหญ่ก็เป็นอาจารย์หมอจากรพ.ศิริราชด้วยนะครับ ทำให้มั่นใจในฝีมือการรักษาได้ในระดับหนึ่งทีเดียว โดยสาขาที่จะมาตั้งที่ Jin Wellbeing County แห่งนี้ก็จะเป็น โรงพยาบาลธนบุรี 3 นั่นเองครับ
ปัจจุบันโครงการสร้างเสร็จแล้ว 1 เฟส (ขนาด 35 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 140 ไร่) ประกอบด้วย Wellness Center 2 อาคารทางด้านหน้า ซึ่งเป็นจุดที่คนภายนอกก็ยังสามารถเข้ามาใช้งานได้ โดยจะต้องเสียค่าใช้บริการเป็นครั้งๆไป (ลูกบ้านก็เช่นกัน) ถัดเข้ามาคือ Retreat Hospital และมีอาคารพักอาศัยอีก 5 อาคารด้วยกันครับ
เริ่มด้วยอาคารแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด มีชื่อว่า “ธารา” จะเป็นอาคารแนว Active หน่อยครับ เน้นการออกกำลังกายเป็นหลัก ซึ่งจะมีนักกายภาพบำบัดคอยประจำอยู่ตามฟังก์ชันต่างๆ ประกอบด้วย
- ชั้น 1 โซนร้านค้าให้เช่าต่างๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านซักรีด ร้านทำผม และร้านกาแฟ
- ชั้น 2 โซนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ระบบเกลือ และควบคุมอุณหภูมิได้ มีทางลาดให้สามารถเข็นรถวีลแชร์ลงสระได้ด้วย
- ชั้น 3 โซน Fitness ขนาดใหญ่ (ซึ่งคาดว่าจะเป็น Fitness First มาลงในอนาคต แต่ก็จะมีโซนและอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุด้วยครับ ซึ่งต่างจาก Fitness First แบบปกติทั่วไป)
- ชั้น 4 โซนผ่อนคลาย โยคะ และนวดตัว
- ชั้น 5 โซนความสวยงาม และการเติมวิตามินผ่านทางเส้นเลือด (IV Therapy หรือ Vitamin Drip)
อาคารถัดมามีชื่อว่า “ภูผา” จะเป็นส่วนที่เน้นความ Entertain สำหรับการพักผ่อนและสังสรรค์ หรือทำกิจกรรมงานอดิเรกต่างๆ ประกอบด้วย
- ชั้น 1 โซนร้านอาหารขนาดใหญ่ (อนาคตคาดว่าเป็นร้านโอ้กะจู๋)
- ชั้น 2 โซน Meeting & Banquet Room และ Cooking Studio
- ชั้น 3 เป็น Workshop Studio วาดภาพ (Art Therapy)
- ชั้น 4 เป็น Karaoke Room ร้องเพลง เต้นรำ (Music Therapy)
สำหรับการออกแบบอาคาร Wellness Center จะมีลักษณะคล้ายกับชั้นดินที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ และเวลามองเข้าไปที่สวนกลางโครงการ จะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นช่องเขา ที่มีต้นไม้และธารน้ำไหลผ่านนั่นเองครับ
Highlight หลักอีกอย่างที่สำคัญของโครงการนี้ ก็คือ “สวน” ที่อยู่ตรงกลางครับ ซึ่งนอกจากจะมีความร่มรื่นและสวยงามแล้ว ยังมีรายละเอียดที่แฝงเอาไว้ ทำให้นอกจากคนปกติทั่วไปจะสามารถใช้งานได้แล้ว ยังเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งานของผู้สูงอายุด้วยเช่นกันครับ
เช่น ความกว้างของทางเดินจะใหญ่กว่าทางเดินปกติ (ประมาณ 1.5 – 2 m.) มากพอที่จะให้รถเข็นวีลแชร์สามารถเข็นผ่านได้อย่างสะดวก มีการใช้ทางลาดทั้งหมด ไม่มีขั้นบันไดหรือพื้นยกระดับ ซึ่งช่วยให้เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่สามารถใช้รถกอล์ฟ หรือเข็นเตียงผู้ป่วยเข้ามาช่วยเหลือได้ถึงจุดเกิดเหตุนั่นเองครับ
นอกจากนี้ยังมีราวจับอย่างน้อย 1 ด้านตลอดเส้นทาง พร้อมทั้งจุดนั่งพักทุกๆ 30 – 50 m. เพราะผู้ใหญ่บางท่านอาจเดินเป็นระยะทางไกลๆไม่ค่อยได้ มีบางจุดที่เป็นพื้นหินให้ใช้เดินนวดฝ่าเท้าได้ด้วย ที่สำคัญคือ จะมีกล้อง CCTV กระจายอยู่ทั่วทั้งสวน พร้อมกับเจ้าหน้าที่คอยดูกล้องอยู่ตลอด 24 ชม. เลยครับ
อาคารสุดท้ายที่อยากจะแนะนำให้รู้จักคือ Retreat Hospital หรือ โรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก 55 เตียง รองรับการรักษาโรคทั่วไป และเน้นกิจกรรมกายภาพบำบัด ซึ่งจะมีอายุรแพทย์ที่อยู่ดูแลประจำตลอด 24 ชม. แต่จะไม่รองรับเคสหนักๆ อย่างการผ่าตัดหรืออื่นๆ ซึ่งในส่วนนั้นจะต้องรอโปรดักส์โรงพยาบาลด้านหน้าในอนาคตครับ (แต่ในช่วงที่โรงพยาบาลยังสร้างไม่เสร็จนี้ เค้าจะมีรถพยาบาลส่วนตัวคอยประจำอยู่ที่โครงการ เอาไว้รับ-ส่งกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยนะครับ)
มีภาพตัวอย่างฟังก์ชันแต่ละชั้นของโรงพยาบาลมาฝากด้วยครับ ประกอบด้วย
- ชั้น B – ที่จอดรถ
- ชั้น G – แผนกลูกค้าสัมพันธ์ , ห้องฉุกเฉิน , ห้องอาหาร
- ชั้น 2 – คลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟู , คลินิกทั่วไป , เอกซเรย์ , ห้องยา , การเงิน
- ชั้น 3 – 6 เป็นห้องพักคนไข้ มีทั้งห้องรวมและห้องเตียงเดี่ยวพิเศษ
ภาพบรรยากาศตัวอย่างภายในโรงพยาบาลครับ มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ค่อนข้างโปร่งโล่ง และเป็นส่วนตัวดีทีเดียว
ส่วนสุดท้ายจะเป็นโซน Residence สำหรับพักอาศัย เฟสแรกจะมีทั้งหมด 5 อาคาร ซึ่งหากยังจำกันได้ว่าอาคาร Wellness Center และโรงพยาบาลฟื้นฟูสุขภาพด้านหน้า จะเป็นส่วนที่คนภายนอกสามารถเข้ามาใช้งานได้ โดยพื้นที่บางส่วนจะเริ่มเข้าสู่เขตสวนตรงกลาง ซึ่งเป็น Facilities ของคอนโดมิเนียมแล้วครับ
และเนื่องจากผมไม่ได้เข้าไปเห็นด้วยตาตัวเอง จึงไม่แน่ใจว่าเค้ามีวิธีการแบ่งแยกโซนออกจากกันอย่างไร จะมีรั้วปิดมิดชิด หรือคนภายนอกก็สามารถเข้ามาเดินเล่นในสวนได้ด้วยหรือไม่ (ใครที่ทราบสามารถ comment บอกกันได้นะครับ) ส่วนด้านในสุดจะมีบึงน้ำขนาดย่อมๆ คั่นแยกระหว่างเฟสถัดไปในอนาคตเอาไว้ ซึ่งนอกจากจะทำให้แต่ละเฟสเป็นส่วนตัวมากขึ้นแล้ว ลูกบ้านยังสามารถใช้เดินเล่น หรือวิ่งออกกำลังกายรอบบึงน้ำได้อีกด้วยครับ
อาคารพักอาศัยถูกแบ่งออกเป็น 2 คลัสเตอร์ เพื่อแยกการดูแลของนิติบุคคลให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมถึงแต่ละคลัสเตอร์จะมี Facilities อยู่ใต้อาคารชั้น 1 (มีที่จอดรถอยู่ใต้ดิน) เป็นโซนส่วนตัวแยกออกจากกัน และลดความหนาแน่นในการใช้งาน โดยเท่าที่ผมทราบฟังก์ชันใต้อาคารแต่ละคลัสเตอร์จะประกอบด้วย
- ห้องปฐมพยาบาล
- ห้องอเนกประสงค์
- ห้องคาราโอเกะ
- ห้องทำสมาธิสวดมนต์ (หรือทำละหมาด)
- ห้องเกมส์กิจกรรม
- ห้องออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ
- สระออกกำลังกาย ระบบเกลือ ควบคุมอุณหภูมิ ลึก 1.1 m.
นอกจากฟังก์ชันส่วนกลางแล้ว ส่วนอื่นๆของอาคารพักอาศัยก็ถูกออกแบบมา เพื่อรองรับการใช้งานของผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี (สามารถเห็นตัวอย่างของจริงได้จากที่ Sale Gallery) ไม่ว่าจะเป็นโถงทางเดินที่กว้างกว่าปกติ มีราวจับที่ผนังช่วยพยุงตัวตลอดเส้นทาง ปูพื้นด้วยกระเบื้องแบบด้านกันลื่น โถงลิฟต์เป็นผนังกันไฟ และตัวลิฟต์โดยสารก็มีขนาดใหญ่ให้สามารถเข็นวีลแชร์เข้าไปได้อีกด้วย
รายละเอียดห้องพักอาศัย
1 Bedroom ขนาด 43 – 46 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาท เป็นห้องที่จะหันออกมาด้านนอกโครงการ แบ่งฟังก์ชัน Common area และห้องนอนออกจากกันด้วยประตูบานเลื่อนทึบ ซึ่งสามารถพับเก็บเพื่อเชื่อมต่อห้องให้โปร่งโล่งได้ แต่ก็ปิดกั้นแยกเป็นส่วนตัวออกจากกันได้ด้วยครับ และที่ชอบอีกอย่างคือ ผนังช่องหน้าต่างที่เอียงมุมทะแยงออกไป เพื่อเปิดรับวิวตอนลึกของด้านข้างมากขึ้น ช่วยลดการมองเห็นอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
เพียงแต่โซฟานั่งเล่นอาจจะไม่ค่อยตรงกับ Center ของทีวีสักเท่าไหร่นัก แนะนำให้ใช้เป็นชั้นวางทีวีแบบลอยตัว แล้ววางเลื่อนลงมาให้พ้นระยะประตูสักหน่อยจะดีครับ เวลาดูทีวีจะได้สบายตามากขึ้น รวมถึงอาจหาโซฟาตัว L มาใช้ก็ได้ จะได้นอนดูทีวีได้สบายๆ และก็มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ชอบนอนดูทีวีบนเตียง (รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง) ซึ่งห้องนี้ไม่มีที่ให้ติดทีวีตรงปลายเตียงแบบตรงๆนะครับ หากต้องการก็อาจต้องติดแบบแขวนผนังตรงมุมห้องหลังบานประตู แล้วเอียงจอทีวีมาแทนเอานะ
ฟังก์ชันห้องถูกออกแบบมาตามหลัก Universal Design สามารถใช้งานได้สะดวกทุกวัย อย่างประตูบานเลื่อนที่ผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็นวีลแชร์สามารถใช้งานได้ง่าย ก็ถูกนำมากั้นบริเวณกลางห้องและใช้เป็นประตูห้องน้ำด้วย รวมถึงไม่มีการลดระดับของพื้น เพื่อให้ไม่เกิดการเดินสะดุดล้มนั่นเองครับ
ภาพบรรยากาศตัวอย่างของห้องพักจากทางโครงการนะครับ หากได้ไปชมของจริงจะพบว่ามีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆแฝงอยู่ในเฟอร์นิเจอร์และวัสดุอีกเยอะ อย่างพื้นห้องจะเป็นกระเบื้องยางไวนิลที่รับแรงกระแทกได้ในระดับหนึ่ง เผื่อกรณีหกล้มหรือทำของตกก็จะได้ไม่เป็นอันตรายมากนัก รวมถึงภายในห้องน้ำจะมีราวจับช่วยพยุงตัว และมีที่นั่งอาบน้ำมาให้พร้อมแล้วครับ
รูปแบบการขายของราคาเริ่มต้น จะเป็นแบบ Fully Fitted คือจะได้ชุดครัว สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และเครื่องปรับอากาศเท่านั้น ส่วนถ้าใครต้องการห้องแบบ Fully Furnished เหมือนห้องตัวอย่างเลย อาจจะต้องเพิ่มเงินอีกสักประมาณ 400,000 บาท หรือเราอาจเลือกเฉพาะบางชิ้นที่ต้องการก็ได้ครับ (ไม่จำเป็นต้องเอาทั้งห้อง) โดยเฟอร์นิเจอร์ที่แถมมาให้จะมีการลบเหลี่ยมมุมต่างๆเอาไว้ เพื่อป้องกันอันตรายสำหรับผู้สูงวัยนั่นเองครับ
1 Bedroom Plus ขนาด 63 – 66 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท ลักษณะฟังก์ชันพื้นฐานจะคล้ายกับห้องเมื่อสักครู่ที่พาไปชมเลยครับ แต่จะมีโซนบริเวณด้านหน้าห้องเพิ่มเข้ามา คือ Foyer ไว้รับรองแขก มีห้องน้ำสำหรับแขก และมีห้องอเนกประสงค์ที่ผมชอบมากๆอีกด้วยครับ
เพราะนอกจากจะใช้เป็นห้องต่างๆได้ตาม Lifestyle ของผู้พักอาศัยแล้ว ยังสามารถปรับเป็นห้องนอนเสริม เผื่อกรณีมีลูกหลานมาเยี่ยมแล้วต้องนอนค้าง มีพี่เลี้ยงหรือพยาบาลที่ต้องนอนเฝ้า 24 ชม. ก็จะมีห้องนี้ไว้คอยรับรองได้ ซึ่งห้องน้ำก็มีฟังก์ชันอาบน้ำเตรียมเอาไว้พร้อมแล้วในตัว ส่วนอีกจุดหนึ่งที่ชอบก็คือ “วิว” ซึ่งห้อง Type นี้จะเป็นโซนที่หันเข้าสวนด้านในโครงการ จึงทำให้มองเห็นต้นไม้และธารน้ำสวยๆได้นั่นเองครับ
ภาพบรรยากาศภายในห้องตัวอย่างจากทางโครงการครับ ห้องนี้ค่อนข้างใหญ่และโปร่งโล่งดีทีเดียว และแน่นอนว่าจะมีปุ่มขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน ซึ่งติดตั้งไว้ 2 จุดหลักๆคือ หัวเตียงและห้องน้ำครับ
สรุปประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของโครงการนี้
ความปลอดภัย
ผมคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดสำหรับผู้สูงอายุครับ โดยเฉพาะระบบ Tracking System เป็นสิ่งที่ลูกบ้านทุกคนจะได้รับ หลังจากเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนเข้าพักอาศัย ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจวัดชีพจร และอัตราการเต้นของหัวใจในขณะสวมใส่ ซึ่งหากเกิดความผิดปกติหรือเกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม ก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
โดยที่ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพทุกอย่างก็จะอยู่ในสายรัดข้อมือ ทำให้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมระบบ GPS เพื่อป้องกันการพลัดหลงอีกด้วยครับ ซึ่งระบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ 1,500 บาท (แลกกับมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอด 24 ชม.) และก่อนการเข้าพักอาศัย ทางโครงการจะมีเอกสารสอบถามว่า “จะยินยอมให้เจ้าหน้าที่ใช้ Master Key Card เพื่อเข้าไปช่วยเหลือในห้อง กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินหรือไม่?” อีกด้วยครับ
บรรยากาศและการออกแบบโครงการ
คนไทยส่วนใหญ่มักติดภาพจำโครงการประเภทนี้ว่าเป็น “บ้านพักคนชรา” แต่ส่วนตัวผมกลับมองว่านี่คือ “คอนโดมิเนียมที่ถูกออกแบบด้วยหลัก Universal Design เพื่อรองรับการอยู่อาศัยได้ทุกวัย” หากดูเผินๆจะเห็นว่าฟังก์ชันหรือบรรยากาศหลายๆอย่าง ไม่ได้ต่างไปจากคอนโดมิเนียมทั่วไปเลยครับ
เพียงแต่จะมีการเพิ่ม Safety ให้มากขึ้น เช่น ราวกันตก จุดนั่งพักทุกๆ 30 – 50 m. พื้นกระเบื้องยางกันลื่น ประตูบานเลื่อน ความกว้างของทางเดินและลิฟต์โดยสารที่ใหญ่ขึ้น เป็นต้น เพราะไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหน ต่างก็ต้องการความปลอดภัยในการใช้ชีวิตกันทั้งนั้นครับ โดยรวมผมมองว่าเป็นโครงการที่มีส่วนกลางร่มรื่นดีนะ
อีกทั้งยังเป็นโปรเจค Mixed Use ที่ด้านหน้ามีทั้ง Wellness Center , Community Mall และโรงพยาบาลให้ใช้บริการใกล้ๆอีกด้วย ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆให้ทำมากมาย ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางนั่งรถออกไปไกลๆ แต่สำหรับการมีรถยนต์ใช้ส่วนตัวนั้น ปริมาณที่จอดรถอาจไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก สุดท้ายคือการออกแบบช่องหน้าต่างห้องแบบเฉียงองศาเล็กน้อย นอกจากจะช่วยเรื่องการ Take View ได้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ Facade ดูน่าสนใจและสวยงามมากขึ้นอีกด้วยครับ
บริการเสริมต่างๆ
เป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาและมีส่วนสำคัญอย่างมาก สำหรับผู้สูงวัยหลายท่านที่อาจช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง หรือคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแล้วแต่กรณีไปครับ โดยในปัจจุบันยังมีลูกบ้านอยู่อาศัยในโครงการไม่มากนัก ดังนั้นทางโครงการจึงยังไม่นำบริการหลายๆอย่างเข้ามาใช้ในตอนนี้นะ (แต่อาจมีในอนาคต ลองสอบถามเพิ่มเติมดูอีกครั้งครับ) ประกอบด้วย
- บริการขายบ้าน / ขนย้ายบ้าน
- บริการซัก อบ รีด
- บริการทำความสะอาด
- บริการผู้ช่วย/พยาบาลส่วนตัว
- บริการรถรับ-ส่ง
- บริการจัดการขยะ
- บริการจัดอาหารตามสภาวะของร่างกายเพื่อความสมดุล
- บริการเสริมพิเศษสำหรับชาวต่างชาติ เช่น การประสานงานจัดทำวีซ่า
- บริการท่องเที่ยว
- บริการจัดการกองมรดก
ราคาและค่าใช้จ่าย
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าโครงการนี้มีราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท/ตร.ม. หากเทียบกับคอนโดในเมืองก็คงเป็นคอนโดติดรถไฟฟ้ากันเลยทีเดียว แต่คอนโดนี้เป็นคอนโดเพื่อผู้สูงอายุ มีพื้นที่ติดกับโรงพยาบาล และอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด จึงเป็นโปรดักส์สำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่มมากๆ
ผู้ที่สามารถซื้อได้จะต้องมีกำลังผ่อนอยู่ที่ประมาณ 33,000 – 48,700 บาท/เดือน อาจเป็นเงินเก็บส่วนตัวหรือลูกหลานผ่อนให้ก็มีครับ ซึ่งยังไม่รวมค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าส่วนกลาง 60 บาท/ตร.ม./เดือน (หรือห้อง 43 และ 66 ตร.ม. คือประมาณ 2,580 – 3,960 บาท) + ค่า Tracking System 1,500 บาท/เดือน และบริการเสริมอื่นๆที่เลือกใช้
และนอกจากนี้ทางโครงการยังมีการปล่อยเช่าคอนโดรายเดือนด้วยนะครับ เป็น Promotion พิเศษในช่วงโควิดนี้ สำหรับห้อง 43 ตารางเมตร ราคา 39,500 บาท/เดือน สัญญาขั้นต่ำ 1 ปี พร้อมบริการและกิจกรรมพิเศษอื่นๆในโครงการด้วย
ซึ่งผมว่าเป็นระบบที่ดีนะครับ เพราะเราสามารถทดลองอยู่อาศัยระยะหนึ่งดูก่อนได้ หากถูกใจอยากจะซื้อห้องนั้นๆเป็นของตัวเองเลย ทางโครงการแจ้งว่า เงินที่เราเคยจ่ายเช่าห้องทั้งหมดก่อนหน้านั้น จะถูกนำไปลบออกจากเงินดาวน์ตอนที่เราจะซื้อได้ด้วยนะครับ
และหากใครลองเข้าไปดูในเว็บหลักของโครงการ จะพบกับราคาอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งจะไม่รวมกิจกรรมพิเศษอื่นๆเพิ่มเข้ามาครับ แต่สิทธิพิเศษที่ลูกบ้านโครงการจะได้รับอีกอย่างก็คือ ส่วนลดค่าใช้บริการที่ Wellness Center และโรงพยาบาลธนบุรี 3 ประมาณ 40 – 50% (ไม่รวมค่าเวชภัณฑ์) ซึ่งก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายอื่นๆลงไปได้มาก เหมาะสำหรับคนที่ชอบทำกิจกรรมบ่อยๆ หรือต้องพบแพทย์เป็นประจำนั่นเองครับ
มาลองคำนวณกันดูเล่นๆครับ สมมุติว่าเราวางแผนจะเกษียณตัวเอง 20 ปี คิดตัวเลขกลมๆโดยเทียบราคาค่าที่พักและบริการของ Nursing Home โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอื่นๆ ซึ่งเป็นเหมือนการเช่าหรือพักอาศัยระยะยาวเท่านั้น แต่การผ่อนชำระรูปแบบคอนโดมิเนียม เราจะได้รับกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ และเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้ในอนาคตนั่นเองครับ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องสภาพแวดล้อมของที่พักอาศัย ที่ไม่ใช่เป็นการอยู่ในอาคารผู้ป่วย แต่เราจะมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง ได้ใช้ส่วนกลางสวยๆ และมีกิจกรรมที่หลากหลายภายในโครงการให้ทำอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงวัยที่ยังแข็งแรงและช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ และส่วนมากจะเป็นคนโสดที่ไม่ลูกหลาน จึงเป็นการซื้อเผื่ออนาคต ว่าจะมีที่อยู่อาศัยที่ดี มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีคนคอยดูแล และได้อยู่ใกล้หมอนั่นเองคับ
สำหรับรายละเอียดโครงการ Jin Wellbeing County ถ้าทีมงาน Thinkofliving ได้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ หรือได้เข้าไปทำรีวิวฉบับเต็ม ทางเราจะรีบมาอัพเดทให้ รอติดตามอ่านกันนะครับ 😀
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving