รีวิวโครงการ
BoomTharis | คอนโดตัวท้อปจากแสนสิริ กับฝีมือนักออกแบบระดับโลก! Khun by YOO inspired by Starck
30 มีนาคม 2020
รีวิวฉบับที่ 2001 … โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck หนึ่งใน Sansiri Luxury Collection ภายใต้ความร่วมมือกับ YOO Studio และออกแบบโดย Philippe Starck ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก โดดเด่นในเรื่องคอนเซ็ปต์การออกแบบโครงการ และส่วนกลางที่สวยงามน่าใช้งานมากๆ อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลใจกลางทองหล่อ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าร้านอาหารระดับ Hi-End มากมาย ซึ่งโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วจะเป็นอย่างไร เราไปชมพร้อมๆกันได้เลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Fact @ 22 November 2019
- KHUN by YOO inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค)
- บริษัท แสนสิริ กับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ซอยสุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) ถนน สุขุมวิท เขต วัฒนา
- ที่ดินประมาณ 1 ไร่
- คอนโด High Rise 27 ชั้น 1 อาคาร 148 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 10 ยูนิต
- ที่จอดรถอัตโนมัติ (Auto Parking) 100% และจอดแบบปกติ 4 ช่อง รวมคิดเป็น 102%
- สร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่ Q4 ปี 2018
- 1 Bedroom ขนาด 41.5 – 49.75 ตร.ม.
- 1 Bedroom ขนาด 53.5 ตร.ม.
- 2 Bedrooms ขนาด 82 – 97.75 ตร.ม.
- 3 Bedrooms ขนาด 139.25 – 149.75 ตร.ม.
- Penthouse ขนาด 294 – 302.75 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
- ราคาห้อง 50 ตารางเมตร เริ่มต้น 18 ล้านบาท (Promotion)
- ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 380,000 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 1685
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.732922, 100.582330
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 55 หรือซอยทองหล่อ โดยจะอยู่ระหว่างซอยทองหล่อ 12 และซอยทองหล่อ 10 ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นใจกลางทองหล่อเลยก็ว่าได้ครับ เป็นย่านที่มีความเจริญและคึกคักมาก ทั้งกลางวันกลางคืน เต็มไปด้วยร้านค้าระดับ Hi End และคอมมูนิตี้ต่างๆ มีโรงพยาบาลเอกชน โรงเรียนนานาชาติ โรงแรมระดับ 5 ดาว และสถานบันเทิงมากมาย รวมถึงมี Demand ความต้องการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ที่อยากจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น สังเกตได้จากมีร้านอาหารญี่ปุ่นดีๆหลายร้าน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในแต่ละปี ย่านทองหล่อจะมีราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury เกิดขึ้นมากมายครับ
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของซอยนี้คือ “บรรยากาศภายในซอย” ซึ่งจะมีร้านค้าและร้านอาหารกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งซอย สามารถเดินสำรวจเลือกดูไปทีละร้านได้ง่ายๆ โดยเฉพาะบริเวณใกล้ๆกับที่ตั้งโครงการ ก็มีสถานที่สำคัญในระยะเดินถึงอย่าง Strabucks, J Avenue, Tops, Donki Mall, Nihonmaru และโรงพยาบาลสมิติเวช นี่ยังไม่รวมร้านอาหารและร้านนั่งชิลล์อีกหลายร้านเลยนะครับ ส่วนการเดินทางก็สะดวกนะ เพราะซอยต่างๆของย่านนี้จะเชื่อมต่อถึงกันได้หมด แทบจะไม่ต้องออกนอกถนนใหญ่เลยก็ได้ ถ้าจะเดินทางไกลก็มีทางด่วนให้ใช้ หรือถ้าไม่อยากรถติดก็สามารถนั่งวินมอไซต์มาต่อรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ ตรงปากซอย (ประมาณ 1.2 km.) ก็ได้อีกเช่นกันครับ
สำหรับทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ ทางพิเศษฉลองรัช ซึ่งข้อจำกัดหนึ่งของโครงการนี้คือ เมื่อเราออกมาจากโครงการแล้วจะไม่สามารถเลี้ยวขวาไปทางถนนเพชรบุรีได้ครับ แต่เราสามารถใช้ซอยทองหล่อ 10 ที่อยู่ใกล้ๆ เชื่อมต่อมายังซอยเอกมัย จากนั้นก็ขับตรงยาวๆ ข้ามแยกเอกมัยเหนือที่ตัดกับถนนเพชรบุรี เข้าสู่ถนนนประดิษฐ์มนูธรรม ก็จะสามารถไปขึ้นทางด่วนได้ในระยะ 3.5 km. โดยใช้เวลาประมาณ 16 นาทีครับ
และอีกจุดหนึ่งที่อยากแนะนำ สำหรับใครที่ต้องการไปยังโซนดินแดง-แจ้งวัฒนะ ก็สามารถมาขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครได้ โดยผ่านซอยสุขุมวิท 40 มายังถนนพระราม 4 และถนนกล้วยน้ำไท ระยะทางประมาณ 3.9 km. ใช้เวลา 7 – 10 นาทีเท่านั้น
เส้นทางการเดินทาง
สำหรับการเดินทางในวันนี้ ผมใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครมาลงที่กล้วยน้ำไท แล้วใช้ซอยสุขุมวิท 42 เพื่อเชื่อมต่อมายังถนนสุขุมวิท จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่ซอยทองหล่อ ขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการทางขวามือครับ ซึ่งบรรยากาศการเดินทางจะเป็นอย่างไร เราไปชมพร้อมๆกันเลย
ตอนนี้ผมอยู่บนทางพิเศษเฉลิมมหานครนะครับ ให้ใช้ทางออก 12 ถนนอาจณงค์ - กล้วยน้ำไท
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
บริบทโดยรอบโครงการ เนื่องจากเป็นคอนโดใจกลางเมือง จึงไม่แปลกที่จะมีอาคารสูงอยู่รายล้อมนะครับ มีทั้งคอนโดสูง อาคารสำนักงาน และโรงแรมขนาดใหญ่ แต่ก็พอจะมีด้านที่เปิดโล่งอยู่บ้างอย่างทางทิศเหนือเป็นต้น โดยวิวที่ทุกคนจะได้เห็นต่อไปนี้ คือชั้นดาดฟ้าที่ 27 ของโครงการนะ สามารถสรุปได้ดังนี้
ทิศเหนือ : ติดกับซอยทองหล่อ 12 และมีที่พักอาศัยแนวราบอย่างโครงการบ้านกลางกรุงตั้งอยู่ ระยะไกลได้วิวฝั่งเพชรบุรี และมองเห็นเพื่อนบ้านเจ้าของเดียวกันอย่าง THE MONUMENT Thong Lo ด้วยครับ
ทิศใต้ : ติดกับอาคารสำนักงาน The Opus สูง 8 ชั้น และเป็นซอยทองหล่อ 10 ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงแรม Grande Centre Point Sukhumvit 55 ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 100 m.
ทิศตะวันออก : ติดกับโครงการบ้านกลางกรุง ขวามือมีอาคารสำนักงาน Major Tower สูง 17 ชั้น และคอนโด Hampton สูง 30 ชั้น แต่แปลงที่ดินตรงกลางในอนาคตจะมีโครงการ Park Origin Thonglor เป็นกลุ่มอาคารคอนโดสูง 39 - 59 ชั้นเกิดขึ้นครับ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 150 m. และในระยะไกลจะเป็นวิวทางฝั่งซอยเอกมัย-สวนหลวง
ทิศตะวันตก : เป็นด้านหน้าโครงการติดกับถนนซอยทองหล่อ ด้านหน้ามีอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ฝั่งตรงข้ามเป็นโครงการเพื่อนบ้าน TELA ทองหล่อ สูง 32 ชั้น อยู่ห่างออกไปประมาณ 70 m. ซึ่งจะมีระยะ set back ของอาคารทั้ง 2 และถนนตรงกลางคั่นเอาไว้ ซึ่งถ้ามองเลยไปจะเป็นวิวฝั่งพร้อมพงษ์-อโศก
นอกจากนี้ทางโครงการจะมีห้องที่เป็นห้องมุมด้วยครับ จะได้วิวดังต่อไปนี้
วิวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เรามาเดินดูทำเลของจริงรอบๆโครงการกันครับ เริ่มจากด้านหน้าโครงการจะอยู่ติดกับถนนทองหล่อแบบนี้เลย ซึ่งอย่างที่ผมบอกในช่วงแผนที่แล้วนะครับว่า ถ้าเราออกมาจากโครงการจะถูกบังคับเลี้ยวซ้ายไปถนนสุขุมวิทนะครับ ไม่สามารถข้ามเลนมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเลี้ยวขวาไปทางถนนเพชรบุรีได้นะ
ฝั่งตรงข้ามเป็นโครงการเพื่อนบ้าน TELA ทองหล่อ สูง 32 ชั้น ซึ่งเยื้องๆกันจะมีวินมอไซค์ตั้งอยู่ด้วยครับ โดยถ้าใครที่ต้องการใช้บริการ เช่น ไปต่อ BTS ทองหล่อ ที่อยู่ปากซอย ก็สามารถโบกเรียกพี่วินเค้าจากฝั่งนี้ก็ได้ครับ
เราไปดูทางซ้ายกันต่อเลยครับ ซึ่งในระยะประชิดจะไม่มีอาคารสูงมาบังวิวเลยนะ และถ้าตรงต่อไปตามถนนนี้จะเป็นเส้นทางไปยังถนนเพชรบุรีนั่นเองครับ
ติดกับโครงการจะเป็นซอยทองหล่อ 12 ซึ่งเป็นซอยตันครับ และถัดไปจะเป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้นอยู่ริมถนนตลอดทางเลย
ที่ชั้นล่างก็จะมีร้านอาหารและร้านเสริมสวยเล็กๆ ส่วนซ้ายมือจะเป็นทางม้าลาย เอาไว้ใช้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามได้ครับ
โดยฝั่งตรงข้ามจะเป็นซอยทองหล่อ 13 ซึ่งเชื่อมต่อไปยังซอยสุขุมวิท 49 ได้ หน้าปากซอยนี้จะมีอาคารสำนักงานชื่อ Home Place ตั้งอยู่ โดยชั้นล่างจะมีร้านอาหาร ธนาคาร และร้านสะดวกซื้ออย่าง Family mart ส่วนในซอยจะมีทั้งตลาดญี่ปุ่นอย่าง Nihonmura Mall และโรงพยาบาลสมิติเวชครับ
เดินถัดมาเราจะเจอกับโครงการบ้านกลางกรุง และที่ด้านหน้าจะมีวินมอไซค์ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งจะมีอัตราค่าบริการเหมือนกับวินฝั่งตรงข้ามเมื่อครู่ตามนี้เลย
เดินต่อมาอีกหน่อยผมเจอทั้งร้านอาหารญี่ปุ่น และร้านนั่งชิลบรรยากาศดีๆ รวมถึง 72 Courtyard ก็อยู่ในระยะเดินถึงได้สบายๆเพียง 220 m. อีกด้วยครับ
และนอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามก็ยังมีคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง J Avenue ให้ได้มาเดินช้อปปิ้ง หาของกินกันได้แบบชิลๆเลยครับ
กลับมาที่หน้าโครงการ คราวนี้เราจะมาดูฝั่งด้านขวากันบ้างครับ ซึ่งด้านหน้าโครงการจะมีอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นตั้งอยู่ ด้านล่างเปิดเป็นร้านเสริมสวยและร้านอาหารครับ
โดยเส้นทางนี้จะเป็นทางที่มุ่งหน้าไปออกถนนสุขุมวิท ที่มีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียววิ่งผ่านได้ แต่ทีเด็ดในระยะเดินของด้านขวานี้คือ “ฝั่งตรงข้าม” ที่อยู่เยื้องๆกับโครงการนี่เองครับ
ซึ่งถ้าเราข้ามถนนมาก็จะเจอกับเวิ้งพลาซ่าเล็กๆ ที่มีทั้งร้านอาหารอย่าง The Taste Thonglor และที่สำคัญเลยคือ มี Starbucks สาขาค่อนข้างใหญ่ ที่เราสามารถเดินมานั่งจิบกาแฟ หรือนัดแขกมาคุยงานคุยธุระกันได้ที่นี่ โดยไม่ต้องเข้าไปในโครงการให้เสียความเป็นส่วนตัวเลยครับ
ส่วนบริเวณถนนด้านหน้านี้จะเป็นแยกซอยทองหล่อ 10 ซึ่งเราสามารถเลี้ยวซ้ายเพื่อเชื่อมต่อไปยังถนนเอกมัยได้ โดยซอยนี้จะมีร้านนั่งดื่มเก๋ๆหลายร้าน หรือตรงปากซอยฝั่งเอกมัยก็จะมีเยอะเหมือนกันครับ รวมถึงมี DONKI Mall ที่เป็นห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นด้วยนะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- J Avenue ∼ 150 m.
- The Commons ∼ 300 m.
- Nihonmura Mall ∼ 450 km.
- DONKI Mall ∼ 500 m.
- Tops Supermarket ทองหล่อ ∼ 500 m.
- โรงพยาบาล สมิติเวช ∼ 800 m.
- โรงพยาบาลคามิลเลียน ∼ 850 m.
- โรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep ∼ 1.2 km.
- Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit ∼ 1.3 km.
- โรงเรียนนานาชาติเอกมัย ∼ 1.3 km.
- ท้องฟ้าจำลอง ∼ 1.9 km.
- EmQuartier ∼ 2.1 km.
- โรงพยาบาลสุขุมวิท ∼ 2.2 km.
- Rain Hill ∼ 2.3 km.
- Parklane Ekkamai ∼ 2.3 km
- Emporium ∼ 2.5 km.
- มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ∼ 2.5 km.
- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ∼ 2.8 km.
- โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ∼ 2.8 km.
- W District ∼ 2.9 km.
- K Village ∼ 3.3 km.
- โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ∼ 3.3 km.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck เป็นหนึ่งในโปรดักส์ซีรี่ย์ Sansiri Luxury Collection ที่ร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และจับมือกับ YOO Studio ซึ่งออกแบบโดย Philippe Starck ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกที่มีผลงานมาแล้วมากมาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ โดยโครงการนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมแห่งแรกในประเทศไทย ที่ออกแบบโดยคุณ Philippe Starck อีกด้วยครับ
โครงการ KHUN by YOO ออกแบบภายใต้แนวคิด Industrial Heritage ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตของ Philippe Starck ที่เกิดในฝรั่งเศสช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นยุคแห่งการฟื้นฟู และยุคหลังการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม โดยสะท้อนแนวคิดดังกล่าวผ่านการใช้วัสดุแบบ “Raw Beauty” เพื่อโชว์ความสวยงามของวัสดุตามธรรมชาติ แต่ก็แอบแฝงด้วยสีสันที่ดูสนุกสนาน ซึ่งเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของคุณ Philippe นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะปรากฏในส่วนต่างๆของโครงการที่เราจะได้เห็นดังต่อไปนี้ครับ
มาดูแปลนโครงการกันก่อนนะครับ เริ่มจากทางเข้าด้านหน้าจะอยู่ติดกับซอยทองหล่อเลย ส่วน Drop Off ของอาคารที่เป็นทางเข้าหลัก จะอยู่ทางด้านข้างของตัวตึก ทำให้ไม่สามารถมองเห็น Lobby ได้จากภายนอกโครงการตรงๆได้ ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวได้ดี โดยที่จอดรถจะเป็นระบบอัติโนมัติ (Auto Parking) และมีช่องจอดแบบปกติอีก 4 ช่อง รวมเป็น 102% มีลิฟต์จอดรถ 3 ช่อง ซึ่งพอจอดเสร็จก็เดินเข้า Lobby จากประตูด้านข้างได้เลย ส่วนขาออกจะสามารถขับตรงออกมาอีกด้านของลิฟต์ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปวนรอบอาคารครับ นอกจากนี้ยังมีสวนสีเขียวอยู่ด้านหน้าสุด ช่วยเป็น Buffer กันมลพิษและความวุ่นวายต่างๆได้ ส่วนด้านหลังอาคารจะมี EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไว้คอยบริการอีกด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปชมพร้อมๆกันเลยครับ
เริ่มจากบริเวณทางเข้าด้านหน้า จะมีป้อม รปภ. อยู่ทางด้านซ้ายมือ คอยดูแลให้ตลอด 24 ชม. ซึ่งจะมีรั้วล้อเลื่อนคอยกันเอาไว้เป็นด่านแรก ส่วนขวามือจะเป็นทางเข้าสำหรับคนเดินแยกออกมาต่างหากเพื่อความปลอดภัยครับ
กำแพงรั้วของโครงการทางด้านขวา ทำมาจากหินอ่อนสีขาว ซึ่งไม่ได้ทำเป็นผนังทึบซะทีเดียวครับ แต่จะมีการเจาะช่องเล็กน้อย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อของพื้นที่ภายในกับภายนอก แต่ยังคงได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย ส่วนประตูทางเข้าคนเดินจะต้องใช้ Key Card Access เข้า-ออก เพื่อความปลอดภัยครับ
และเมื่อเข้ามาภายใน ทางด้านขวาเราจะเจอกับพื้นที่สีเขียวของโครงการ ซึ่งจะปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาชิดไปทางด้านขวา เพื่อไม่ให้พุ่มไม้บดบังความสวยงามของ Facade อาคารด้านหน้าครับ
โดยตัว Facade บริเวณชั้น 1 – 5 ที่เป็นชั้นจอดรถนั้น จะทำมาจาก อลูมิเนียม คอมโพสิต (Aluminum Composite) หรือ แคลดดิ้ง (Cladding) มีคุณสมบัติทนการกัดกร่อนได้ดี สีไม่ซีดจางง่าย ไม่เป็นสนิม และน้ำหนักเบา ยิ่งตอนช่วงเย็นๆจะสะท้อนกับแสงแดดเป็นสีทองสวยงามมากทีเดียวครับ ส่วนตอนกลางคืนก็จะเปิดไฟประดับที่ซ่อนอยู่ ซึ่งก็ดูสวยงามไม่แพ้กันนะ
ด้านขวาของสวนจะมีชุดโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเล่นพักผ่อนใต้ร่มไม้กันได้ และที่ผนังด้านข้างจะมีน้ำตกไหลผ่านอยู่หลังโซ่เหล่านี้อีกด้วยครับ
กลับมาที่ทางเข้าหลักของรถยนต์ เมื่อผ่านป้อม รปภ. มาแล้ว จะมีเครื่อง RFID ที่ใช้สัญญาณ Bluetooth แบบ Easy Pass บนทางด่วน พร้อมกับกล้อง CCTV เพื่อตรวจจับการเข้า-ออกของรถยนต์ แล้วจะส่งสัญญาณไปที่ลิฟต์จอดรถให้มาคอยรับรถของเราครับ โดยป้ายสีส้มด้านหลังจะทำหน้าที่แสดงสถานะของลิฟต์จอดรถด้วยว่า เราต้องไปขึ้นลิฟต์ตัวที่เท่าไหร่ และแต่ละตัวมีคิวต่อล่วงหน้าเราอยู่กี่คันครับ
เมื่อเข้ามาด้านในจะมีถนนที่วนได้รอบอาคาร ซ้ายมือคือทางเข้าที่สามารถตรงไปจอดยัง Drop Off หรือเข้าลิฟต์จอดรถใต้อาคารได้เลย ส่วนขวามือจะเป็นทางออกครับ
ตลอดข้างทางซ้ายมือจะมีสวนแนวตั้ง (Vertical Garden) ประดับเอาไว้อย่างสวยงาม และรู้สึกสดชื่นดีทีเดียว รวมถึงยังช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัวจากเพื่อนบ้านข้างเคียงได้อีกด้วยนะ
และเมื่อขับเลยจุด Drop Off มาแล้ว ก็จะมีทางเดินรถวนไปด้านหลังอาคารได้ ซึ่งถ้าเป็นลูกบ้านก็อาจไม่ได้ใช้เส้นทางนี้กันบ่อยนักหรอกครับ แต่จะเป็นเส้นทางของรถ Service ต่างๆซะมากกว่า
โดยเมื่อเราอ้อมมาอีกด้านของอาคารแล้ว ก็จะเจอกับช่องจอดรถสำหรับ EV Charger 2 Station 4 หัวจ่าย และจะมีรถบริการ Alphard Limousine Services จอดอยู่บริเวณนี้ด้วยครับ สามารถเรียกใช้บริการให้ไปส่งตามสถานที่ต่างๆที่กำหนดไว้ได้ เช่น รถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ และ J Avenue เป็นต้น
สำหรับทางเข้า Lobby จะมีอยู่ 3 ประตูด้วยกัน คือ บริเวณ Drop Off ด้านหน้า และทางด้านข้างจากลิฟต์จอดรถทั้ง 2 ฝั่งครับ
ลิฟต์จอดรถจะมีอยู่ทั้งหมด 3 ตัว คือด้านซ้าย 2 ตัว และด้านขวาอีก 1 ตัว ซึ่งพิเศษหน่อยสำหรับช่องด้านขวา เพราะจะเป็นลิฟต์ขนาดใหญ่ ที่จอดรถประเภท Van คันยาวๆได้ด้วยครับ โดยวิธีจอดก็ง่ายมากๆ ด้านในจะมีกระจกเงาขนาดใหญ่ให้เราส่อง เพื่อจะได้จอดให้ตรงกับร่องของล้อรถที่กำหนดไว้
จากนั้นก็ให้เราลงจากรถ แล้วออกมากดหน้าจอมอนิเตอร์ที่ด้านนอก แล้วรถก็จะถูกเก็บไปให้เองโดยอัติโนมัติ ส่วนขาออกก็ง่ายมากๆครับ เพราะตอนที่เรามาเอารถ ประตูฝั่งตรงข้ามที่เป็นกระจกเงาก็จะเปิดออก ให้เราขับตรงออกไปได้เลย
เข้ามาภายใน Lobby ซึ่งทางโครงการจะเรียกว่า The Greeting Hall ออกแบบและตกแต่งโดยคุณ Phillipe Starck ที่ผสมผสานความ Modern และความ Classic ของวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆภายในได้อย่างลงตัว
ซ้ายมือของผมเป็นชุดโซฟานั่งเล่น ที่หลายๆคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ในสมัยที่ยังเป็น Sales Gallery ซึ่งเอาไว้นั่งคอยหรือรับรองแขกได้ครับ
ซึ่งจุดเด่นของ Lobby โครงการนี้คือ การตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ (Oversize) เช่น Chandelier ของ Barovier & Toso แบรนด์ระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตแชนเดอเลียร์แบบงานคราฟท์มาหลายศตวรรษ และเฟอร์นิเจอร์แบบ Classical ที่จะถูกออกแบบและคัดสรรโดยคุณ Phillipe Starck เช่น โซฟาลายผ้าม่านพริ้วไหว เก้าอี้หนังวัว และม่านโซ่ทองแดง ที่สั่งทำพิเศษมาโดยเฉพาะอีกด้วยครับ
ส่วนอีกด้านหนึ่งบริเวณหน้าประตูที่ผมเข้ามานี้จะมีม้านั่งตัวยาว ที่เอาไว้นั่งคอยลิฟต์จอดรถครับ ซึ่งพอเรานำ Key Card ไปแตะที่เครื่องด้านซ้ายแล้ว หน้าจอทีวีก็จะแสดงสถานะของรถเรา ว่าจะมาจากลิฟต์ตัวไหน มีคิวต้องรออยู่กี่คิว และต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นโครงการแรกของแสนสิริที่ใช้ระบบการจอดรถแบบ Auto Parking อีกด้วยครับ
โดยเฉลี่ยแล้วอาจต้องใช้เวลารออย่างน้อยๆ 3 นาที ซึ่งนี่คือข้อเสียของระบบการจอดแบบ Auto Parking ทั่วไปครับ ถึงแม้จะไม่ต้องเสียเวลาวนรถเอง แต่ก็ต้องรอนาน หรือถ้าใครที่ลืมของไว้บนรถนิดหน่อย จะไม่สามารถเดินมาเอาได้ง่ายๆ เหมือนการจอดแบบปกติแล้วนะครับ แต่ถ้าใครที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นระบบที่สะดวกทีเดียว
ส่วนถ้าใครที่ต้องรอรถนานๆ หรือเพิ่งกลับมาบ้านแล้วอยากเข้าห้องน้ำ ก็จะมีจุดบริการห้องน้ำอยู่ทางขวามือของชั้นนี้ด้วยนะครับ
ทางเข้าโถงลิฟต์จะอยู่บริเวณตรงกลางเลยครับ ซึ่งถ้าเราเข้ามาจากประตูใหญ่ตรงจุด Drop Off ด้านหน้า จะมีพื้นลายหินอ่อนปูเป็นเส้นทางให้เราเดินตรงเข้าไปได้แบบนี้เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้สังเกต คือเรื่องของวัสดุที่ใช้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าแนวความคิดโครงการนี้คือ Industrial Heritage และเน้นการตกแต่งแบบ “Raw Beauty” เพื่อโชว์ความสวยงามของวัสดุตามธรรมชาติ ทั้งพื้นหินอ่อน ปูนเปลือย ทองแดง และหินขัด ซึ่งค่อนข้างแปลกตา แต่ลงตัวมากๆเลยทีเดียวครับ
โดยเฉพาะบริเวณโถงลิฟต์นี้จะตกแต่งด้วยหินอ่อน Arabescato Classico ทั้งหมด และจะมีลิฟต์โดยสาร 2 ตัวด้วยกัน
ภายในลิฟต์จะมีขนาดใหญ่ครับ พื้นปูด้วยหินอ่อนเหมือนกัน แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ การที่มีแป้นกดสำหรับผู้พิการแยกมาอีกจุดหนึ่งให้ด้วยครับ
ซึ่งลิฟต์ตัวนี้ทางโครงการแจ้งว่าเป็นลิฟต์ที่ค่อนข้างเร็ว เฉลี่ยชั้นละ 1 วินาที ดังนั้นผมเลยลองทดสอบจับเวลาดู จากชั้น 27 ลงมาที่ชั้น 1 แบบไม่มีจอดแวะที่ชั้นไหน ปรากฏว่าจะใช้เวลาประมาณ 40 วินาทีได้ครับ
ขึ้นมาที่ชั้นพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 6 เป็นต้นไป โดยชั้น 6 – 10 จะเป็นชั้นที่จำนวนยูนิตต่อชั้นมากที่สุดอยู่ที่ 10 ยูนิต และโถงทางจะเป็นแบบ Single Corridor มีความเป็นส่วนตัวสูง แต่จะขาดเรื่องช่องแสงและการระบายอากาศไปบ้างครับ โดยผมได้แยกโซนสีต่างๆเพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจไว้ดังนี้
- สีเทา เป็นพื้นที่เก็บงานระบบและ Condensing Unit ต่างๆของทุกยูนิต ซึ่งจะมารวมกันอยู่ตรงจุดนี้ และถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนกลางด้วยครับ นั่นหมายความว่าเราจะไม่ต้องเสียพื้นที่ฟังก์ชันนี้ในห้องของตัวเอง หรือเวลาช่างมาซ่อมแอร์และงานระบบต่างๆ ก็อาจไม่ต้องเข้ามาในห้องให้เสียความเป็นส่วนตัวเลยครับ
- สีน้ำเงิน เป็นห้องขนาดเล็กที่สุดของโครงการ และค่อนข้างเป็นส่วนตัว อยู่ติดกับห้องเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียว และมีผนังบางส่วนที่ติดกับตำแหน่งงานระบบ เช่น ลิฟต์โดยสาร และห้องเก็บ Condensing Unit ซึ่งผมไม่ชัวร์เรื่องเสียงรบกวนนะครับ ถ้าใครทราบก็บอกกันที่ comment ด้านล่างได้เลยนะ
- สีฟ้า มีผนังติดกับเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียว และอยู่ติดพื้นที่เก็บงานระบบเหมือนกันครับ แต่ตำแหน่งจะอยู่ใกล้โถงลิฟต์มากกว่าห้องอื่นๆ ซึ่งจะมีเพื่อนบ้านเดินผ่านบ่อยครั้งกว่า อาจเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้างครับ
- สีส้ม เป็นห้อง 1 Bedroom ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แล้วยังเป็นห้องมุมอีกด้วยครับ
- สีเขียว เป็นตำแหน่งห้อง 2 Bedrooms และเป็นห้องมุมที่มีแค่ 2 ห้อง/ชั้นเท่านั้น
เรามาดูโถงลิฟต์ที่ชั้นพักอาศัยกันครับ ผนังติดวอลเปเปอร์สีเทาเข้ม ตัดขอบด้วยหินอ่อนสีขาว และด้านหน้าลิฟต์ยังมีตู้จดหมายตั้งอยู่ทุกๆชั้นอีกด้วยครับ เวลาเราขึ้นลิฟต์กลับบ้านมา ก็สามารถแวะรับจดหมายได้สะดวกเลย
ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามกับตัวลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกเราจะเจอกับรูปภาพขนาดใหญ่สีทูโทน ซึ่งแต่ละชั้นภาพก็จะสลับกันไปเรื่อยๆ แต่ที่ผมชอบจริงๆคือ การจัด Lighting ของทีม YOO Studio ซึ่งมีการสะท้อนของแสง แล้วเกิดลวดลายตามพื้น ผนัง หรือฝ้าเพดาน ที่สวยงามและเท่มากๆครับ
หันมาทางซ้ายมือจะมีทางแยกออกไปยังส่วนพักอาศัยทั้ง 2 ฝั่ง แต่ผนังกระจกตรงกลางนี้เมื่อเปิดออกมาจะพบกับประตูกระจกฝ้าที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งเป็นห้องเก็บงานระบบต่างๆที่ผมได้อธิบายไปในช่วงแปลนก่อนหน้านี้ครับ โดยทางโครงการจะปิดไว้มิดชิดแบบนี้ ไม่ได้ทำเป็นช่องแสงหรือช่องลมให้กับโถงลิฟต์นะครับ
เหตุผลหนึ่งที่ไม่ต้องการให้แสงเข้ามาภายใน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของ Design ที่ต้องการเล่นแสงเงาต่างๆ ของโถงทางเดิน บรรยากาศจะคล้ายกับเวลาเราไปพักที่โรงแรม มีแสงสลัวๆ ดูลึกลับและแปลกตาดีครับ ซึ่งส่วนที่ผมชอบมากที่สุดคือ รูปที่ติดอยู่ปลายทางเดินแต่ละจุด เพราะทำให้ทางเดินดูมีมิติ และกว้างมากขึ้นเยอะเลยครับ
ซึ่งผลงานศิลปะเหล่านี้ถ้าโดนแสงหรือลมบ่อยๆ ก็อาจซีดจากไวได้เหมือนกัน จึงอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่โถงทางเดินถูกปิดทึบก็เป็นได้ครับ แต่ก็มีช่องระบายอากาศอยู่บนเพดานอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกอับหรืออึดอัดอะไรนะ
ขึ้นมาที่ชั้น 11 – 21 ห้องพักในกรอบสีเขียวจะรวมกันกลายเป็นห้อง 2 Bedrooms จึงทำให้ตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไปจะมีเพื่อนบ้านร่วมชั้นลดลง 2 ยูนิต เหลือเพียง 8 ยูนิต/ชั้น ครับ
ส่วนที่ชั้น 22 – 23 ห้อง 2 Bedrooms กับ 1 Bedrooms ทั้งหมดจะรวมกัน กลายเป็นชั้นที่มีแต่ห้อง 3 Bedrooms เพียง 4 ยูนิต/ชั้นเท่านั้น
และชั้น 24 เริ่มเป็นชั้น Facilities แบบเต็ม Floor ซึ่งถือเป็นชั้น Highlight ของโครงการนี้เลยครับ ทั้งหมดจะเป็นฟังก์ชันโซนเปียกที่เกี่ยวกับสระว่ายน้ำ มีทั้งสระว่ายน้ำหลักที่ยาว 30 m. มีสระเด็ก และ Jacuzzi แยกต่างหาก พร้อมกับมีห้องน้ำแยกชายหญิงให้ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันได้สะดวกอีกด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ
ออกมาที่โถงลิฟต์ของชั้น 24 จะเป็นพื้นที่แบบ Open Air ซึ่งรูปภาพที่ประดับอยู่ตามผนังนี้ ก็เป็นการซ่อนงานระบบต่างๆอยู่ด้านใน ดูสวยงามและเรียบร้อยดีครับ
และเมื่อเราเดินออกมาด้านนอกก็จะเจอกับสระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool ที่ว่ายน้ำไปและชม City View ของย่านทองหล่อได้ 180 องศาครับ
สระว่ายน้ำมีความยาวอยู่ที่ 30 m. สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง และยังเป็นสระปรับอุณหภูมิได้ สามารถว่ายน้ำอุ่นๆในช่วงหน้าหนาวก็ได้ครับ ที่สำคัญคือเป็นสระในร่ม สามารถว่ายได้ตลอดทั้งวันเลยด้วย
จุดเด่นของสระว่ายน้ำนี้จริงๆคือ กระจกเงาที่ติดอยู่บนฝ้าเพดาน ซึ่งจะสะท้อนทั้งตัวสระว่ายน้ำเอง และวิวทิวทัศน์รอบๆโครงการ แน่นอนว่าตอนกลางคืนจะสะท้อนเป็นแสงไฟของบ้านเรือนและตึกต่างๆ รวมถึงสะท้อนแสงไฟ(ไฟเบอร์ออปติก)ที่ติดอยู่ใต้น้ำ ซึ่งจากที่โครงการเล่ามาก็จะประมาณว่า “เวลาเราว่ายน้ำอยู่จะรู้สึกเหมือนได้ลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางดวงดาว” อะไรแบบนั้นครับ
เดินเลี้ยวขวามาจะเจอกับจุดนั่งเล่นและ Jacuzzi ซึ่งมีที่นั่งอยู่รอบๆ พร้อมกับ Spa Water Jet ช่วยนวดผ่อนคลายได้อีกด้วย
สำหรับจุดนั่งพักผ่อนจะมี Step ยกตัวสูงขึ้นไปอีกทีครับ
ทำให้เวลาขึ้นมานั่งพักด้านบนก็จะสามารถชมสระ และชมวิวโดยรอบไปได้ด้วยแบบนี้เลย
ซึ่งพื้นที่นั่งเล่นนี้จะอยู่ในร่ม ด้านบนเป็นห้อง The Reading Lounge ที่อยู่ชั้น 25 ครับ
ส่วนถ้าเราเลี้ยวมาทางซ้ายของสระว่ายน้ำ ก็จะเป็น Kids Pool ซึ่งจะมีส่วนน้ำตื้นเป็นน้ำพุเตี้ยๆคั่นกับส่วนของสระผู้ใหญ่เอาไว้
และด้านบนจะเป็นห้อง Fitness ที่อยู่บนชั้น 25 ครับ
ส่วน Kids Pool เด็กๆสามารถเล่นน้ำไปด้วย และชมวิวไปด้วยได้นะ แต่ผู้ใหญ่อาจต้องคอยดูแลกันอย่างใกล้ชิดนิดนึง เพื่อความปลอดภัยครับ
และสำหรับทางลงสระใหญ่ก็จะมีบันไดให้เดินลงได้สบายๆทั้ง 2 ฝั่งแบบนี้เลยครับ
ซึ่งเวลาเราลงไปว่ายน้ำอยู่ในสระก็จะได้วิวประมาณนี้เลย สวยดีเหมือนกันนะครับ
โดยบริเวณริมขอบสระอีกด้านหนึ่งจะทำเป็นที่นั่งเอาไว้ด้วย เราสามารถนั่งชมวิวบริเวณขอบสระได้สบายๆ โดยไม่ต้องลอยคอแล้วเกาะขอบสระให้เมื่อยเลยครับ
นอกจากนี้ด้านในอาคารก็ยังมีห้องน้ำแยกชาย-หญิง ไว้คอยบริการด้วยครับ สามารถเข้าจากสระทั้ง 2 ด้านได้สะดวกเลย
ภายในห้องน้ำตกแต่งด้วยหินอ่อนทั้งหมด และยังมีตู้ล็อคเกอร์กับจุดบริการผ้าขนหนูให้ด้วยนะ
ส่วนอีกด้านจะเป็นห้องอาบน้ำ และห้อง Stream ซึ่งจะมีทั้งของผู้ชายและของผู้หญิงเลยครับ
มาต่อกันที่ชั้น 25 ซึ่งยังคงเป็นชั้น Facilities ต่อเนื่องมาจากชั้นเมื่อสักครู่ แต่คราวนี้จะเป็นพื้นที่แบบ Indoor นะครับ ประกอบด้วย ด้านซ้ายเป็นห้อง Fitness หรือ The Gymnasium พร้อมกับมี Yoga Room อยู่ภายใน ส่วนด้านขวาเป็น The Reading Lounge ซึ่งจะมีห้องประชุมให้ใช้บริการได้ด้วยครับ
ตอนนี้เราอยู่ตรงโถงลิฟต์ชั้น 25 ซึ่งผมจะพาไปดูทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นห้อง Fitness หรือ The Gymnasium กันก่อนนะครับ
ภายในมีขนาดพื้นที่กำลังพอดี และมีเครื่องออกกำลังกายของ Technogym รุ่นพิเศษที่ดีไซน์โดย Antonio Cittario ตั้งอยู่หลายเครื่องเลยครับ
ซึ่งจุดที่ผมชอบคือ เครื่องออกกำลังกายทั้งหมดจะตั้งอยู่ติดกับผนังกระจกทั้ง 3 ด้าน ทำให้สามารถออกกำลังกายไปและชมวิวไปได้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเครื่องเล่นแบบ Weight Training ด้วยครับ ส่วนกลุ่มของ Cardio ก็จะมีหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ให้เลือกดูหนังหรือฟังเพลงได้อีกด้วย
อีกด้านหนึ่งของห้อง ซ้ายมือจะเป็นจุดบริการน้ำดื่มและผ้าขนหนูครับ ส่วนขวามือจะเป็นห้อง Yoga Room
โดยเครื่องกดน้ำดื่มนี้จะมีตัวเลือก 4 ฟังก์ชันด้วยกันคือ น้ำอุณหภูมิห้อง น้ำร้อน น้ำอุ่น และน้ำเย็น ให้เราได้เลือกกดเองตามต้องการเลยครับ ส่วนผ้าขนหนูถ้าใช้งานเสร็จแล้วก็สามารถย่อนลงในช่องเก็บทางขวามือได้เลย จะมีแม่บ้านมาเปลี่ยนให้ทุกวันครับ
ส่วน Yoga Room จะเป็นห้องโล่งๆ ที่เราสามารถนำเสื่อโยคะมาปูเล่นได้ครับ หรือลูกบ้านจะใช้ห้องนี้เป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้นะ
ต่อไปคราวนี้ผมจะพาไปดูทางด้านขวากันบ้างนะครับ
ห้องนี้คือ The Reading Lounge สำหรับผมแล้วเป็นห้องที่น่านั่งที่สุดเลย เหมาะที่จะขึ้นมาทำงาน อ่านหนังสือ หรือชมวิวก็ได้ ซึ่งโซฟาหนังสีน้ำตาลตรงกลางดูเด่นมากครับ มีการวางแบบเฉียงกับตัวห้อง ดูเก๋มีสไตล์ไปอีกแบบ
ซึ่งลักษณะการวางแบบนี้ก็ยังทำให้สามารถนั่งชมวิวได้แบบเต็มที่อีกด้วยนะ
มองย้อนกลับมาที่ประตูทางเข้ากันต่อครับ ซึ่งจะมีอีก 2 ฟังก์ชันที่น่าสนใจ
ซ้ายมือจะเป็นห้องประชุมครับ มีประตูเปิด-ปิดแยกความเป็นส่วนตัวได้ และถ้าใครยังจำได้ว่า “โคมไฟระย้า” ที่ประดับอยู่ในห้องนี้เป็นตัวเดียวกับที่เคยประดับอยู่ที่ Sales Gallery นั่นเองครับ
ส่วนขวามือนอกจากจะเป็นผนังกระจกที่มองเห็นสระว่ายน้ำแล้ว ยังมีมุมบริการเสิร์ฟชาและกาแฟ Nitro Coffee โดย Butler ของโครงการ ตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้า – 4 โมงเย็น โดยห้องนี้จะเปิดบริการจนถึง 4 ทุ่ม ซึ่งในระหว่างนั้นเราก็สามารถมากดเครื่องดื่มบริการตัวเองได้นะครับ (ขอบอกว่า “อร่อยมากๆ” เลยด้วย)
ขยับขึ้นมาที่ชั้น 26 จะถูกคั่นด้วยชั้นพักอาศัยแบบ Penthouse ที่มีแค่ 2 ยูนิตเท่านั้นครับ เป็นห้องขนาดใหญ่ 294 และ 302.75 ตารางเมตร ซึ่งมีระเบียงที่ยาวมากๆเลยครับ
ชั้น 27 เป็นชั้นดาดฟ้าของโครงการ ซึ่งเป็นชั้น Facilities แบบเต็ม Floor อีกเช่นกัน มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ให้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง และยังสามารถชมวิวได้โดยรอบอีกด้วยครับ
ออกมาจากโถงลิฟต์ ผมจะเลี้ยวขวาเพื่อพามาดู Facilities แบบ Indoor กันก่อนนะ ซึ่งจะมีทางแยกออกไป 2 ทางแบบนี้เลยครับ
ซึ่งทั้งทางด้านซ้ายและทางด้านขวา จะมีห้องน้ำชาย-หญิงแยกอยู่กันคนละฝั่งนะครับ
โดยห้องแรกที่ผมจะพามาดูคือ The Eight Ball ที่อยู่ทางซ้ายมือ เป็นห้อง Game Room ที่ตั้งชื่อตามลูกสีดำหมายเลข 8 ในกีฬาพูลซึ่งเป็นไฮไลท์ของห้อง โดยโต๊ะพูลนี้ทำมาจากไม้วอลนัท มีขนาด 6 ฟุต สั่งทำขึ้นพิเศษแบบ Bespoke โดย Jonathan Franc และดีไซน์ขาโต๊ะทรง Queen Anne ที่ดูหรูหราสไตล์อังกฤษครับ
เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องเป็นของ Busnelli แบรนด์ชื่อดังจากอิตาลี และโคมไฟจาก Flos ที่ดูเด่นและสวยงามมากๆ ส่วนผนังห้องจะบุด้วยหนังวัวสีน้ำตาล ช่วยเพิ่มความสวยงามและความหรูหราได้ดีทีเดียวครับ
ส่วนห้องทางด้านขวาคือ The Screening Room ภายในออกแบบเป็นฝ้าเพดานสูงเหมือนกับบ้านสไตล์อังกฤษที่ต่างประเทศ โดยรอบเป็นผนัง Acoustic Laminated สั่งทำพิเศษ ซึ่งสามารถป้องกันเสียงได้ดี ส่วนโซฟาสีเหลืองที่เห็นเด่นอยู่กลางห้อง คุณ Philippe ตั้งชื่อโซฟาตัวนี้ว่า “โซฟาว้าว” เพราะด้วยขนาดโซฟาที่ใหญ่ นั่งลงไปแล้วสบายเต็มตัวดีมากๆ จนต้องร้องว้าววว เลยครับ (ผมนั่งแล้วสบายจริงว้าวจริงนะ)
ภายในห้องมีมินิเธียร์เตอร์ พร้อมแบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง B&O และโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่คมชัดในระดับ 4K รวมถึงมี Apple TV ลูกบ้านสามารถสั่งการผ่านมือถือระบบ iOS และดูหนังผ่าน Netflix ได้สะดวก เหมาะที่จะดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมส์มากๆครับ
กลับมาที่โถงลิฟต์อีกครั้ง ต่อไปเราจะออกไปดู Facilities กลางแจ้งกันบ้างครับ
พื้นที่ส่วนแรกเมื่อออกมาเราจะเจอกับลานกว้างโล่งๆ เอาไว้สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆของลูกบ้านได้ ซ้ายมือมีเคาน์เตอร์บาร์หินอ่อน Statuario เรียกว่า KHUN Bar ซึ่งโครงการจะมี Special Activities ให้ลูกบ้านได้พบปะสังสรรค์กันทุกเดือน (Sunset Cocktail Evening) และจะมี Barista มาบริการเครื่องดื่มให้ด้วยครับ ส่วนพื้นที่ด้านหลังกำแพงต้นไม้จะมีชุดโต๊ะกลางแจ้งให้นั่งเล่นชมวิวกันแบบส่วนตัวได้อีกด้วยนะ
อ้อมมาทางขวามือจะมีพื้นที่อีกจุดหนึ่งอยู่ด้านข้างอาคาร เรียกว่า The Screening Yard เป็นพื้นที่ดูหนังแบบกลางแจ้ง มีจอทีวีแบบ Outdoor ขนาด 85 นิ้ว และเครื่องเสียงจาก Bose (ทั้งหมดเป็นแบบที่ใช้กลางแจ้งได้) ซึ่งทางโครงการแจ้งว่า จะมีการเปิดให้ชมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ของลูกบ้านกันได้เดือนละครั้ง (Monthly Movie Night)
ส่วนอีกด้านของดาดฟ้าที่หลังกำแพงต้นไม้ ก็จะมีจุดให้นั่งเล่มชมวิวแบบส่วนตัวอยู่อีกฝั่งหนึ่งด้วยครับ
รวมถึงฟังก์ชันอีกด้านของอาคารฝั่งนี้จะเรียกว่า The Rooktop ซึ่งทำพื้นเป็นตารางหมากรุกแบบโอเวอร์ไซส์ เวลาเล่นจะต้องออกแรงดันสักเล็กน้อย(ไม่หนักมาก) ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆได้ดีทีเดียว รวมถึงมีโต๊ะโกล์ฟุตบอล และกล้องส่องทางไกลให้เล่นอีกด้วยครับ โดยผมได้ลองส่องดูแล้ว สามารถมองเห็นไปได้ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเลยทีเดียว
นอกจากนี้ผมยังได้ถ่ายภาพบรรยากาศตอนกลางคืนส่วนหนึ่ง ของชั้น Facilities มาฝากกันด้วยครับ สามารถกดเลื่อนภาพดูกันได้เลย ^^
ภาพสระว่ายน้ำตอนกลางคืนครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น G
- The Greeting Hall (Lobby)
- Garden
- Infinity Edge Pool ระบบเกลือ ขนาดยาว 30 เมตร (ปรับอุณหภูมิได้)
- Kids Pool
- Jacuzzi
- Stream แยกชาย-หญิง
- The Gymnasium
- Yoga Room
- The Reading Lounge
- Meeting Room
- The Screening Room
- The Eight Ball
- The Sky Lawn
- KHUN Bar
- The Screening Yard
- The Rooktop
แบบห้อง
มาถึงเรื่องแบบห้องของโครงการกันแล้วนะครับ โดยจะมีอยู่หลากหลายขนาดเลย ตั้งแต่ 1 Bedroom ไปจนถึงห้องขนาดใหญ่อย่าง Penthouse ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฟอร์นิเจอร์บางส่วน ได้แก่ ระบบ Home Automation ที่ใช้คู่กับ Application ของแสนสิริ พร้อมกับเครื่องปรับอากาศ ชุดครัว ตู้เสื้อผ้า และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำที่ออกแบบโดย Philippe Starck อีกด้วยครับ ซึ่งรูปแบบห้องพักจะประกอบด้วย
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 41.5 – 49.75 ตร.ม.
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 53.5 ตร.ม.
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 82 – 97.75 ตร.ม.
- ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 139.25 – 149.75 ตร.ม.
- ห้อง Penthouse ขนาด 294 – 302.75 ตร.ม.
และห้องตัวอย่างที่เราจะไปชมกันในวันนี้คือ ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 97.75 ตร.ม. จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมพร้อมๆกันเลยครับ
ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 97.75 ตร.ม. เป็นห้องขนาดใหญ่และยังเป็นห้องมุมอีกด้วยครับ จุดเด่นอย่างแรกของห้องนี้คือ Common area ที่มีขนาดใหญ่ เชื่อมต่อทั้งห้องนั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และครัวเปิด ซึ่งอาจไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังนัก แต่พื้นที่ทั้งหมดนี้จะได้ช่องแสงขนาดใหญ่ถึง 2 ด้านเลยครับ โดยเฉพาะส่วนระเบียงที่เป็นแนวยาวเต็มความกว้างของห้องเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ขาดไปบริเวณหน้าห้องคือ ตู้รองเท้า ซึ่งเราอาจต้องหาพื้นที่ Built เพิ่มเอาเองครับ
ส่วนห้องอื่นๆจะอยู่ถัดเข้ามาด้านในห้อง แยกออกไปเป็นสัดส่วนโดยไม่กินพื้นที่ของ Common area ให้เสีย space เลยครับ ประกอบด้วย ห้องน้ำ ห้องนอนเล็ก และห้อง Master Bedroom ที่มีห้องน้ำในตัว ซึ่งจุดที่ผมชอบมากๆของห้องมุมแบบนี้คือ ทุกๆฟังก์ชันจะได้ช่องแสงแบบเต็มผนังทั้งหมด ทำให้ห้องสว่างและโปร่งโล่งมากๆเลยครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย
เริ่มต้นกันที่ประตูทางเข้าห้องจะเป็นบานทึบสีขาวขนาดใหญ่ ป้ายเลขที่บ้านเป็นกระจกพร้อมมีกริ่งให้กดเรียกได้ รวมถึงมีโคมไฟประดับเอาไว้ให้แบบนี้ทุกห้องเลยครับ ส่วนพื้นห้องก็จะยก step ขึ้นสูงจากโถงทางเดิน จะได้ไม่มีฝุ่นเข้าไปในห้องนั่นเองครับ
บริเวณประตูติดตั้ง Digital Door Lock ของ Samsung พร้อมกับมีแผงหน้าจอของระบบ Home Automation ที่เชื่อมต่อกับ Sansiri Home Service Application ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนได้อีกด้วยครับ
โดยผมได้ขอให้เพื่อนที่อยู่แสนสิริส่งภาพมาให้ดู ซึ่งหน้าตาของ Application ก็จะเป็นแบบนี้ครับ เราสามารถทำได้หลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น
- การติดตามข่าวสารหรือประกาศของโครงการต่างๆ
- การแจ้งซ่อมหรือรับ-ส่งพัสดุ
- การ Booking เพื่อจองการใช้บริการส่วนกลางต่างๆ
- การติดต่อสอบถามผ่านข้อความแชท
- การควบคุมระบบ Home Automation ภายในห้อง ได้แก่ เปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่าน
มาต่อกันที่ฟังก์ชันห้อง โดยบริเวณหน้าประตูจะไม่มีพื้นที่เหลือให้ Built ตู้รองเท้าได้แล้วนะครับ ซึ่งเราอาจต้องหาพื้นที่อื่นทำเพิ่มเอา เช่น ผนังห้องด้านซ้ายมือที่อาจทำให้ spcae ภายในลดลงไปบ้าง หรือจะเป็นผนังด้านขวาที่พ้นระยะเปิดประตูมาแล้วก็ได้ แลกกับอาจทำให้ทางเข้ารู้สึกแคบลงอยู่บ้างครับ
พื้นที่ในห้องส่วนแรกคือ Common area ที่กว้างมากๆครับ แล้วยังได้ช่องแสงขนาดใหญ่ถึง 2 ด้าน ก็ยิ่งทำให้ห้องนี้สว่างและรู้สึกโปร่งมากทีเดียว ความสูงจากพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 3 m. และปูพื้นด้วย Engineering Wood หน้าไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง Merbau (เมอร์-เบา) ที่เมืองนอกในสมัยก่อนนิยมใช้ทำเสาประโดงเรือ เพราะมีคุณสมบัติทนความชื้นได้ดีครับ แต่จุดที่ผมชอบจริงๆคือ ขนาดหน้ากว้างของแผ่นไม้ที่มากกว่าพื้นทั่วไป ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นไม้แผ่นใหญ่ที่ดูสวยงามมากทีเดียวครับ
ด้านหลังของชุดโซฟานั่งเล่นจะเป็นโต๊ะทานอาหารและชุดครัว โดยโต๊ะ Kitchen island นี้เราจะได้เฉพาะห้องที่มีขนาด 97.75 ตารางเมตร แบบนี้ขึ้นไปเท่านั้นนะครับ
โต๊ะ Kitchen island เป็นทั้งพื้นที่ส่วนเตรียมอาหาร และมีพื้นที่เก็บของด้านล่างให้แบบนี้เลยครับ ส่วนปลั๊กไฟก็จะเตรียมไว้ให้ด้านข้างแทน จะได้ไม่เกะกะพื้นที่บนโต๊ะ ซึ่ง Top ครัวด้านบนยังเป็นหินอ่อน Arabescato Chiaro อีกด้วย
แต่จุดที่เป็น Hightlight ของโต๊ะตัวนี้คือ ชุดอ่างล้างจานของ Foster ขนาด 70 x 39 cm. ลึก 22 cm. โดยจุดเด่นอยู่ที่ตัวหลุมจะออกแบบมาให้มีความเหลี่ยมลาดเอียงเยอะ ช่วยในเรื่องของการระบายน้ำได้ดีมากๆ
โดยผมทดลองเปิดน้ำแล้วปิดดู เพียงไม่กี่วินาทีน้ำก็ไหลลงท่อและแห้งสนิททันทีเลยครับ และอีกจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ตัวก๊อกที่สามารถปรับระดับความสูงได้ เผื่อบางทีเราใช้หม้อใบสูงๆใหญ่ๆ ก็จะไม่ติดก๊อกน้ำครับ
ซึ่งตำแหน่งของโต๊ะ Kitchen island นี้ก็ยังสามารถทำครัวไปด้วย ดูวิว ดูทีวี หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนในห้องไปด้วยได้ครับ แต่อาจไม่เหมาะที่จะทำอาหารที่มีกลิ่นแรงมากนักเพราะเป็นครัวเปิดนั่นเอง
ส่วนชุดครัวก็จะได้ Built in ตามที่เห็นในห้องตัวอย่างนี้ทั้งหมดเลยครับ ซึ่งวัสดุปิดผิวหน้าบานที่ทุกคนกำลังเห็นอยู่นี้คือ Semi – Hi Gloss มีความกึ่งเงากึ่งด้าน ดูหรูหราและสวยงามดีมากๆครับ ซึ่งสีที่ใช้นี้เป็นสี Gray Brown ที่คัดเลือกโดย YOO Studio อีกด้วยครับ
ชุดครัวทั้งหมดเป็นของ Smeg ประกอบด้วย ตู้เย็น 2 ชุดทางด้านซ้าย และเตาไมโครเวฟทางด้านขวา ส่วนภายในตู้ก็มีพื้นที่เก็บของเยอะมากๆ ซึ่ง Built in สูงถึงฝ้าเพดาน แล้วยังติดตั้งไฟ LED ภายในตู้และลิ้นชักอีกด้วย เวลาเปิดออกมาก็จะได้มองเห็นสิ่งของภายในได้ชัดเจนครับ
ตรงกลางเป็น Hob&Hood จาก Smeg เช่นกัน เป็นแบบดูดควันออกไปด้านนอก ส่วน Top เคาน์เตอร์และ Backsplash ก็เป็นหินอ่อน Arabescato Chiaro ทั้งหมดครับ ซึ่งผมขออธิบายเพิ่มเติมว่า หินชนิดนี้จะแตกต่างจาก Arabescato Classico ที่ใช้บริเวณส่วนกลางของโครงการ ตรงที่ลวดลายที่ปรากฏบนแผ่นหินจะอ่อนกว่า และดูสว่างมากกว่า แต่ด้วยความที่เป็นหินอ่อนแท้ที่มีรูพรุนตามธรรมชาติเยอะ จึงต้องเช็ดทำความสะอาดดีๆหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจเกิดรอยด่างได้ง่ายครับ
และเมื่อเราทำอาหารเสร็จแล้ว ก็สามารถยกมาเสริฟที่โต๊ะทานอาหารที่อยู่ติดกันแบบนี้ได้สะดวกเลยครับ ซึ่งมีพื้นที่มากพอที่จะวางโต๊ะขนาด 6 – 8 ที่นั่งได้สบายๆ เหมาะกับครอบครัวใหญ่ๆ หรือมีแขกมาที่บ้านบ่อยครั้ง
แต่จุดที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ โต๊ะตัวนี้เราสามารถนั่งทานอาหารไป พร้อมกับดูทีวี หรือชมวิวภายนอกไปด้วยก็ได้ จึงเหมาะมากครับที่จะใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์นั่งทำงานอ่านหนังสือ
ซึ่งประตูระเบียงนี้ก็มีขนาดใหญ่มากๆ เปิดออกกว้างได้ถึง 3 m. และมีความสูงแบบ Full Hight เต็มผนัง สามารถเปิดรับวิวได้เต็มที่มากๆ
กรอบบานเป็น Aluminum Powder Coded และกระจกเป็น Aluminate Insulated Glass ที่สามารถป้องกันความร้อน รังสียูวี และเสียงได้ดีครับ
แต่จุดที่ต้องระวังคือ บานกระจกมีความหนาและหนักมาก ต้องใช้แรงในการเปิด-ปิดเยอะสักนิดนึง รวมถึงต้องระวังสะดุดรางตรงพื้นที่กว้างกว่าปกติกันด้วยนะครับ
ระเบียงเป็นแบบแคบแต่ยาว ขนาดประมาณ 7 x 0.8 m. พร้อมราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass ขอบอลูมิเนียมสูง 1 m. ช่วยให้ชมวิวได้อย่างเต็มที่ และเมื่อห้องนี้ไม่ต้องเสียพื้นที่เก็บ Condensing Unit ตรงระเบียง จึงทำให้ไม่มีอะไรมาเกะกะสายตาเลยครับ
ดังนั้นจึงเหมาะมากที่จะหาเก้าอี้มาวางเพื่อนั่งชมวิวแบบในห้องตัวอย่างนี้ครับ
มองย้อนกลับเข้ามาในห้อง ตรงกลางจะเป็นโถงทางเดินที่แยกไปยังฟังก์ชันอื่นๆ ซึ่งจะมีการลดระดับฝ้าลงมาเล็กน้อย เนื่องจากงานระบบเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้า (Conceal Type) ระบบ VRV ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิห้องได้ดี และยังสามารถนำ CDU. ไปรวมไว้ในบริเวณเดียวกันได้อีกด้วย ส่วนที่เห็นว่ามีปลั๊กไฟฝังอยู่ที่พื้นห้อง เราก็จะได้มาแบบนี้เลยครับ
โถงทางเดินกว้าง 1 m. สามารถเดินสวนกันได้แบบพอดีๆ ซึ่งสีของผนังจะเป็นสีขาวปกตินะครับ และด้านซ้ายจะเป็นห้องนอนเล็ก ด้านขวาเป็นห้องน้ำ ส่วนตรงกลางเป็นห้อง Master Bedroom
เรามาเริ่มกันที่ห้องนอนเล็กกันก่อนครับ ซึ่งห้องตัวอย่างนี้จัดออกมาเป็นห้องทำงานส่วนตัว แต่จุดเด่นอย่างแรกของห้องนี้ที่ชอบมากๆคือ ผนังกระจกที่ใหญ่เต็มผนังห้อง ทำให้รู้สึกโปร่งโล่งมากๆ แม้จะเป็นห้องนอนเล็กก็ตาม
โดยขนาดพื้นที่ห้องนี้จะกว้างประมาณ 2.75 x 3.25 m. ซึ่งก็สามารถวางเตียงขนาด 3.5 – 5 ฟุต เพื่อทำเป็นห้องนอนเพิ่มอีกห้องได้เลยครับ
ส่วนพื้นที่ด้านหลังประตูทางเข้า จะมีช่องเล็กๆที่เว้าเข้าไป ให้เราสามารถ Built เป็นตู้หรือชั้นวางของเพิ่มเติมเองได้ แต่อาจไม่ลึกพอที่จะทำเป็นตู้เสื้อผ้านะครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ ที่ใช้งานร่วมกันระหว่างพื้นที่ส่วนกลางและห้องนอนเล็ก ภายในเป็นหินอ่อน Arabescato Chiaro ทั้งหมด และเราจะได้สุขภัณฑ์ทุกอย่างครบตามนี้
เริ่มจากพื้นที่ส่วนแห้งที่มีขนาด 1.7 x 1.8 m. พร้อมกับลดระดับลงจากพื้นห้องเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับขึ้นมาด้านบนครับ
อ่างล้างหน้าเป็นของ Duravit ขนาด 46 x 46 cm. กับก๊อกน้ำจาก Axor ออกแบบโดย Phillippe Starck มาพร้อมกับโต๊ะไม้มะฮอกกานี ที่สามารถเปิดออกมาเพื่อเก็บของได้ทั้งหมด ซึ่งใต้อ่างจะไม่มีเครื่องทำน้ำร้อนนะครับ เพราะจะไปอยู่รวมกับส่วนของ CDU. ของแอร์ที่ส่วนกลางแล้ว และติดกันด้านข้างคือโถสุขภัณฑ์จาก Duravit เช่นเดียวกันครับ
ขวามือเป็น Shower box กั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass ที่มีแถบยางกันน้ำไหลย้อนมาด้านนอกได้ดี พร้อมกับติด stopper ไว้ตรงที่เปิดประตูด้านในอีกด้วย ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะมีขนาดประมาณ 1.6 x 0.95 m. ครับ ค่อนข้างใหญ่ดีทีเดียว
ภายในติดตั้ง Hand Shower และ Rain Shower ของ Hansgrohe พร้อมใช้งาน โดยที่ผนังก็มีการเจาะช่องสำหรับวางสบู่หรือแชมพูมาให้แล้ว แต่ถ้าใครที่วางของไม่พอ ก็ยังมีมุมผนังทางด้านขวาให้ติดชั้นวางเพิ่มได้อีกนะ
นอกจากนี้พื้นที่ระหว่างประตูห้องน้ำกับห้องนอนก็จะมีตู้ Laundry ที่ Built ชั้นวางของพร้อมตะแกรงใส่ผ้าอยู่ภายใน และหน้าบานปิดให้เรียบร้อยแบบนี้เลย แต่ส่วนที่ผมค่อนข้างชอบคือ เพดานด้านบนมีพัดลมดูดอากาศ ที่ช่วยดูดกลิ่นหรือความชื้นไปด้านนอกได้ กับพื้นที่วางเครื่องซักผ้าขนาด 90 x 65 cm. ที่ปูกระเบื้องมาให้แล้ว ไม่ต้องกลัวน้ำเลยครับ
สุดท้ายคือห้อง Master Bedroom ภายในมีขนาดที่ใหญ่กำลังดี แต่ก็ไม่โล่งจนเกินไป สามารถใช้งานได้จริงทุกตารางเมตรครับ
เริ่มจากทางซ้ายมือที่สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้สบายๆ และยังมีพื้นที่โดยรอบเหลืออีกเยอะ สามารถวางโต๊ะข้างเตียง 2 ข้าง และทำชั้นวางทีวีเพิ่มที่ปลายเตียงก็ยังได้ครับ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและตู้เสื้อผ้าครับ ซึ่งทางโครงการจะ Built in มาให้แบบนี้เลยนะ
โดยภายในตู้สามารถเก็บของได้ค่อนข้างเยอะทีเดียว มาพร้อมกับที่เปิดตู้แบบเม็ดคริสตัลสวยงาม และโต๊ะเครื่องแป้งด้านข้างสำหรับคุณผู้หญิงครับ
ส่วนภายในห้องน้ำก็มีขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ เป็นห้องที่ได้ช่องแสงขนาดใหญ่เหมือนห้องอื่นๆอีกด้วย จึงทำให้สว่างและโปร่งโล่งเป็นพิเศษ สามารถเปิดระบายอากาศได้โดยตรง และได้รับความร้อนจากแสงแดดมาฆ่าเชื้อโรค/แบคทีเรียได้อีกด้วย
อ่างล้างหน้าจะเป็นเหมือนกับห้องด้านนอกเลยครับ แต่จะได้เป็น His&Her 2 ชุด ติดกันก็จะเป็นโถสุขภัณฑ์ของ Duravit เช่นเคย
แต่ฟังก์ชันที่เพิ่มมาคือ อ่างอาบน้ำ ที่หล่อด้วยเซรามิคทั้งชิ้นจาก Kholer มีขนาด 1.7 x 0.75 m. ลึก 50 cm. สามารถลงไปนอนแช่ได้ทั้งตัวครับ
ติดตั้งมาพร้อมกับก๊อกน้ำและ Hand Shower อีกทั้งยังซ่อนท่อน้ำล้นเอาไว้หลังแถบสแตนเลสดูเนียนตา สวยงาม และดูเรียบร้อยดีครับ
ซึ่งจุดที่ผมชอบคือ เราสามารถนอนแช่น้ำไป และชมวิวภายนอกไปด้วยแบบนี้ได้ โดยแนะนำให้ติดฟิล์มหรือมู่ลี่ช่วยพรางสายตาเพิ่มเติมด้วยนะครับ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็น Shower box ครับ
ซึ่งจะกั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass เหมือนกัน ส่วนภายในก็ติดตั้ง Hand Shower และ Rain Shower เอาไว้เป็นตัวเลือกในการใช้งานได้ดีเลยครับ คือถ้าอาบ 2 คนพร้อมๆกันแบบสามี-ภรรยา คนนึงยืนอาบ ส่วนอีกคนนอนแช่ในอ่างอาบน้ำก็ทำได้เลยครับ
และห้อง Type อื่นๆของโครงการจะมีดังนี้ครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 41.5 ตารางเมตร เป็นห้องขนาดเล็กที่สุดของโครงการ และอยู่ในตำแหน่งริมสุดของโถงทางเดินที่ติดกับห้องงานระบบครับ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเราจะเจอกับโถงทางเดินที่ทำหน้าที่เป็น foyer ไปด้วยในตัว ทำให้ภายในห้องค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวดีทีเดียวครับ โดย Common area ด้านในจะเป็นส่วนที่อยู่ติดกับห้องงานระบบ ประกอบด้วย ห้องนั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และครัวเปิด จึงไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังนัก
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 48.75 ตารางเมตร ห้องนี้จะอยู่ทางด้านหน้าและด้านหลังโครงการพอดีครับ แต่คราวนี้จะเป็นห้องที่เหมาะกับคนชอบระเบียงนะ เพราะเราจะได้ระเบียงที่ยาวเท่ากับความกว้างของตัวห้องเลย เชื่อมต่อกันทั้งส่วน Common area และห้องนอน โดยที่ห้องน้ำก็ยังคงอยู่ในห้องนอน จึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีแขกมาหาเช่นเคย แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือ ส่วนครัวบริเวณด้านหน้าห้อง คราวนี้เราจะสามารถกั้นเป็นครัวปิดได้แล้วครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 49.75 ตารางเมตร เป็นห้องในตำแหน่งทิศเหนือของโครงการที่อยู่ติดกับห้องงานระบบ และใกล้โถงลิฟต์อีกด้วยครับ แต่ฟังก์ชันในห้องถือว่าออกแบบมาได้ดี และช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องตำแหน่งห้องอย่างฉลาด อย่างแรกคือลักษณะห้องที่เป็นตอนลึก และจะดันฟังก์ชันที่ต้องการความเป็นส่วนตัวให้เข้าไปอยู่ด้านใน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาหน้าห้องมากนัก กับการวางตำแหน่งห้องนอนที่ไม่ได้อยู่ติดกับห้องงานระบบ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาเสียงรบกวนใดๆครับ และอย่างสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกคือ ห้องนี้เป็นลูกผสมระหว่าง 2 ห้องก่อนหน้านี้ที่เราพึ่งได้วิเคราะห์กันไป คือเป็นห้องที่มีระเบียงในตัว แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เต็มความกว้างของห้อง จึงเหมาะกับคนที่ยังใช้งานระเบียงอยู่บ้าง และยังได้ครัวเปิดเช่นเคย แต่ก็สามารถกั้นเป็นครัวปิดได้ครับ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 53.5 ตารางเมตร เหมาะกับคนที่ชอบห้อง 1 Bedroom ที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่กว้างมากๆครับ อีกทั้งยังเป็นห้องมุมอีกด้วย จึงได้แสงธรรมชาติถึง 2 ด้าน ช่วยให้ห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้น โดยฟังก์ชันที่ให้น้ำหนักเป็นพิเศษก็คือ Common area ที่อยู่ด้านนอก กับระเบียงที่ยาวเต็มความกว้างของตัวห้องเลยครับ เพียงแต่ห้องนี้จะได้เป็นครัวเปิด ไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังหรือกั้นห้องนะครับ
ห้อง 2 Bedroom ขนาด 82 ตารางเมตร เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่กว่าห้องตัวอย่างที่เราพึ่งชมกันไปเล็กน้อยครับ แต่จะมีฟังก์ชันที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เข้ามาในห้องเราจะเจอกับ foyer เป็นส่วนต้อนรับแบบจริงจัง ซ้ายมือจะมีห้องครัวปิดแยกออกไปอีกที ส่วนในห้องจะยังคงได้ Common area ขนาดใหญ่เหมือนเดิมครับ เพียงแต่ตำแหน่งนี้เราจะได้ช่องแสงจากระเบียงแค่ฝั่งเดียว ส่วนประตูห้องนอนก็จะอยู่ติดกับห้องนั่งเล่นแบบนี้ไปเลย ไม่ได้มีโถงทางเดินแยกออกไปอีกทีนะ และอีกจุดที่สำคัญคือ ระเบียงของห้องนี้จะเชื่อมต่อกันระหว่าง Common area และห้อง Master Bedroom โดยห้องนอนจะได้ระเบียงที่กว้างก็จริง แต่ก็แลกกับเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ลดลงเล็กน้อย อาจต้องปิดม่านเอาไว้เกือบตลอดเวลาครับ
ห้อง 3 Bedroom ขนาด 139.25 ตารางเมตร เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากๆครับ เหมาะกับครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคน โดยทุกฟังก์ชันจะเชื่อมต่อกันด้วยโถงทางเดินตรงกลาง แล้วจะเปิดโล่งตรง Common area ขนาดใหญ่ ที่ได้ช่องแสงถึง 2 ด้านครับ สำหรับห้องน้ำจะมีครบ 3 ห้องเลย ทำให้ไม่ต้องแย่งกันใช้งาน เพียงแต่ห้องนอนที่ 3 อาจต้องออกมาใช้ด้านนอก ในขณะที่ห้องนอน 2 จะมีเป็นของตัวเอง และยังได้ระเบียงที่ยาวต่อเนื่องมาจากห้องนั่งเล่นอีกด้วย ส่วนห้อง Master Bedroom จะเป็นห้องเดียวที่ได้อ่างอาบน้ำในตัว และจะไม่มีช่องแสงขนาดใหญ่ในห้องน้ำเหมือนห้อง Type อื่นๆก่อนหน้านี้ครับ แต่จะเน้นพื้นที่ข้างเตียงที่กว้าง และมี Walk in closet ขนาดใหญ่ให้ใช้แทน
ห้อง 3 Bedroom ขนาด 149.75 ตารางเมตร ส่วนตัวผมค่อนข้างชอบห้องนี้นะ ลักษณะจะคล้ายกับห้องตัวอย่างที่ผมพาทุกคนไปดูมา เพียงแต่จะมี foyer บริเวณหน้าห้องจริงจัง และได้ Master Bedroom กับพื้นที่ระเบียงที่เพิ่มขึ้นมาครับ ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว และคิดว่าระเบียงยาวเกินไป ก็สามารถกั้นแบ่งระเบียงได้ด้วยการ หากระถางต้นไม้หรืออะไรก็ได้มาวางแบ่งเอาไว้ เพียงเท่านี้ห้องนอนใหญ่ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวแล้วครับ และอีกอย่างคือ ห้องน้ำของ Master Bedroom จะมีการแยกพื้นที่ส่วนแห้งกับส่วนเปียกชัดเจนมากขึ้น และตู้เสื้อผ้าหรือ Walk in closet จะย้ายไปอยู่รวมกับอ่างล้างหน้าด้านใน โดยมีช่องแสงขนาดใหญ่คือประตูระเบียงที่เชื่อมต่อกับห้องนอนได้อีกด้วยครับ
…เป็นอย่างไรกันบ้างครับทุกคน หลังจากที่ผมได้พาชมโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck กันมาซะทั่วเลย ซึ่งผมคงต้องบอกก่อนนะครับว่า โครงการระดับ Super Luxury แบบนี้เราไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ ซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีจุดเด่นเป็นของตัวเองที่แตกต่างกันออกไปชัดเจน อย่างโครงการนี้นอกจากเรื่องทำเลที่อยู่ใจกลางทองหล่อแล้ว ยังเด่นในเรื่องการออกแบบอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคาร ส่วนกลาง หรือแม้แต่การตกแต่งและการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ภายใน ที่ล้วนแล้วแต่มาจากดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Phillippe Starck และ YOO Studio ทั้งหมด
ซึ่งถ้าใครที่ชอบการออกแบบแนว Modern Classic แบบนี้ หรือเป็นแฟนคลับตัวยง และติดตามผลงานของคุณ Phillippe Starck มาโดยตลอดอยู่แล้ว ก็คงจะถูกใจไม่น้อยนะครับ บวกกับความเป็นแสนสิริ และยังเป็นหนึ่งในซีรีย์ Sansiri Luxury Collection อีกด้วย ซึ่งผมแนะนำให้ทุกคนได้เข้ามาชมโครงการด้วยตัวของคุณเอง และอย่าลืมมา comment บอกกันด้วยนะครับว่าชอบหรือไม่ชอบยังไงบ้าง ^^
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 22 November 2019
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 50 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท
- ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 82 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 25.5 ล้านบาท
- ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 139 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 65.5 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินอ่อน Arabescato Chiaro
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ Smeg
- บริการ Alphard Limousine Services และ Concierge
- จอง 100,000 – 400,000 บาท
- ทำสัญญา 3%
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน 800 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 130 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ KHUN by YOO ตั้งอยู่ระหว่างซอยทองหล่อ 10 และซอย 12 ที่เรียกได้ว่าเป็นใจกลางทองหล่อเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งลักษณะของย่านนี้จะมีความเจริญและความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง เต็มไปด้วยร้านค้าระดับ Hi-End คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาลเอกชน โรงแรมระดับ 5 ดาว และคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury มากมาย จึงทำให้กลายเป็นย่านธุรกิจที่ครบครัน สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งซอยเอกมัยและพร้อมพงษ์ได้ง่ายมากๆครับ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติมากมายที่อยากเข้ามาอยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งจะเห็นได้จากมีร้านอาหารญี่ปุ่นและ Lifestyle Mall แบบญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ หรือจะเป็นร้านอาหารนานาชาติที่หลากหลาย จึงทำให้ย่านทองหล่อกลายเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว และศูนย์รวมธุรกิจบันเทิงที่สำคัญแห่งหนึ่งกรุงเทพฯครับ
ซึ่งหากเทียบกับทำเลลูกพี่ลูกน้องอย่าง “ซอยเอกมัย” ที่เป็นซอยคู่ขนานห่างกันเพียง 500 m. จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในเรื่องของบรรยากาศภายในซอย ส่วนหนึ่งคือเรื่องของขนาดถนน และทางเท้าที่คับแคบกว่า รวมถึงการกระจายตัวของร้านค้าที่ยังทำได้ไม่ดีเท่าทองหล่อ โดยซอยเอกมัยอาจเหมาะกับการนั่งรถไปยังร้านค้าเป้าหมายนั้นๆมากกว่า ในขณะที่ซอยทองหล่อจะเหมาะกับการเดินสำรวจร้านค้าไปเรื่อยๆได้ และสำหรับคนที่ต้องการอยู่ในย่านทองหล่อแบบนี้จริงๆ ก็ต้องแลกมากับราคาเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูงถึง 380,000 บาท/ตร.ม. แต่ด้วยตัวโครงการมีห้องขนาดเล็กให้เลือกด้วย จึงทำให้สามารถหยิบจับโครงการระดับ Super Luxury ในย่านใจกลางทองหล่อนี้ได้ ด้วยราคาไม่ถึง 20 – 30 ล้านครับ
การเดินทางโดยใช้รถ : ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ เป็นถนนฝั่งขาเข้าเมืองมายังสุขุมวิทครับ โดยด้านหน้าโครงการจะมีข้อจำกัดในเรื่องการห้ามเลี้ยวขวาไปทางฝั่งเพชรบุรีโดยตรง แต่เราก็สามารถใช้ซอยทองหล่อ 10 ที่อยู่ใกล้ๆ ลัดมาออกซอยเอกมัย แล้วขับตรงไปขึ้นทางด่วนฉลองรัชที่ด่านพระราม 9 ได้ง่ายๆ หรือถ้าจะไปทางดินแดง – แจ้งวัฒนะ โดยใช้ทางด่วนเฉลิมมหานคร ผ่านทางซอยสุขุมวิท 40 (ซอยบ้านกล้วยใต้) ก็ได้เช่นกัน
และถ้าใครที่ใช้ชีวิตอยู่ในย่านพร้อมพงษ์ ทองหล่อ และเอกมัยอยู่แล้ว จะมีซอยทางลัดที่เชื่อมต่อถึงกันได้หลายเส้นทาง โดยที่เราไม่ต้องออกมาเสียเวลารถติดที่ถนนใหญ่ด้านนอกเลยครับ (แต่ภายในซอยเหล่านี้รถก็ติดอยู่เหมือนกันนะ) ซึ่งตัวโครงการจะมีที่จอดรถแบบ Auto Parking รวมกับการจอดแบบปกติมาให้ 102% ซึ่งลูกบ้านสามารถจอดห้องละคันได้พอดี แต่ถ้าใครที่มีรถมากกว่า 1 คันก็อาจไม่เหมาะนักนะครับ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ซอยทองหล่อเป็นซอยที่มีรถแท็กซี่ขับผ่านเยอะครับ หรือจะเป็นวินมอไซค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็สามารถโบกเรียกได้ง่ายเช่นกัน เพื่อใช้ไปต่อที่รถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ ที่อยู่ตรงปากซอย ก็จะสามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก โดยที่ไม่ต้องเสียเวลารถติดบนท้องถนนเลยครับ หรือจะใช้บริการของโครงการอย่าง Alphard Limousine Services ก็ได้อีกเช่นกัน
การออกแบบโครงการ : โครงการนี้ได้ร่วมมือกับ YOO Studio และออกแบบโดย Philippe Starck ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมแห่งแรกในไทยอีกด้วยครับ มีแนวคิดในการออกแบบคือ Industrial Heritage ที่ผสมผสานระหว่างความดิบเท่ กับความหรูหราคลาสสิค และใช้วัสดุแบบ “Raw Beauty” เพื่อโชว์ความสวยงามของวัสดุธรรมชาติ ทั้งพื้นหินอ่อน ปูนเปลือย ทองแดง และหินขัด ซึ่งค่อนข้างแปลกตาดีครับ โดยจุดที่ผมชอบอย่างแรกจะเป็น facade ที่ทำมาจาก Aluminum Composite ที่ค่อนข้างเด่นและสวยงาม กับชั้นส่วนกลางที่น่าใช้งานมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพื้นที่ Indoor และ Semi Outdoor ที่สามารถใช้งานได้จริงตลอดทั้งวัน
ส่วนชั้นพักอาศัยก็ค่อนข้างน่าสนใจครับ มีการแบ่งพื้นที่บางส่วนให้กลายเป็นห้องเก็บงานระบบต่างๆ ซึ่งถ้าคิดตามจริงแล้วพื้นที่เหล่านั้นมีมูลค่าหลายล้านเลยทีเดียวครับ แต่ผลพลอยได้ก็คือ ทำให้ห้องพักบางยูนิตแยกออกจากกัน ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และช่างก็ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายในห้องต่างๆอีกด้วย เพียงแต่ห้องงานระบบเหล่านี้ไม่ได้เปิดช่องแสง หรือช่องระบายอากาศมายังโถงทางเดินภายใน จึงทำให้บรรยากาศอาจมืดทึบลงไป แน่นอนว่าต้องเปิดไฟอยู่ตลอดเวลา แต่โครงการก็ได้ตกแต่งให้เป็นบรรยากาศแบบโรงแรม ประดับด้วยรูปภาพต่างๆ ให้เกิดมีมิติและลูกเล่นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบางคนก็อาจชอบหรือไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ก็ได้ครับ ผมแนะนำให้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองดูนะ และด้วยคอนโดระดับ Segment นี้กับจำนวนยูนิต 148 ห้อง ถือว่าค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพราะเป็นโครงการที่มีห้องขนาดเล็กรวมอยู่ด้วยนั่นเองครับ
การออกแบบห้องพักอาศัย : เป็นโครงการที่มีห้องหลากหลายขนาดให้เลือกครับ ตั้งแต่ห้อง 1 Bedroom ไปจนถึง 3 Bedrooms และห้อง Penthouse ซึ่งจากที่เราได้วิเคราะห์ห้องกันมาทั้งหมด จุดเด่นอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือเรื่อง ความเป็นสัดส่วนของห้องที่ค่อนข้างลงตัว เน้นพื้นที่ Common area ที่ต้องใช้งานร่วมกัน ซึ่งจะรวมพื้นที่ครัวที่จะได้เป็นครัวเปิด แต่ก็มีบางห้องที่กั้นเป็นครัวปิดได้ให้เลือกด้วย มีทั้งห้องที่ไม่มีระเบียงเลย เพื่อเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในให้มากที่สุด กับห้องที่มีระเบียงยาวมากๆ เหมาะจะเปิดรับวิวแบบสุดๆ โดยไม่มี CDU. อยู่ในห้องให้เกะกะสายตา ซึ่งการวางผังของห้องที่อยู่ติดกับห้องงานระบบก็ค่อนข้างทำได้ดีครับ โดยเค้าจะนำห้องส่วนรวมอย่าง Common area มาไว้ใกล้กับห้องงานระบบเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเสียงรบกวนในห้องนอนที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง
ส่วนอีกเรื่องคือ ถ้าเป็นห้องเล็กอย่าง 1 Bedroom ห้องน้ำจะอยู่ในห้องนอนอีกที ทำให้อาจไม่เหมาะที่จะรับแขกบ่อยๆนัก แต่ถ้าเป็นห้องใหญ่ 2 Bedrooms ขึ้นไป จะมีจำนวนห้องน้ำเท่ากับห้องนอน ทำให้การใช้งานเพียงพอ โดยเฉพาะห้องน้ำของ Master Bedroom จะมีช่องแสงขนาดใหญ่ เปิดระบายอากาศ รับแสง และวิวภายนอกได้ดีอีกด้วยครับ ส่วนพื้นที่ห้องนอนจะทำมาขนาดค่อนข้างพอดีๆ ใช้งานได้เต็มพื้นที่ไม่โล่งจนเกินไป เพื่อเน้นให้ผู้อยู่อาศัยออกมาใช้ชีวิตร่วมกันที่ด้านนอกมากกว่านั่นเองครับ
วัสดุ : ส่วนตัวผมมองว่าให้มาดีได้มาตรฐานนะ แต่จุดที่ต่างจากโครงการทั่วไปคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ออกแบบโดย Phillippe Starck ไม่ว่าจะเป็นสุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ Duravit และโคมไฟประดับที่ประดับอยู่ หรือสีเคาน์เตอร์ครัวก็จะเป็นสีที่ YOO Studio เป็นคนเลือกเอง แต่จุดที่ผมชอบมากๆจะมีอยู่ 3 จุดคือ พื้นไม้ Engineering Wood ที่หน้าไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง Merbau (เมอร์-เบา) เป็นแบบหน้ากว้าง ดูเป็นไม้แผ่นใหญ่ และทนความชื้นได้ดี
กับชุดหน้าต่างกระจกที่มีความสูงแบบ Full Hight ได้กระจกเป็น Aluminate Insulated Glass ที่หนาและกันความร้อนได้ดี สุดท้ายคือหินอ่อนที่ใช้ในห้อง ทั้ง Top เคาน์เตอร์ครัว และในห้องน้ำจะเป็นหินอ่อน Arabescato Chiaro ทั้งหมดอีกด้วยครับ นอกนั้นของพื้นฐานเราจะได้คือ ชุดครัวของ Smeg กับเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้า (Conceal Type) ระบบ VRV ที่ดูเนียนตาและสวยงามเข้ากับห้องครับ
สาธารณูปโภค : ส่วนกลางออกแบบตกแต่งได้สวยน่าใช้มากๆ และทั้งหมดจะอยู่ที่ชั้นบนสุดอย่างชั้น 24 – 27 แต่จะมีชั้น 26 ที่เป็นชั้น Penthouse มาคั่นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะได้ Facilities ที่ต่อเนื่องกันถึง 3 ชั้นเลยทีเดียวครับ โดยจุด Highlight ของโครงการคือ สระว่ายน้ำปรับอุณหภูมิบนชั้น 24 ที่มีการฝังไฟเบอร์ออปติกใต้น้ำ กับมีกระจกเงาสะท้อนบนเพดาน เพื่อให้รู้สึกว่ายน้ำอยู่กลางอากาศครับ ส่วนชั้น 25 จะมีทั้ง Fitness และ Reading Lounge ที่สามารถมองลงมาเชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำได้ รวมถึงมีบริการ Concierge Nitro Coffee อีกด้วยครับ ส่วนชั้นบนสุดจะมีทั้งห้อง Screening Room และ Game Room ที่สวยงามน่าใช้งานไม่แพ้กัน รวมถึงมีพื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งให้ออกมาใช้งานได้ เพียงแต่ด้วยฟังก์ชันที่จัดออกมานี้ ผมมองว่าน่าจะทำได้ดีและน่าใช้งานมากกว่านี้ได้อีกครับ
Judgement
ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน
BOTTOM LINE
โครงการ KHUN by YOO inspired by Starck เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดใจกลางทองหล่อ ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง Philippe Starck เน้นใช้งานพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่และสวยงาม มีห้องขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ให้เลือก ฟังก์ชันเป็นสัดส่วน มีงบประมาณระดับ 18 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 126,000 บาท/เดือนขึ้นไป
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving