รีวิวฉบับที่ 1818 .. สำหรับใครที่ชื่นชอบการใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือต้องการที่พักอาศัยในบรรยากาศสไตล์รีสอร์ท วันนี้มีโครงการตึกเสร็จสดๆร้อนมาแนะนำครับ CHAPTER ONE ECO รัชดา-ห้วยขวาง เป็นกลุ่มอาคาร High Rise 8 อาคาร บนถนนประชาอุทิศ จัดพื้นที่ส่วนกลางมาให้ถึง 4 ไร่ ในสไตล์ Scandinavian เน้นห้อง Studio และ 1 Bedroom หลายคนคงจะเคยเห็นในรูปกันไปบ้างแล้ว ของจริงเสร็จแล้วจะสวยแค่ไหน ไปชมกันเลยครับ
Fact @ 7 February 2019
- Chapter One Eco Ratchada – Huaikwang (แชปเตอร์ วัน อีโค รัชดา – ห้วยขวาง)
- บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)
- UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนประชาอุทิศ เขตห้วยขวาง
- คอนโด High Rise 22-26 ชั้น 8 อาคาร , ห้องพักอาศัย 1844 ยูนิต และร้านค้า 7 ยูนิต
- อาคารจอดรถ 2 อาคาร
- จำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุด 11 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 708 คัน คิดเป็น 38%
- ที่ดินประมาณ 13-0-45.7 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : ต้นปี 60
- ปัจจุบันโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่
- Studio 22.57 – 23.26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท
- 1 Bedroom 29.27 – 36.53 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.3 ล้านบาท
- 2 Bedroom 45.83 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 105,000 – 115,000 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 1739
- Line ID : @chapteroneeco
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.772054, 100.579979
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ CHAPTER ONE ECO รัชดา-ห้วยขวาง ตั้งอยู่บนถนนประชาอุทิศ ใกล้กับแยกเหม่งจ๋าย ห่างจากรถไฟฟ้า MRT สถานีห้วยขวางประมาณ 1.4 กิโลเมตร เป็นทำเลใจกลางเมือง แต่อยู่ภายในซอยจึงต้องต่อรถเข้าซอยมาหน่อย มีเส้นทางลัดเข้า-ออกได้หลายทาง การเข้าถึงโครงการสามารถใช้ได้ทั้งจากถนนรัชดาภิเษกมาเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ , ถนนเทียมร่วมมิตรเชื่อมต่อเข้าถึงโครงการ หรือใช้ถนนประดิษฐ์มนูธรรม(เลียบด่วนรามอินทรา)ตรงเข้ามาผ่านแยกเหม่งจ๋ายเข้าสู่โครงการ จึงเหมาะกับการเดินทางโดยใช้รถ แต่ติดตรงที่ในช่วงเวลาเร่งด่วนการจราจรจะค่อนข้างหนาแน่น สักหน่อย ซึ่งก็มีการเดินทางสาธารณะรองรับอยู่บ้างนะ สำหรับทางด่วนสามารถเลือกใช้ได้ทั้งวิ่งเข้าถนนสุทธิสารวินิจฉัยเพื่อตัดเข้าถนนวิภาวดีรังสิตตรงไปเรื่อยๆเพื่อขึ้นทางด่วน หรือจะใช้ทางด่วนในย่านอโศก, เลียบด่วนรามอินทราก็ได้
สำหรับการเดินทางโดยไม่ใช้รถก็สามารถเรียกรถสาธารณะทั้งแท็กซี่หรือพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการได้สะดวก ภายในซอยค่อนข้างคึกคัก มีรถวิ่งผ่านอยู่ตลอดจึงไม่เปลี่ยว และมี Shuttle Bus จากทางโครงการวิ่งรับส่งไปรถไฟฟ้าอีกด้วย ทำเลแถวนี้ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ก็จริงแต่ก็เป็นชุมชนมีคนอยู่อาศัยเยอะ ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นตึกแถว มีอพาร์ตเมนท์ให้เช่า มีคอนโดทั้ง Low Rise และ High Rise มาขึ้นพอสมควรโดยราคาจะต่ำกว่าคอนโดที่ติดถนนใหญ่ลงมาหน่อยแลกกับทำเลที่ต้องต่อรถเข้ามาภายในซอยครับ
เส้นทางเดินรถ Shuttle Bus ของโครงการ จะมีตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 2 ทุ่มทุกวัน ซึ่่งจะแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลักๆ คือ
- MRT ห้วยขวาง – ซึ่งจะไปและกลับในทางเดิมบนถนนประชาอุทิศ มีระยะสั้น ใช้เวลาน้อยกว่าอีกเส้น เหมาะกับการมุ่งตรงไปเพื่อใข้งาน รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน
- MRT ศูนย์วัฒนธรรม – เป็นเส้นทางที่มีระยะไกลกว่า แต่จะมีรอบการวิ่งที่หลากหลาย เพราะ เป็นเส้นทางวิ่งแบบไปทางเดียวไม่ได้วนกลับทางเดิม และมีเส้นทางที่เยอะ ครอบคลุม ไปถึง MRT พระราม 9 ผ่านอาหารสำนักงานต่างๆ และห้างสรรพสินค้าหลายจุด ถือว่าสะดวกทีเดียว เหมาะกับการเดินทางไปยังพื้นที่ระแวกใกล้เคียง ทั้ง The Street รัชดา, Big C Extra, Esplanade, Central พระราม 9 และ Fortune Tower เป็นต้น
การบริการ Shuttle Bus ของโครงการจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยนะครับ
ด้วยทำเลของโครงการนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์พอสมควรเลย เนื่องจากเป็นย่านแหล่งงานที่สำคัญ ทำให้มีคนอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น คึกคัก จะพบคอนโดมิเนียม และอพาร์ทเม้นท์จำนวนมาก อาคารสำนักงานทั้ง อาคาร Cyber World อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ อาคาร AIA และ อาคารฟอร์จูนทาวน์ ซึ่งเป็นทั้งห้างขายอุปกรณ์ไอทีและอาคารสำนักงานด้วย มี Hypermarket และ Shopping Center หลายแห่งเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัย หากชอบบรรยากาศแบบศูนย์การค้า ก็จะมีอย่าง Central พระราม 9, Central ลาดพร้าว เป็นต้น ถ้าชอบ Community mall ก็จะมี The Street และ เอสพลานาดแต่ไม่ได้อยู่ในระยะเดิน ต้องนั่งรถสาธารณะ หรือรถ Shuttle Bus ของโครงการไปนะครับ
ถ้าอยากไปตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร แผงลอย ย่านนี้ก็มีอีกเช่นกันอยู่ในระยะเดินไปได้แต่ต้องขยันเดินนิดนึง อย่างตลาดห้วยขวางก็เป็นตลาดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในย่านนี้ เพราะเป็นตลาดที่มีสินค้าครบถ้วน ตั้งอยู่บนถนนประชาสงเคราะห์ ถัดจากศาลพระพิฆเนศ ตลาดนี้เปิดช่วงเย็นๆนะครับ จะมีบรรยากาศคึกคักมาก มีทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้า กินอิ่มแล้วมาช้อปปิ้งเพลินๆตอนกลางคืนก็เพลินเลย ส่วนเวลากลางวันลองเข้ามาที่ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ มีร้านขายอาหารจำนวนมากในซอยนี้ หรือจะขับรถไปหาอะไรทานแถวเหม่งจ๋ายก็ได้ครับ มีร้านอาหารอร่อยๆขึ้นชื่อเยอะอยู่เหมือนกัน
การเข้าถึงโครงการหลักๆแล้วสามารถใช้ได้ 3 เส้นทางดังนี้
เส้นทางที่ 1 – ซึ่งเป็นทางที่เราจะพาไปชมกันในวันนี้ เริ่มจากถนนรัชดาภิเษกตรงมาเลี้ยวเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญและเลี้ยวเข้าถนนประชาอุทิศมุ่งหน้าไปทางแยกเหม่งจ๋าย จากหน้าปากซอยเข้ามาถึงโครงการประมาณ 1.4 กิโลเมตร
เส้นทางที่ 2 – จากถนนรัชดาภิเษกตรงมาเลี้ยวเข้าถนนเทียมร่วมมิตร บริเวณอาคาร Cyber World ตรงมาตามทาง เลี้ยวเข้าถนนประชาอุทิศเข้าสู่โครงการ
เส้นทางที่ 3 – จากถนนประดิษฐ์มนูธรรมหรือเลียบทางด่วนรามอินทรา เลี้ยวเข้าถนนประชาอุทิศตรงมาเรื่อยๆจนถึงโครงการ
การเดินทางในวันนี้เราจะเริ่มจากบริเวณแยกพระราม 9 ขับตรงมาเรื่อยๆทางฝั่งขวาจะเป็นเซ็นทรัลพระราม 9 ศูนย์การค้าใหญ่ในย่านนี้ ส่วนทางฝั่งซ้ายเป็นอาคารฟอร์จูนทาวน์ซึ่งเป็นทั้งสำนักงานและแหล่งขายอุปกรณ์ไอที มีร้านค้า ร้านอาหาร Tesco Lotus อยู่ชั้นล่าง แวะหาอะไรทานได้
ตรงต่อมาเราจะผ่านซอยรัชดาภิเษก 3 อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ซึ่งใช้เป็นทางลัดไปถนนประชาสงเคราะห์ได้ ถัดไปเป็นอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแห่งใหม่
และจะผ่านอาคารสำนักงาน AIA , เอสพลานาด รัชดาภิเษก Communitymall ที่ด้านหลังมีตลาดนัดรถไฟ รัชดาฯ ตลาดนัดยามเย็นบรรยากาศชิลๆ มีสินค้ามากมายหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า และ ของกิน ถัดไปตึกสูงๆเป็นอาคาร RS Tower
ขับต่อมาอีกทางฝั่งซ้ายจะเจอบิ๊กซีรัชดาฯแหล่งจับจ่ายใช้สอยของสดของแห้งของคนย่านนี้ ตอนช่วงเย็นๆค่อนข้างคึกคัก ส่วนทางฝั่งขวาที่ลูกศรชี้เป็นอาคาร Cyber World อาคารสำนักงาน
ตรงมาจนเกือบถึงแยกเทียมร่วมมิตรทางฝั่งซ้ายจะเจอกับ Community mall อีกแห่งหนึ่งคือ The Street แหล่งกินดื่ม พักผ่อน เปิด 24 ชม. จากตรงนี้เราสามารถชิดขวาแล้วเลี้ยวเข้าถนนเทียมร่วมมิตรเพื่อเข้าถึงโครงการได้นะครับ แต่เราจะขับตรงต่อไปเข้าทางถนนถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ
ตรงมาจนถึงแยกนี้ให้ตามป้ายประชาอุทิศไป เราจะไปเลี้ยวขวาเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญที่แยกตลาดห้วยขวาง
ตรงมาถึงแยกนี้ ถ้าเลี้ยวซ้ายจะเป็นทางไปถนนประชาสงเคราะห์หรือตลาดห้วยขวาง แต่เราจะเลี้ยวขวาเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ บริเวณนี้จะมีคอนโด High Rise เกาะตามแนวรถไฟฟ้าอยู่ตลอดแนว
จากถนนใหญ่เราเลี้ยวเข้าถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ บริเวณหน้าปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์และสามล้ออยู่ สามารถเรียกเข้าไปโครงการได้ครับ ทางฝั่งซ้ายเป็นคอนโด Life@รัชดาฯ-ห้วยขวาง ส่วนทางฝั่งขวาเป็น Ideo รัชดาฯ-ห้วยขวาง
ตรงเข้าซอยมาอีกหน่อย บรรยากาศบริเวณนี้จะค่อนข้างคึกคัก มีร้านค้า ร้านอาหารอยู่ทั้ง 2 ข้างทาง แต่การจราจรในช่วงเวลาเร่งด่วนก็จะติดขัดตามไปด้วย
ตรงต่อมาพอถึงแยกนี้เลี้ยวขวาเข้าถนนประชาอุทิศ
พอเลี้ยวเข้าถนนประชาอุทิศจะเจอสำนักงานเขตห้วยขวางอยู่ทางด้านขวามือ
พอเจอแยกนี้เราจะเลี้ยวซ้าย ถ้าตรงไปจะเป็นทางไปโครงการศุภาลัยซิตี้รีสอร์ท รัชดาฯ-ห้วยขวาง โดยจะมี 7-11 อยู่ตรงแยกนี้ด้วย
พอเลี้ยวซ้ายมาจะเจอ 7-11 อยู่อีกจุดหนึ่ง ใกล้โครงการมากกว่าเพราะถัดไปอีกนิดเดียวก็จะถึงโครงการแล้วครับ
ตรงจาก 7-11 มาอีกหน่อยก็จะถึงแล้วครับ โดยโครงการจะอยู่ตรงข้ามกับ U delight ห้วยขวางพอดี
**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ
โครงการ CHAPTER ONE ECO รัชดา-ห้วยขวาง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 13-0-45.7 ไร่ ที่ดินเป็นรูปหลายเหลี่ยมวางตัวตามแนวยาว มีทางเข้าออกทางเดียวติดกับถนนประชาอุทิศ สภาพแวดล้อมโดยรอบส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่อยู่อาศัย ช่วงที่ติดกับถนนใหญ่เป็นตึกแถว อาคารพาณิชย์ที่ชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร มีคอนโดแทรกอยู่บ้างทั้ง High Rise และ Low Rise ด้านหลังของโครงการเยื้องๆกันหน่อยจะเป็นสยามนิรมิต ไปดูรายละเอียดแต่ละฝั่งกันนะครับ
ทิศเหนือ – ติดกับถนนประชาอุทิศฝั่งตรงข้ามเป็นคอนโด U delight ห้วยขวาง
ทิศตะวันออก – ติดกับคลองชวดบางจาก ถัดไปเป็นบ้านพักอาศัย
ทิศใต้ – ติดกับที่ดินเปล่า เยื้องๆเป็นสยามนิรมิต
ทิศตะวันตก – ติดกับร้านค้า อพาร์ทเม้นท์สูง 8 ชั้น บ้านพักอาศัย ถัดไปอีกเป็นโครงการศุภาลัย ซิตี้รีสอร์ท
มาเริ่มดูที่ฝั่งซ้ายมือของโครงการกันก่อน หรือฝั่งที่เรามาเข้ามานั่นเอง พื้นที่ส่วนใหญ่รอบๆโครงการจะเป็นชุมชนพักอาศัย ทำให้มีอาคารตึกแถวที่มีร้านค้า ร้านอาหาร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆกระจายกันอยู่โดยรอบ อย่างข้างๆตัวโครงการ มีร้านล้างรถ และร้านกาแฟอยู่นะ
ถัดมาจะเป็นซอยประชาอุทิศ 8 ซึ่งจะมี 7 eleven อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ มีพื้นที่สำหรับจอดรถชั่วคราวให้ด้วยด้านข้าง
ภายในเป็นซอยตันนะครับ จะพื้นที่พักอาศัยและอาคารสำนักงานในแนวราบ
ฝั่งตรงข้ามเป็นแนวตึกแถวทั้งหมดครับประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกทั่วไป เช่น ร้านตัดผม ร้านยา ปะปนไป
ฝั่งตรงข้ามโครงการคือโครงการ U Delight ห้วยขวาง Station เป็นโครงการ High Rise 20 ชั้น 3 อาคาร 597 ยูนิต ซึ่งจะมีผลกับวิวของทางฝั่งของหน้าโครงการเล็กน้อย เพราะมีระยะห่างพอสมควรครับ นอกจากมีถนนประชาอุทิศคั่นกลาง ยังมีระยะร่นในแต่ละฝั่งค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ที่สำคัญคือหน้าโครงการมีพี่วินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งจะสามารถไปเรียกใช้งานได้สะดวกมากๆ
ฝั่งขวาของโครงการคือด้านตรงต่อเข้าไปภายในซอยประชาอุทิศ มีบริบทใกล้เคียงกันแต่จะไม่คึกคักเท่าต้นซอยนะ
ลองเดินมาดูก็จะสังเกตได้ว่ามีตึกแถวทั้งสองฝั่งถนน แต่ฝั่งติดโครงการมีคลองคั่นด้วยนะ
คลองชวดบางจาก ซึ่งจะมีทางเดินขนาบข้างซ้ายขวา ส่งกลิ่นเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเข้าไปภายในตัวโครงการนะครับ
เดินต่อมาก็จะเจอกับตึกแถวที่เริ่มมีร้านค้าร้านอาหารให้เห็นอีกครั้ง ทั้ง Pizza Company และ 7-eleven รวมถึงร้านขายอาหารตามตึกแถวครับ เรียกได้ว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือทางขวาของตัวโครงการ ก็มีของกินเลือกกันเยอะเลยทีเดียว
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- โรงเรียนนานาชาติ เดอะรีเจ้นท์ ~ 450 ม.
- ตลาดห้วยขวาง ~ 2.2 กม.
- อาคารเมืองไทยภัทรคอมเพล็กซ์ ~ 2.4 กม.
- อาคารไซเบอร์เวิลด์ ~ 2.5 กม
- โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (SISB) ~ 2.8 กม.
- Big C รัชดาภิเษก ~ 2.9 กม.
- โรงเรียนนานาชาติ KIS ~ 2.9 กม.
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ~ 3.2 กม.
- ตลาดนัดรถไฟรัชดาฯ ~ 3.5 กม.
- อาคารเอไอเอ แคปปิตอล ~ 3.5 กม.
- Tesco Lotus รัชดาภิเษก ~ 4.1 กม.
- อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ ~ 4.3 กม.
- ฟอร์จูนทาวน์ ~ 4.3 กม.
- Central Plaza พระราม9 ~ 4.4 กม.
- โรงพยาบาลพระราม9 ~ 4.6 กม.
- อาคารทรู ทาวเวอร์ ~ 4.9 กม.
- โรงพยาบาลปิยะเวท ~ 4.9 กม.
มาเริ่มกันที่ Master Plan เลยครับ ทางเข้าโครงการอยู่ติดกับถนนประชาอุทิศ บริเวณด้านหน้าที่วงสีแดงๆเอาไว้ตอนนี้ทำเป็นสำนักงานขายอยู่ ในอนาคตจะกลายเป็นร้านค้าต่างๆนะ ซึ่งก็มีเข้ามาบ้างแล้วอย่าง Starbucks และ 7-eleven ในอนาคต ถัดเข้าไปด้านในโครงการจะแบ่งพื้นที่ส่วนพักอาศัยกับส่วนกลางแยกออกจากกัน โดยกลุ่มคอนโดอยู่ทางฝั่งซ้ายเรียงกัน 8 อาคาร ส่วน Main Facilities ทั้งหมด จะอยู่ทางฝั่งขวาด้านบนอาคารจอดรถทั้ง 2 อาคาร โดยการจัดพื้นที่ตรงส่วน Facilities แบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ภายในอาคารหลังคาทรงจั่วเรียงเล่นระดับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยได้ไอเดียมาจากบ้านของชาวสแกนดิเนเวียนั่นเอง เวลาลูกบ้านจะใช้ส่วนกลางก็ลงมาใช้พื้นที่ตรงนี้ซึ่งทางโครงการก็จัดมาให้ค่อนข้างเยอะเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานและในทุกๆอาคารเองจะมี Facilities ที่คนน่าจะใช้กันบ่อยๆอย่าง Lobby และ Co-Working Space มาให้ด้วย
โครงการนี้เป็นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ จำนวนยูนิตเยอะแต่มีการแบ่งสร้างเป็นหลายๆอาคาร แต่ละอาคารจึงมีจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่เยอะทำให้ในแต่ละชั้นมีความเป็นส่วนตัวไม่พลุกพล่าน ทุกอาคารวางเรียงกันในแนวทิศเหนือใต้ซึ่งเป็นทิศที่ได้ลมและไม่โดนแดดร้อนในตอนบ่าย มีถนนและสวนหย่อมอยู่รอบๆโครงการ อาคารที่อยู่ฝั่งติดถนนจะดีตรงที่เข้า-ออกง่าย ใช้พื้นที่ร้านค้าสะดวก อาคารช่วงตรงกลางจะเข้าไปใช้ Facilities ได้ง่าย ส่วนอาคารที่อยู่ด้านในจะได้เรื่องความสงบและความเป็นส่วนตัวที่มากที่สุด การจอดรถสามารถจอดได้ทั้งบริเวณรอบๆอาคารและยังมีอาคารจอดรถอีก 2 อาคารโดยจะจอดได้ประมาณ 38% สำหรับการวนรถในโครงการ เป็นการวนแบบเดินรถสองทางรอบโครงการ แต่จะแบ่งพื้นที่ฝั่งขวาเป็นอาคารจอดรถ ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นพื้นที่จอดรถกลางแจ้งตามด้านหลังอาคารต่างๆ ไว้สำหรับ Service แต่ก็สามารถวนเข้าอาคารจอดรถได้ที่ด้านหลัง ซึ่งพื้นที่ตรงกลางจะไม่ให้รถเข้าไปเลยครับ เป็นพื้นที่ที่สามารถวิ่งออกกำลังกาย และปั่นจักรยานได้ ส่วนภายในอาคารห้องพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปครับ
บริเวณหน้าโครงการจะมีป้ายโครงการและสวนหย่อมขนาดไม่ใหญ่นักออกมารับด้านหน้า พร้อมทางเดินเท้าด้านข้าง สำหรับเดินเท้าเข้าตัวโครงการ แยกกับทางรถยนต์ชัดเจน ปลอดภัยดีครับ มีไฟสนามให้แสงสว่างเป็นจุดๆตามแนวทางเดิน
ขอบอกก่อนว่าโครงการนี้ออกแบบมาในสไตล์ Scandinavian หรือที่ใครหลายๆคนอาจจะรู้จักในชื่อว่าสไตล์ นอร์ดิก (Nordic Style) เป็นสไตล์การตกแต่งบ้านของคนแถบยุโรปเหนือ พวก เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เป็นสไตล์ที่มีความเฉพาะตัว ได้รับอิทธิพลหรือแรงบรรดาลใจมาจากธรรมชาติ หรือ Organic Form นั่นเอง เป็นการออกแบบที่เน้นความอบอุ่น ใช้โทนสีสว่าง และธรรมชาติ ส่วนตัวโครงการนำมาประยุคใช้กับภูมิประเทศของเราได้ดีทีเดียว เน้นการรับแสงธรรมชาติ และลม ซึ่งนอกจากจะทำให้ดูโล่งแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานได้ด้วย ซึ่งการประหยัดพลังงานก็เป็นอีกหนึ่ง Concept หลักของโครงการ โดยจะมีหลายแนวคิดที่ถูกนำมาใช้ในโครงการ เช่น
- ติดตั้งแผง Solar-Cell ที่ชั้นบนของทุกอาคาร (ยกเว้นอาคาร H) เพื่อนำไฟมาใช้ภายในโครงการ ช่วยลดค่าส่วนกลาง
- ใช้หลอดไฟ LED ทุกจุด ช่วยประหยัดไฟ
- ออกแบบวางผังอาคารให้รับลมและแสงจากธรรมชาติ ลดการใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน
- แยกขยะ Recycle
- สนับสนุนการใช้จักรยานในการเดินทาง โดยภายในโครงการจะมีจักรยานให้ รวมถึงที่จอดกระจายอยู่ตามจัดต่างๆภายในโครงกาย
- มีแปลงผัก Hydroponic Farm ให้ลูกบ้านสามารถปลุกและนำไปบริโภคเองได้
- พื้นที่สีเขียวกว่า 4 ไร่ ช่วยสร้างบรรยากาศและลดมลภาวะภายในโครงการ
- Shuttle Bus ไปยังจุดต่างๆ สนับสนุนการเดินทางสาธารณะ
ถัดมาตรงกลางเป็นทางเข้าออกรถยนต์สำหรับโครงการ พื้นเป็นคอนกรีตพิมพ์ลายยาวเข้าไปเลย และบริเวณด้านหน้านี้จะมีป้ายบอกตำแหน่งสำหรับเป็นจุดให้บริการ Shuttle Bus ของโครงการด้วย
ถัดมาดูฝั่งซ้ายกันก่อนจะเข้าไปภายในโครงการกันสักนิดนะครับ พื้นที่บริเวณหน้าโครงการ ในส่วนนี้จะไม่ใช่รั้วทั่วๆไปเหมือนที่อื่น แต่จะเป็นพื้นที่ร้านค้าของโครงการทั้งหมด 6 ร้าน (ภายในโครงการอีก 1 ร้าน) เป็นจุดสังเกตและดึงดูดสายตาที่ดีทีเดียว ประกอบไปด้วยร้านค้าหลายประเภท ทั้งร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven และร้านกาแฟ ซึ่งในปัจจุบันมี Starbucks ที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้ทั้งหมดจะเปิดให้คนภายนอกสามารถเข้าไปใช้งานได้ด้วยนะครับ ลองเดินขึ้นไปดูรายละเอียดด้านบนกันเลยครับ
ทางเดินเป็นบันไดกว้าง มีไฟให้ด้วย พร้อมราวกระจกกันตก ใช้งานง่าย สะดวก
ด้านข้างมีทางลาดสำหรับรถเข็นให้ใช้ด้วยครับ Universal Design เหมือนกันนะ
เมื่อขึ้นมาด้านบนจะมีพื้นที่ลานกว้างๆตรงกลาง พร้อมพื้นที่นั่งล้อมรอบต้นสน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ดูโล่งกว้าง ไม่แน่นจนเกินไป ปัจจุบันที่มาเปิดคือ Starbucks ครับ ส่วนรายอื่นๆกำลังตามมา
สำหรับร้านกาแฟขวัญใจของใครหลายๆคน บรรยากาศภายในก็ถูกออกแบบมาให้เข้ากับบรรยากาศของโครงการด้วยโครงสร้างจั่วภายใน ล้อกับรูปฟอร์มของอาคารต่างๆภายในโครงการ
มีพื้นที่ภายนอกให้ด้วยนะ ส่วนนี้ก็จะเป็นพื้นที่ด้านหน้าโครงการฝั่งติดถนนประชาอุทิศครับ
อีกฝั่งที่เห็นเป็นแนวร้านค้า ปัจจุบันทำหน้าที่เป็น Sales Gallery อยู่นะครับ สามารถเดินเข้ามาติดต่อได้เลย ซึ่งในอนาคตจะถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้าเช่นกันครับ
เป็นแนวยาวไปจนถึงหลัง Starbucks อีกฝั่งเลย เป็นแนวร้านค้าทั้งหมดครับ
กลับลงมาที่ด้านล่างและเข้าไปดูภายในโครงการกันเลยครับ ที่ด้านหน้านี้จะมีส่วนของป้อม รปภ. ที่ดูแลทางเข้าออกโครงการตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนที่เห็นใต้อาคารฝั่งซ้ายมือในรูป คือพื้นที่จอดรถสำหรับพื้นที่ร้านค้านี้ ซึ่งถ้าหากเป็นคนนอกมาใช้ ก็จะสามารถเข้าไปจอดภายในได้ ไม่ต้องเข้าไปรบกวนพื้นที่ภายในโครงการครับ
ฝั่งขวามือคือที่จอดรถเช่นกัน จะอยู่บริเวณนอกโครงการ ไม่เข้าไปยุ่งกับพื้นที่ภายในโครงการ สำหรับจอดชั่วคราว หรือถ้าเป็น Visitor บุคคลภายนอกจะมีค่าบริการในจุดนี้ด้วยนะครับ
เมื่อเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้าย จะมาที่ส่วนหลังร้านค้าต่างๆ ซึ่งเส้นทางนี้จะเป็นทาง Service เป็นทางเดินรถสองทาง เพื่อไปจอดยังด้านหลังอาคารพักอาศัยต่างๆ มีที่จอดรถไม่มากนัก แต่จะใกล้และสะดวก สามารถขึ้นอาคารพักอาศัยได้เร็วกว่าจอดฝั่งอาคารจอดรถครับ
ตรงต่อมาจะเป็นทางเดินรถแบบสองทาง มีกระจกสะท้อนให้ดูแลความปลอดภัย อ้อมเข้าไปด้านหลังอาคาร จะเป็นพื้นที่สำหรับ Service แต่ลูกบ้านก็สามารถจอดได้ ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นที่จอดกลางแจ้ง ยาวเข้าไปภายในโครงการเลยครับ จะไปเชื่อมต่อกับอาคารจอดรถที่ท้ายโครงการ
มาดูอีกฝั่งที่จะตรงเข้าไปยังพื้นที่อาคารจอดรถกันครับ ซึ่งเป็นส่วนที่จอดรถหลักของโครงการ ส่วนนี้จะเข้าออกด้วยรั้วกั้นไม้กระดกอัตโนมัติ ซึ่งจะเข้าด้วยระบบ Keycard Access แบบ Easy Pass ทั้งขาเข้าและขาออกครับ
เมื่อตรงเข้ามา จะมีพื้นที่จอดรถนอกอาคารก่อนในส่วนแรกนี้ และตรงต่อเข้าไปเพื่อจอดรถบนอาคารจอดรถ ซึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 2 อาคาร อาคารแรก 4 ชั้น และอาคารหลัง 5 ชั้น ไล่ระดับขึ้นไป จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ที่ชั้น 1 และส่วนพื้นที่ด้านบนอาคารจอดรถ จากมุมนี้จะมองเห็นพื้นที่ส่วนกลางบางส่วนที่ตั้งอยู่ด้านบนของอาคารจอดรถครับ ซึ่งที่จอดรถทั้งหมดทั้งโครงการได้มาทั้งหมด 708 คัน คิดเป็น 38%
เมื่อตรงเข้ามาภายใน จะใต้อาคารสามารถจอดรถได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา พื้นเป็นคอนกรีตขัดมันทั้งพื้นและฝ้าเพดาน เก็บงานเรียบร้อยดี มีไฟส่องแสงสว่างให้ตลอดทั้งแนวอาคารครับ นอกจากนั้นด้านข้างยังเปิดช่องแสงจากธรรมชาติ ช่วยประหยัดไฟในเวลากลางวันได้ไม่น้อยทีเดียว
ฝั่งด้านข้างมีแนวต้นไม้ริมรั้วโครงการ ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศที่จอดรถไม่ดูแข็งและทึบเกินไป มาพร้อมช่องแสงขนาดใหญ่อย่างที่บอกไปครับ
ส่วนอีกฝั่งก็เว้นช่องให้เชื่อมต่อกันกับพื้นที่จอดรถชั้น 2 ให้มองเห็นถึงอีกพื้นที่ สามารถสอดส่องพื้นที่จอดรถของชั้นอื่นๆได้ และยังทำให้ไม่ดูทึบจนเกินไป อากาศถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนต่อไป ไปดูพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการกันก่อนนะครับ สำหรับโครงการนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าออกแบบส่วนกลางมาให้จัดเต็มมากๆ หลายๆคนคงพอจะทราบกันมาอยู่แล้ว ที่สำคัญคือจัดมาให้เป็นสัดส่วนชัดเจน แยกจากพื้นที่พักอาศัย ทำให้ง่ายแก่การจัดการ และเข้าถึง แถมยังไม่ไปรบกวนความเป็นส่วนตัวของพื้นที่พักอาศัยด้วย
เดินเข้ามาภายในโครงการ มองไปรอบๆ บรรยากาศจัดมาให้ดูดีทีเดียว รู้สึกเหมือนอยู่ในรีสอร์ทสักที่ในเขาใหญ่อะไรทำนองนั้น ที่ผมชอบคือพื้นเป็นคอนกรีตพิมพ์ลายทั้งหมดยาวเข้าไปจนถึงด้านในสุด ถือว่าจัดเต็มมาให้เลย
เลี้ยวขวาหันเล็กน้อย ไปดูพื้นที่ส่วนกลางที่ถูกแยกออกไปกันก่อนนะ เป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาด 4 ไร่ ซึ่งถือว่าใหญ่มากๆ มีตำแหน่งอยู่บนอาคารจอดรถ ทั้งสองอาคารด้านในที่เราพึ่งไปดูมา ซึ่งจะไล่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ 4-5 ชั้น ตามลำดับ ตัวพื้นที่ส่วนกลางก็ไล่ระดับเช่นกัน ไปดูพื้นที่ภายกัน
พื้นที่ส่วนกลางของโครงการนี้มีขนาดใหญ่ทีเดียว จัดเต็มมาให้ถึง 4 ไร่ ตั้งอยู่บนอาคารจอดรถทั้ง 2 อาคาร ที่ริมพื้นที่โครงการฝั่งทิศตะวันตก จะมีการไล่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเวลาจะใช้งานก็ต้องเดินตาม Step ขึ้นไป หรือจะมีลิฟต์ของอาคารจอดรถให้ 2 จุดครับ จะมีพื้นที่ส่วนกลางไล่ตามระดับไปคือ Bike Club , Home Theatre, Reading room, Co -Working Space ส่วนอีกอาคารจะมี Facilitiesจะอยู่บนชั้นดาดฟ้าทั้งหมดประกอบไปด้วย Hydroponics Farm & BBQ, Swimming Pool & Jacuzzi Pool Terrace, Fitness, Lounge และ Street Basketball จะมีโถงลิฟต์อีกจุดอยู่ที่ท้ายอาคาร ข้อดีของการแบ่งพื้นที่ส่วนกลางออกจากพื้นที่พักอาศัยชัดเจนคือ จัดการและรักษาความปลอดภัยได้ง่าย ไม่รบกวนกันได้ความเป็นส่วนตัว นอกจากนั้นภายในอาคารพักอาศัย ก็มีส่วนของ Lobby และ Co-Working Space ให้ด้วยในทุกตัวอาคาร ถ้าไม่อยากเดินมาก็มีพื้นที่ในอาคารให้ใช้ หรือวันไหนมีเพื่อนมาจะพาเพื่อนมาใช้พื้นที่ส่วนกลางที่เป็น Main Facilities ก็ไม่ยากครับ
เดินขึ้นมาตามทางลาด ซึ่งจะมีต้นไม้ประดับตามข้างทางซ้ายขวาคอยสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้กับพื้นที่ในส่วนนี้ เมื่อเข้ามาจะพบพื้นที่ส่วนกลางในจุดแรก ใบ้ให้ว่าทางลาดที่เราขึ้นมา ก็มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกันกับตัวอาคารตัวนี้นะ ไปดูกันเลยครับ
พื้นที่ส่วนแรกคืออาคาร Bike Club ครับ เป็น Space สำหรับคนชอบจักรยาน ให้นักปั่นทั้งหลายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ พูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมอง และร่วมกันออกกำลังกายภาย ซึ่งเหตุผลที่ต้องมีทางลาดขึ้นมาก็เพื่อให้สามารถปั่นจักรยานขึ้นลงได้ด้วย ตัวอาคารนี้เข้าออกด้วยระบบ Keycard ที่ด้านหน้า รักษาความปลอดภัย ภายในเป็น Lounge ที่นั่งพูดคุย และมีจักรยานให้ลูกบ้านมายืมใช้กันด้วย เปิดประมาณ 9 โมงเช้า ถึงประมาณเที่ยงคืนครับ ยาวไปเลยครับ Biker
เลยไปดูกันต่อในพื้นที่ต่อไปนะครับ เป็นระดับยกไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ มีไฟส่องสว่างให้ตลอดทาง
เมื่อขึ้นมาก็มีพื้นที่ที่ยกระดับเพื่อไปยังพื้นที่ส่วนกลางส่วนต่อไปครับ มีการจัดพื้นที่โดยรอบให้สวยงามเช่นเคย
ที่ด้านข้างมีมุมจัดเป็นที่นั่งให้ด้วย พื้นที่ค่อนข้างกว้าง นั่งได้หลายคน
มองลงไปด้านล่างจะเห็นบรรยากาศของกลางโครงการ ส่วนที่จะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันของส่วนพักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลาง มีพื้นที่นั่งเล่นกระจายอยู่ เดี๋ยวเราไปดูส่วน Facilities กันให้หมดก่อนนะครับ แล้วผมจะพาลงไปเดินดูส่วนนี้
มีทางเดินต่อขึ้นไปด้านบน ซึ่งจะเป็นส่วนเชื่อมต่อกับอาคารจอดรถครับ มีจุดเชื่อมต่อพื้นที่ส่วนกลาง กับพื้นที่จอดรถหลายจุด ซึ่งถือว่าดีนะ เข้าถึงได้หลายทาง และไม่ต้องเดินอ้อมไกลๆ เพราะบริเวณที่กำลังจะเดินขึ้นไป เป็นตำแหน่งโถงลิฟต์ของอาคารจอดรถครับ
เดินขึ้นมาจะเป็นโถงลิฟต์ของอาคารจอดรถ ซึ่งอาคารจอดรถ 2 อาคาร 4, 5 ชั้นตามลำดับ มีลิฟต์อาคารละ 2 ตัว จุดนี้เป็นโถงลิฟต์ส่วนหน้านะครับ มีลิฟต์ให้ 1 ตัว
จากภายในรูปเลี้ยวขวาออกมา จะเป็นพื้นที่อาคารจอดรถ และมีพื้นที่ส่วนกลาง 1 จุดนะครับ ไปดูกัน
เมื่อเลี้ยวออกมาจากโถงลิฟต์ จะเจอห้อง Home Theater ซึ่งจะเปิดให้ใช้บริการตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน เข้าออกด้วยระบบ Keycard ภายในมีห้องดูหนังฟังเพลง แยกออกเป็น 3 ห้อง โดยห้องดูหนังสามารถจองผ่าน The Living Application ของทางโครงการเพื่อ Booking ห้องได้ครับว่าจะมาใช้งานตอนไหน
เดินกลับเข้ามาในโถงลิฟต์นะครับ เพื่อจะไปต่อยังพื้นที่ Facilities ส่วนต่อไป
ในโถงลิฟต์มีส่วนของห้องน้ำแยกชายหญิงให้ด้วยนะ จัดว่าสะดวกทีเดียว
ตอนผมไปยังไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นะ แต่เริ่มเห็นเค้าโครงภายในบ้าง ขนาดใหญ่พอสมควรใช้งานได้หลายคนพร้อมกัน ให้เป็นอ่างแบบฝังเคาน์เตอร์ และห้องน้ำแยกมาให้ ยังใช้วัสดุบานไม้ให้เข้ากับ Concept โครงการอยู่นะ
ออกจากห้องน้ำ เดินต่อขึ้นมาชั้นบนอีกชั้นครับ จะมีประตูเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางส่วนต่อไป ไปกันเลยครับ
เปิดประตูออกมาแทบจะต้องร้องวาวทีเดียว ผู้ออกแบบใช้การออกแบบพื้นที่แบบ Shock Space คือการเปลี่ยนพื้นที่จากพื้นที่แคบไปสู่พื้นที่กว้าง ซึ่งการออกแบบนี้จะสร้าง Space ที่ดู โอ่อ่า และสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับผู้เข้ามาใช้พื้นที่ได้เป็นอย่างดี
พื้นที่บริเวณนี้มีพื้นที่โล่ง สวยงามใหญ่ๆจัดมาให้ ทั้ง Outdoor และ Indoor ซึ่งสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายทีเดียว เข้าไปดูภายในกันเลย
ด้านข้างของทางเข้านี้มีพื้นทีสวนสีเขียว เป็นลานหญ้าเทียมให้สามารถมานอนเล่น เดินเล่น วิ่งเล่น เตะบอลเบาๆ ได้ครับ
ส่วนพื้นที่ภายใน มีทั้งลานริมน้ำพุ และพื้นที่ด้านบนที่ออกแบบมาเล่นระดับเช่นเคย โดยมี amphitheatre แนวยาวมาให้ใช้ ทั้งเดิน ทั้งนั่งเล่น ปูหญ้าเทียมไว้ให้เรียบร้อย พร้อมไฟสนามกระจายอยู่ทั่วเลย
ดูภายนอกกันไปบ้างแล้ว ไปดูตัวอาคารกันบ้างครับ ส่วนแรกคืออาคาร Reading Room เรียกง่ายๆก็ห้องสมุดนั่นเอง ซึ่งบริเวณนี้จะมีความพิเศษตรงที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลย ภายในจะมีหนังสือมาให้อ่านมากมายเลยทีเดียว พร้อมที่นั่ง โต๊ะเป็นชุดๆ เสียดายที่ตอนผมเข้าไปถ่าย หนังสือยังลงไม่เสร็จ ซึ่งปัจจุบันก็เปิดให้ใช้งานได้แล้วนะ ตัวอาคารเข้าออกด้วยระบบ Keycard เช่นเคยครับ
พื้นที่ด้านหลังอาคาร (เลี้ยวขวาในรูปด้านบน) มีพื้นที่ สวนนั่งเล่นภายใน ซึ่งจะ Private ขึ้นมาหน่อยจากส่วนด้านหน้า ภายในมีมุมนั่งเล่นหลายมุมทีเดียว มีพื้นที่สนามหญ้าอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยไฟสนาม เป็นพื้นที่บรรยากาศดีเหมือนกันนะครับ ได้ความเป็นส่วนตัว
ส่วนด้านหน้าอาคารมีพื้นที่นั่งเล่นให้ด้วย ในบางพื้นที่กลางวันอาจจะใช้งานได้ยากหน่อย เพราะรับแดดเต็มๆ บางส่วนก็ได้แนวอาคารช่วยบังแดดนะ กลางคืนน่าจะบรรยากาศดีทีเดียว มีทั้งไฟสนามรอบๆ เห็นสวนและ มีน้ำพุด้านหน้าที่ทำให้ดูไม่นิ่งจนเกินไปและสร้างบรรยากาศให้กับพื้นที่บริเวณนี้ด้วย
อาคารส่วนต่อไปก็เป็นพื้นที่น่าสนใจเช่นกัน กับห้อง Co-Working Space ซึ่งมีจุดเด่นที่เปิด 24 ชั่วโมงเช่นกัน มีช่องแสงภายในเยอะ สำหรับรับแสงธรรมชาติได้หลายจุด เข้าออกด้วยระบบ Keycard เช่นกัน ไปดูภายในกันเลยครับ
ภายในดูดีทีเดียว ได้เป็นพื้นที่ยกเพดานสูงและมีช่องแสงค่อนข้างเยอะ ดูกว้าง และโล่งทีเดียว ตกแต่งด้วยวัสดุสี Earth Tone ให้ความรู้สึกอบอุ่น ภายในจัดเป็นมุมอ่านหนังสือทำงานหลายมุมทีเดียว มี Free-Wifi ให้ด้วยนะ
ภายในนั้นยังมีมุมที่เป็น Meeting Room ให้อีก สามารถปิดฉากกั้นขนาดใหญ่เพื่อแบ่งพื้นที่ Private Room ภายในได้
เดินออกมาเพื่อไปยังส่วนอื่นกันต่อนะครับ ทั้งพื้นที่ที่ผ่านมาและกำลังจะไปดูต่อ โดยรวมแล้วเป็นสไตล์การตกแต่งในรูปแบบ Scandinavian ซึ่งเป็นแนวคิดของโครงการทั้งหมด ให้ความรู้สึกอบอุ่น เน้นธรรมชาติ ตรงนี้ออกแบบใช้กับพื้นที่ได้ค่อนข้างชัดนะครับ
ถัดมาเป็นพื้นที่เตรียมสำหรับขึ้นไปยังจุดต่อไปครับ ก็จะมีพื้นที่นั่ง มุมพักผ่อนมาให้เช่นเคย
มีทางเดินขึ้นเป็นบันไดคอนกรีต พร้อมแนวต้นไม้ปิดบังสายตาไว้ เดี่ยวลองขึ้นไปดูกันว่าจะเป็นยังไงกันบ้าง
เมื่อขึ้นมาจะพบกับอาคารพื้นที่ส่วนกลางด้านหน้านี้ 1 ส่วน พร้อมสวน เล็กน้อย ไม่เคยลืมที่จะหยอดพื้นที่สีเขียวอยู่เสมอ ได้บรรยากาศธรรมชาติดีนะ
ด้านข้างมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมพื้นที่ริมสระทั้งสองข้าง เดี๋ยวจะพาไปดูอีกที ตอนนี้เดินตามทางเดินเข้าไปด้านกันก่อน
เข้ามาด้านในอาคารมีพื้นที่ส่วนแรกเป็น BBQ Terrace ซึ่งจะมีพื้นที่ไว้สำหรับให้มาจัดปาร์ตี้ สังสรรค์กันกับเพื่อนๆ ในบรรยากาศริมสระว่ายน้ำ และสวน พื้นที่บริเวณนี้มีระดับฝ้าที่สูง และเปิดโล่ง 3 ฝั่ง รับลมได้เต็มที่ และยังสามารถกันแดดและฝนได้ดีทีเดียว ภายในมีโต๊ะยาว และพื้นที่เคาน์เตอร์ สำหรับเตรียมอาหาร ล้างจาน และเตาไฟฟ้า ซึ่งบริเวณนี้ก็สามารถ Booking ผ่าน The Living Application ได้ เพื่อที่จะสามารถมาใช้งานได้ ไม่ชนกันกับลูกบ้านท่านอื่นๆ
อีกฝั่งเป็นพื้นที่ภายในอาคาร เรียกได้ว่าทำเป็นลักษณะเรือนกระจก หลายๆท่านคงพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นอะไร… ใช่ครับ Hydroponic Farm เข้าไปดูภายในกันเลย
พื้นที่บริเวณนี้เรียกง่ายๆว่าเป็นเรือนเพาะชำนั่นเอง จัดพื้นที่ไว้ให้ลูกบ้านสามารถนำผักมาปลูกเองได้ โดยจะต้องลงมารดน้ำและดูแลเอง ซึ่งทางโครงการก็จะเตรียมพื้นที่และอุปกรณ์เบื้องต้นไว้ให้นะ
พื้นที่ด้านข้างมี Sunbeds วางบนสนามหญ้าริมสระว่ายน้ำ เรียงให้หลายตัวทีเดียว พร้อมร่มที่สามารถเลือกเปิดและปิดได้ โดยไม่ไปรบกวนพื้นที่อื่นๆ เดินต่อไปดูอีกอาคารข้างๆกันเลยครับ
อาคาร Fitness เป็นอาคารสีดำ กระจกเขียวตัดแสง พร้อมทางเดินด้านหน้า ช่องแสงเยอะทีเดียว
เข้าออกด้วย Keycard เหมือนกับอาคารอื่นๆ ครับ แต่ที่ไม่เหมือนกับทุกๆอาคาร คือส่วน Fitness นี้เปิด 24 ชั่วโมงนะ เข้าไปดูภายในกันเลย
เป็น Fitness ที่มีความกว้างพอสมควรเลย ยกเพดานสูง เปิดช่องแสงเยอะ ทำให้ดูโล่ง ภายในมีเครื่องออกกำลังกายให้ใช้งานหลายส่วน ทั้ง Cardio และ Body Weight ซึ่งจะได้รับวิวหลักๆเป็นวิวสระว่ายน้ำด้านหน้าครับ มีม่านให้เลื่อนปิดได้ในการณีที่แดดสาดเข้ามาแรงเกินไป
เมื่อเดินออกมาด้านนอกจะพบสระว่ายน้ำ และอาคารอีก 1 อาคาร เป็นอาคาร Lounge สำหรับรับรอง นั่งคอย นัดพบ และภายในมีห้องน้ำแยกชายหญิงด้วย ซึ่งจะอยู่ติดกับส่วนลิฟต์ของพื้นที่จอดรถ ขึ้นลงง่าย เข้าถึงสะดวก เรียกได้ว่าเป็น Lobby ของพื้นที่ส่วนกลางในส่วนนี้นั่นเอง
สระว่ายน้ำขนาด 50 x 10 เมตร ลึก 1.2 เมตร นี่มันไซส์ Olympic ชัดๆ ออกกำลังกายสะใจกันไปเลย ส่วนตัวที่ผมชอบคือพื้นที่ริมสระ มีจัดเป็นพื้นที่น่าสนใจกระจายอยู่รอบๆเลยครับ ทำให้ถึงสระจะเป็นฟอร์ม สี่เหลี่ยมปกติ แต่ดูไม่เบื่อ และไม่แข็งทื่อจนเกินไป
ด้านข้างสระมีทางลง และพื้นที่สระตื้นเป็น Jacuzzi Pool Terrace อยู่ด้านข้างครับ
ด้านข้างสระมีพื้นที่ล้างตัวครับ ซึ่งจะหลบมุมเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่เขิลมาก ตกแต่งด้วยวัสดุผิวธรรมชาติลายไม้ เข้ากับบริบทโดยรอบครับ
พื้นที่ข้างสระมีเตียงสำหรับนอนเล่น นั่งเล่นริมสระน้ำ มีโครงเหล็กที่ทำเป็นฟอร์มที่เข้ากับดีไซน์ส่วนอื่นๆของพื้นที่ส่วนกลาง เข้ากันได้ดี
ส่วนด้านข้างสระระหว่าง Fitness และ Lounge มีสนาม Street Basketball อยู่ครับ เป็นพื้นที่ที่มีกรงเหล็กปิดล้อม เพื่อแบ่งส่วนพื้นที่ให้ชัดเจน ลูกบาสไม่กระเด็นหลุดออกมาภายนอก ที่ชอบคือลูกกรงเหล็กดัดก็มีลวดลายเป็นเลขาคณิตที่ดูเข้ากับฟอร์มอาคารต่างๆ ตามแนวคิดการออกแบบโครงการนะ ไม่โดดจากกันมากนัก ดูแล้วรู้ว่าเป็นพื้นที่เดียวกัน
ภายในมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างเลยครับ เหมือนครึ่งหนึ่งของสนามบาส สำหรับเล่นสไตล์ Street Basketball ซึ่งจะเล่นกันแป้นเดียว รอบด้านมีไฟสปอร์ทไลท์ให้สำหรับเล่นในช่วงกลางคืน รวมถึงพื้นที่นั่งพักรอบข้างครับ
ส่วนต่อไปคืออาคาร Lounge ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าเป็นเหมือน Lobby ของพื้นที่บริเวณนี้ ด้านหน้ามีทางเข้าที่เป็นเหมือนหน้าต่างเปิดได้หลายบาน เป็นประตูกระจกยาวถึงพื้น มักจะเห็นการใช้ประตูแบบในงานสถาปัตยกรรมสไตล์ Tropical เพราะจะสามารถเปิดถ่ายเทอากาศได้เยอะ และก็สามารถปิดได้ในกรณีที่ฝนตก ในส่วนนี้เนื่องจากพื้นที่ภายในไม่ได้เยอะมากนัก เพราะมีห้องน้ำแยกชายหญิงอยู่ด้วย จึงทำประตูลักษณะนี้เพื่อให้พื้นที่ภายในดูโล่งมากยิ่งขึ้น ไม่แคบจนเกินไปครับ
มีทางเข้าออกด้านข้างด้วย เป็นประตูบานเปิดแบบชัดเจน เหมือนเป็นทางเข้าออกหลักนั่นเอง ซึ่งบริเวณนี้จะตรงไปเข้าห้องน้ำด้านข้างได้เลย
พื้นที่ภายในมีลักษณะเป็นตอนยาว เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าต้องมีห้องน้ำแยกชายหญิงอยู่ด้านหลังนี้ด้วย จึงเหลือพื้นที่ไม่มากนัก แต่การจัดเฟอร์นิเจอร์ตอนยาวลักษณะนี้ นอกจากจะสามารถนั่งได้เยอะกับพื้นที่แบบนี้แล้ว ยังทำให้หันหน้าเข้าสระว่ายน้ำ ได้วิวไปเต็มๆ
ภายในมีห้องน้ำแยกชายหญิงให้ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่สามารถใช้ได้หลายๆคนพร้อมกันนะ ประกอบไปด้วยอ่างล้างหน้า 2 อ่าง พร้อมกระจกติดผนัง มีช่องแสงให้ด้วยนะ
ตู้ล็อคเกอร์ที่เข้ามุมพิเศษ มีขอบกั้นแบ่งความเป็นส่วนตัวได้ในระดับนึง
สำหรับห้องน้ำชายจะมีโถปัสสาวะให้ 2 โถ และด้านในเป็นพื้นที่อาบน้ำ
โถสุขภัณฑ์อยู่ตรงข้ามโถปัสสาวะส่วนด้านในจะมีห้อง Stream Sauna กับ พื้นที่อาบน้ำ ที่ให้มา Hand Shower และ Rain Shower ครับ
ออกมาด้านข้างมีประตูที่เป็นส่วนเชื่อมต่อกับโถงลิฟต์ของอาคารจอดรถ พูดง่ายๆ ก็คือจุดเข้าออกหลักของบริเวณนี้ จะขึ้นมาจากอาคารจอดรถอาคารหลัง ขึ้นมาได้เลย ไม่อย่างงั้นก็ต้องมาตามทางเดินที่ผมพาเดินมาครับ
ตัวอาคารเปิดช่องแสงเยอะทีเดียว เกือบจะทั้งหมดเลย เพื่อรับแสงภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร ถ้าสังเกตดีๆ จุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทางโครงการค่อนข้างเน้นนะ จากที่เราเดินขึ้นมาตั้งแต่อาคารแรกจนถึงบริเวณนี้ ทางโครงการเน้นรับแสงแดด และลมจากภายนอก เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้สูงที่สุด และยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย
ภายในมีลิฟต์ 2 ตัวครับ สำหรับขึ้นลง 5 ชั้น ของอาคารจอดรถ ซึ่งจะไปเชื่อมกับอีกอาคารที่ชั้น 1 นะ
เดินดูพื้นที่ส่วนกลางกันจนเหนื่อยแล้ว ทีนี้ไปดูส่วนพื้นที่พักอาศัยกันบ้าง ลืมบอกไปว่าที่นี่ได้รางวัลออกแบบดีเด่น จาก Asia Pacific ด้วยนะ โดยผู้ออกแบบโครงการนี้คือ I Will Design บริษัทสถาปนิกที่ออกแบบบ้านและที่พักอาศัยมาหลายที่เหมือนกันนะ นอกจากนั้นเขายังเป็นขาประจำในการคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆด้วย
มาเริ่มกันตั้งแต่ข้างหน้าเลย คือส่วนของทางเข้าออก ซึ่งจะมีอาคารพักอาศัยอาคารแรกตั้งอยู่ นั่นก็คืออาคาร A เป็นอาคารเดียวที่มี Drop Off หน้าอาคาร ซึ่งจุดเด่นของอาคารนี้ก็คือจะเข้าออกง่าย ใช้งานพื้นที่ร้านค้าได้สะดวก เพราะใกล้ แต่ก็ต้องแลกกับความวุ่นวายที่มีคนผ่านไปมา และเสียงจากทางเข้าออกโครงการครับ
ทางขึ้นอาคารดูแกรนด์ดีนะ เป็นหน้ารับตรงๆ เสียดายที่ไม่มีส่วนหลังคายื่นออกมารับเท่าไรนัก ถ้าฝนตกอาจจะใช้งานยากสักหน่อย แนะนำให้พกร่มกันด้วยนะครับ
เดินเข้าไปดูภายในกันต่อนะ ด้านข้างของรั้วกั้นไม้กระดกมีทางเดินเท้าสำหรับเข้าไปภายในโครงการเดินเข้าไปดูกันเลยครับ
เดินขึ้นมาก็มีทางเดินเท้าด้านข้าง และทางลาดสำหรับให้รถขึ้นไปได้ แต่เขาปิดไว้ ไม่ให้รถเข้าในทางนี้นะ เพราะต้องการจะกันพื้นที่ส่วนกลางด้านในให้เป็นพื้นที่สำหรับเดินออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน ไม่มีรถเข้าไปรบกวนภายใน
เดินเข้ามาจะเห็นพื้นที่ส่วนกลางในส่วนที่เราเดินเข้ามาดูกันไปแล้วรอบนึงนะ มีทางขึ้น 2 จุด ที่ด้านซ้าย และด้านขวาภายในรูป จะมีพี่ๆ รปภ. คอยดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นจุดๆ เรียกได้ว่าปลอดภัยมากๆ
หันหลังมาจะพบกับอาคารพักอาศัยถัดมาคือ อาคาร B ที่ด้านหน้ามีทางเข้า และที่จอดจักรยานด้านข้าง ซึ่งจะมีให้ลูกบ้านใช้อาคารละ 5 คัน สำหรับอาคารนี้จะมีหลังคายื่นออกมารับ และตัวประตูทางเข้าก็ร่นเข้าไปด้านใน ข้อดีของอาคารนี้คือ เข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางได้ง่าย และก็ถือว่ายังอยู่ต้นๆของทางเข้าออก เข้าออกง่าย แต่ถึงจะไม่มีรถเข้ามา ก็ต้องมีคนเดินผ่านไปมาบริเวณนี้เยอะอยู่นะ อาจจะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง
เดินต่อมาจะเจอพื้นที่สวนเช่นเดิม ทุกๆอาคารจะมีพื้นที่หน้าอาคารที่จัดไว้ให้สำหรับนั่งเล่น พักผ่อน ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามพื้นที่ และก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันนะ อย่างเช่นอาคาร C จะมีสวนดอกไม้ และทางขึ้นไปยังพื้นที่ส่วนกลางอยู่บริเวณนี้ด้วย ซึ่งผมชอบนะสำหรับตัวอาคารนี้ ใช้ส่วนกลางง่าย และก็เริ่มมีตำแหน่งเข้ามาภายใน ซึ่งจะมีคนเดินผ่านน้อยลงกว่า 2 อาคารแรก
ที่เราจะเห็นเรื่อยๆกระจายอยู่ตามทางเดินคือตัวที่จอดจักรยาน และเสาที่ติดกล้อง CCTV แสดงให้เห็นถึง 2 สิ่งที่โครงการต้องการจะเน้น อย่างแรกก็คือสนับสนุนให้ใช้จักรยาน ออกกำลังกาย จากพื้นที่ภายในโครงการ ส่วนอีกจุดคือความปลอดภัย ซึ่งอย่างที่ผมบอกก่อนหน้านี้ว่าแต่ละจุดจะมีพี่รปภ.กระจายอยู่ นอกจากนั้นก็มีเสาไฟ CCTV ช่วยสอดส่องดูแลความปลอดภัยด้วย และอีกอย่างที่ผมชอบคือไฟส่องสว่างภายในโครงการจะใช้เป็นไฟ LED ทุกดวง เพื่อช่วยประหยัดพลังงานครับ
เดินต่อเข้าไปนะ มีพื้นที่นั่งเล่นกระจัดกระจายอยู่ เป็นพื้นที่นั่งเล่นกลางแจ้งที่ให้ร่มมาด้วย อารมณ์คล้ายร้านกาแฟ ได้บรรยากาศพักผ่อนท่ามกลางสวนและต้นไม้มากมาย
หันกลับมาจะมีอาคาร C ซึ่งบรรยากาศทางเข้าก็จะขนาบข้างด้วยพุ่มไม้ ซ้ายและขวา ให้ความร่มรื่น ทางเข้าร่นเข้าไปภายในตัวอาคาร จะมีส่วนหลังคากันแดดและฝนให้ก่อนนะ ส่วนที่จอดจักรยานจะอยู่ด้านข้างครับ
ตรงต่อไปที่อาคาร D จะมีพื้นที่นั่งเล่นด้านข้าง ภายในอาคาร ที่รับวิวภายนอกส่วนนี้ เดินไปดูข้างหน้ากัน
บรรยากาศหน้าอาคาร จะมีพื้นที่โล่งและสวนพร้อมที่นั่งมาให้อีกเช่นเคย ซึ่งจะเห็นอาคาร E ถัดไปด้วย ที่ผมชอบคือพื้นเป็นคอนกรีตพิมพ์ลายทั้งหมดเลย ถือว่าใช้ต้นทุนสูงเหมือนกันนะ แต่เขาก็จัดมาให้ ทำให้บรรยากาศภาพรวมดูดีทีเดียว
หน้าอาคาร D มีพื้นที่จอดจักรยานด้านข้างเช่นเคย ตัวอาคารร่นเข้าไปภายใน ทำให้ได้พื้นที่ร่มด้านหน้า ข้อดีของอาคารนี้คืออยู่กึ่งกลางพื้นที่โครงการ จะเข้าออกก็ไม่ไกลเกินไป มีพื้นที่หน้าอาคารกว้าง
เดินต่อเข้าไปภายในกันต่อ จะมีอาคาร E ทางซ้ายมือ และฝั่งขวามือที่เป็นอาคารจอดรถ ด้านล่างมีห้องด้วยนะ
ฝั่งตรงข้ามที่เป็นอาคาร ปัจจุบันเป็น Customer Service ครับ ซึ่งในอนาคตจะเปลี่ยนเป็น Shop นะ แต่ยังไม่รู้ว่าบริเวณนี้จะเป็น Shop อะไร ต้องรอติดตามกันอีกทีนะครับ
อาคาร E มีสวนด้านหน้าโครงการให้เล็กน้อย เดินออกมาก็เจอพื้นที่สีเขียวเลย พร้อมที่จอดจักรยานด้านข้างเช่นเคย ข้อดีของอาคารนี้คือได้ความเป็นส่วนตัว เพราะเริ่มมีตำแหน่งอยู่ด้านในโครงการ ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก ใกล้ Shop ใช้งานง่าย
ถัดเข้ามาจะเจออาคาร F มีลักษณะคล้ายๆกันกับอาคารอื่นๆ แต่ละอาคารจะแตกต่างกันนิดหน่อยครับ ส่วนตัวผมชอบนะ ดูไม่เหมือนกัน ไม่ซ้ำ ให้ความรู้สึกไม่น่าเบื่อ ข้อดีของอาคารนี้คือ อยู่กลางโครงการ ค่อนมาทางด้านหลัง ได้ความเป็นส่วนตัวในระดับนึง ซึ่งจุดเด่นจริงๆคือจะมี Shop อยู่ตรงข้ามอาคาร เข้าใช้งานง่ายครับ แต่ก็เริ่มจะเดินเข้าออกโครงการไกลเหมือนกันนะ
นี่คืออาคารจอดรถที่ว่า มีทางให้รถเข้าออก คือเป็นจุดเชื่อมต่อกันของการเดินรถรอบแนวโครงการ ซึ่งจะไม่วนเข้าไปกลางโครงการนะ ภายในมีโถงลิฟต์อยู่ไม่ไกลครับ ซึ่งจะขึ้นไปที่ชั้นสระว่ายน้ำ
หลังจากเดินเข้ามาข้างในก็จะมีอาคาร G ครับ ซึ่งจะอยู่เกือบสุดท้ายแล้ว อาคารนี้ก็ใช้พื้นที่ส่วนกลางไม่ยาก เพราะตั้งอยู่ตรงข้ามกับอาคารจอดรถ ซึ่งจะมีตำแหน่งโถงลิฟต์อยู่บริเวณนี้พอดี ได้ทั้งความเป็นส่วนตัว เพราะอยู่ท้ายโครงการ และใช้งานพื้นที่ส่วนกลางก็ง่าย แต่มีระยะห่างจากหน้าโครงการไกลหน่อยนะ นอกจากนั้นคือมีวงเวียนที่เป็นจุดเชื่อมต่อกันของรถที่วนซ้ายเข้ามาทางข้างโครงการ กับอาคารจอดรถ จึงทำให้มี Drop Off หน้าอาคาร แต่ก็ต้องคอยระวังรถ และได้รับผลกระทบเรื่องเสียงรถยนต์ขับไปมาเล็กน้อย
เดินต่อเข้าไปภายในจะเป็นอาคารสุดท้าย มีพื้นที่โล่งด้านหน้า ทำไว้สำหรับเป็นพื้นที่จอดรถ และทางเดินรถเพื่อไปเชื่อมกับอาคารจอดรถที่วงเวียนหน้าตึก G เมื่อสักครู่ ซึ่งจะเป็นอีกอาคารที่จะมีรถผ่านหน้าอาคาร ข้อดีคือก็มีจุด Drop Off ที่ตัวอาคาร แต่ข้อเสียคือต้องมีเสียงรถผ่าน และอาจจะต้องคอยระวังรถที่ผ่านไปมาด้วย นอกจากนั้นอาคารนี้จะได้เรื่องความเป็นส่วนตัวมากที่สุด เพราะอยู่ด้านใน ไม่มีลูกบ้านของอาคารอื่นๆ เดินผ่านไปมา ตำแหน่งพื้นที่ส่วนกลางก็เข้าถึงไม่ยาก (ที่วงเวียนหน้าตึก G) แต่จะเดินเข้าออกจากหน้าโครงการก็ถือว่าค่อนข้างไกลครับ
ภายในอาคาร H เป็นอาคารที่มีความพิเศษกว่าเพื่อนๆนิดหน่อยครับ เพราะที่ด้านบนชั้นดาดฟ้าจะมี Sky Lounge ให้ด้วย และพื้นที่ Terrace ด้านหลัง เดี๋ยวเราจะได้เห็นกันในแปลนนะ
ฝั่งตรงข้ามอาคารมีพื้นที่จอดรถให้ด้วยครับ ก็สะดวกดีสำหรับลูกบ้านอาคารนี้ แต่มีให้ไม่เยอะครับ
ย้อนกลับมาดูกันทีหน้าอาคาร D นะ เราขึ้นไปดูภายในอาคารกันครับ
พื้นที่ด้านหน้าเป็น Lobby 2 ชั้น ซึ่งจะมีส่วนของพื้นที่ที่ให้ Visitor เข้ามานั่งเล่นได้ก่อน จากนั้นค่อยเข้าผ่านประตูด้วยระบบ Keycard เข้าไปภายในอีกที
เข้ามาจะมีทางเดินที่เปิดรับวิวทั้งซ้ายและขวา ได้แสงธรรมชาติเต็มๆครับ
จะพบกับโถงลิฟต์อยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งภายในมีช่องแสงขนาดใหญ่ ให้ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว และมี TV ที่ติดตั้งไว้ให้สำหรับบอกข่าวสารต่างๆแก่ลูกบ้านด้วยครับ
ส่วนฝั่งขวามือคือ Eco Lobby อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะมีเฉพาะลูกบ้านเท่านั้นที่สามารถเข้ามาใช้งานได้ พื้นที่ค่อนข้างกว้าง และรับแสงธรรมชาติึถึง 2 ฝั่งเลยทีเดียว
เดินต่อเข้าไปด้านในจะมีห้อง Mail Box แยกชัดเจน แบ่งสัดส่วนได้ดี ไม่รบกวนกัน ซึ่งจะมีช่องแสงให้เช่นเคยครับ
เดินเลยเข้าไปด้านใน ที่สุดทางเดินมีช่องแสงให้ด้วยครับ นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำแยกชายหญิงให้บริการด้วยนะ
ภายในขนาดไม่ใหญ่มาก สำหรับใช้พร้อมกันได้ 2-3 คน ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วนะที่จัดมาให้ พร้อมทั้งแยกชายหญิงด้วย ขนาดเหมาะสมครับ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่เกินไป
ขึ้นลิฟต์กันมาด้านบนบ้าง เพื่อที่จะไปชมห้องตัวอย่างกัน ที่โถงลิฟต์ด้านบนก็จะมีช่องแสงขนาดใหญ่ให้ ตกแต่งด้วยฝ้าซ่อนไฟ และพื้นปูกระเบื้องเซรามิค ดูสว่าง สบายตา
ตามโถงทางเดินแต่ละฝั่งก็มีช่องแสงให้ตลอด ซึ่งจะช่วยประหยัดไฟในช่วงเวลากลางวันได้ดีทีเดียว ส่วนนี้จะไปมีผลกับเรื่องค่าส่วนกลางนะ ซึ่งทางโครงการก็พยายามช่วยเราประหยัดไฟได้ดีทีเดียวครับ
มาต่อกันที่แปลนอาคาร แต่ละอาคารการวางผังจะไม่ต่างกันมากนัก เลยซุ่มมาให้ดูกันสัก 3-4 อาคารนะครับ เริ่มที่อาคาร C กันก่อน สำหรับชั้นล่าง จะมีส่วนของ Lobby และ Co-Working Space ให้ที่ส่วนด้านหน้า ซึ่งจะต้องเข้าออกด้วยระบบ Keycard Access ผ่านเข้าไปด้านในจะมีพื้นที่โถงลิฟต์ พร้อมลิฟต์โดยสาร 2 ตัว และด้านในมี Service Lift อีก 1 ตัว อัตราส่วนลิฟต์โดยประมาณของอาคารนี้เท่ากับ 112.5 : 1 มีพื้นที่ Mail Box แยก ห้องซักรีด พร้อมห้องน้ำแยกชายหญิงให้ ส่วนด้านในทั้งหมดจะเป็นส่วน Back of House จัดการต่างๆ และนิติบุคคล พร้อมทางสำหรับ service ด้านหลัง
ขึ้นมาที่ชั้น 2-26 จะเป็นห้องพักอาศัยทั้งหมด มีจำนวน 9 ยูนิต ต่อชั้นเท่านั้น ทั้งๆที่ยูนิตรวมทั้งโครงการเยอะ แต่ได้ยูนิตต่อชั้นน้อย ได้ความเป็นส่วนตัวสูง เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการนี้เลยครับ อีกจุดเด่นหนึ่งคือการออกแบบตำแหน่งห้องพักอาศัย ซึ่งตัวโครงการมีหลายอาคาร แต่จะคำนึงถึงเรื่องมุมมองเป็นพิเศษ โดยพยายามจะให้ห้องพักอาศัยไม่หันไปชนกัน ซึ่งก็ถือว่าออกแบบมาได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะห้อง Type A1 – 22.57 ตร.ม. ที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกที่หลบมุมอยู่ด้านในแต่อาจจะเดินไกลมาใช้ลิฟต์ไกลหน่อย ส่วนห้องอื่นๆคือ 1 ห้องนอน Type B7 – B3 29 ตร.ม.วางอยู่ทางด้านทิศเหนือ ก็จะได้วิวโล่ง เพราะแนวอาคารอยู่เลื่อมๆกัน ไม่บังกันโดยตรง ฝั่งตรงข้ามเป็นห้อง Type B4 30 ตร.ม.ห้อง Type นี้จะเป็นห้องมุม สังเกตว่าจะไม่มีการวางห้องพักทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศที่ได้รับแดดร้อน
สำหรับอาคาร E จะมี 22 ชั้น ซึ่งจะมีความคล้ายกับอาคาร D ที่ผมถ่ายให้ดูไปเมื่อสักครู่นะ ที่ชั้น 1 จะเป็น Lobby ส่วนหน้าเลยเข้ามาจะเป็นโถงทางเดินที่รับแสงสองฝั่ง ทางโครงการจะปลูกเป็นต้นไม้ไว้ให้ ซึ่งจะได้บรรยากาศที่สวยงามทีเดียวเลยเข้ามาจะเป็นพื้นที่ ECO Lobby แบบที่พาไปชมกันเลยครับ ฝั่งตรงข้ามเป็นโถงลิฟต์ ด้านในมี Mail Box และ ห้องน้ำให้ ส่วนด้านขวาบนของแปลน หรือฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะเป็นส่วน Back Of House ครับ พร้อมบันไดสำหรับ service ที่หลังอาคาร สะดวกและไม่รบกวนพื้นที่ลูกบ้าน
ส่วนด้านบนจะมีลักษณะคล้ายกับอาคาร C แต่จะมี 11 ยูนิต/ชั้น และเพิ่มห้องแบบ 2 Bedroom ขึ้นมาที่มุมอาคาร นอกนั้นเป็นห้อง Studio และห้อง 1 Bedroom ครับ สำหรับโถงลิฟต์และโถงทางเดิน ก็ยังเน้นแสงธรรมชาติเช่นเดิม มีที่มุมโถงทางเดินทั้ง 2 ฝั่ง และโถงลิฟต์ด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องมุมมองอาคารก็ยังออกแบบมาแบบน่าชื่นชมอีกเช่นเคย เพราะแต่ละด้านจะพยามเลี่ยงการมองเห็นของอาคารข้างเคียง ซึ่งก็ใช้แนวการวางอาคาร ที่มีส่วนเหลื่อมกันให้เป็นประโยชน์ ฝั่งที่ชนกันก็เลือกที่จะเปิดช่องเปิดไปทางอื่นแทน ทำได้ดีครับ
ผังอาคาร G จะคล้ายกันกับ อาคาร C ครับ
ส่วนอาคาร H ที่อยู่ด้านหลังสุด มีทั้งหมด 24 ชั้น จะแตกต่างจากอาคารอื่นๆ เล็กน้อย ที่ชั้น 1 จะมีแค่ Lobby ถัดเข้ามาเป็นโถงลิฟต์ ด้านในเป็นห้องน้ำ ห้องจดหมาย ห้องนิติบุคคล และงานระบบต่างๆ พร้อมพื้นที่ Service ด้านหลัง
มาที่ชั้นด้านบน มี 11 ยูนิต / ชั้น โถงลิฟต์จะมีตำแหน่งอยู่ตรงกลางอาคารเช่นเดิม เข้าถึงง่ายจากทุกห้อง ส่วนโถงทางเดินจะมีช่องแสง 2 ฝั่งเช่นเดิม แต่แบบหันตรงจะมีแค่ฝั่งเดียว ซึ่งจะทำให้โถงทางเดินมืดกว่าของอาคารอื่นๆหน่อยนะ ห้องพักอาศัยจะมีห้องพักขนาด 36.53 ตร.ม. เป็นห้องมุมข้างๆกับห้องขนาด 29.27 ตร.ม. ส่วนที่ชั้น 24 จะพิเศษกว่าเพื่อนหน่อย ตรงที่มี Sky Lounge ให้ รับวิวโล่งทางฝั่งด้านหลังโครงการครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- LOBBY
- MAILBOX
- SWIMMING POOL & JACUZZI POOL TERRACE 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 10 x 50 เมตร
- FITNESS
- BIKE CLUB
- HYDROPONIC FARM & BBQ
- CO-WORKING SPACE
- HOME TEATHER
- READING ROOM
- STREET BASKETBALL
- JOGGING TRACK
- สวนหย่อมรอบโครงการ
- ลิฟต์โดยสาร อาคารละ 2 ตัว
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 119 : 1
- Service Lift อาคารละ 1 ตัว
- ที่จอดรถประมาณ 700 คัน คิดเป็น 37% รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 40%
- Shutter bus โครงการ – MRT ห้วยขวาง
- 24 HOUR SECURITY
- ระบบ CCTV / Access Card
ห้อง Studio Type A1 22.57 ตร.ม. เป็นห้องที่มีขนาดเล็กที่สุดในโครงการ เป็นรูปแบบห้องที่มีจำนวนเยอะที่สุดในโครงการ (ในแต่ละอาคารมีจำนวนห้องไม่เท่ากัน) ห้องเป็นรูปทรง 4 เหลี่ยมผืนผ้า รับช่องแสงฝั่งเดียว ขนาดกระทัดรัด เหมาะแก่การอยู่ 1-2 คน แบ่งพื้นที่ภายในออกเป็น 5 ส่วน Pantry ห้องน้ำ พื้นที่พักผ่อน พื้นที่นั่งเล่น ระเบียงซักล้าง
เข้าห้องมาจะเจอกับส่วน Pantry ครัวก่อนเลย ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์ครัวมีพื้นที่สำหรับวางตู้เย็น และชั้นวางรองเท้า ซึ่งถือว่าดีนะ ห้องขนาดไม่ใหญ่แต่มีพื้นที่วางรองเท้ามาให้ด้วย ถัดเข้าไปเป็นตู้เสื้อผ้าวางอยู่ตรงข้ามทางเข้าห้องน้ำ พออาบน้ำเสร็จก็ออกมาแต่งตัวได้สะดวก ไม่ต้องเดินไปไหนไกล ห้องน้ำมีแยกพื้นที่ส่วนแห้งและส่วนเปียกชัดเจน ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็สำหรับใช้งานหนึ่งคนได้พอดีๆ การมีห้องน้ำภายในห้อง อาจจะระบายอากาศยากสักหน่อย ต้องเปิดประตูและใช้พัดลมระบายอากาศช่วยนะครับ ถัดเข้ามาด้านในเป็นส่วนพักผ่อน วางเตียง 5 ฟุตแล้วเดินรอบได้ มีพื้นที่วางโต๊ะหัวเตียง ข้างๆเตียงมีทางออกไประเบียงซักล้าง ขนาดไม่ใหญ่นักใช้วาง Condensing Unit แล้วก็เหลือพื้นที่เล็กน้อยให้ออกไปยืนสูดอากาศได้ ด้านในสุดของภายในห้องมีพื้นที่ที่เว้าออกไปสามารถวางชุดโซฟาแบบ 2 ที่นั่งได้ เป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่นรับแสงธรรมชาติ พร้อมหน้าต่างเปิดระบายอากาศได้ครับ
ห้อง Studio ที่มีทั้งหมดในโครงการจะแบ่งออกเป็น 4 Type ซึ่งแต่ละ Type จะแตกต่างกันตรงตำแหน่งเสาของโครงสร้างอาคารเล็กน้อย นอกนั้นการจัดพื้นที่ใช้สอยต่างๆส่วนใหญ่จะเหมือนกันครับ ถ้าไม่อยากให้เกิดเป็นพื้นที่ waste space แนะนำห้ Built in ในส่วนนั้นเพื่อให้สามารถใช้งาน หรือวางเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากับพื้นที่ได้คุ้มค่าที่สุดครับ
ประตูห้องเป็นไม้สังเคราะห์ พร้อมก้านโยกสแตนเลสครับ สามารถติดตั้ง Digital Door Lock เองได้นะ
เข้ามาภายในห้อง ทางโครงการจัดมาให้แบบ Fully Furnished ที่ได้เฟอร์นิเจอร์หน้าตาแบบในห้องตัวอย่างเลยครับ พื้นภายในห้องเป็นพื้นไม้ลามิเนต ระยะพื้นถึงฝ้า 2.7 เมตร ซึ่งช่วยทำให้ห้องดูโล่ง และกว้างมากขึ้น ผนังและฝ้าฉาบเรียบทาสีพร้อมบัวเชิงผนัง ไฟภายในห้องได้เป็นโคมซาลาเปาครับ
ส่วนแรกจะพบกับส่วนของ Pantry ครัวก่อนครับ ขนาดกระทัดรัด ไม่เน้นทำอาหารจริงจัง ซึ่งจะไม่ได้ให้ Hob & Hood มาด้วยนะ
ที่พื้นมี Stopper ให้ด้วย สำหรับประตูหน้าห้อง เวลาเปิดจะได้ไม่กระแทกกับ Pantry ครัว
Pantry ครัวขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านบนเป็นตู้เก็บของ เปิดได้ทั้งสองฝั่ง ตรงกลางมีพื้นที่ทำครัว และอ่างล้างจาน ส่วนด้านล่างมีตู้เก็บของใต้อ่าง และช่องสำหรับใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าครับ
ชุดครัวจะได้ตามนี้เลยครับ เคาน์เตอร์ยาว 1.30 เมตร Top เป็นหินเทียมสีขาว อ่างล้างจานเป็นแบบหลุมเดียว มีพื้นที่พักจานอยู่ด้านข้าง แต่ไม่ได้ให้เครื่องดูดควันและเตาไฟฟ้ามานะ ซึ่งเราสามารถหาซื้อเตาไฟฟ้าแบบลอยตัวมาใช้เพิ่มได้ พอไม่ใช้ก็ยกเอาไปเก็บเป็นการประหยัดพื้นที่ไปในตัว พื้นที่หลังครัว (Backsplash) ไม่ได้ติดมาให้นะครับ ถ้าใครที่ทำอาหารบ่อย ก็แนะนำให้ติดเป็นวัสดุผิวมัน จะง่ายต่อการทำความสะอาดนะ ส่วนด้านล่างมีช่องให้ใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและพื้นที่เก็บของใต้อ่างล้างจาน
ส่วนตู้ด้านบนมีทำชั้นลงมาวางพวกขวดซอส วัตถุดิบ และอุปกรณ์ทำครัวต่างๆได้
ส่วนฝั่งตรงข้ามกับ Pantry ครัว เป็นตู้ใส่ของที่ด้านบน และตู้ใส่รองเท้าที่ด้านล่าง ที่สามารถวางไมโครเวฟได้ มีปลั๊กไฟทิ้งไว้ให้เรียบร้อย พวกตู้ต่างๆมีหน้าบานเป็นลามิเนตทั้งหมดครับ
สำหรับใต้ชั้นเก็บของด้านบนจะมีไฟ LED ซ่อนอยู่ด้านล่างด้วย มีปุ่มเปิดปิดมาให้เรียบร้อย ส่วนด้านล่างภายในตู้เก็บรองเท้าก็มีช่องระบายอากาศ เพื่อไม่ให้รองเท้าอับชื้นครับ
ถัดมาจะมีตู้เสื้อผ้ามาให้ครับ ยาว 1.25 เมตร เป็นแบบบานเปิดคู่ หน้าบานเป็นกระจกขุ่น เปิดออกมาเก็บของได้ ทางด้านขวาจะได้ลิ้นชักเอาไว้สำหรับพับเสื้อผ้าเก็บ หรือแยกประเภทเครื่องแต่งกายได้ ส่วนชั้นด้านบนสามารถเก็บของใหญ่ๆเช่นกระเป๋าเดินทางหรือของที่เราไม่ค่อยใช้
หน้าบานมีที่จัดถนัดมือ ไม่ต้องกลัวไปเกี่ยวเวลาเดินผ่านนะ
บริเวณนี้จะได้ไฟโคมซาลาเปามาให้ 1 ดวงครับ
เข้ามาดูภายในห้องกันต่อครับ จะมีห้องน้ำฝั่งซ้ายมือในรูป และตรงเข้าไปภายในก็จะเป็นพื้นที่พักผ่อน แวะไปดูห้องน้ำกันก่อนนะ
ประตูห้องน้ำเป็นประตูไม้สังเคราะห์เช่นกัน ต้องระวังเรื่องความชื้นด้วยนะ
ในห้องน้ำเข้ามาจะเจอกับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ พื้นที่อาบน้ำจะอยู่ด้านใน พื้นเป็นกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 cm. ส่วนผนังเป็นกระเบื้องเซรามิคขนาด 20 x 30 cm.
ทางเข้าห้องน้ำมีธรณีก่อยกสูงขึ้นมาประมาณ 2 cm. เพื่อกันน้ำไหลออกนอกห้องเวลาใช้งานและซักล้างทำความสะอาด พื้นที่ภายในถือว่าขนาดกำลังพอดี นั่งใช้งานโถสุขภัณฑ์แล้วไม่ชิดผนังจนเกินไป
อ่างล้างหน้าเป็นมีเคาน์เตอร์ให้มาด้วยด้านล่าง มาพร้อมกระจกเงาวงกลมติดผนัง
อ่างล้างหน้าเป็นของ TOTO Top เคาน์เตอร์เป็นหินแกรนิตสีดำ วางของรอบๆได้เยอะทีเดียว
ด้านล่างมีตู้เปิดออกมาเก็บของใช้เล็กๆน้อยๆได้ ยกสูงจากพื้นป้องกันความชื้นและง่ายแก่การทำความสะอาด
โถสุขภัณฑ์ของ COTTO ติดตั้งที่แขวนทิชชู่ และสายชำระอยู่ด้านข้างในระยะที่เอื้อมหยิบได้สะดวก
สายชำระและที่ใส่กระดาษชำระสแตนเลส เป็นวัสดุที่ไปด้วยกันกับส่วนอื่นๆภายในห้องน้ำ
ถัดเข้าไปส่วนอาบน้ำ โครงการไม่ได้ให้ฉากกั้นอาบน้ำมาให้นะครับ แต่เราสามารถติดตั้งเองได้ ซึ่งถ้าจะติดแนะนำให้ใช้แบบ 3 ตอนเหมือนในห้องตัวอย่าง จะได้ช่องเปิดที่กว้างหน่อยครับ
พื้นที่ภายในขนาดกำลังพอดี มีธรณียกขึ้นมากันน้ำอีกประมาณ 2 cm.
ชุด Hand Shower ของ Prema มี Junction Box ติดตั้งมาให้สำหรับติดเครื่องทำน้ำอุ่นครับ
Hand Shower สแตนเลส ขนาดกะทัดรัด สามารถปรับรูปแบบการไหลของน้ำได้หลายแบบแล้วแต่ความชอบเลยครับ
ฝ้าเพดานได้ไฟกลมมา 1 ดวง เป็นแบบดูดอากาศได้ครับ กับฝ้าฉาบเรียบทาสี
ส่วนต่อไปภายในห้องคือพื้นที่พักผ่อนครับ ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ถือว่ากำลังดี ไม่เล็กจนเกินไป มีพื้นที่นั่งเล่นและระเบียงที่ด้านในสุดของห้อง
ในห้องตัวอย่างวางเตียงขนาด 5 ฟุต เหลือพื้นที่ซ้ายและขวาข้างเตียงมีพื้นที่เหลือพอสมควรเลย ถือว่าเดินเข้าออกได้สบายๆ มีโต๊ะหัวเตียงให้มาด้วย หรือถ้าอยู่ 2 คน จะวางเป็นเตียง 6 ฟุตชิดผนังทางฝั่งห้องน้ำก็ได้นะ
ด้านในของห้องมีมุมนั่งเล่น 2 ที่นั่ง ที่มาพร้อมช่องแสงที่เป็นช่องแสงหลักของห้อง ทำให้พื้นที่ภายในห้องสว่าง ช่วงประหยัดไฟในเวลากลางวันได้ นอกจากนั้นพื้นที่ด้านบนก็เหลือไว้ให้สำหรับติดรางม่านด้วย
ช่องแสงที่ว่านี้สามารถเปิดระบายอากาศได้ด้วยบานกระทุ้ง ส่วนอีกฝั่งเป็นบาน Fixed มาให้ครับ
ปลายเตียงจะให้ชั้นวางทีวีมาแบบนี้เลยนะ ซึ่งปัจจุบันมีโปรโมชั่นให้ทีวีมาด้วย สำหรับระยะปลายเตียงจะมีระยะเดินเหลืออยู่ที่ประมาณ 90 เซนติเมตร
ส่วนนี้ก็ได้เป็นโคมซาลาเปา 1 ดวงเช่นกันครับ
มาดูที่ส่วนสุดท้ายของห้องนี้กัน เป็นพื้นที่ระเบียงซักล้างนั่นเอง ออกด้วยประตูกรอบบานอลูมิเนียม powder coat สีขาว กระจกใสสูงทีเดียว ด้านบนมีพื้นที่เว้นไว้ให้สำหรับใส่รางม่านครับ
มีตัวล็อคและรางที่พื้น ยกสูงขึ้นประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำและฝุ่นจากภายนอกเข้ามาภายในห้อง
พื้นที่ระเบียงขนาดไม่ใหญ่นัก ปูกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 cm. สีเทา
ด้านบนให้ไฟ Downlight และแขวน Condensing unit 1 ตัวครับ พื้นที่ด้านใต้สามารถเก็บของได้ แต่ต้องคำนึงถึงความร้อนและความชื้นด้วยนะ
มาดูกันที่ห้องต่อมาครับ เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 29.27 ตร.ม. ห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นมา พื้นที่ภายในห้องถูกแบ่งเป็นสัดส่วน เป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมเกือบจะจัตุรัส ห้องนี้มีจุดเด่นที่ ได้ความโปร่งโล่ง ภายในห้องจัดออกมาแล้วดูไม่แน่นด้วยระดับพื้นถึงฝ้า 2.7 เมตรเท่าเดิม และช่องแสงที่ค่อนข้างเยอะ โครงการยังให้มาแบบ Fully Furnished เช่นเดิม เป็นของเหมือนห้องตัวอย่างทุกอย่าง ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้า ม่าน และฉากกั้นอาบน้ำ ขอแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็น 5 ส่วน Pantry ครัว, ห้องนั่งเล่น, ระเบียงซักล้าง, ห้องนอน และห้องน้ำ
ห้องนี้เข้ามาจะเจอกับส่วนครัว ได้เคาน์เตอร์ครัวเป็นรูปตัว L ซึ่งทำให้ได้พื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น พื้นที่ตรงนี้ถ้าเราอยากทำเป็นครัวปิดก็สามารถกั้นเพิ่มเองได้ โดยจะทำเป็นบานเลื่อนซัก 2-3 ตอนหรือบานเฟี้ยมก็ได้ ซึ่งจะสามารถกันกลิ่นและควันเวลาเราทำอาหารไม่ให้ไปรบกวนพื้นที่อื่นๆภายในห้อง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอาหารเน้นซื้อมาทานที่ห้องก็ปล่อยพื้นที่เป็นครัวเปิดแบบนี้ไป ห้องก็จะดูโปร่งเชื่อมต่อถึงกันง่ายครับ ถัดเข้าไปด้านในห้องจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น จะมีทางออกไปที่ระเบียงซักล้างได้ ระเบียงซักล้างของห้องนี้ค่อนข้างใหญ่นะ นอกจากแขวน Condensing Unit แล้ว ต้องเผื่อพื้นที่ไว้วางเครื่องซักผ้าด้วย ห้องนอนอยู่หลังพื้นที่นั่งเล่นกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งจะช่วยให้ห้องดูโล่ง กว้าง แต่ก็ยังสามารถแบ่งส่วนความเป็นส่วนตัวได้ ห้องน้ำจะอยู่ด้านในห้องนอน มีตู้เสื้อผ้าวางอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ อาบเสร็จก็เดินออกมาแต่งตัวสะดวกครับ
โดยห้องแบบ 1 ห้องนอนจะมีห้องที่ขนาดพอๆกันที่ 29.27 – 30.40 ตร.ม. อยู่ทั้งหมด 5 Type Type B1, B2, B3, B4 และ B6 ซึ่งแต่ละห้องจะแตกต่างกันเล็กน้อย ส่วนห้อง Type B4 แปลนจะไม่เหมือนเพื่อนนัก เพราะเป็นห้องมุม ส่วนตอนนี้เรามดูในส่วนของห้องรูปแบบ B1-B3 และ B6 กันก่อนครับ
สำหรับห้องนี้ ก็ยังจะได้พื้นเป็นลามิเนต ผนังและฝ้าฉาบเรียบทาสี ได้บัวเชิงผนัง กับไฟโคมซาลาเปาเช่นเดิม ระดับพื้นถึงฝ้าสูง 2.7 เมตร โดยเมื่อเข้ามาภายในห้อง จะเป็นพื้นที่ของ Pantry ครัว ซึ่งจะให้มาชุดใหญ่กว่าเดิม เป็นลักษณะตัว L ถ้าดูดีๆ ก็คล้ายๆกับการเอาสองฝั่งของห้อง Studio มารวมกันที่ฝั่งเดียวนั่นเองครับ โดยจะมีพื้นที่ตู้เก็บรองเท้า ช่องสำหรับวางไมโครเวฟ ที่ด้านล่าง
Pantry ครัว ชั้นบนสุดเป็นช่องใส่ของแยกประเภทเช่นเดิม มีทั้งแบบมีหน้าบานและแบบไม่มีหน้าบาน ซึ่งหน้าบานต่างๆจะกรุด้วยลามิเนต ที่ด้านล่างซ่อนไฟ LED ที่ชั้นกลางให้อ่างสแตนเลสแบบหลุมเดี่ยวพร้อมพื้นที่เตรียมอาหาร Top เป็นหินเทียมสีขาวเช่นเดิม ส่วนพื้นที่ด้านล่างจะมีช่องใส่ไมโครเวฟ และลิ้นชัก ใต้อ่างเป็นพื้นที่สำหรับเก็บของขนาดใหญ่หน่อย
ฝ้าเพดานเป็นฉาบเรียบทาสีพร้อมไฟโคมซาลาเปา
หันไปดูส่วนภายในห้องกันต่อเลย จะมีส่วนพื้นที่รับประทานอาหาร มาให้ ให้มาเป็นโต๊ะพร้อมเก้าอี้ 2 ตัว ซึ่งจะสามารถเสริมเก้าอี้ ใช้เพิ่มเป็น 3 คนได้ สำหรับในกรณีมีแขกมา เลยไปคือพื้นที่ห้องนั่งเล่น และระเบียงซักล้าง ด้านหลังโซฟามีพื้นที่ของห้องนอนอยู่ภายใน สังเกตดูครับแบบที่ผมบอกไป ด้วยความสูงของฝ้าที่ 2.7 เมตร และใช้หน้าต่างกระจกค่อนข้างเยอะ ทำให้ห้อง ดูโล่งมากยิ่งขึ้น
ถัดเข้าไปเป็นพื้นที่นั่งเล่น วางโซฟาได้ประมาณ 2 ที่นั่ง ระยะดูทีวีประมาณ 2 เมตร เฟอร์นิเจอร์เราจะได้ตามแบบห้องตัวอย่างเลยครับ มีทางออกไประเบียง
ส่วนนี้จะมีฝ้าฉาบเรียบทาสีและให้ไฟโคมซาลาเปาเช่นเดิมครับ
ประตูกระจกบานเลื่อนกรอบบานอลูมิเนียม Powder Coat สีขาว กระจกใส พร้อมตัวล็อค มีรางที่พื้น ยกสูงขึ้น ประมาณ 10 เซนติเมตร
พื้นที่ภายนอกกว้างขั้นกว่าห้องที่แล้วนะ ขนาด 2.40 x 1.00 เมตร เผื่อพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้าด้วยครับ ทางโครงการเดินระบบมาให้เรียบร้อย
ฝ้าเพดานเป็นฉาบเรียบทาสีเข้ม แขวน Condensing Unit 2 ตัว ให้ไฟ Downlight 1 ดวงครับ
กลับเข้ามาภายในห้อง ไปต่อยังพื้นที่ห้องนอน เชื่อมต่อด้วยประตูเลื่อนบานสไลด์กรอบบานอลูมิเนียม Powder Coat สีขาว 2 ตอน พอเลื่อนปิดก็จะสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้ ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็หาม่านหรือมูลี่มาติดเพิ่มได้ครับ
มีตัวล็อคและรางที่พื้น จะเดินก็ต้องระวังสะดุดกันหน่อยนะครับ ในห้องตัวอย่างมีระยะทางเข้าประมาณ 80 เซนติเมตร แต่ตรงนี้เราสามารถขยับเฟอร์นิเจอร์เองได้เลยนะ
เข้ามาภายในห้องนอนก็ขนาดกำลังดี วางเตียง 5 ฟุตแล้วมีพื้นที่รอบข้างเหลือสำหรับวางโต๊ะหัวเตียง เดินรอบก็ได้ครับ จริงๆสามารถขยายเป็นเตียง 6 ฟุตยังได้เลย นอกจากนั้นยังมีช่องแสงที่ริมหน้าต่าง แสงทั้งส่วนนี้และส่วนของระเบียงจะมาแชร์กันที่กลางห้อง ด้วยบานกั้นกระจกใส จึงทำให้ห้องนี้รับแสงธรรมชาติได้เยอะทีเดียว อีกฝั่งมีพื้นที่สำหรับวางตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง เข้าไปดูภายในกันเลย
ที่ด้านในของห้องมีหน้าต่างขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่เป็นช่องแสงให้กับห้องได้ดีทีเดียว
มีบานกระทุ้งช่วยเปิดรับลม ระบายอากาศได้ด้วยครับ
พื้นที่ด้านข้างเหลือเยอะทีเดียว ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างทีเดียว ใช้เป็นเตียง 6 ฟุตได้สบายๆครับ
พื้นที่ปลายเตียงเหลือประมาณ 40 เซนติเมตร เดินไปมาได้สบายๆ
อีกฝั่งเหลือพื้นที่ค่อนข้างเยอะ หน้าตู้เสื้อผ้าประมาณ 40 เซนติเมตร ส่วนถึงห้องน้ำ ประมาณ 1.2 เมตร ครับ ขนาดกำลังดี ถ้าเปลี่ยนเป็นเตียง 6 ฟุต แล้วดันเข้าด้านที่มีหน้าต่าง ก็น่าจะพอดีนะครับ
พื้นที่ตรงนี้สามารถนอนดูทีวีของพื้นที่ห้องนั่งเล่นได้นะ เปิดกว้างสุดแล้วมีพื้นที่เยอะทีเดียว
ฝ้าเพดานฉาบเรียบ โคมไฟซาลาเปาเช่นเดิมครับ
มาดูส่วนสุดท้ายของห้องกันครับ ด้านในห้องนอนจะมีตู้เสื้อผ้ามาให้ ซึ่งก็มีหน้าตาแบบเดิม เหมือนห้องก่อนหน้านี้ ข้างๆคือห้องน้ำ มีพื้นที่อยู่ใกล้กัน ใช้งานง่าย
ห้องน้ำของห้องนี้จะใช้สุขภัณฑ์และอุปกรณ์เหมือนห้อง Studio ทั้งหมด แต่มีความแตกต่างจากห้องก่อนหน้าตรงที่รูปทรงภายในของห้องน้ำ ซึ่งหลักๆเลยคือไม่ได้ให้ฉากกั้นอาบน้ำมาให้ ซึ่งจะติดเองต้องดูเรื่องขนาดพื้นที่ดีๆนะครับ
อ่างล้างหน้าให้แบบเดิมมาครับ เป็นแบบฝังเคาน์เตอร์ มีบานเปิดด้านล่าง ส่วนด้านบนมีกระจกเงาวงกลมติดผนัง
อ่าง ToTo พร้อมพื้นที่วางของรอบๆครับ
ส่วนโถสุขภัณฑ์จะเข้ามุม อาจจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ขนาดพอดีนะ ไม่ได้แน่นอย่างที่ิคิด พร้อมด้านข้าง มีชั้นวางของ Built-in มาให้ด้วย
ส่วนพื้นที่อาบน้ำ ของจริงไม่ได้ฉากกั้นอาบน้ำมาให้นะ ส่วนอาบน้ำเป็นแบบ Hand Shower จาก Prema เช่นเดิม ทางโครงการติด Junction Box ไว้ให้สำหรับติดเครื่องทำน้ำอุ่น
พื้นที่ภายในขนาดกำลังพอดี ประมาณ 1.10 x 0.80 เมตร ปูด้วยกระเบื้องเซรามิคขนาด 30 x 30 cm.
ฝ้าเพดานแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟซาลาเปา 1 ดวง
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 7 February 2019
- Studio อาคาร H ชั้น 2 ห้อง 00204 เนื้อที่ 22.83 ตร.ม. ราคา 2.39 ล้านบาท
- Studio อาคาร G ชั้น 17 ห้อง 01708 เนื้อที่ 23.19 ตร.ม. ราคา 2.59 ล้านบาท
- Studio อาคาร C ชั้น 22 ห้อง 02207 เนื้อที่ 22.99 ตร.ม. ราคา 2.66 ล้านบาท
- 1 Bedroom อาคาร C ชั้น 04 ห้อง 00404 เนื้อที่ 29.81 ตร.ม. ราคา 3.39 ล้านบาท
- 1 Bedroom อาคาร D ชั้น 14 ห้อง 01413 เนื้อที่ 29.87 ตร.ม. ราคา 3.49 ล้านบาท
- 1 Bedroom อาคาร G ชั้น 23 ห้อง 02301 เนื้อที่ 29.48 ตร.ม. ราคา 3.69 ล้านบาท
- Fully Furnished
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink
- Shuttle Bus ไปกลับ MRT ห้วยขวาง, MRT ศูนย์วัฒนธรรม, MRT พระราม 9
- ห้อง Studio จอง 9,900 บาท ทำสัญญา 10,000 บาท
- ห้อง 1 Bedroom จอง 9,900 บาท ทำสัญญา 20,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม./เดือน
- ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
ทำเล – โครงการ CHAPTER ONE ECO รัชดา-ห้วยขวาง อยู่ในย่านรัชดา-ห้วยขวาง ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เพราะเป็นทั้งแหล่งงาน และแหล่งช็อปปิ้ง รวมถึงความบันเทิงต่างๆ ทำให้บริบทโดยรอบค่อนข้างที่จะคึกคักตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ตอบโจทย์กลุ่มพนักงานออฟฟิตได้เป็นอย่างดี เพราะมีอาคารสำนักงานรายล้อมหลายแห่ง จึงทำให้เกิดความเจริญโดยรอบตามมาเยอะ ทั้ง Hypermarket เช่น บิ๊กซี, Tesco Lotus และ Shopping Center อย่าง Central พระราม 9, Central ลาดพร้าว Community mall ก็จะมี The Street และ เอสพลานาด ถึงจะไม่ได้อยู่ในระยะเดิน แต่ก็ขับรถหรือนั่งรถไฟฟ้าต่อไปได้สะดวก ส่วนของกิน ของใช้ในระยะเดินทางสามารถหาในซอยได้ง่าย มีค่อนข้างเยอะช่วงต้นซอยถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ และ ประชาอุทิศช่วงแยกเหม่งจ๋าย มีตลาดห้วยขวางอยู่บริเวณใกล้ๆด้วยครับ
การเดินทางโดยใช้รถ – การเข้าถึงโครงการทำได้ 3 เส้นทางหลักๆ ถือว่ามีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย ส่วนถนนประชาอุทิศที่เป็นถนนหน้าโครงการ ก็มีเส้นทางให้เชื่อมต่อหลายสายและมีทางลัดในซอยไปออกถนนรัชดาภิเษกและเลียบด่วนรามอินทราได้ถือว่าค่อนข้างสะดวก แต่ในช่วงเวลาเร่งด่วนจะรถติด เนื่องจากเป็นย่านชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยกันเยอะ และมีอพาร์ทเม้นท์ หอพักต่างๆ และคอนโดเยอะเช่นกัน นอกจากนั้นคือพื้นที่จอดรถของโครงการที่อาจจะไม่ได้เยอะนัก มีประมาณ 708 คัน คิดเป็น 38% ซึ่งก็ถือว่าน้อยไปสักหน่อยสำหรับโครงการที่ไม่ได้อยู่ติดรถไฟฟ้าในระยะเดิน
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – สำหรับใครที่เน้นการเดินทางโดยไม่ใช้รถก็ต้องเรียกมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการ หรือ รถแท็กซี่มาต่อรถไฟฟ้าอีกที เพราะตัวโครงการอยู่ภายในซอยย่อยค่อนข้างลึกทำให้ไม่สามารถไปรถไฟฟ้าได้ในระยะเดิน แต่ทางโครงการก็มีรถ Shuttle Bus มาให้บริการนะ ซึ่งจะ 2 เส้นทาง รวมแล้วผ่านสถานีรถไฟฟ้า MRT ถึง 3 สาย นอกจากนั้นก็ยังผ่านสถานที่สำคัญๆในบริเวณนี้ ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กซี Central พระราม 9, The Street และ เอสพลานาด ครับ
วัสดุ – พื้น ผนัง ฝ้าเพดาน สุขภัณฑ์ต่างๆในภาพรวมแล้วให้ตามมาตรฐานครับ คือพื้นไม้ลามิเนต ฝ้าสูง 2.70 เมตร พื้นห้องน้ำกระเบื้องเซรามิค Top หินเทียม สุขภัณฑ์ อ่างจาก Toto โถสุขภัณฑ์จาก Cotto และฝักบัวอาบน้ำจาก Prema ซึ่งเสียดายที่ไม่ได้ฉากกั้นอาบน้ำมาด้วย เมื่อเทียบกับราคาแล้วจึงมีบางอย่างที่ให้น้อยไปนิดแต่ทางโครงการขายแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ให้ครบและดีไซน์สวย ก็ถือว่าทดแทนได้ดีครับ
การออกแบบ – จุดนี้ต้องขอชื่นชม เพราะเป็นจุดเด่นของทางโครงการ และถูกการันตีมาด้วยรางวัลออกแบบยอดเยี่ยมจาก Asia Pacific เป็นผลงานการออกแบบจาก I Will Design เริ่มที่การดึงเอา Concept ออกมาใช้ได้ดีทีเดียว เข้าถึงได้ชัดเจน เพราะให้ความรู้สึกแตกต่างจากโครงการอื่นๆ เรียกได้ว่าตี Concept ได้แตกดีนะ มาในสไตล์ Scandinavian ซึ่งถ้าเข้าไปยืนในโครงการก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่รีสอร์ทสักที่ การแยกพื้นที่ส่วนกลางออกจากพื้นที่พักอาศัย ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบนะ ช่วยเรื่องของการจัดการพื้นที่ การรักษาความปลอดภัย การแบ่งส่วนความเป็นส่วนตัว และการมีพื้นที่ส่วนกลางแนวราบขนาด 4 ไร่นี่ก็ถือว่าไม่ธรรมดา จัดมาให้เยอะทีเดียว ถึงจำนวนยูนิตจะเยอะหน่อยก็ตาม ที่มันดูดีและโดดเด่นอาจเป็นเพราะบรรยากาศภายในที่ไปในทางเดียวกัน เนื่องจากถูกครอบด้วยแนวคิดในการออกแบบที่สะท้อนออกมาได้ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนั้นแล้วภายในอาคารแต่ละอาคารเองก็มีพื้นที่ส่วนกลางแยกมาให้อีก พูดถึงส่วนกลางเสร็จแล้ว มาพูดถึงการออกแบบพื้นที่พักอาศัยกันต่อ ส่วนผังตัวอาคาร มีอาคารพักอาศัย 8 อาคาร ใช้การแบ่งสลับอาคารที่เป็นลูกบ้านคนไทย และชาวต่างชาติ ก็ช่วยในเรื่องของความเป็นส่วนตัวภายในอาคาร และจัดกลุ่มให้เป็นสัดส่วน นอกจากนั้นเรื่องความเป็นส่วนตัวของแต่ละอาคาร คือจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดที่ 11 ยูนิต สำหรับโครงการ 1844 ยูนิต ถือว่าแก้ปัญหาเรื่องจำนวนยูนิตเยอะได้ดีทีเดียวครับ ได้ความเป็นส่วนตัวในส่วนนี้มาแทน ส่วนสุดท้ายคืออาคารทั้ง 8 อาคารถูกคำนึงถึงเรื่องมุมมอง ที่ออกแบบมาให้มุมมองแต่ละห้องไม่ชนกัน ซึ่งก็ทำได้ดีทีเดียว
ภายในห้องพักอาศัยผมว่าถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เน้นการรับแสงจากภายนอก ให้ระยะฝ้าเพดาน 2.7 เมตรมา ทำให้ห้องที่พื้นที่ไม่เยอะมากนัก ดูไม่แคบ และโล่งมากยิ่งขึ้น ครัวที่ได้เป็นครัวเปิด ก็อาจจะไม่แย่นักเพราะทำให้ห้องดูโล่งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่ได้ให้ Hob & Hood มาด้วย ซึ่งก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำครัวแบบจริงจัง แต่ถ้าหากลูกบ้านท่านไหน ที่ชื่นชอบการทำครัว ก็สามารถปิดเป็นครัวปิดได้ สำหรับห้อง 1 Bedroom ส่วนห้องนอนให้พื้นที่มามีขนาดใส่เตียง 6 ฟุตได้นะ ซึ่งถือว่าดีทีเดียวกับห้องไซส์ ขนาดไม่ถึง 30 ตร.ม. พื้นที่ห้องน้ำเข้าถึงง่ายจากส่วนต่างๆภายในห้อง แต่ต้องคอยดูแลเรื่องความชื้นด้วยนะ เพราะห้องน้ำที่ตั้งอยู่ภายในอาคาร จะระบายอากาศยากสักหน่อย ควรเปิดประตูและใช้พัดลมระบายอากาศช่วยนะครับ
สาธารณูปโภค – ให้มาจัดเต็มและหลากหลายดี โดยจะแยกออกมาจากตัวอาคารอยู่ด้านบนอาคารจอดรถทั้งสอง มีทั้ง Jogging Track สวนหย่อมที่จัด Landscape ได้น่าสนใจในหลายๆจุด รอบโครงการรวม 4 ไร่ ในอาคารคือ Bike Club , Home Theatre , Reading room , Co -Working Space , Hydroponics Farm & Bar B Q , Swimming Pool & Jacuzzi Pool Terrace , Fitness และ Street Basketball และยังมีส่วนของ Lobby และ Co -Working Space ที่แยกอยู่ใต้อาคารทุกอาคารอีก
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคา AVG 105,000 – 115,000 บาท/ตร.ม., 7 February 2019
- ทำเล 7.5/10 – อยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แต่ต้องเข้าซอย
- เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – เข้าออกได้หลายเส้นทาง รถติด ที่จอดรถประมาณ 38%
- ไม่ใช้รถ 7.25/10 – เรียกรถง่าย ต้องต่อรถเพื่อออกไปถนนใหญ่หน่อย มี Shuttle Bus ไปส่งที่ MRT
- วัสดุ 7.25/10 – ตามมาตรฐาน ให้เฟอร์นิเจอร์มาครบ ดีไซน์สวย
- แบบ 8.5/10 – ออกแบบมาได้สวย มี Concept โดยเฉพาะส่วนกลาง การวางผังอาคารและห้องได้ดี
- สาธารณูปโภค 8.5/10 – ให้มาค่อนข้างเยอะ หลากหลาย สร้างบรรยากาศโดยรวมได้ดี
- UPPER CLASS
- 7.61 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ CHAPTER ONE ECO รัชดา – ห้วยขวาง เหมาะกับคนที่ทำงานหรือมองหาที่พักอาศัยในย่านรัชดาฯ มีอุดมสมบูรณ์หาของกินง่าย ยอมขยับเข้ามาในซอยหน่อย ชอบการออกแบบของโครงการในสไตล์ Scandinavianมี Facilities หลากหลาย มีงบประมาณ 2.50 – 4.5 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 18,000 – 32,000 บาทต่อเดือน