รีวิวโครงการ

Boom Tharis I The Monument ทองหล่อ คอนโดหรูอารมณ์บ้าน

1 เมษายน 2019

อ่านรีวิวล่าสุด

สวัสดีครับทุกคน เวลานี้คงปฎิเสธไม่ได้ว่าคอนโดสูงที่สุดในทองหล่อ ก็คือ The Monument ทองหล่อ จากแสนสิริ อีกทั้งยังเป็น Project 1 ใน 4 จาก Sansiri Luxury Collection ภายใต้แนวคิด Luxury is Space ที่เน้นแบบห้องขนาดใหญ่ เป็นคอนโดที่ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยเหมือนอยู่บ้าน เน้นกลุ่มลูกค้าที่มี Passion Investment จากแนวคิด The Monument to Generations โดดเด่นทั้งด้านวัสดุและผลงานศิลปะที่หายากให้มารวมอยู่ ณ ที่นี่ โครงการพึ่งสร้างเสร็จไปหมาดๆ และเปิดให้ชมโครงการกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง จะเป็นอย่างไรลองไปชมกันเลยครับ

Fact @ 27 March 2019

  • The Monument Thong (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ)
  • บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกับ BTS
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ซอยทองหล่อ เขตวัฒนา
  • คอนโด High Rise 45 ชั้น 1 อาคาร 127 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 192%
  • ที่ดินประมาณ 2 ไร่
  • สถานะโครงการ : สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ปี 2562
  • 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม.
  • 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม.
  • Penthouse 1 ขนาด 508.75 ตร.ม.
  • Penthouse 1 ขนาด 520.75 ตร.ม.
  • Duplex Penthouse ขนาด 662.00 ตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • ราคาเริ่มต้นปัจจุบัน ปี 2019 ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. ราคา 30 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 241,449 บาท
  • ราคาเริ่มต้นปัจจุบัน ปี 2019 ห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. ราคา 90 ล้านบาท / หรือตร.ม.ละ 356,789 บาท
  • ราคาเริ่มต้นปัจจุบัน ปี 2019 ห้อง Penthouse ราคา 3XX ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 350,000 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด n/a บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1685

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

พิกัด : 13.741775, 100.585412

โครงการ The Monument ทองหล่อ ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 55 หรือ ซอยทองหล่อ ซึ่งจะอยู่ติดกับถนนซอยทองหล่อเลย (ไม่ต้องเข้าซอย) แต่จะอยู่ค่อนไปทางฝั่งถนนเพชรบุรีมากกว่า (อยู่ตรงตีนสะพานข้ามคลองเลยครับ) ดังนั้นจึงเป็นทำเลที่เน้นใช้รถยนต์เป็นหลัก ซึ่งทางโครงการก็ได้มีที่จอดรถมากถึง 192% เรียกได้ว่า เพียงพอที่จะจอดได้ห้องละ 1 – 2 คันเลยทีเดียวครับ โดยเราสามารถใช้เส้นทางจากถนนเพชรบุรีเพื่อเข้าเมืองไปทางอโศกหรือราชเทวีก็ได้ และสามารถไปขึ้นทางด่วนรามอินทราที่ด่านพระราม 9 เพื่อเข้าหรือออกเมืองก็สะดวกเช่นกัน หรือใครจะมาขึ้นรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ บนถนนสุขุมวิทก็ทำได้ไม่ยากครับ โดยตัวสถานีจะอยู่ห่างจากตำแหน่งที่ตั้งโครงการประมาณ 2.4 km. ซึ่งตลอดทั้งซอยทองหล่อนี้ก็จะมีรถสาธาณะวิ่งผ่านตลอดเวลา ทั้งรถแท็กซี่ วินมอไซค์ และรถเมล์ ก็เรียกใช้บริการกันได้ไม่ยากนัก

ด้านความอุดมสมบูรณ์ของทำเลซอยทองหล่อนั้น ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นย่านธุรกิจร้านค้า เป็นแหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหารอร่อยๆ ระดับ Hi-end มากมาย ที่เปิดทั้งกลางวันกลางคืน เรียกได้ว่าเป็นทำเล All Day – All Night กันเลยก็ว่าได้ และเป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติอีกด้วย ทองหล่อจึงเป็นย่านที่สะท้อนความเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยราคาที่ดินของถนนเส้นนี้มีราคาสูงมากๆ ดังนั้นการเกิดโครงการใหม่หรือโครงการที่มีขนาดใหญ่ของซอยนี้นานๆเราจึงจะได้เห็นกันที แน่นอนว่าหากเป็นคอนโดมิเนียมก็มักจะเป็นระดับ Super Luxury ที่มีราคาแพงมากๆ หรือการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็ทำได้ค่อนข้างลำบาก แต่เราจะเห็น Community Mall เก๋ๆ ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่มากมาย รวมถึงร้านอาหารหรูๆ ร้านนั่งชิลคูลๆ และแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์จำนวนมาก รวมถึงมีโรงพยาบาลเอกชน และโรงเรียนนานาชาติก็อยู่ใกล้ๆ อีกด้วย

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ซอยทองหล่อ 10 เชื่อมต่อมายังซอยเอกมัยที่เป็นซอยคู่ขนานกันได้อีกด้วย ซึ่งลักษณะของซอยเอกมัยนั้นก็มีความคึกคักไม่แพ้กัน เต็มไปด้วย Community Mall ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านนั่งชิลมากมาย รวมถึงมีห้างเปิดใหม่อย่าง Donki Mall ที่เป็นห้างดังจากประเทศญี่ปุ่น อาคารมีถึง 5 ชั้น และมีอยู่ด้วยกันหลายโซน ทั้งโซนซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ชั้น 1 – 2 โซนร้านอาหารที่ชั้น 3 – 4 และโซนเอนเตอร์เทนเม้นท์กับกีฬาที่ชั้น 5 หรือถ้าจะไปห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หรูๆ บนถนนสุขุมวิทก็จะมีทั้ง Emporium และ Emquatier ให้เดินเล่นแถวพร้อมพงษ์ หรือจะไปต่อ Terminal 21 ที่อโศก กับ Paragon ที่สยามก็อยู่ไม่ไกลครับ สามารถเดินทางไปได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัว หรือถ้าไปด้วยรถไฟฟ้าก็จะสะดวกมากๆ เรียกได้ว่าเป็นทำเลใจกลางเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ครบครันเลยทีเดียว

 


 

พาชมอาคารและพื้นที่ส่วนกลาง

ก่อนเข้าเรื่องตัวโครงการผมอยากจะเล่าถึงที่ดินผืนนี้ของโครงการเพิ่มเติมสักนิด คือเดิมทีที่แปลงนี้แต่ก่อนคือ H1 เป็นเหมือนคอมมูนิตี้หรือพลาซ่าเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารในสวน จุดเด่นอยู่ที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ร่มรื่น เปรียบเสมือน Oasis สีเขียวในย่านทองหล่อ ซึ่งก็ยังมีเค้าโครงเดิมปรากฏให้เห็นอยู่ในโครงการปัจจุบัน

ตัวโครงการ The Monument ทองหล่อ เป็นอาคารสูง 45 ชั้น ( 177 m.) ที่นับได้ว่าสูงที่สุดในซอยทองหล่อ ณ วันนี้เลยทีเดียว ภายนอกออกแบบด้วยสไตล์ Monolith ซึ่งมาจากภาษากรีกโบราณคำว่า Monos ที่แปลว่าหนึ่งเดียว + Lithos แปลว่าหิน รวมกันเป็นคำว่า Monolith ที่หมายถึงหินหรือภูเขาที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ ซึ่งในเชิงสถาปัตยกรรมก็หมายถึงอาคารที่ตั้งตระหง่านและมีความโดดเด่นครับ

ทางเข้าของโครงการจะเป็นแบบ RFID หรือที่คล้ายกับระบบ Easy Pass บนทางด่วนที่สามารถขับผ่านได้เลยจึงค่อนข้างสะดวกมากๆ กั้นด้วยประตูเลื่อนไฟฟ้าแบบ 2 ตอนสีน้ำตาลลายไม้ดูเป็นธรรมชาติ เข้ากับตัวป้อมยามที่คล้ายกับกำแพงหินทางด้านซ้าย และจะมี รปภ. คอยดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. อีกด้วย

เมื่อเข้ามาภายในสิ่งแรกที่เจอคืออาคารรูปทรงแปลกตา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากวงปีของต้นจามจุรีขนาดใหญ่ ที่มีอยู่แต่เดิมของที่ดินผืนนี้นั่นเองครับ จริงๆแล้วมันคือฐานของสระว่ายน้ำด้านบนนะ และตัวอาคารนี้ทำได้ยากมากๆ แค่ค่าโครงสร้างอย่างเดียวก็ปาเข้าไปร้อยกว่าล้านแล้วครับ นับว่าเป็นอีกจุดเด่นที่ไม่ค่อยมีใครกล้าลงทุนทำส่วนกลางแบบนี้ให้ลูกบ้านแน่ๆ

ทางด้านหน้าสุดของโครงการจะมีพื้นที่สวนสีเขียวและ Dog Park ตั้งอยู่ด้วยครับ โดยที่นี่จะสามารถเลี้ยงน้องหมาขนาดเล็ก นน. ไม่เกิน 10 กิโลกรัมได้ (ย้ำว่าน้องหมาเท่านั้นนะครับ เลี้ยวแมวไม่ได้เน้ออ) นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเส้นทางการสัญจรของสัตว์เลี้ยงโดยให้ใช้ได้เฉพาะ Service Lift เท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านท่านอื่นๆ ครับ

และเมื่ออ้อมมาทางซ้ายของอาคารตามเส้นทางรถยนต์ ก็จะมีทางลงไปยังที่จอดรถใต้ดินได้ และทางด้านซ้ายเราจะเห็นรั้วโครงการที่มีการปลูกสวนแนวตั้ง (Vertical Garden) สูง 6 m. ซึ่งนอกจากจะมีความปลอดภัยแล้ว ยังทำให้โครงการดูเขียวขจีและสดชื่นมากขึ้นอีกด้วยนะ

ลงมาดูชั้นจอดรถใต้ดินกันสักนิดนะครับ ทางเดินรถจะเป็นแบบ Two way ขับรถสวนกันได้ โดยจะสามารถขับวนลงไปชั้นล่างเรื่อยๆได้ และที่เห็นตรงช่องจอดที่เป็นสีเหลืองนั้นจะมีเลขทะเบียนบ้านเขียนติดเอาไว้ด้วยนะ จะได้รู้ว่าเป็นช่องจอดของบ้านไหน เพราะที่นี่จะมีการจอดรถแบบ Fixed คัน สำหรับห้อง 3 Bedrooms ขึ้นไปครับ และที่จอดรถของโครงการนี้ก็มีมากถึง 192% สามารถจอดได้ห้องละ 1 – 2 คันเลยทีเดียว นับว่าตอบโจทย์สำหรับทำเลที่ต้องใช้รถแบบนี้ได้ดีเลยครับ

และชั้นจอดรถใต้ดินนี้ก็จะมีทางเข้าโถงลิฟต์อยู่ด้วย โดยโถงลิฟต์ของที่นี่นั้นจะแบ่งออกเป็น 2 จุดนะ ซึ่งหากใครอยู่ห้องอะไร ต้องใช้ลิฟต์ตัวไหน ก็ต้องขึ้นให้ถูกต้องด้วยนะครับ เพราะห้องของโครงการนี้ใช้ลิฟต์แบบส่วนตัวที่ตรงขึ้นไปยังห้องตัวเองได้เลยครับ

กลับขึ้นมาที่ด้านบน เมื่อเลยที่ลงชั้นจอดรถใต้ดินมาก็จะเป็น Drop Off ที่เอาไว้รับ-ส่ง คนเข้าทาง Lobby โดยจะมีหลังคาคลุมให้ช่วยบังแดดบังฝนได้ ส่วนทางด้านซ้ายมือเป็นทางเดินไปยังสวนที่อยู่ด้านหลังได้ครับ

เข้ามาใน Lobby จะเจอกับชุดโซฟารับแขกสุดหรูขนาดใหญ่ 2 ชุด ที่ถูกกั้นด้วยเสาที่อยู่ตรงกลางทำให้มีความเป็นส่วนตัวแยกออกจากกัน และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับโครงการคอนโดหรูของแสนสิริที่มักจะประดับเอาไว้ที่โถง Lobby คือผนังหินอ่อนธรรมชาติจากอิตาลี Palissandro Classico ต่อลาย Bookmatch ที่มีลวดลายสวยงามและเป็นเอกลักษณ์

และอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการนี้คือ Chandelier ที่ห้อยอยู่ด้านบนเป็นของ LASVIT (ลาสวิท) ผู้ออกแบบและผลิตประติมากรรมเครื่องแก้วชั้นนำจากสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งดีไซน์นี้มีเพียงแค่ที่เดียวในโลก เพราะแต่ละที่จะถูกออกแบบมาให้ไม่เหมือนใคร เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผลงานในไทยที่ LASVIT ได้ออกแบบไว้ก็มีอยู่แค่ 3 แห่ง และหนึ่งในนั้นคือ The Monument ทองหล่อ นี่เองครับ

ถัดเข้ามาเป็นโถงลิฟต์ที่ 1 จะมีลิฟต์อยู่ 2 ตัว และจะมีชุดโต๊ะคริสตัลที่มีความโปร่งใสตั้งอยู่ตรงกลาง ประกอบด้วยชิ้นส่วน 36 ชิ้น ที่ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานประติมากรรมทางศิลปะของโครงการ ด้านบนประดับด้วยดอกไม้หลากหลายสีเพื่อเพิ่มความสดชื่น

ถัดเข้ามาจะมีห้อง Mail Room ที่มีช่องกล่องจดหมายสูงจากพื้นถึงฝ้าเต็มผนังทั้ง 2 ฝั่งแบบนี้เลย ซึ่งความเป็นจริงแล้วกล่องส่วนใหญ่ด้านบนจะเป็นกล่องประดับเอาไว้หลอกตาเท่านั้น ของจริงจะใช้ได้แค่กล่องชั้นล่างๆเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าโครงการนี้มีเพียงแค่ 127 ยูนิตเท่านั้นเอง ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆครับ

ถัดเข้ามาด้านในก็จะเจอกับโถงลิฟต์โถงที่ 2 ที่มีโต๊ะคริสตัลประดับอยู่ตรงกลางเช่นกัน ด้านซ้ายมีผนังกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าจึงค่อนข้างโปร่งโล่ง และสว่างเป็นพิเศษ รวมถึงมีประตูที่สามารถเปิดออกไปด้านนอกได้ด้วยครับ

เมื่อออกมาที่ด้านนอกก็จะเจอกับบันไดทางขึ้นไป Facilities ที่อยู่ชั้น 2 ได้ แต่เดี๋ยวผมจะพาไปดูสวนที่อยู่ด้านหลังโครงการกันก่อนดีกว่า แล้วค่อยขึ้นไปดูด้านบนกันทีเดียวเนอะ

สวนของโครงการนี้มีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา และเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าราคาที่ดินของย่านนี้แพงเอามากๆ ดังนั้นมูลค่ารวมของพื้นที่ตรงนี้จึงมีมากเป็นหลายสิบล้าน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทางแสนสิริจะทำเป็นพื้นที่ขายเอากำไรเพิ่มก็ได้นะ แต่ก็เลือกที่จะทำเป็นพื้นที่ส่วนกลางให้ลูกบ้านแทน ซึ่งคุณค่าที่แท้จริงของมันไม่ได้อยู่ที่ตรงจุดนั้น แต่รวมถึงต้นจามจุรีขนาดใหญ่ 4 – 5 ต้น ที่เป็นต้นไม้เก่าแก่ของที่ดินผืนนี้ที่มีอายุกว่า 50 ปี ซึ่งทางโครงการก็ยังได้อนุรักษ์เอาไว้ ทำให้กลายเป็นพื้นที่สวนขนาดไม่ใหญ่แต่ร่มรื่นเอามากๆครับ

นอกจากนี้ในสวนก็ยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือ บ้านต้นไม้ ที่มีการเจาะช่องตรงกลางเพื่อให้ต้นจามจุรีสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยที่ชั้นล่างนี้ก็ยังจัดเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนในร่มได้อีกด้วย

ส่วนชั้นบนก็มีที่นั่งเล่นเช่นกัน และสามารถเดินขึ้นมารับลมหรือชมสวนที่อยู่ด้านล่างได้ครับ

ลงมาดูที่สวนด้านล่างต่อกันอีกสักนิด สวนนี้จะมีทางเดินวนรอบสวนได้ เป็นสวนแบบเล่นระดับ และมีที่นั่งอยู่รอบๆโคนต้นไม้ให้ได้นั่งเล่นในสวนหลายจุด รวมถึงมีสไลเดอร์ทรงใบไม้ที่ออกแบบให้เข้ากับบรรยากาศธรรมชาติเอาไว้ให้เด็กๆได้เล่นกันอีกด้วย

ต่อไปเราจะขึ้นไปดู Facilities ที่ชั้น 2 ด้วยลิฟต์กันนะครับ โดยลิฟต์ของโครงการนี้จะเป็น Private Lift ซึ่งใช้ระบบแบบ First come first served คือจะสามารถขึ้นตรงไปยังชั้นพักอาศัยที่เป็นเป้าหมายได้โดยตรง จะไม่มีการแวะรับ-ส่งคนที่ชั้นอื่นกลางทางได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีเพื่อนบ้านมาขึ้นลิฟต์พร้อมกับเรา ถือว่าค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวมากๆ โดยลิฟต์ตัวนี้เป็นลิฟต์ขนาดใหญ่ สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง และพื้นยังปูด้วยหินอ่อนเช่นเดียวกับพื้นและผนังส่วนอื่นๆของโครงการอีกด้วย

ขึ้นมาที่ชั้น 2 ออกมาจากลิฟต์ก็จะเจอกับโถงลิฟต์ที่ 1 มีทางแยกออกซ้ายกับขวา โดยที่ชั้นนี้เป็นชั้น Facilities แบบเต็ม Floor ถือว่าค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตเพียง 127 ห้องครับ

ก่อนไปดูส่วนกลางจุดอื่น ผมอยากให้ดูผมอยากให้ดูตรงจุดนี้สักหน่อย คือนอกจากแสนสิริจะมีแนวคิดโครงการที่ชัดเจนแล้ว ยังได้มีการเฟ้นหาผลงานศิลปะแอนทีค (Antique) ยุคปี 70  – 90 จากทั่วโลก มาช่วยถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดโครงการมาประดับในพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งล้วนแต่เป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเชื่อว่า “บ้านเติมเต็มการอยู่อาศัย ศิลปะนั้นก็สามารถเติมเต็มจิตใจ และสุทรียะแห่งการอยู่อาศัยได้เช่นกัน” และหนึ่งในผลงานศิลปะเหล่านั้นคือ Murano Gilded Glass เป็นเครื่องแก้วเคลือบทองที่ถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันในเกาะมูราโนแห่งเวนิส ซึ่งมีเพียง 4 คู่ในโลกเท่านั้น และ 1 ในนั้นก็มาตั้งประดับอยู่ที่นี่แล้ว 1 คู่ครับ

ต่อมาเราจะมาดูทางด้านซ้าย (หรือก็คือทางด้านหลังอาคาร) กันก่อนนะครับ ซึ่งระหว่างทางเดินจะมีห้อง Meeting room อยู่ 2 ห้อง สามารถเลื่อนประตูปิดกั้นเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ เพียงแต่บานประตูจะเป็นแค่กระจกลายตาข่ายเล็กๆ จึงช่วยได้แค่เรื่องกันเสียงเท่านั้นนะครับ แต่ก็เอาไว้นั่งพบปะพูดคุยกันแบบส่วนตัวได้นะ

และที่โถงลิฟต์ที่ 2 ด้านหลังจะมีประตูออกไปทางด้านนอกอยู่ด้วยครับ

เมื่อออกมาด้านนอกก็จะมีประตูอีกบานหนึ่งอยู่ทางขวามือ ซึ่งเป็นพวกห้อง Fitness โดยจุดนี้จะต้องใช้ Key Card แตะเพื่อเข้าไปใช้งาน เพื่อความเป็นส่วนตัว และปลอดภัยสำหรับลูกบ้านครับ ส่วนถ้าเราหันมามองทางซ้ายก็จะมองเห็นบันไดและสวนที่เราได้ไปดูกันมาแล้วก่อนหน้านี้นั่นเอง หลังออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ ก็สามารถลงไปเดินเล่นพักให้หายเหนื่อยในสวนกันได้นะครับ

เมื่อผ่านประตูทางขวามือเข้ามาจะยังไม่ใช่ห้อง Fitness แต่จะเป็นโถงทางเดิน แล้วจึงค่อยมีประตูแยกออกอีก 3 ทางด้านใน ทางซ้ายคือห้อง Fitness ตรงกลางคือห้อง Playroom และทางขวามือเป็นห้องโยคะครับ

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือรูปภาพที่ติดอยู่ทางด้านซ้ายหน้าห้อง Fitness เป็นรูปภาพของ Tapon ศิลปินนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศษในช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานศิลปะที่แสนสิริได้นำมาตกแต่งเอาไว้ครับ ซึ่งนอกจากทั้ง 2 ชั้นที่กล่าวมานั้น ยังมีงานศิลปะและงานประติมากรรมอื่นๆ ที่นำมาประดับไว้ตามสถานที่ต่างๆในโครงการ เพื่อสะท้อนถึงคุณค่าทางวัตถุ และทางจิตใจ จากแนวคิดในการนำเสนอโครงการระดับเวิลด์คลาส ที่เปี่ยมด้วยรายละเอียดเปรียบเหมือนงานศิลปะภายใต้ 4 ปรัชญา คือ

  • World-Class/Iconic Design งานดีไซน์ระดับเวิลด์คลาสและระดับไอคอนิก ที่รังสรรค์อย่างตั้งใจเพื่อให้เทียบเท่าอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก
  • Finest Materials วัสดุในการสรรค์สร้างโครงการอันทรงคุณค่าเหนือกาลเวลา
  • Craftsmanship ความประณีตบรรจงดั่งงานศิลป์ในทุกรายละเอียด
  • Curated Services การยกระดับการให้บริการไปสู่อีกขั้นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของลูกค้าระดับไฮเอนด์

มาต่อกันที่ห้อง Fitness ภายในมีเครื่องออกกำลังกายค่อนข้างหลากหลายและครบครัน โดยรอบเป็นผนังกระจก สามารถออกกำลังกายไปและชมวิวภายนอกไปได้ด้วยครับ

สิ่งที่ผมชอบคือ ฝ้าเพดานด้านบนที่ทำเป็นลวดลายของกิ่งไม้ ให้อารมณ์เหมือนเรากำลังออกกำลังกายใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางธรรมชาตินั่นเองครับ

และอีกหนึ่งจุดเด่นของห้องนี้คือเจ้าเครื่องสีขาวๆที่อยู่ตรงกลางยี่ห้อ ICAROS เป็นเครื่องออกกำลังกายแบบ VR (Virtual Reality) นั่นเองครับ

ICAROS นั้นมีลักษณะคล้ายกับเครื่องบังคับขนาดใหญ่ที่คุณจะต้องโน้มตัวนอนคว่ำลงไปกับมันโดยที่ไม่มีอะไรรองรับช่วงลำตัว แต่จะมีที่รองรับเท้า หัวเข่าแขนท่อนล่าง และด้ามสำหรับมือจับ โดยกลไกของตัวเครื่องนั้นจะทำหน้าที่เอนตัวซ้าย-ขวา เงยขึ้น-กดลง ตามการควบคุมของคุณจากการเอนตัวหรือกดน้ำหนัก ซึ่งนี่แหละครับคือการบังคับให้ร่างกายของคุณเกร็งตัวและใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในการควบคุมสมดุลของอุปกรณ์ตัวนี้ให้ได้ แต่ถ้าจะควบคุมเพื่อให้ทรงตัวอยู่บนเครื่องเฉยๆ นั้นคงจะไม่สนุกเท่าไหร่ ICAROS จึงมาพร้อมแอพพลิเคชั่นใน Samsung Gear VR (และจะรองรับระบบอื่นๆ ด้วย) ซึ่งให้คุณออกกำลังกายผ่านการเล่นเกมจำลองการบินเพื่อลอดห่วงเก็บคะแนนกลางอากาศ นั่นแปลว่าคุณจะต้องเอียงตัว โน้มน้ำหนักเพื่อควบคุมตนเองให้ตรงตำแหน่งในเกมอยู่เสมอ (ปล. ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก www.icaros.com และ www.virtualrealitythailand.com) และถ้าใครสนใจก็สามารถดูคลิปวีดีโอการทำงานของเจ้าเครื่องนี้ได้โดยคลิก

ติดกันเป็นห้อง Educational Playground เป็นห้องเด็กเล่นที่แสนสิริได้จับมือร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในการออกแบบสถานที่เล่นของเด็ก เพื่อให้เกิดการเสริมสร้างพัฒนาการด้านร่างกาย และเพิ่มพูนทักษะการเจริญเติบโตของเด็กๆอีกด้วยครับ ซึ่งการตกแต่งห้องนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้เรียบหรู และใช้วัสดุเบาะหนังอย่างดีเลยทีเดียวนะ

และสุดท้ายเป็นห้องโยคะ หรือใครจะใช้เป็นห้องอเนกประสงค์ไว้ออกกำลังกายและซ้อมกีฬาอย่างอื่นก็ได้ครับ โดยรอบเป็นกระจกเงาทั้งหมด สามารถส่องดูตอนเวลาเต้นหรือเคลื่อนไหวร่างกายแบบต่างๆได้

กลับมาที่โถงลิฟต์ในตอนแรกกันอีกครั้ง เมื่อสักครู่เราได้ไปดูทางด้านหลังอาคารที่อยู่ซ้ายมือของภาพนี้กันมาแล้วนะครับ ต่อไปเราจะไปดูทางด้านขวาหรือด้านหน้าของอาคารกันบ้างนะว่าจะมีอะไรบ้าง

ขอแวะตรงประตูกั้นฟังก์ชันของพื้นที่ส่วนกลางสักหน่อย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมชอบนะ ดีไซน์เป็นการนำอลูมิเนียมสีทองมาสานถักทอกันดูหรูหราและสวยงามมากๆ แล้วยังช่วยกั้นฟังก์ชันให้เป็นสัดส่วนมากขึ้นอีกด้วย

และเมื่อผ่านประตูมาก็จะเจอกับ The Parlour (เดอะ พาลัวร์) เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่ให้ลูกบ้านได้ลงมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ รับแขกที่มาเยี่ยมเยือน หรือจัดปาร์ตี้ร่วมกับเพื่อนบ้านในโครงการได้ ซึ่งตรงกลางห้องจะมีชุดโซฟาขนาดใหญ่อยู่หลายชุด ทางขวามือเป็นโต๊ะไม้จามจุรีขนาดใหญ่ที่เป็นเนื้อเดียวกันหมดทั้งโต๊ะเลยครับ และทางซ้ายมือเป็นเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งภายในจะมีตู้แช่ไวน์อยู่ด้วย

อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้คือ จะมีทีม All Suite Butler ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร British Butler Institute เพื่อตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดย Nai Lert Butler ประกอบด้วย Director of Living ผู้ดูแลการอยู่อาศัยของลูกบ้าน และ Butler Concierge ผู้อำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน บริหารจัดการโดย PLUS Property ซึ่งมีบริการด้านไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยย่านทองหล่อ ได้แก่

  • Navigator/Shuttle บริการรถรับส่งพร้อมคนขับรถ นอกจากนี้ยังมีบริการรถลีมูซีนสำหรับลูกบ้านที่สามารถเรียกใช้บริการได้แบบเป็นครอบครัว และมีบริการรับจอดรถยนต์ (Valet Parking) อีกด้วย
  • Mixologist นักรังสรรค์เครื่องดื่มสุดพิเศษสำหรับลูกบ้าน โดยบาร์เทนเดอร์ชื่อดังจากบาร์ย่านทองหล่อ ซึ่ง Butler จะจดจำได้ว่าลูกบ้านคนไหนชอบเครื่องดื่มอะไร ใส่น้ำตาลกี่ช้อน เป็นต้น
  • Romanceologist ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกลิ่นที่จะมาคอยให้คำปรึกษาเรื่องการสร้างสุนทรียะด้านกลิ่นหอมภายในห้อง เช่น มาผสมน้ำหอมและทำสปาในอ่างอาบน้ำห้องเรา เป็นต้น
  • Healthologist เทรนเนอร์ดูแลสุขภาพให้คำปรึกษาการใช้เครื่องออกกำลังกาย

ออกมาจากห้อง The Parlour จะมีสะพานเชื่อมต่อไปยังอาคารสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านหน้าโครงการครับ

สระว่ายน้ำเป็นแบบ Freeform ระบบเกลือ และทางด้านขวาจะมี Vertical Garden ช่วยพรางสายตาจากอาคารข้างเคียง แล้วยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับส่วนกลาง ทำให้สดชื่นมากขึ้นอีกด้วย

ทางด้านซ้ายของสระจะมีทางเดินและมี Day Bed ตั้งอยู่ สามารถมานอนพักผ่อนริมสระหรือนอนอาบแดดก็ได้ครับ ซึ่งระแนงด้านบนเป็นเพียงการประดับตกแต่งเท่านั้น ไม่สามารถช่วยบังแดดได้นะครับ แต่หากในอนาคตทางโครงการปลูกไม้เลื้อยขึ้นไปก็จะทำให้ร่มรื่นและสดชื่นขึ้นเยอะเลย

ซึ่งนอกจาก Day Bed แล้ว ในสระจะมีทั้งเครื่องเจ็ทและสระเด็กอยู่ด้วย แต่จุดที่อยากเล่าจริงๆ คือวัสดุปูพื้นของสระจะเป็นหินไวท์ คลาวด์ (White Cloud) สีขาวเทา ที่ดูสวยงามมากครับ

ที่ปลายสุดของสระจะเป็นขั้นบันไดเล่นระดับแบบ contour เหมือนรูปทรงของตัวอาคาร และจะมีราวกระจกกั้นเอาไว้ให้เดินขึ้นไปได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนที่เหลือจะเป็นเพียงสวนประดับตกแต่งนะครับ

ปิดท้ายภาพส่วนกลางกันด้วยการมองย้อนกลับไปมองตึกกันสักนิด จะเห็นได้ว่าตัวอาคารมีความสูงเด่นและดูสวยกว่ามองจากด้านล่างซะอีกครับ ซึ่งลักษณะ facade ก็ดู Minimal style ที่เข้ากับทุกยุคทุกสมัยได้ดีเลยทีเดียว

 


 

พาชมห้องตัวอย่าง

โครงการนี้มีห้องตัวอย่างให้ชม 2 Type นะครับ ขายแบบ Fully Fitted คือมีเคาร์เตอร์ครัว ชุดตู้ Built in ทั้งหมดภายในห้อง เครื่องปรับอากาศ และสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำครบ ขาดก็แต่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและตกแต่งเพิ่มเติมอีกหน้อยก็เข้าอยู่ได้แล้วครับ ซึ่งก็อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ช่วงแรกว่าโครงการนี้มีแนวคิด Luxury is Space ที่จะสะท้อนออกมาในรูปแบบพื้นที่อยู่อาศัยของขนาดใหญ่มาก เพื่อทำให้มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางและให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากที่สุด แต่ยังคงมีความสะดวกสบายในแบบคอนโดมิเนียมอยู่ด้วย จะเป็นอย่างไรลองไปชมกันเลยครับ

ห้อง 2 Bed 2 Bath ขนาด 124.25 ตร.ม. ห้องนี้จะมีตั้งแต่ชั้น 3 – 27 ซึ่งจะเป็นชั้นที่มีแค่ 4 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น และนอกจากนี้ยังมีลิฟต์ส่วนตัวอีก 2 ตัวด้วย ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆครับ ออกจากลิฟต์มาก็จะเจอ Foyer เป็นส่วนต้อนรับก่อน สามารถทำประตูกั้นเพื่อให้เกิดความเป็นสัดส่วนมากขึ้นได้ พื้นที่ในบ้านจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน โดยตั้งแต่หน้าโถงลิฟต์ตรงกลางห้องแล้วไปทางซ้ายมือจะเป็นโซนพื้นที่ใช้งานร่วมกัน เป็น Common area ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และครัว ซึ่งพื้นที่ทุกฟังก์ชันจะได้รับแสงธรรมชาติจากช่องหน้าต่างที่ยาวตลอดแนวไปแบบเต็มๆ ส่วนถ้าใครกังวลเรื่องกลิ่นอาหารก็สามารถกั้นครัวปิดได้นะครับ แล้วค่อยเปิดระบายอากาศจากระเบียงได้เลย เอาให้เต็มที่ ส่วนพื้นที่นั่งเล่นเห็นอย่างนี้ก็ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ Semi Outdoor นะครับ เพราะถ้าเปิดประตูหน้าต่างออกจนหมดมันก็จะกลายเป็นระเบียงเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกดีๆนี่เอง

ถัดมาฝั่งขวาของห้องจะเป็นโซนพื้นที่พักผ่อน ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งมีห้องน้ำในตัวจึงมีความเป็นส่วนตัวมากๆ และภายนอกก็จะมีห้องน้ำแบบ Powder room ให้ใช้แยกต่างหากอีกด้วย ข้อดีของห้องมุมแบบนี้คือจะมีช่องแสงถึง 2 ฝั่ง และผนังเปิดรับวิวได้ทั้ง 2 ด้าน ถือเป็น Value ที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้สำหรับคอนโดสูงๆแบบนี้ครับ ห้องแบบนี้จึงเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก-กลาง ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และมีช่องแสงโดยรอบที่โปร่งโล่ง เน้น Take View ใจกลางเมืองกรุงฯ ที่ค่อนข้างสวยงามทั้งตอนกลางวันและกลางคืนครับ

มาชมของจริงกันเลยดีกว่า ซึ่งต้องบอกก่อนนะครับว่านี่เป็นแค่พาชมเท่านั้น ผมจะบอกข้อมูลเท่าที่ทราบให้ฟัง อาจไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก แต่ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ไว้มีโอกาสจะทำรีวิวเจาะลึกแบบละเอียดให้ดูกันอีกครั้งนะครับผม

เริ่มแรกเข้ามาในห้องเราจะออกมาจากลิฟต์โดยสาร ซึ่งจะสามารถใช้ได้ห้องละ 2 ตัว พื้นที่ส่วนแรกเป็น Foyer ซึ่งนอกจากจะเอาไว้ถอด-ใส่รองเท้านั้น ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกจากรองเท้าเข้าไปเลอะในห้องอีกด้วย และสามารถติดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวหรือกันกลิ่นอับจากรองเท้าไม่ให้เข้าห้องก็ได้นะครับ

ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นพื้นที่ Common area ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกันตั้งแต่พื้นที่นั่งเล่น โต๊ะทานอาหาร และครัว ซึ่งหากเปิดม่านทั้งหมดล่ะก็ ห้องนี้จะสว่างและโปร่งโล่งมากเลยครับ โดยความสูงจากพื้นถึงฝ้าจะอยู่ที่ 3 m. และมีส่วนที่ดรอปจากเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้าอยู่ที่ 2.7 m. ครับ พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนสีขาว (White Venus) ส่วนผนังและฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสี พร้อมได้ไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้าครับ

และช่องหน้าต่างของห้องนั่งเล่นตรงนี้คือจุดที่ผมได้บอกไปตอนช่วงแปลน คือบานหน้าต่างทั้งหมดสามารถเปิดออกได้จนสุดเหมือนเป็นประตูบานเฟี้ยม จะทำให้พื้นที่ส่วนนี้เชื่อมต่อกับภายนอกโดยมีขอบราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass กั้นเอาไว้ให้ เหมาะสำหรับเปิดรับลมหรือจัดปาร์ตี้มากๆ

อ่อ… ผมเกือบบอกไปนะว่า กระจกหน้าต่างของโครงการนี้เป็นกระจก Insulated Laminate Low-E ที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนได้มากถึง 50% ป้องกันรังสี UV 90% และป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้มากถึง 30% เรียกได้ว่า ถึงห้องจะมีช่องหน้าต่างเยอะขนาดนี้ก็ยังไม่ร้อนและเสียงยังเงียบอีกด้วยครับ

ถัดเข้ามาอีกส่วนหนึ่งจะเป็นโต๊ะทานอาหารและครัว โดยของจริงเราก็จะได้เป็นไอส์แลนด์หินอ่อนตรงกลางแบบนี้เลยครับ ใช้เป็นพื้นที่เตรียมอาหารได้เต็มที่ ส่วนครัวก็จะได้เป็นชุด Built in ของ Binova นำเข้าจากอิตาลีแบบนี้เลยนะ มีอ่างล้างจานขนาดใหญ่ของ Franke และชุดเตาไฟฟ้าของ Smeg ครับ และถ้ามองดูดีๆที่สุดปลายทางตรงผนังจะมีประตูอีกบานหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือประตูเปิดออกไปยัง Service Lift ภายนอกนั่นเองครับ ใช้สำหรับขนของและน้องหมานะ

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นส่วนพักผ่อนครับ มีโถงทางเดินกลางห้องแจกไปยังห้องนอนต่างๆได้

ห้องแรกเป็น Powder room สำหรับพื้นที่ส่วนกลางภายนอก เป็นห้องน้ำที่ไม่มีพื้นที่อาบน้ำ ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ลายหินอ่อนสีขาว แต่อ่างล้างหน้าเป็นหินอ่อนแท้นะครับ ส่วนสุขภัณฑ์ภายในทั้งหมดจะเป็นของ Cotto พร้อมโถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติอีกด้วย

ติดกันเป็นห้องนอนเล็ก ที่ภายในมีขนาดกว้างขวางไม่แพ้ห้องนอนใหญ่เลยครับ มีพื้นที่เหลือเฟือ สามารถวางเตียง King size แล้วยังมีพื้นที่เหลือให้จัดมุมพักผ่อนส่วนตัวเพิ่มได้ตามความชอบ ส่วนพื้นของห้องนอนทุกห้องจะเปลี่ยนจากพื้นหินอ่อนเป็นพื้นไม้ Engineering Wood นะครับ

รวมถึงภายในห้องนอนเล็กก็จะมีห้องน้ำในตัวด้วย เพียงแต่คราวนี้จะมีพื้นที่อาบน้ำและกั้นเป็นฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้แล้วพร้อมใช้งาน

สุดท้ายเป็นห้อง Master Bedroom ภายในมีขนาดพื้นที่เตียงนอนที่ใหญ่เหมือนห้องเมื่อสักครู่ และจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปเป็น Walk in closet และห้องน้ำซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าห้องที่แล้วมาก

และนี่คือห้องน้ำที่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของห้องนี้ เพราะได้ผนังกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าแบบเต็มผนัง ทำให้เราสามารถอาบน้ำไปแล้วชมวิวไปได้ด้วยเพลินๆครับ และนอกจากนั้นห้องนี้ยังมีฟังก์ชันอ่างอาบน้ำแบบตั้งลอยมาให้เพิ่มด้วยนะ

แต่จุดที่แอบจะแปลกใจสักหน่อยคือ ตำแหน่งโถสุขภัณฑ์ที่ไปหลบมุมอยู่ทางซ้ายมือซะงั้น ระยะทางเข้าและพื้นที่ใช้งานมีขนาดพอดีตัว ถือว่ายังสามารถใช้งานได้อยู่ครับ

ห้อง 3 Bed 3 Bath ขนาด 252.25 ตร.ม. จะมีตั้งแต่ชั้น 29 – 40 แค่ชั้นละ 2 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งห้องหนึ่งก็กินพื้นที่ครึ่งไปหนึ่งของตึกเลยทีเดียว และมีข้อดีมากกว่าห้อง 2 Bedroom ตรงที่มีช่องแสงมากถึง 3 ด้าน รวมถึงสามารถจัดแบ่งฟังก์ชันได้ลงตัวเหมือนอยู่บ้านเลยครับ โดยเมื่อเราออกมาจากโถงลิฟต์แล้วก็จะเจอกับ Foyer เช่นเดียวกับห้องที่แล้ว แต่คราวนี้พื้นที่ต่อมาจะไม่ใช่ Common area แต่เป็นระเบียง ซึ่งทำหน้าที่เป็นกึ่งๆ Semi Outdoor และเป็นตัวคั่นระหว่างส่วนพักผ่อนของเจ้าของห้องและส่วนของแม่บ้านแยกออกจากกัน เวลาตอนกลางคืนก็สามารถล็อคประตูปิดเพื่อแยกโซนออกจากกันได้เลยครับ สำหรับโซนแม่บ้านจะประกอบไปด้วยครัวฝรั่งเอาไว้เตรียมอาหารได้ และมีครัวไทยสำหรับแม่บ้านแยกออกต่างหาก รวมถึงมีห้องน้ำและห้องนอนแม่บ้านครบครัน

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นโซนพักอาศัยของเจ้าของ พื้นที่ส่วนแรกคือ Common area ขนาดใหญ่มาก มีผนังกระจกถึง 2 ด้าน ทำให้โปร่งโล่งและ Take View ได้เต็มที่ ถัดเข้ามาด้านในจึงจะเป็นห้องนอน 3 ห้องแยกออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน และมีห้องน้ำในตัวจึงได้ความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ห้องนี้จึงเหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคนที่ชอบพื้นที่กว้างๆขนาดใหญ่มากพอที่จะจัดเลี้ยงปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนๆจำนวนมากได้ รวมถึงคนที่ชอบอยู่คอนโดตึกสูง แต่ยังชอบฟังก์ชันและอารมณ์เหมือนอยู่บ้าน ซึ่งห้องนี้ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์

มาดูของจริงกันเลยครับ พื้นที่แรกต่อจาก Foyer จะเป็นระเบียงขนาดใหญ่ที่ทั้งพื้นและฝ้าปิดผิวด้วยไม้ทั้งหมด เป็นตัวคั่นกลางระหว่างพื้นที่แม่บ้านทางด้านซ้าย กับพื้นที่พักผ่อนของเจ้าของห้องทางด้านขวา ซึ่งผนังทั้ง 3 ด้านเป็นกระจกจึงค่อนข้างโปร่งโล่งมากครับ

โดยกระจกบานเฟี้ยมตรงนี้หากเปิดออกก็จะกลายเป็นพื้นที่ Semi Outdoor ทันที สามารถหาเก้าอี้สนามมานั่งเล่นตรงนี้และจัดเป็นสวนเล็กๆ เหมือนเป็นพื้นที่ข้างบ้านแบบภายนอกจริงๆไปเลยก็ได้ครับ

มาเริ่มที่ทางด้านขวาของเจ้าของบ้านกันก่อนนะ ซึ่งห้องตัวอย่างของ Type นี้จะเป็นห้องเปล่าแบบมาตรฐานเลย พื้นที่แรกเป็น Common area ที่มีขนาดใหญ่มาก สามารถจุคนได้มากถึง 20 คน ใช้จัดปาร์ตี้ใหญ่ๆกันได้เลย แต่ทีเด็ดไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับ ถ้าเรามองไปทางซ้ายจะเห็นผนังกระจกทั้ง 2 ด้าน จึงทำให้ได้ภาพวิวเมืองแบบ Panorama แบบนี้ ซึ่งบอกได้เลยว่าสวยมากทั้งเวลากลางวันและกลางคืนครับ ส่วนพื้นที่ภายในก็จัดแบ่งได้เลยตามความชอบ เป็นทั้งพื้นที่นั่งเล่นขนาดใหญ่ มีโต๊ะอาหารตัวยาวๆ และเพิ่มเคาน์เตอร์บาร์ หรือไอส์แลนด์ก็ใส่ได้เต็มที่เลยครับ

ส่วนทางด้านขวาจะมีชุดตู้ Built in มาให้เต็มผนังแบบนี้เลย มีที่เก็บของค่อนข้างเยอะ และที่สำคัญคือมีทั้งตู้เย็น เตาอบไฟฟ้า และตู้แช่ไวน์ ซ่อนเอาไว้ให้พร้อมใช้งาน

ส่วนห้องนอนเล็กสุดจะมีขนาดพื้นที่ประมาณนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะวางเตียง 5 ฟุต และตู้เสื้อผ้า รวมถึงโต๊ะอเนกประสงค์ได้สบายครับ แต่ที่สำคัญคือทุกๆห้องจะได้ช่องแสงแบบเต็มผนังแบบนี้เลย ทำให้ Take View ได้ค่อนข้างดีและโปร่งโล่งทุกห้อง

ติดกันเป็นห้อง Master Bedroom จะอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นมุมตึกอีกมุมพอดีเหมือนกับห้องนั่งเล่น เท่ากับว่าห้อง Type นี้จะได้หน้าต่างเข้ามุมอาคารถึง 2 มุมเลยทีเดียวครับ นอกจากห้องจะสว่างและโปร่งโล่งแล้ว ยังทำให้ได้วิวที่ดีมากขึ้นอีกด้วย

ห้องนี้ผมถ่ายตู้เสื้อผ้าที่เขา Built in มาให้ดูด้วยนะ ตู้มีขนาดใหญ่เต็มผนัง ภายในมีที่เก็บของเยอะแยะเลย ไม่ต้องกลัวว่าคุณผู้หญิงจะเก็บของไม่พออีกต่อไปแล้วครับ

ส่วนห้องน้ำก็จะเหมือนเดิมนะครับ นอกจากจะมีพื้นที่ยืนอาบน้ำแล้ว ก็ยังมีอ่างอาบน้ำพร้อมกระจก Sexy Bath ให้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ห้องน้ำโปร่งโล่งมากขึ้นและสามารถนอนแช่น้ำไป ดูทีวีหรือชมวิวด้านนอกไปได้ในตัวด้วยนะ

ต่อไปเราจะไปดูกันที่ฝั่งแม่บ้านกันบ้างนะครับ ซึ่งก็จะมีประตูกระจกบานเลื่อนคั่นอยู่ตรงนี้ แต่หากเวลากลางคืนเราจะล็อคประตูให้แม่บ้านอยู่แต่เฉพาะในพื้นที่ส่วนของเขาก็สามารถล็อคได้ทั้งประตูกระจกบานเลื่อนตรงนี้ หรือจะเป็นประตูบานทึบด้านในก็ได้ครับ เพราะพื้นที่ตรงนี้อาจเผื่อเอาไว้ดึกๆ เกิดหิวน้ำหรือขนมขึ้นมาจะได้เดินมาทานได้ ซึ่งก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าแม่บ้านว่าจะโดนขังนะครับ เพราะทางครัวไทยจะมีทางออกไปใช้ Service Lift ภายนอกได้อยู่แล้ว

ถัดเข้ามาเป็นพื้นที่เตรียมอาหารหรือครัวฝรั่ง ซึ่งเราก็จะได้ชุดตู้ Built in และโต๊ะไอส์แลนด์หินอ่อนแบบนี้เช่นเคยเลยครับ และถึงแม้ว่าผมจะบอกว่าเป็นครัวฝรั่งแต่ก็สามารถทำอาหารได้จริงจังเลยนะ เพราะเป็นครัวปิดและมีหน้าต่างระบายอากาศได้อยู่แล้วในตัวครับ

ติดกับจะมีห้อง Powder room อยู่ด้วยครับ เอาไว้ให้เจ้าของห้องใช้ เผื่อทำอาหารอยู่แล้วเกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาก็จะได้ไม่ต้องเดินไกลไปถึงอีกฝั่งของห้องนะ

และส่วนสุดท้ายคือพื้นที่ครัวไทยที่อยู่ด้านในสุดเลยครับ มีชุดตู้ Built in เตรียมไว้ให้พร้อม ส่วนประตูทางด้านซ้ายจะเป็นห้องนอนแม่บ้านนะ

สำหรับห้องแม่บ้านจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก สามารถวางเตียง 3.5 ฟุตกับตู้เสื้อผ้าได้อย่างละชิ้น แต่ทีเด็ดคือถึงแม้จะเป็นห้องนอนแม่บ้าน แต่ก็ได้ช่องหน้าต่างแบบเต็มผนัง และได้วิวดีไม่แพ้เจ้าของห้องเลยครับ

รวมถึงภายในก็มีห้องน้ำในตัวด้วยนะครับ เอาไว้ใช้แยกออกจากเจ้าห้อง เพื่อความเป็นส่วนตัว

และสำหรับสวิตซ์ไฟของที่นี่หน้าตาจะแตกต่างจากปกติอยู่สักหน่อย ซึ่งเป็นของยี่ห้อ Legrand แบรนด์ไทยที่พึ่งผลิตและนำมาใช้กับที่นี่เป็นโครงการแรกเลยครับ

ปิดท้ายกันด้วยวิวเมืองมาฝากกันนะครับ ภาพนี้เป็นวิวฝั่งทองหล่อที่หันไปทางถนนสุขุมวิทและรถไฟฟ้า BTS มีระยะห่างจากตึกสูงข้างเคียงมากเลย และอาคารนี้ยังสูงกว่ามากด้วย

และอีกภาพหนึ่งคือด้านหน้าโครงการที่หันไปทางอโศกครับ โดยปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็นแนวราบ ไม่ค่อยมีตึกสูงมาบังเลยครับ ถือว่าเป็นโครงการที่ได้วิวดีมากๆอีก โครงการหนึ่งเลยก็ว่าได้

 


 

… ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับการพาชมโครงการ The Monument ทองหล่อ จาก แสนสิริ ถ้าเพื่อนสนใจรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูได้จากเว็บโครงการที่นี่ คลิก

สำหรับรีวิวเจาะลึกฉบับเต็ม หากเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากให้ผมทำรีวิวเพิ่มเติมพร้อมวิเคราะห์เจาะลึกแบบละเอียด หรือใครมีความเห็นกันว่ายังไง ก็สามารถ comment กันมาได้ที่ใต้ล่างนี้เลยนะครับ ขอบคุณครับ