รีวิวฉบับที่ 1976 …  วันนี้จะพาไปชมตึกเสร็จกับโครงการ “TELA ทองหล่อ”คอนโดสุดหรูระดับ Ultimate Class บนทำเลใจกลางทองหล่อที่เต็มไปด้วยแหล่งความอุดมสมบูรณ์ จัดเป็นคอนโดระดับบนที่เน้นความเป็นส่วนตัวเพียง 84 ยูนิต โครงการนี้ Gaysorn Property ใช้ทีมสถาปัตย์ชื่อดังอย่าง SCDA ของสิงคโปร์ ตอนนี้เหลือขาย 6 ยูนิต ในราคาโปรโมชั่นเริ่มต้น 68 ล้านบาท จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลย

Fact @ 05 November 2019

  • TELA Thonglor (เทลล่า ทองหล่อ)
  • บริษัท เกษรวัฒนา จำกัด
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : วัฒนา
  • คอนโด High Rise 32 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น จำนวน 84 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ)
  • ที่ดินประมาณ 1-3-63 ไร่
  • Tela Sienna และ Tela Amber : 2-Bedroom 111 ตร.ม. (Sold Out)
  • Tela Legacy Suite A&B : 3-Bedroom 201-202 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 73.2 ล้านบาท
  • Tela Sky Villa – Furnished with Roberto Cavalli Home Interiors by DM HOME : 3 Plus 1 Bedroom Duplex Penthouse 349 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 255 ล้านบาท
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3.2 เมตร และ ส่วนที่มีงานระบบแอร์เหลือ 2.7 เมตร
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร เฉพาะห้องที่เหลือขายอยู่ประมาณ 367,751 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเริ่มและสูงสุดต่อตารางเมตร 364,124 – 734,089 บาท/ตร.ม.
  • สถานะโครงการ : สร้างเสร็จปี 2562
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร  : +66(2) 612 5959 หรือ +66(61) 215 0999

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.733233, 100.582155
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

ที่ตั้งของโครงการ TELA ทองหล่อ อยู่ในซอยสุขุมวิท55 หรือที่เรียกกันว่าซอยทองหล่อ พื้นที่โครงการอยู่ตรงปากซอยทองหล่อ 13 แปลงมุม หรือร้านอาหารต้นเครื่องเก่า ด้วยตัวทำเลถือว่าเป็นแหล่งที่ได้รับความนิยมมากด้วยเส้นทางที่เข้าได้จากถนนใหญ่ ทองหล่อเป็น 1 ใน Prime Area ยอดฮิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ภายในตัวเองสูง และเป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในตัวเอง นอกจากโครงการจะอยู่ติดถนนใหญ่แล้ว ยังอยู่ติดกับซอยทองหล่อ 13 ซึ่งเป็นซอยลัดไปออกพร้อมพงษ์ อโศก หรือออกไปเพชรบุรีได้ด้วย

** ส่วนพาร์ททำเลจะไม่อธิบายซ้ำนะคะ เพราะเคยทำรีวิวแบบเจาะลึกไว้แล้ว  “รีวิวทำเลแบบเจาะลึก คลิกที่นี่”

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

ผ่านมา 2 ปี หลังจากที่มีการมาทำรีวิวสมัยเมื่อเปิดตัวโครงการไป ในบริเวณนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนใหญ่ที่ติดถนนก็เป็นพวกคอนโด High Rise สูงๆ สลับกับ Community Mall ต่างๆ ส่วนพื้นที่ในซอยก็ยังคงเป็นบ้านพักอาศัยเป็นหลัก ที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดๆ ก็อย่างเช่นคอนโดฝั่งตรงข้ามที่สร้างเสร็จแล้ว เพิ่มมาอีก 1 ตึก จะขอสรุปพื้นที่รอบข้างทีละทิศ ตามนี้


ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ซอยทองหล่อ 13 กว้าง 2 เลนถนน มีอาคาร Home Place สูง 20 ชั้นตั้งบังวิวอยู่

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ซอยทองหล่อ กว้าง 6 เลนถนน ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถว 4 ชั้น และคอนโดสูง 27 ชั้น แต่ระยะห่างระหว่างอาคารกับโครงการเราน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 เมตร ไม่ได้ประชิดอะไรมาก

ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : จากพื้นที่ใกล้ที่สุดคือบ้านพักอาศัย ร้าน Starbucks ที่เป็นรูปแบบบ้าน และพื้นที่ก่อสร้างตรงปากซอยทองหล่อ 11 คือ The Taste เป็น Community Mall

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ถูกยึดครองด้วย Community Mall อย่าง Seen Space และ The Moment และในซอยมีคอนโดและอพาร์ตเมนท์อย่าง Waterford สูง 15 ชั้น

ซึ่งห้องพักของโครงการจะมีอยู่ 2 ทิศหลักๆ คือ ห้องทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และห้องทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เราจึงจะพาไปชมวิวใน 2 ฝั่งนี้นะคะ

วิวจากห้องทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะมองออกไปเห็นคอนโด Khun by Yoo พอดี ถ่ายจากห้องที่ความสูงประมาณชั้น 6 ก็ดูไม่ค่อยอึดอัดเท่าไหร่นะ เพราะอย่างที่บอกว่ามีระยะห่างพอสมควรประมาณ 60-70 เมตร

จากห้องทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถ้ามองเอียงไปทางใต้อีกหน่อย จะได้วิวถนนทองหล่อเต็มๆ เป็นวิวอาคารต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายบนถนนก็สวยไปอีกแบบ

ส่วนวิวจากห้องทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นวิวที่มองเข้าไปซอยทองหล่อ 13 มีอาคาร Waterford สูง 15 อยู่ในระยะประชิด แต่โดยรวมก็ยังคงเป็น Community Mall 2-3 ชั้น และ บ้านพักอาศัยที่มีความสูงไม่มาก ทำให้บรรยากาศไม่อึดอัดนัก และรูปที่ถ่ายเราถ่ายจากชั้น 5 ซึ่งจริงๆ แล้วห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 6 ขึ้นไปจนถึง 32 จึงจะได้วิวที่โล่งกว่านี้นะคะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • J Avenue ∼ 210 m.
  • The Commons ∼ 300 m.
  • โรงพยาบาลคามิลเลียน ∼ 1 km.
  • โรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep ∼ 1.3 km.
  • Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit ∼ 1.7 km.
  • โรงเรียนนานาชาติเอกมัย ∼ 1.8 km.
  • EmQuartier ∼ 2.1 km.
  • Rain Hill ∼ 2.2 km.
  • ท้องฟ้าจำลอง ∼ 2.2 km.
  • Parklane Ekkamai ∼ 2.3 km
  • Emporium ∼ 2.4 km.
  • โรงพยาบาลสุขุมวิท ∼ 2.7 km.
  • มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ∼ 2.8 km.
  • มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ∼ 3 km.
  • K Village ∼ 3.2 km.
  • โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ∼ 3.3 km.
  • W District ∼ 3.4 km.
  • โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ∼ 3.7 km.


เจาะลึกตัวโครงการ

โครงการ Tela ทองหล่อเป็นคอนโด High Rise 31 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น จำนวน 84 ยูนิต สร้างบนเนื้อที่ดินเกือบ 2 ไร่ ออกแบบโครงการภายใต้แนวคิด “Canvas of Life” ตัวหน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นการออกแบบที่ยังสวยหรูได้นาน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม

โครงการจัดวาง Facilities หลักอยู่ที่ชั้น Ground และชั้น 5 / มีที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ) / โครงการที่นี่เน้นเป็นแบบห้องใหญ่ที่มีแค่ 2-3 Bedroom เป็นหลัก ขนาด 111-202 ตร.ม. ซึ่งเน้นแบบ Private หน่อยจะมียูนิตต่อชั้นแค่ 4 ยูนิตเท่านั้นและเป็น Private Lift อีกด้วย Typical Plan ชั้นพักอาศัยหลักจะอยู่ที่ 6-25 และชั้น 26-29 จะเป็น Type พิเศษ 3-4 Bedroom Duplex มีแค่ 4 ยูนิตเท่านั้น

มาดู Master Plan กันบ้างค่ะ ทางเข้าออกหลักของโครงการจะอยู่บนซอยทองหล่อเลยนะคะ แต่ก็มีประตูเล็ก ให้เดินเข้าออกได้ด้วยบริเวณซอยทองหล่อ 13 ซึ่งที่นี่ใช้ระบบ Keycard Access และรั้วกั้นไม้กระดกปกติ พอเข้ามาแล้วส่วนทางเข้ามือจะเป็น Drop-Off ขนาดใหญ่หน่อย ซึ่งรองรับรถที่หมุนเวียนมารอส่งได้มากกว่า 1 คัน การเดินรถรอบๆโครงการเป็นแบบทูเวย์ปกติ โดยมีทั้งทางลงชั้นจอดรถใต้ดินไปอีก 2 ชั้น และอ้อมไปด้านหลังขึ้นไปจอดรถในอาคารได้ถึงชั้น 4

ส่วน Facilities ในอาคารจะมีตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าประตูที่เป็น Arrival Lobby มีพนักงานคอยต้อนรับและ Service เหมือนอยู่โรงแรม พอเข้าไปด้านในเป็น Lounge ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเรียกว่า Amber Lounge ด้านในมีโถงลิฟต์ (ที่เป็น Private Lift นะ) และห้องตรงข้ามที่ติดกันเป็น Children Play Area หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Family Room และพื้นที่ด้านนอกจะเป็นส่วนของ Resident’s Garden & BBQ Area

ทางเข้าโครงการติดซอยทองหล่อ ซึ่งมีความกว้างของประตูที่เปิดไว้กว้างเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความเชื่อมต่อพื้นที่ภายในกับพื้นที่ภายนอกโครงการ รั้วกำแพงแต่งด้วยหินสลักและมีการติด Signage ชื่อโครงการเอาไว้ โดยใช้พื้นด้านหลังตัวอักษรเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำของโครงการนี้นะคะ

ทางขวามือของประตูเป็นสระนำ้พุ ตกแต่งด้วยประติมากรรมที่ถอดแบบมาจากรูปทรงของ “ปลา” ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง

มองๆ ไปจะดูคล้ายๆ ฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยกำลังกระโดดเล่นน้ำกันอยู่

เข้าไปด้านในจะมีป้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ทางซ้ายและมีพี่รปภ. ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ตรงเข้าไปด้านในจะมี Drop-Off สำหรับรับ-ส่งลูกบ้าน

บริเวณ Drop-Off ด้านหน้าอาคารมีพื้นที่ให้วนรถรับ-ส่งลูกบ้าน หรือถ้าเป็นแขกของลูกบ้านก็สามารถจอดบริเวณนี้ได้ รองรับได้ประมาณ 6-7 คัน ส่วนลูกบ้านที่จะขับรถเข้าไปจอดในอาคารก็ชิดซ้ายไปยังทางเข้าที่จอดรถ

บริเวณทางเข้า-ออกทางเข้าที่จอดรถจะมีการติดตั้งไม้กั้นกระดก ลูกบ้านผ่านเข้าออกได้สะดวกด้วยระบบ RFID คือไม้กระดกจะเปิดเอง เหมือนตอนที่เราใช้ Easy Pass ขึ้นทางด่วน และมีกล้องบันทึกป้ายทะเบียนรถเพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้นด้วย

ทางเดินรถภายในโครงการเป็นแบบทูเวย์ปกตินะคะ ฝั่งขวาเป็นที่จอดรถสำหรับส่งของ หรือจอดรถ Service เพราะจะอยู่ติดกับ Service Lift เลย และจะมีการติดตั้งจุดชาร์จไฟรถไฟฟ้า (EV Charger) ให้ด้วยที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มเห็นในหลายๆ โครงการแล้วนะคะ

ถัดไปจะเป็นส่วนของทางลงชั้นจอดรถใต้ดินซึ่งมี 2 ชั้น

อ้อมมาส่วนของด้านหลังโครงการ ฝั่งนี้ไม่มีอะไรเป็นทางเดินรถปกติ รั้วกำแพงติดกับคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง Seenspace 13

ด้านข้างทางเดินรถมีพื้นที่ให้พาน้องหมามาขับถ่าย เดินเล่นได้ด้วย

พอเลี้ยวมาด้านในสุดจะเจอกับทางขึ้นที่จอดรถบนอาคาร (ชั้น 2-4) อย่างที่บอกไปตอนแรกที่นี่มีที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% ซึ่งเป็นแบบจอดปกติเลย ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับคอนโดระดับเดียวกัน ส่วนประตูทางฝั่งซ้ายเป็นทางเดินเข้าออกที่แยกไว้ให้ส่วน Service เช่น แม่บ้าน คนสวน

เลี้ยวขึ้นมาตามทางเดินรถก็จะถึงชั้นจอดรถแล้ว ขนาดของทางเดินรถก็มีความกว้างที่ได้มาตรฐานดี ใช้งานได้สะดวก มีลูกศรบอกเส้นทางการเดินรถไว้ชัดเจน

บรรยากาศภายในที่จอดรถทำได้โปร่งโล่งดี

สังเกต Facade ของอาคารมีการตกแต่งด้วยอลูมิเนียมอคอมโพสิต ทำลวดลายเป็นเกล็ดปลา เวลาสะท้อนกับแสงก็ดูมีมิติดีนะ

มองดูใกล้ๆ ก็เป็นเหมือนเกล็ดปลาแบบนี้

ในส่วนของช่องจอดรถมีขนาดตามมาตรฐาน ด้านหลังมีตัวหนอนเป็นกันชนไว้ให้เรียบร้อย

จากบริเวณที่จอดรถก็สามารถเดินเชื่อมเข้าอาคารได้เลย

การเข้าอาคารก็จะต้องใช้ Key Card เพื่อผ่านเข้า Lift Lobby อีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของลูกบ้าน ก่อนจะเข้าอาคารเดี๋ยวเรากลับไปดู Facilities ส่วนอื่นๆ ที่บริเวณชั้น 1 กันต่อนะคะ

กลับมาที่บริเวณด้านหน้าโครงการ สำหรับแขกที่มาหาลูกบ้านพอจอดรถที่ Drop-Off ด้านหน้าแล้ว ก็เดินมาติดต่อที่ Reception ได้เลย ที่คอนโดนี้จะมีพนักงานติดต่อลูกบ้านให้และจะช่วยพาแขกขึ้นไปส่งที่ห้องให้ด้วยนะ แต่จะต้องได้รับการยืนยันจากเจ้าของห้องก่อนว่าใช่แขกของลูกบ้านจริงๆ

เคาน์เตอร์ Reception จะมีดีไซน์เป็นเคาน์เตอร์ยาว ผนังด้านหลังมีการตกแต่งที่ล้อไปกับน้ำพุด้านหน้า คือเหมือนเป็นปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ว่ายน้ำอยู่

มองจากด้านในอาคารก็จะเห็นเคาน์เตอร์ Reception ที่ดูยาวๆ เหมือนเชื่อมกับเคาน์เตอร์ด้านนอกแบบนี้

เข้ามาด้านในอาคารจะมีทางไป Mail Box และนิติบุคคลอยู่ทางฝั่งซ้าย และถ้าตรงเข้าไปด้านในจะเป็น Lobby ที่มีชื่อเรียกว่า Amber Lounge ที่เป็นพื้นที่ให้มานั่งพักคอย นั่งเล่นได้

เรามาเดินตามป้ายไปดูในส่วนของ Mail Box และห้องนิติบุคคลกันก่อน

ระหว่างทางมีน้ำไว้บริการด้วย แช่อยู่ในตู้เย็นเลย ทั้งลูกบ้านและแขกสามารถหยิบทานได้ แบบนี้ก็สะดวกสบายดีแบบไม่ต้องขึ้นไปทานที่ห้องเลยนะคะ

Mail Box ดูโปร่งๆ ดี สังเกตว่าโครงการนี้เค้าชอบใช้ดีไซน์ของเส้นตั้ง Repeat ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราก็จะเห็นการออกแบบนี้ได้อีกเรื่อยๆ เลยนะ ส่วนห้องนิติฯ ก็จะอยู่ด้านในเข้าไปอีกหน่อย

กล่อง Mail Box เป็นลายไม้ดูเรียบร้อย เรียบหรู เข้ากับคอนเซปต์ “Timeless”

ในส่วนของ Amber Lounge มีการตกแต่งด้วยงานศิลปะที่หลากหลาย ทั้งงานประติมากรรมที่ตกแต่งผนังและภาพวาด

พื้นที่สำหรับนั่งพักคอยบริเวณ Amber Lounge มีเพดานสูงโปร่ง ช่องแสงเต็มบานแบบ Floor to Ceiling และมองออกไปเป็นวิวเขียวๆ ของต้นไม้บริเวณ Residential’s Garden

สิ่งที่พิเศษอีกอย่างคือการคัดสรรผลงานศิลปะที่มาใช้ประดับ เป็นภาพวาดจาก Douglas Diaz ศิลปินท่านหนึ่งที่ชอบใช้สีขาวดำในงานเป็นหลัก แต่สำหรับโครงการนี้มีสีประจำโครงการคือ สีน้ำเงิน และมี Color Accent เป็นสีส้ม จึงเป็นผลงานพิเศษของศิลปินท่านี้ที่มี 4 สี ที่ทำเป็นพิเศษให้โครงการนี้ค่ะ

จาก Amber Lounge ก็จะมีทางเชื่อมออกไปสวนด้านนอกได้ ส่วนประตูด้านในสุดทางซ้ายเป็นประตูเข้า Lift Lobby ที่จะเชื่อมไปสู่ Residentail Area และห้องที่ติดกับประตู คือ Family Room & Botanical Lawn

ภายใน Family Room จัดเป็นห้องเด็ก ดูโปร่งโล่งด้วยฝ้าเพดานสูง และช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ โครงการจัดเฟอร์นิเจอร์และของเล่นที่เหมาะกับเด็กไว้ เผื่อเด็กๆ ที่อยู่อาศัยในคอนโดก็ยังได้มีโอกาสมาพบปะกับเด็กๆ ด้วยกัน ก็ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี ไม่กลัวที่จะเข้าสังคมค่ะ

ชุดเก้าอี้เด็กที่ใช้ในโครงการก็เลือกมาพิเศษอีกเช่นกัน โดยใช้ของ Kartell เป็นชุดโต๊ะเก้าอี้พลาสติกใสที่มีลายมุ้งมิ้งน่ารัก ออกแบบโดย Philippe Starck ศิลปินชื่อดังชาวฝรั่งเศส แค่ชุดเดียวก็ประมาณ 15,000 บาท แล้วค่ะ

ส่วนชุดโซฟาที่เลือกใช้ก็ของแบรนด์ Hay จาก Denmark อีกเช่นกัน ตัวละ 40,000 บาทค่ะ

จาก Family Room ก็มีประตูเปิดเชื่อมไป Botanical Lawn ได้ เป็นประตูที่มีความสูงเป็นพิเศษเช่นเดียวกับหน้าต่างนะคะ

ทำให้เฟรมประตูต้องมีความหนามากทีเดียวเพื่อให้เหมาะกับประตูบานสูงแบบนี้ ซึ่งพอใช้วงกบหนาแบบนี้แล้วก็ช่วยกันเสียงได้ดีเลย ตอนอยู่ด้านในอาคารไม่ได้ยินเสียงรถด้านนอกเลยนะ

ด้านนอกอาคารส่วนนี้เป็น Play Area & BBQ ลูกบ้านที่อยากจะจัดปาร์ตี้ BBQ ก็สามารถของจองใช้พื้นที่ได้

ทางโครงการติดตั้งเตาอบ ของ Wolf มาให้ พร้อมซิงค์ล้างจานด้านข้างค่ะ

โต๊ะสนามเป็นโต๊ะยาว 8 ที่นั่ง ปลายโต๊ะติดตั้งทีวีมาให้ เผื่อลูกบ้านอยากเปิดหนังดู ก็สามารถเปลี่ยนได้นะ

ติดกับพื้นที่ BBQ มีประตูทางออกไปนอกโครงการที่ติดกับซอยทองหล่อ 13 ได้ด้วยค่ะ เป็นประตูสำหรับคนเดินเท่านั้นและต้องใช้ Keycard ในการเข้าออกด้วยนะ

Botanical Lawn มีความกว้างประมาณ 10 เมตร โดยโครงการจะเลือกชนิดของพรรณไม้ที่มีกลิ่นตามฤดูกาลต่างๆ มาปลูกไว้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่หอมตลอดปี เช่น ต้นปีบ

พื้นที่นั่งเล่นในสวนก็จะทำเป็นม้านั่งยาวไว้ให้อยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้ได้ร่มเงา

กลับเข้ามาด้านในอาคารจะพาไปชมในส่วนของพื้นที่พักอาศัยกันต่อ ซึ่งจะต้องใช้ Keycard สแกนผ่านเข้าไป ส่วนนี้จึงเข้าได้เฉพาะลูกบ้านนะคะ

เข้ามาในโถงลิฟต์ของอาคาร มีลิฟต์ทั้งหมด 4 ตัว สำหรับอัตราส่วนลิฟต์ที่อยู่ในอัตราส่วน 21 : 1 เป็น Private Lift ซึ่งระบบการเรียก Lift ของโครงการนี้จะเป็นแบบ One on One คือการขึ้นลงของลิฟต์แต่ละครั้งจะไม่จอดแวะที่ชั้นอื่นเลย จะตรงไปชั้นที่ผู้อยู่อาศัยกดไว้เท่านั้น ซึ่งหลายๆ คนอาจกังวลว่าในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างตอนเช้าจะต้องรอนานไหม? ทางโครงการให้คำตอบว่าจะมีช่วงเช้านี่แหละที่จะตั้งระบบลิฟต์ให้แวะรับลูกบ้านหลายๆ ชั้น เพื่อให้เกิดความรวดเร็วขึ้นค่ะ

ขึ้นมาที่ชั้น 5 จะเป็นชั้น Main Facilities แบ่งเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งทางด้านหน้าติดกับซอยทองหล่อจะเป็นส่วนของ Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร มีการแยกส่วนสระเด็กเอาไว้ด้านข้าง ริมสระเป็นพื้นที่น้ำตื้นที่วาง Day Bed อาบแดดเอาไว้ สลับกับแนวต้นไม้ เข้ามาด้านในอาคารจะมีส่วนที่เป็นกึ่ง Outdoor อย่าง Pool Deck และ Daybed Seating ฝั่งเหนือจะเป็นส่วนของ Fitness GYM, Yoga Room, Treatment Room และ Changing Room ซึ่งภายในมี Steam Room และสุดท้ายฝั่งใต้จะเป็นโซนของ Lounge ที่อยู่ด้านในอาคารเป็นห้องจัดเลี้ยง นั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลายรูปแบบเป็นทั้งห้องประชุมและห้องอเนกประสงค์

ออกมาจากลิฟต์ที่ชั้น 5 จะมีทางแยก 2 ทาง ฝั่งหนึ่งไปทาง Pool Deck ซึ่งทางโซนนั้นก็จะมี Residential Lounge ด้วย อีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องฟิตเนส และห้องน้ำ เดี๋ยวเราจะไปดูในส่วนของ Pool Deck กันก่อนนะ

เดินออกมาจาก Lift Lobby เข้ามาด้านในโซนสระว่ายน้ำจะถูกเปลี่ยนอารมณ์ด้วยพื้นที่กว้างๆ โล่งๆ ด้านซ้ายเป็นเคาน์เตอร์ Reception ด้านขวาเป็นโต๊ะยาวที่ให้มาใช้ประโยชน์แบบ Multipurpose ได้

บริเวณเคาน์เตอร์จะมีผ้าขนหนูไว้ให้บริการด้วย เค้าก็เลือกใช้ของแบรนด์จาก Ralph Lauren นะ ถ้าลูกบ้านลืมนำผ้าขนหนูลงมาก็หยิบใช้ได้เลย

ก่อนจะลงสระก็มาล้างตัวด้านข้างกันก่อน

ในส่วนของ Swimming Pool เป็นสระระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร บรรยากาศด้านข้าดูร่มรื่นด้วย Green Wall และต้นไม้ใหญ่ริมสระ แต่ก็ยังคงต้องรอมาใช้งานในช่วงเย็นๆ หน่อย ที่แดดร่มแล้วนะคะ

ริมสระมีลูกเล่นด้วย Water Feature ที่เป็นพื้นน้ำตื้นๆ แล้ววาง Day Bed เอาไว้ให้นอนเล่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่ตลอดแนว

Day Bed ริมสระที่วางอยู่บน Water Feature ไว้เอาใจคนที่ชอบนั่งเล่นริมสระ ให้สามารถมานั่งชมวิวชิวๆ เอาเท้าจุ่มน้ำได้

ด้านข้างสระจะแยกพื้นที่ของสระเด็กเอาไว้ มีความลึก 45 เซนติเมตร

พื้นที่ข้างสระที่อยู่ด้านในอาคารเป็น Daybed Seating เอาไว้นอนเล่นได้ ไม่โดนแดด แต่ยังได้วิวริมสระ และยังได้ Feeling แบบ Semi-Outdoor อยู่

อีกพื้นที่หนึ่งด้านข้างสระว่ายน้ำคือ Recreation Area ที่เรียกว่า Lapis Deck บริเวณนี้จะจัดชุดโต๊ะนั่งเล่นขนาดใหญ่ไว้ให้ ส่วนประตูด้านหลังที่ติดกันคือ Residential Lounge ค่ะ

ชุดโต๊ะนั่งเล่นนี้สามารถใช้งานได้แบบ Multipurpose เลย เช่น ถ้าลูกบ้านต้องการจัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำก็สามารถขอใช้พื้นที่ได้

เข้ามาดูภายใน Residential Lounge กันบ้าง เป็นห้องอเนกประสงค์ของโครงการที่ลูกบ้านสามารถจองใช้งานแบบเป็นส่วนตัวได้อีกเช่นกัน

ของตกต่งภายในที่เลือกก็ยังแฝงความหมายอยู่นะ เช่น ปลาพวกนี้ก็ยังแฝงความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์

จากมุมนั่งเล่นบริเวณนี้ก็จะมีประตูบานเลื่อนกั้นโซนด้านนอกกับด้านใน คือ ถ้าลูกบ้านไม่ได้ต้องการใช้พื้นที่ทั้งหมด ก็สามารถจองใช้แค่ห้องประชุมที่โซนด้านในก็ได้

พื้นที่ภายใน Residential Lounge ค่อนข้างใหญ่เลยนะ วางชุดโซฟาขนาดใหญ่ได้หลายชุด อย่างมุมนี้จัดแบบให้นั่งชมวิวออกไปด้านนอก

ด้านในสุดของ Residential Lounge จัดวางโต๊ะขนาดใหญ่จำนวน 12 ที่นั่ง ซึ่งจะใช้ฟังก์ชันเป็นห้องจัดเลี้ยง หรืออเนกประสงค์ก็ได้ แถมยังมีเคาน์เตอร์บาร์มาให้ใช้งานด้วย

โต๊ะทานอาหารเก๋ๆ เป็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่ เห็นลายไม้ชัดเจน ปลายโต๊ะติดตั้งทีวีไว้ให้ เผื่อใช้ในงานจัดเลี้ยงของลูกบ้านได้

บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ด้านในมี Pantry สำหรับเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อย

ซึ่ง Pantry ครัวนี้จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวมาให้ครบ พร้อมใช้งาน และยังเลือกใช้แบรนด์แบบเดียวกับที่ให้บนห้องพักเลย เพื่อให้ลูกบ้่านได้ใช้ของใช้ที่ดีเหมือนอยู่บ้านตัวเอง เช่น ตู้เย็นของ Fisher & Paykel, เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวของ Bertazzoni ส่วนตู้เคาน์เตอร์ของ Binova

พาเดินตามลูกศรมาดูพื้นที่ส่วนกลางอีกฝั่งหนึ่งที่เป็น Wellness Center และ Beauty & Spa

ห้อง Fitness มีชื่อเรียกตามป้ายว่า Wellness Center คือห้องกระจกทางซ้ายมือนี่เอง ซึ่งหน้าห้องทางฝั่งขวาจะมีเคาน์เตอร์วางพวกผ้าขนหนูและน้ำดื่มไว้ให้บริการด้วย

ผ้าขนหนูจาก Ralph Lauren จะวางไว้ให้ลูกบ้านหยิบใช้ได้เลย และมีน้ำดื่มที่แช่เย็นไว้ให้ในตู้ด้านข้างเคาน์เตอร์ด้วย

ภายในห้อง Fitness ดูโปร่งโล่งด้วยผนังกระจกที่ล้อมรอบทั้งหมด วางเครื่องออกกำลังกายเอาไว้ประมาณ 10 เครื่อง สิ่งที่ทำให้ห้องนี้น่าใช้งานคือความสูงโปร่งจากพื้นถึงฝ้าเพดานและก็ช่องแสงหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เป็นแบบ Floor to Ceiling

เครื่องออกกำลังกายที่ถูกจัดวางให้หันหน้าออกไปทางผนังกระจก เพื่อชมวิวได้สะดวก

โครงการเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายของยี่ห้อ Techno Gym เป็นแบรนด์เครื่องออกกำลังกายระดับบนที่ใช้กันในโรงแรมระดับ 6 ดาวค่ะ

เครื่องออกกำลังกายภายในห้องมีความหลากหลายทั้งแบบที่เหมาะกับการเล่นเวท สร้างกล้ามและคนที่ต้องการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ

เวลาออกกำลังกายก็ชมวิวนอกอาคารไปได้ แต่จะไม่ได้วิวมุมกว้างสักเท่าไหร่ เพราะ ห้อง Fitness นี้อยู่ที่ชั้น 5 เท่านั้น

ออกมาจากห้อง Fitness แล้วเดินตามลูกศรไปจนสุดทางเดินจะเป็นห้อง Beauty & Spa และห้องน้ำ

ภายในห้อง Beauty & Spa จะติดตั้ง Chair Spa ไว้สำหรับทำเล็บ และมีเก้าอี้เสริมสวย+กระจกบานใหญ่ ไว้สำหรับเรียกช่างส่วนตัวมาทำผมได้ด้วย ซึ่งลูกบ้านสามารถจองใช้ได้เลย หากไม่มีช่างส่วนตัวทางโครงการก็สามารถติดต่อหาช่างให้ได้ด้วยค่ะ

หรือถ้าลูกบ้านต้องการเรียกช่างมานวดสปาแบบเป็นส่วนตัว ก็มีเตียงไว้ให้ด้วยเช่นกัน ภายในห้องมีหน้าต่างบานใหญ่แบบ Floor to Ceiling ทำให้สามารถเสริมสวยกันไปชมวิวกันไปได้สบาย

เข้ามาดูภายในห้องน้ำหญิงกันต่อ มีฟังก์ชันหลักๆ ไว้สำหรับอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และมี Steam Room อยู่ด้านในด้วย

ตู้ล็อกเกอร์จะมีไว้ให้บริการ 6 ตู้ ซึ่งเป็นรุ่นที่เราสามารถตั้งรหัสเองได้ ไม่ต้องใช้กุญแจ และตู้มีขนาดใหญ่ดีนะ สามารถเก็บกระเป๋า รองเท้า ได้สบายๆ เลย

เข้ามาด้านในฝั่งซ้ายจะเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ตรงไปด้านในสุดเป็น Steam Room ส่วนฝั่งขวาเป็นผนังกระจกบานใหญ่แบบจากพื้นถึงฝ้าอีกเช่นกัน ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสว่างและโปร่งโล่งดี แถมได้วิวแบบกว้างๆ เลยด้วย

ภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำมีความกว้างให้ใช้งานได้สะดวก ผนังและพื้นปูด้วยกระเบื้องทั้งหมด ดูเรียบร้อย ซึ่งชุดสุขภัณฑ์ก็ใช้ของ Duravit จากเยอรมัน เป็นเกรดเดียวกับที่ใช้ในห้องพักอาศัยนะคะ

สุดท้ายคือพื้นที่ภายใน Steam Room ที่มีความกว้างพอสมควร รองรับการใช้งานได้ประมาณ 3-4 คน

Typical Plan ที่ชั้น 6-25 จะเริ่มเป็นชั้นห้องพักอาศัย มีเพียงแค่ 4 Unit/Floor เท่านั้น เน้นความเป็นส่วนตัวให้แก่ลูกบ้าน อีกทั้งทุกห้องมี Private Lift ข้อดีอีกอย่างคือโครงการนี้ยูนิตน้อยอยู่แล้ว ทำให้การใช้ลิฟต์จะเร็วมาก อัตราส่วนแค่ 21 : 1 เท่านั้นเอง

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้นใต้ดิน : Car Wash Bay จำนวน 2 ช่อง และ Electrical Car Plug-in Changing Station
  • ชั้น 1 : Amber Lounge with mini bar station, Residential Concierge desk, Family Room , Botanical Lawn and BBQ area
  • ชั้น 5 : Swimming Pool 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 11 x 23 เมตร ลึก 1.5 เมตร, แยกสระเด็ก ขนาด 4 x 9 เมตร ลึก 0.6 เมตร
  • ชั้น 5 : Lapis Deck (Multipurpose and Private Dining)
  • ชั้น 5 :  Pulse Wellness Center (Fully-Equipped Gym and Yoga Area)
  • ชั้น 5 : Pause Beauty & Spa (Massage, Nail Spa and Grooming)
  • ชั้น 5 : Male & Female Changing Room with Steam Room
  • Private Lift 4 ตัว / Service Lift 1 ตัว
  • อัตราส่วนลิฟต์ 21 : 1
  • ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติและเป็นที่จอดแบบ Fixed ที่)
  • ระบบ CCTV / Access Card


Product Walkthrough

แบบห้องของโครงการ TELA Thonglor จะเน้นขนาดของพื้นที่ใช้สอยให้มีขนาดใหญ่ เริ่มต้นที่แบบ 2-Bedroom ขนาด 111 ตร.ม. ไปจนถึงแบบ 3-Bedroom ขนาด 349 ตร.ม. โครงการขายแบบ Fully Fitted ซึ่งในปัจจุบันเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่จะปิดการขายโครงการ จึงมีการร่วมมือกับ DM HOME ผู้นำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำจากทั่วโลก มาร่วมออกแบบตกแต่งห้อง พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด แบบ Fully Furnished 3 แบบ 3 สไตล์ ในห้องแบบ 3-Bedroom ขนาด 201 ตร.ม.

ในรีวิวนี้เราจะพาไปชมห้อง 3-Bedroom ขนาด 201 ตร.ม. ทั้ง 3 ห้อง ที่ตกแต่งมาในสไตล์ที่ต่างกัน ซึ่งแต่ละห้องมีแรงบันดาลใจมากจากอัญมณีคนละชนิด ได้แก่

  • Sapphire : “Sparkling Brilliance” เป็นอัญมณีที่เปล่งประกาย
  • Onyx : “Deep Sophistication” เป็นอัญมณีสีดำ 
  • Lapis Lazuli : “Starry Illumination” เป็นอัญมณีจากฟากฟ้า

เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่าภายในห้องนั้นจะมีบรรยากาศอย่างไร วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ให้มาจะได้อะไรบ้าง

ห้อง 3-Bedroom ขนาด 201 ตารางเมตร ภายในแบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องครัว 1 ห้องแม่บ้าน เมื่อออกจาก Private Lift มาจะเจอกับพื้นที่ของ Foyer ก่อนที่โครงการ Built-in ตู้วางของและวางรองเท้ามาให้ เหมาะกับเป็นส่วนเตรียมตัวก่อนเข้า-ออกห้องที่เป็นที่อยู่อาศัยหลักและมีประตูบังสายตาก่อนเข้าไปพื้นที่ถัดไป ที่เป็น Living area ที่สามารถจัดเป็นห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารได้ โดยห้องนี้จะเชื่อมต่อกับ Double Kitchen ที่โครงการจัดมาให้ทั้งครัวฝรั่งและครัวไทย

โดยครัวฝรั่งเป็นครัวเปิดที่โครงการ Built-in เป็นครัวรูปตัว L พร้อมเคาน์เตอร์แบบ Island สำหรับการทำครัวเบาๆ เช่น ทำอาหารเช้า เครื่องดื่ม หรือจัดปาร์ตี้เล็กๆ ได้ ติดกันเป็นครัวไทยที่เหมาะกับการทำครัวหนัก อย่างเช่นต้ม ผัด แกง ทอด ที่มีกลิ่น ซึ่งโครงการมีประตูทำเป็นครัวปิดมาให้ เวลาประกอบอาหารกลิ่นจะไม่ไปรบกวนส่วนอื่นๆในห้อง ซึ่งข้อดีของการทำ Double Kitchen มาให้แบบนี้ คือสามารถแยกการใช้งานเป็นสัดส่วนดีเหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารทานเอง ส่วนที่ติดกับห้องครัวเป็นห้องแม่บ้านที่มีห้องน้ำให้ในตัว ด้านนอกที่โถงทางเดินมีห้องน้ำเล็กๆ สำหรับแขกอีกห้องเป็นแบบ Powder Room ด้วย

จุดเด่นของห้องนี้คือระเบียงที่มีความยาวตลอดหน้ากว้างของห้อง(ประมาณ 18 เมตร) เป็นระเบียงของห้องนั่งเล่นและห้องนอนต่างๆที่ใช้งานร่วมกันเชื่อมต่อกันหมด ซึ่งมีข้อดีคือจะได้ระเบียงกว้างที่สามารถจัดฟังก์ชั่นใช้งานได้จริงและหลากหลายอาทิเช่น พื้นที่นั่งเล่น นอนเล่น จัดสวนได้ หรือว่างอ่างจากกุชชี่ เหมาะกับคนที่ชอบใช้งานพื้นที่ Outdoor

ส่วนห้องนอนของที่นี่จะมีห้องนอนเล็ก 2 ห้อง และห้องนอนใหญ่ โดยห้องนอนทุกห้องจะมี ห้องน้ำให้ในตัว ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูงไม่ต้องแชร์ห้องน้ำกันค่ะ แต่ในห้อง Master Bedroom จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีพื้นที่ Walk-in Closet และห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ Sexy Bath มองวิวทะลุออกไปยังระเบียงได้

**เดี๋ยวจะค่อยๆ ไล่ดูไปทีละฟังก์ชันตามในแปลน ไปทีละจุดๆ โดยมีการลงสีอ่อนบนพื้นที่ไว้นะคะ

พอเข้ามาในห้องแล้วจะเป็นส่วนของ Foyer Area ก่อนซึ่งตรงนี้อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าจะมีประตูกั้นส่วนในห้องอีกประตู พื้นส่วนนี้จะเป็นหินสังเคราะห์ compressed marble ความกว้างเดินสบายๆนะ 1.50 เมตร สองฝั่งซ้ายขวามีการ Built-In ชุดตู้เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ให้ดูด้านในชุดตู้ Built-In ฝั่งหนึ่งเป็นตู้ขนาดใหญ่คล้ายตู้เสื้อผ้า สามารถเอาไว้เก็บพวกของที่ชิ้นใหญ่หน่อย เช่น ถุงกอล์ฟ อุปกรณ์กีฬา ต่างๆ

ในตู้อีกฝั่งหนึ่งมีฟังก์ชันหลักเป็นที่เก็บรองเท้า ซึ่ง Fitting บานพับได้เป็น Softing Close ทั้งหมดนะ

ด้านในเป็นส่วนของ Living Area เชื่อมต่อไปกับพื้นที่โซนรับประทานอาหาร ซึ่งความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานนี่คือ 3.20 เมตร สูงโปร่งมากๆ แถมได้ประตูกระจกบานเลื่อนที่เป็นช่องแสงขนาดใหญ่เชื่อมไปยังระเบียง ซึ่งพื้นภายในห้องจะเป็นพื้นไม้ Engineering Wood

การตกแต่งภายในห้องมาในคอนเซปต์ Sparkling Brilliance เป็นอัญมณีที่เปล่งประกาย จึงใช้สีของโทนห้องที่เป็นสีครีม ทอง น้ำตาล ให้ความรู้สึกที่สง่างามและหรูหรา 

ชุดโซฟามีขนาด 4-5 ที่นั่ง เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับครอบครัวที่จะออกมาเจอหน้าทำกิจกรรมร่วมกัน หรือเป็นพื้นที่รับรองแขกได้ด้วย

การตกแต่งผนังด้านหลังชั้นวางทีวีมีการเลือกใช้สีโทนสีอ่อนที่เมื่อโดนแสงไฟด้านข้างที่ซ่อนไฟไว้แล้วจะดูเปล่งประกายยิ่งขึ้นตามคอนเซปต์ของห้อง

ส่วนที่ติดกันเป็นโต๊ะทานอาหาร ซึ่งการจัดวางฟังก์ชันแบบนี้มีข้อดีที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยได้มีปฎิสัมพันธ์กัน โดยที่อาจจะทำกิจกรรมกันคนละอย่าง เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะนั่งดูทีวี ส่วนคุณลูกทานอาหารอยู่ แต่ก็ยังเห็นหน้าและพูดคุยกันได้

โต๊ะรับประทานอาหารมีขนาด 8 ที่นั่ง ซึ่งสามารถใช้รองรับเวลาเชิญแขกมารับประทานอาหารที่บ้านได้

อีกจุดที่โครงการพิถีพิถันในการเลือกใช้คือโคมไฟ สำหรับโคมไฟเหนือโต๊ะทานอาหารเป็น Crystal Bulb Pendant ผลงานของ Lee Broom เป็นงาน Hand-made จากอังกฤษ

ช่องแสงของ Living Area ก็จะผ่านมาทางประตูบานเลื่อนกระจกที่ใช้เปิดออกไปยังระเบียง รูปแบบของห้องที่นี่เป็นแบบหน้ากว้างที่รับวิวได้เต็มที่ อีกทั้งยังเป็นระเบียงแบบยาวต่อเนื่องกันทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ โครงการนี้อยู่ค่อนข้างใกล้กับถนนใหญ่เลยใช้วัสดุตัวกระจกบริเวณทั้งหมดของบานกระจกเป็นกระจกฉนวนความร้อน (Insulating Glass)

Insulating Glass เป็นแบบหนาพิเศษ 31.5 มม. โดยการนำกระจก 2 แผ่นมาประกบกันโดยมีเฟรมอลูมิเนียมคั่นกลาง ป้องกันการถ่ายเทความร้อนระหว่างภายในกับภายนอกอาคารและ ช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ไม่ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำ แม้ว่าอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกันมาก

วงกบของประตูบานเลื่อนจะเป็นอลูมิเนียมพาวเดอร์โค๊ทสีเทาด้าน ซึ่งพอเห็นเป็นบานใหญ่ก็คงหลีกเลี่ยงเรื่องขอบวงกบหนาๆ ไม่ได้ แต่โครงการนี้เค้าออกแบบมาให้ขอบวงกบเหลื่อมกัน ทำให้เวลาปิดประตู ตัววงกบจะซ้อนกันพอดี

ประตูระเบียงก็สามารถเปิดได้กว้างๆ แบบนี้เลย

ตัดเข้ามาที่พื้นที่ระเบียง ที่แนวความคิดการออกแบบของโครงการเน้น “ระเบียง” ที่กว้างและยาวพิเศษ ด้วยความกว้างของระเบียง (ประมาณ 2.2 เมตร) จะทำให้แสงแดดธรรมชาติไม่ส่องผ่านเข้ามาในพื้นที่ของตัวห้องพักอาศัยตรงๆ จึงช่วยลดความร้อนเข้าห้องพักด้วย

มองไปอีกฝั่งที่ระเบียงทอดยาวไปต่อเนื่องถึง 18 เมตร จะเชื่อมต่อกับพื้นที่ของห้องนอนทั้งสาม พื้นที่ระเบียงจุดนี้จะเป็นพื้นที่ยาว แต่ก็ยังเชื่อมต่อกันระหว่างห้องต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการออกมาใช้งาน และก็เลือกเป็นมุมใช้งานที่หลากหลายได้ทีละส่วน

ต่อมาจะไปดูในส่วนของโซนครัว และโซนของแม่บ้านกันบ้าง

ยืนจากบริเวณโต๊ะรับประทานอาหารมองไปยังโซนครัว เป็นครัวเปิดที่อยู่ภายในบริเวณพักอาศัยมาพร้อมเคาน์เตอร์แบบ Island ทำให้ดูเป็นสัดส่วน ส่วนด้านข้างจะมีประตูที่แยกโซนครัวไทยและห้องแม่บ้านเอาไว้ด้านในอีกทีหนึ่ง

เคาน์เตอร์แบบ Island นี้เป็นเสมือนมุมกิจกรรมเล็กๆอย่างจัดเตรียมเครื่องดื่ม เตรียมอาหารว่าง ของหวานเบาๆ รอบๆ มีระยะเดินได้มาตรฐานสำหรับสองคนสวนกัน ด้านล่างจะเป็นชุดลิ้นชักเก็บของต่างๆ ที่มีการแยกใส่ของวางเป็นสัดส่วน

ส่วนของวัสดุ Top จะเป็นหินควอทซ์ และได้อ่างล้างเป็นของ Franke

มีการซ่อนปลั๊กไฟไว้ให้ซึ่งออกแบบมาให้ซ่อนไว้ในเคาน์เตอร์ เผื่อต้องการใช้งานอุปกรณ์ทำอาหารที่ต้องใช้ไฟฟ้าก็ดึงขึ้นมาใช้งานได้

ส่วนของชุดครัว จะเป็นของ Binova แบรนด์เครื่องครัวระดับพรีเมี่ยมสัญชาติอิตาลี บานตู้แต่ละอันใช้ระบบ Soft Closing เพื่อลดแรงกระแทกและลดการเกิดเสียงดังในขณะเปิดปิด และฟังก์ชันชั้นวางของต่างๆ ภายในตู้ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการลูกค้า หน้าบานของชุดตู้ทั้งหมดจะเป็น High Gloss สีขาว ตู้เย็นชิ้นนี้เป็นส่วนนึงในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้ หน้าตาแบบนี้เป็นของ Fisher&Paykel ที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานการควบคุมอุณภูมิ ถัดมาทางขวาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าบริเวณชุดครัวที่นี่ จะได้ของแบรนด์ Bertazzoni ที่โด่งดังในอิตาลี อย่างไมโครเวฟ, เตาอบ, Hob&Hood และให้เครื่องทำกาแฟของแบรนด์ Miele มาด้วย

ชุด Pantry ครัวที่ให้มาค่อนข้างยาวทีเดียว ทำให้มีพื้นที่ในการเตรียมและทำอาหารได้สะดวก และมีชุดตู้เก็บของใช้ได้ทั้งด้านบนและด้านล่าง / วัสดุของ Top ครัวและส่วนที่ติดผนังเป็นหินควอทซ์เช่นเดียวกัน

ชุดตู้เก็บของด้านล่างแบ่งเป็นความสูง 2 ชั้นเท่านั้นเผื่อจะได้เก็บของที่มีความสูงได้ส่วนนึง เช่น ขวดไวน์ เครื่องปรุง เป็นต้น

หน้าตาของเจ้า Hob&Hood ของ Bertazzoni แบบแม่เหล็กไฟฟ้า 4 หัว

ตู้ลอยด้านบนหน้าบานปิดผิวด้วย High Gloss สีขาว จาก Binova อีกเช่นกัน ภายในแบ่งเป็นช่องวางของ 2 ชั้น ทำให้ใส่พวกแก้วไวน์ได้

ต่อมาจะเข้าไปดูในส่วนของครัวไทยที่เป็นครัวปิด และเป็นโซนของแม่บ้านด้วย

พอเข้ามาแล้วจะเห็นบานประตูทางซ้ายมือก่อน ส่วนนี้จะเป็นห้องเก็บของ และมีประตูที่ออกไปยังโถง Service Lift ซึ่งจะเป็นลิฟต์ที่แม่บ้านและพนักงาน Service ต่างๆ ใช้กัน แยกส่วนออกจากลิฟต์ในพื้นที่พักอาศัยอย่างชัดเจน ส่วนขวามือเป็นครัวไทยสำหรับประกอบอาหารแบบจริงจัง

โครงการจะ Built-in Pantry ครัวมาให้ครบแบบนี้ มีทั้งตู้เก็บของด้านล่างและชุดตู้ด้านบนที่มีหน้าบานปิดเป็นสัดส่วนเช่นเดียวกัน พร้อมติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและตู้เย็นมาให้

หน้าบานชุดตู้ด้านล่างเป็นลามิเนตสีไม้โอ๊ค ภายในตู้แบ่งออกเป็นลิ้นชักย่อยๆ และมีตู้ใต้ซิงค์ที่เป็นหน้าบานเปิดปิดไว้ใช้เก็บของได้

บนเคาน์เคอร์มีพื้นที่สำหรับทำครัวไม่มากนัก และมีการลดสเป็คของลงนิดหน่อยเป็น Hob&Hood ของ Franke รวมถึง Sink ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นยังมีเครื่องล้างจานของ Electrolux ติดตั้งไว้ให้ด้วย

ด้านในสุดของเคาน์เตอร์ครัวจะมีประตูเปิดออกยังพื้นที่ซักล้าง ส่วนทางขวามือเป็นห้องนอนแม่บ้านที่มีห้องน้ำในตัวด้วย คือพื้นที่หลักๆ ของแม่บ้านจะอยู่ในโซนนี้แหละ

ห้องแม่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีห้องน้ำในตัวและมีพื้นที่พอให้วางที่นอนได้ พร้อมระบบแอร์ที่ติดตั้งไว้ให้เรียบร้อย

พื้นที่ซักล้างด้านนอกเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า มีระเบียงกันตกตรงนี้ ส่วนที่เลยระเบียงกันตกออกไปเป็นพื้นที่ของงานระบบ โดยทางโครงการจะรวม Condensing Unit ไว้ที่บริเวณนั้น ทำให้เราจะไม่เห็น Condensing Unit มาบังสายตาในพื้นที่พักอาศัยเลย

ถัดไปจะเป็นส่วนของทางเดินบริเวณโซนห้องนอน ซึ่งก็จะมี ห้องน้ำ Powder Room, Bedroom 2 และ Bedroom 3

ส่วนพื้นที่โถงทางเดินตรงนี้พื้นยังเป็น Engineer Wood อยู่ต่อเนื่องกันมาจาก Living Area และใช้ไปยังห้องนอนทุกห้อง ความกว้างทางเดินประมาณ 1.50 เมตร เดินสวนกัน 2 คนได้สบาย

เพดานด้านบนมีการเซาะร่องซ่อนไฟไว้ให้

มาดูในส่วนของ Powder Room กันก่อน เป็นฟังก์ชันที่ไม่มีพื้นที่อาบน้ำ ไว้ใช้รองรับแขกเฉยๆ พื้นใช้ Homogeneous Tile และชุดสุขภัณฑ์ใช้ของ Duravit จากเยอรมัน ด้านบนของสุขภัณฑ์ Built-In ชุดตู้เต็มผนังมีหน้าบานปิดเป็นสัดส่วน เอาไว้เก็บของใช้งานทั่วไป ด้านข้างติดกระจกเงาเต็มผนังช่วยทำให้ห้องดูกว้างขึ้น

ทางซ้ายเป็นส่วนของอ่างล้างมือ ที่ก่อเคาน์เตอร์ยาวชนผนังสองฝั่ง ชุดก๊อกของ Hansgrohe ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการควบคุมอุณหภูมิของระบบน้ำร้อนได้ดี ออกแบบโดยทีม AXOR

เริ่มจากห้อง Bedroom 3 (ตามในแปลน-หมายเลข 15-16) เข้าในห้องส่วนแรกจะเจอกับชุดตู้ Built-In ที่โครงการให้มาและฝั่งตรงข้ามมีห้องน้ำในตัว

จากมุมนี้จะเห็นส่วนของงานระบบแอร์บริเวณทางเข้าและพื้นที่ห้องน้ำ ซึ่งเป็นแบบฝังอยู่ใต้ฝ้าความสูงส่วนนี้จะลดลงเหลือ 2.70 เมตร

ภายในห้องน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ก็ยังแยกพื้นที่แห้งและพื้นที่อาบน้ำไว้ชัดเจน วัสดุอุปกรณ์และสุขภัณฑ์ก็จะได้ตามนี้เลย ที่ดูเก๋ๆ คือชุดตู้หน้าบานกระจกที่มีไฟซ่อนมาให้ด้วย

ด้านล่างที่ผนังเป็น Low Wall ที่เอาไว้วางข้าวของเครื่องใช้ อ่างล้างมือขนาดเล็กหน่อยยี่ห้อ Duravit อ่างล้างมือจะมีการออกแบบขอบอ่างให้มีระยะยื่นออกมา เพื่อช่วยกันไม่ให้น้ำกระเด็น

นอกจากนี้ตู้ใต้อ่างล้างมือเป็นตู้ลิ้นชัก 2 ชั้น ไว้สำหรับเก็บของด้วย ซึ่งเราสามารถเก็บของแบบเต็มพื้นที่ได้เลย เพราะงานระบบของก๊อกน้ำส่วนนี้ไม่ได้อยู่ใต้ตู้ แต่จะอยู่ด้านใน Low Wall หลังอ่างล้างมือค่ะ

ชุดสุขภัณฑ์ใช้ของ Duravit จากเยอรมันอีกเช่นกัน

สำหรับ Shower Box จะถูกกั้นพื้นที่ด้วยฉากกั้นกระจกซึ่งเป็นแบบบานเปิดปิด มีมือจับสามารถจับให้สามารถเปิดได้สะดวก ช่วยกันไม่ให้น้ำจากพื้นที่ส่วนเปียกกระเด็นออกมาในพื้นที่ส่วนแห้ง

ภายใน Shower Box ติดตั้งอุปกรณ์อาบน้ำไว้เรียบร้อย โดยจะได้ทั้งฝักบัวอาบน้ำ และ Rain Shower แต่ว่าหน้าตาเปลี่ยนไปหน่อย เป็นรูปทรงกลมแทน การซ่อนไฟไว้ใต้ฝ้าแบบนี้ ช่วยให้แสงไฟไม่ทิ่มแยง ลงมาตรงๆ จนเกินไป และที่ด้านข้างผนังมีการเซาะร่องและทำกั้นเป็นชั้นให้ด้วยเอาไว้สำหรับวางของใช้

ฝักบัวอาบน้ำและก๊อกจาก Hansgrohe

พื้นที่อาบน้ำขนาดกะทัดรัดประมาณ 0.9 x 1.1 เมตร

พื้นห้องน้ำมีการลดระดับ เพื่อแยกพื้นที่ส่วนแห้งและพื้นที่อาบน้ำให้แยกกันอย่างเป็นสัดส่วน

ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำเป็นตู้เสื้อผ้าจากแบรนด์ดังอย่าง Poliform ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เรียบหรู และความคงทนในการใช้งาน

ภายในชุดตู้เสื้อผ้า Built-In มีการแบ่งสัดส่วนการใช้งานเป็นระเบียบเรียบร้อย และติดไฟในตู้แบบออโต้ให้ด้วย

ถ่ายเจาะรายละเอียดให้ดูชัดๆ ว่าของแบรนด์ Poliform เค้าเก็บรายละเอียดงานมาดีจริง ชอบตรงดีไซน์ของมือจับที่สามารถสอดมือไปเปิดได้พอดี ตรงขอบตู้ก็จะติดขอบยางกันกระแทกมาให้ ส่วนลิ้นชักภายในก็แบ่งเป็นช่องเล็กๆ ไว้สำหรับแยกเก็บของได้เป็นสัดส่วน

ถัดเข้ามาด้านในเป็นพื้นที่สำหรับวางเตียงนอน ซึ่งทางโครงการจัดวางเฟอร์นิเจอร์มาให้ครบพร้อมตกแต่งมาให้ครบ ทั้งเตียง หัวเตียง และชั้นวางทีวี

พอวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้ว ก็ยังเหลือพื้นที่ให้สามารถเดินขึ้นเตียงได้โดยรอบ และยังมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะหัวเตียงด้วย

ดวงไฟข้างเตียงยังคงเป็น Crystal Bulb Pendant ของ Lee Broom

ด้านในสุดของห้องเป็นประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดออกไประเบียงได้ ซึ่งระเบียงนี้เป็นระเบียงยาวที่ไปเชื่อมกับระเบียงของห้องรับแขกที่พาไปชมในตอนแรกนะคะ

มาต่อกันที่ Bedroom 2 ถ้าดูจากแปลนแล้วฟังก์ชั่นจะเหมือนกับ Bedroom 3 ทุกประการ เพียงแต่แค่ Flip กลับด้านกันเท่านั้น ด้านซ้ายมือเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้า Built-In จาก Poliform และฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำ

ภายในห้องน้ำจะใช้วัสดุ และสุขภัณฑ์ต่างๆ เหมือนกับห้องแรกที่พาชมเป๊ะเลยนะคะ

ส่วนพื้นที่วางเตียงนอนด้านในก็มีขนาดพอๆ กัน คือสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุต และมีพื้นที่ให้สามารถทำชั้นวางทีวีที่ปลายเตียงได้

รายละเอียดที่น่าสนใจคือโคมไฟข้างหัวเตียง ในห้องนี้เป็นไฟแขวนรุ่น Ring Light ของ Lee Broom อีกเช่นกัน

ด้านในสุดมีประตูบานเลื่อนกระจกให้สามารถเปิดออกไประเบียงได้

พื้นที่สุดท้ายที่จะพาไปชม คือ Master Bedroom

ภายใน Master Bedroom เค้าจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ โดยฝั่งที่ติดกับหน้าต่างจะเป็นส่วนของห้องนอน อีกฝั่งที่อยู่ด้านในเป็นส่วนของห้องแต่งตัวและห้องน้ำ มาดูส่วนของห้องนอนกันก่อน โครงการเค้าวางเตียง King Size ไว้ตรงกลางแบบนี้ โดยมีพื้นที่เหลือให้สามารถขึ้นเตียงได้โดยรอบ

ปลายเตียงจะ Built-in เป็นชั้นวางทีวีและตู้เก็บของมาให้ และมีลูกเล่นโดยการซ่อนไฟไว้หลังตู้ ทำให้ดูสวยขึ้น

ด้านข้างหัวเตียงฝั่งซ้ายมือจะมีการเจาะหน้าต่างช่องแสงขนาดใหญ่เอาไว้ให้ ส่วนโคมไฟในห้องนี้จะใช้เป็นรุ่น Lens Flair Pendant Light ของ Lee Broom อีกเช่นกัน

พื้นที่ข้างเตียงฝั่งที่ติดกับประตูระเบียงมีพื้นที่ให้วาง Daybed ได้ เอาไว้ใช้เป็นมุมชมวิว หรืออ่านหนังสือได้ หากใครต้องการทำงานจริงจังก็มีโต๊ะเขียนหนังสือที่มุมห้องให้ด้วย

เปิดประตูออกมาที่ระเบียง จะเป็นระเบียงยาวที่ต่อเนื่องไปจนถึง Living Area ซึ่งระเบียงในส่วนนี้จะลดความกว้างลงเหลือประมาณ 1 เมตร ซึ่งก็เหมาะสมดีเพราะคงไม่ได้ใช้งานจริงจังเท่ากับตรงส่วนที่ออกมาจากห้องนั่งเล่น

มองย้อนไปที่อีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเป็นส่วนของทางเข้า Walk in closet และห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ Sexy Bath ในตัว

พื้นที่ walk in closet จะได้ชุด Furniture Built-In ทั้งหมด

เป็นตู้ไม้วีเนียร์ที่แบ่งช่องเก็บของไว้หลากหลายมากขนาดมาก ด้านบนก็ Bulit ให้เต็มชนไปยันฝ้าเพดานเลย เพื่อความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่ใช้สอย

เข้ามาดูในห้องน้ำกันบ้าง พื้นห้องน้ำจะลดระดับลงเล็กน้อย ในส่วนของพื้นที่ส่วนแห้งพื้นจะเป็น Homogeneous Tile ตรงกลางจะเป็นอ่างล้างมือ และทางขวาเป็นอ่างอาบน้ำ

อ่างล้างมือแบบ His & Her ที่แยกการใช้งานของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงสองฝั่งชัดเจน ด้านล่างทำเป็นชั้นวางพวกของใช้อย่างผ้าขนหนูและมีลิ้นชักเก็บของให้ด้วย

หันมามองทางขวามือเป็นส่วนของอ่างอาบน้ำ ที่ด้านข้างผนังเป็นกระจกใสแบบ Sexy Bath ตรงจุดนี้เราสามารถดูวิวเมืองทะลุไปยังพื้นที่ระเบียงได้เลยนะ

อ่างอาบน้ำแบบลอยตัวและชุดก๊อกฝักบัวของ HansGrohe

ด้านบนฝ้ามีการเจาะรูฝ้าเอาไว้ให้เสร็จสรรพพร้อมติดม่านได้เลย

อีกฝั่งหนึ่งของห้องน้ำ ซึ่งถัดจากอ่างล้างมือเข้าไปด้านในจะเป็นพื้นที่สำหรับวางสุขภัณฑ์

พื้นที่สุขภัณฑ์วางไว้กึ่งกลาง ด้านหลังเป็น Low Wall ของงานระบบ ที่พอทำแบบนี้แล้วกลายเป็นชั้นวางของใช้เล็กๆได้เลย

ฝั่งตรงข้ามของสุขภัณฑ์เป็น Shower Box โดยพื้นจะลดสเต็ปลงไปอีกนิดหน่อย และภายในติดตั้งอุปกรณ์อาบน้ำไว้เรียบร้อย

พื้นที่ใน Shower Box มีขนาด 1 x 0.9 ม. กะทัดรัดพอๆ กับห้อง Bedroom 2 และ 3 เลยค่ะ

ต่อไปจะพามาชมห้อง 3-Bedroom ขนาด 201 ตร.ม. ที่เป็น Type เดียวกับห้องแรกเลยนะ แต่มีการตกแต่งด้วยคอนเซปต์และเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงสีสันที่ใช้มีความแตกต่างกัน

Image 1/12
บรรยากาศบริเวณ Living Area

บรรยากาศบริเวณ Living Area

ห้องสีฟ้านี้ DM HOME วางคอนเซปต์มาให้เป็น Lapis Lazuli : Starry Illumination เป็นอัญมณีจากฟากฟ้า ซึ่งการตกตแต่งจะสะท้อนถึงความเรียบง่ายแต่ยังคงดูคลาสสิค

Image 1/10
บรรยากาศภายใน Living Area และชุดโซฟาจาก Trussaradi Casa

บรรยากาศภายใน Living Area และชุดโซฟาจาก Trussaradi Casa

มากันที่ห้องในลุคเข้มๆ กันบ้าง ห้องนี้ DM HOME วางคอนเซปต์มาให้เป็น Onyx : ” Deep Sophistication ” คืออัญมณีสีดำ ซึ่งสะท้อนบุคคลิกภาพที่ดูหนักแน่น มั่นคง แต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 5 November 2019

  • Sapphire : 3-Bedroom / ชั้น 7 / เนื้อที่ 201.23 ตร.ม. / ราคา 73.2 ล้านบาท หรือ 363,762.8 บาท/ตร.ม.
  • Lapis Lazuli : 3-Bedroom / ชั้น 8 / เนื้อที่ 201.23 ตร.ม. / ราคา 73.5 ล้านบาท หรือ 365,253.7 บาท/ตร.ม.
  • Onyx : 3-Bedroom / ชั้น 11 / เนื้อที่ 201.23 ตร.ม. / ราคา 74.2 ล้านบาท หรือ 368,732.3 บาท/ตร.ม.

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted / Fully Furnished
  • Privilege Poliform wardrobe the luxurious brand from Italy in all bedrooms
  • Privilege Free Standing Bathtub in Master bathroom
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3.2 เมตร และ ส่วนที่มีงานระบบแอร์เหลือ 2.7 เมตร
  • Kitchen & Sink & Island / ท็อปหินควอทซ์
  • ชุดครัวนำเข้าจากประเทศ Italy Hob & Hood แบรนด์ Bertazzoni
  • ตู้เย็น แบรนด์ Fisher & Paykel
  • ไมโครเวฟ, เตาอบแบรนด์ Bertazzoni
  • ชุดตู้ครัว แบรนด์ Binova
  • Digital door lock, IPTV & High speed internet  provision
  • เครื่องซักผ้า  & เครื่องอบผ้า
  • Air con VRF system / concealed type
  • Lighting control
  • ค่ากองทุน 1,000 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 120 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล : Tela ทองหล่อ มีที่ตั้งโครงการอยู่ตรงปากซอยทองหล่อ 13 เป็นแปลงมุมที่เข้าได้จากถนนใหญ่เลย ถ้าดูจากทำเลของโครงการแล้วจัดได้ว่าอยู่ใจกลางทองหล่อ ซึ่งจริงๆ แล้วความอุดมสมบูรณ์หลักๆ ของซอยนี้ก็อยู่ที่บริเวณกลางซอยนี่แหละ ทำให้ในระยะเดินรอบโครงการจะมี Commumity Mall มีทั้ง J Avenue, Starbuck, Seenspace 13 และ The Taste ที่พึ่งเปิดใหม่ โรงพยาบาลใกล้ๆมีสมิติเวช หรือแหล่งร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Nihonmura ถ้าฝั่งตรงข้ามแถบซอยทองหล่อเลขคู่ สามารถข้ามได้จากทางม้าลายใกล้ซอยทองหล่อ 13 หน้าโครงการเลย และบริเวณนนี้ยังมี Markey Place อย่าง 8eight, Tops Marketplace หรือจะเข้าไปในซอยทองหล่อ 10 หรือที่เรียกว่าซอยเอกมัย 5 เป็นพวก Pub&Restaurant ก็มีหลายร้านคะ ส่วนร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 และ Family Mart ก็มีตั้งอยู่ประปราย บางร้านอาจจะอยู่ไกลกว่า Community Mall ที่มี Supermarket ในตัวด้วยซ้ำ

การเดินทางโดยใช้รถ : ถือว่าสะดวกสบาย เพราะนอกจากถนนหลักที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่แล้วทองหล่อยังเป็นซอยที่มีทางลัดทางเชื่อมเยอะมาก ทั้งเชื่อมไปทางพร้อมพงษ์ และเอกมัย ส่วนจุดทางขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ในรัศมีค่อนข้างไกล อย่างจุดที่ใกล้และน่าจะรถติดน้อยที่สุดคือ ทางขึ้น-ลงทางด่วนพระรามเก้า และอีกจุดหนึ่งอยู่ที่ทางขึ้น-ลงทางด่วนท่าเรือ ที่ต้องผ่านมาทางถนนสุขุมวิท ทั้งสองจุดทางขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ห่างจากซอยทองหล่อประมาณ 4.5 กิโลเมตร สำหรับอัตราส่วนที่จอดรถของโครงการนี้ถือว่าให้มาเยอะถึง 169% มากกว่าคอนโดระดับเดียวกันด้วยนะคะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ส่วนการเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็มีสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อที่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทช่วงต้นซอยทองหล่อ ต้องเดินลงมาบนทางเท้าด้านล่าง และเดินเลียบไปฝั่งซ้ายเรื่อยๆ ตำแหน่งของโครงการอยู่ห่างจากตัวสถานีประมาณ 1.2 กิโลเมตร ไม่อยู่ในระยะเดินนะ ดังนั้นเพื่อความสะดวก มีพี่วินและรถกระป๊อคอยรอให้บริการอยู่ที่หน้าปากซอยสุขุมวิท 53 เนื่องจากเขาจะลัดเลาะผ่านซอยทองหล่อย่อยๆแทนการติดไฟแดงที่ต้นซอยทองหล่อและเส้นทางที่มีปริมาณรถเยอะ ถ้ามาจากเส้นทาง MRT ก็มาเปลี่ยนที่สถานี BTS อโศก ที่เป็นจุด Interchange แล้วนั่งต่อมาลงสถานีทองหล่อ สองข้างทางภายในซอยทองหล่อยังมีป้ายรถเมล์และทางม้าลายอยู่เรื่อยๆ

วัสดุ : วัสดุที่เลือกใช้เป็นของระดับพรีเมี่ยมที่เหมาะสมกับโครงการในระดับนี้ อย่างเช่นพวกพื้นที่บริเวณ Foyer กับ ห้องน้ำ ใช้เป็นหินสังเคราะห์ compressed marble และ Homogeneous Tile / Top ครัวเป็นหินควอทซ์ หน้าบานเป็น High Gloss / พื้นหลักในห้องนั่งเล่นห้องนอนเป็น Engineer Wood / พื้นระเบียงเป็น Composite Wood (ไม้เทียม) และสุดท้ายกระจกที่ใช้จะเป็น Insulating Glass แบบหนาพิเศษ 31.5 mm. / อย่างพวกชุดก๊อกน้ำและฝักบัวของที่นี่จะเป็นแบรนด์ชั้นนำ อย่าง Hansgrohe ของเยอรมัน สุขภัณฑ์ในห้องน้ำเป็นของ Duravit ทั้งหมด จากเยอรมันเช่นกัน / เครื่องใช้ไฟฟ้าบริเวณชุดครัวที่นี่ ไมโครเวฟ, เตาอบ, Hob&Hood จะได้ของแบรนด์ Bertazzoni ของอิตาลี ตู้เย็นจะเป็นของ Fisher&Paykel นะคะ / สุดท้ายชุดชุดครัว จะเป็นของ Binova แบรนด์ระดับพรีเมี่ยมสัญชาติอิตาลีเช่นเดียวกัน

การออกแบบ : ตัวหน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นรูปแบบของการมองไปแล้วยังสวยหรูได้นานแม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ทีมออกแบบก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นทีมเดิมที่เกษรใช้มาจาก Domus สุขุมวิท 16-18 คือ SCDA จากสิงคโปร์ที่ออกแบบคอนโดระดับหรูมาหลายโครงการแล้ว ส่วนเรื่องความหนาแน่นของการอยู่อาศัยจัดว่าให้เป็นระดับไพรเวทมากๆ เพราะโครงการ ”เลือก” ที่จะทำเพียง 84 ยูนิตเท่านั้น และมียูนิตอาศัยต่อชั้นเพียง 4 ยูนิต และก็มีส่วน Private Lift อีกที่อัตราส่วนลิฟต์ 21:1 เท่านั้น

ส่วนแบบของห้องที่นี่ภายในห้องจัดมุมฟังก์ชันต่างๆคิดว่าลงตัวอยู่แล้วนะ เรียกว่ามีให้ครบสำหรับอยู่อาศัยจริงของครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่ที่พิเศษคือโครงการเน้นรูปแบบของ “ระเบียง” ที่ยาวพิเศษรวมถึงเจ้าพื้นที่ระเบียงจุดนี้จะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างห้องต่อห้อง ทำให้ดูน่าสนใจไปอีกแบบ และสามารถทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาในห้องได้เยอะมากไปรวมกับความสูงของห้องที่สูงถึง 3.20 เมตร ทำให้ห้องจะดูโปร่งสบายตาไปเลย

สาธารณูปโภค : Facilities ของโครงการนี้ ให้มาหลากหลาย น่าใช้งานและเลือกใช้ของคุณภาพดี แต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้สร้างที่ชั้นบนๆ เพื่อเอาไว้ชมวิวเลย เพราะ Facilities หลักๆ จะอยู่แค่ที่ชั้น 1 และ ชั้น 5 เท่านั้น ส่วนที่ดีคือเป็นโครงการที่ให้ Private Lift 4 ตัว จัดการด้วยระบบแบบ One on One และ Service Lift 1 ตัว อัตราส่วนลิฟต์ 21 : 1 ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ดี ใช้งานกันได้สบายๆ เลยทีเดียว

Judgement

ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะคะ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

BOTTOM LINE

Tela ทองหล่อ เป็นโครงการที่ออกแบบมาสำหรับ 84 ครอบครัว มีความเฉพาะตัวทั้งรูปแบบโครงการและการจัดฟังก์ชั่นในห้องที่แตกต่างจากโครงการปกติทั่วไป เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงในทำเลติดถนนทองหล่อแท้ๆ ที่ไม่มีข้อจำกัดทางการเงิน และต้องการ “บ้าน” ที่ตรงกับความต้องการตัวเองจริงๆ


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving