นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่มบริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนการพัฒนาโครงการธุรกิจรีเทลในกทม.และปริมณฑลภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า (2560-2564) ว่า จะมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีการพัฒนาและยากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจะอยู่ได้ต้องอาศัยความต่างและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ว่าจะมีการตอบสนองต่อผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนในเมืองขนาดใหญ่อื่นๆในประเทศยังมีความน่าสนใจเนื่องจากในหัวเมืองต่างๆจะมีการเติบโตจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่มีต่อเนื่องส่งผลให้มีการลงทุนจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“ในระยะ 5 ปีข้างหน้ามองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีต่อเนื่อง ประกอบกับมีการคาดการณ์อัตราเติบโตขิงเศรษฐกิจไทยในระยะ 5 ปีจากนี้จะอยู่ที่ระดับบวกลบ 3% ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ดีมาก แต่ข้อดีคือเงินเฟ้อของไทยค่อนข้างต่ำมาก ที่สำคัญขณะนี้มีหลายจังหวัดที่มีศูนย์การค้าน้อยกว่าความต้องการ อีกทั้งในส่วนที่ก่อนหน้านี้บริษัทมีแผนจะลงทุนที่พักค้างรถและคนตามถนนทางหลวง (ไฮเวย์) ในต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยล่าสุดบริษัทตัดสินใจล้มเลิกแผนไปแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่คุ้มค่าการลงทุน ขณะที่ 5 ศูนย์การต้าในปัจจับัน กับอีก 1 ศูนย์การค้าที่กำลังจะพัฒนาออกมา มีโอกาสทางธุรกิจสูงกว่ามาก” นายณภัทร กล่าว
อย่างไรก็ตามกลุ่มบริษัทมีแผนการในดำเนินธุรกิจในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า (2560-2569) นี้ บริษัทได้วางงบลงทุนในการลงทุนโดยเป็นเฉพาะค่าก่อสร้าง 40,000 ล้านบาท ไม่รวมค่าซื้อที่ดินใหม่โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ของศูนย์การค้า จาก 1.7 แสนตร.ม. เป็น 6.5 แสนตร.ม. หรือประมาณ 29 แห่ง โดยในเขตกทม.และปริมณฑทลจะมีการลงทุนเพิ่มประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท เช่น เอเชียทีค เดอะริเวอร์ ฟร้อนท์
นอกจากนี้มีแผนจะขยาย เอเชีย ทีค ไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หาดใหญ่ และอุดรธานี ซึ่งยังไม่รวมกับการเปิดแบรนด์ใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดใน 30 จังหวัดทั่วประเทศในส่วนของศูนย์การค้า เกตเวย์ จะขยายไปเพิ่มที่บางซื่อและพระราม 2 อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายในแง่ของพื้นที่และรายได้ใน 3 อันดับแรกของผู้นำทางด้านศูนย์การค้าในประเทศไทย จากปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 4-5 และมีรายได้ในปี 2569 ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปีแรก (2560-2564) บริษัทยังคงมุ่งเน้นการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ในเขตกทม.และเมืองโดยรอบภายใต้ 5 แบรนด์ ได้แก่ เอเทีย ทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ , พันธ์ุทิพย์ ,เกตเวย์ , เซ็นเตอร์ พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ และ บ็อคซ์ สเปซ สรรพาวุธ โดยคาดว่าจะมีการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9-10 โครงการ ส่งผลให้ในอีก 5 ปีข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,800 ล้านบาท เติบโต 140%
ในส่วนของแผนการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทจะยังไม่มีแผนการลงทุนหรือพัฒนาโครงการใหม่ แต่มีแผนที่ปรับปรุงพื้นที่ภายในศูนย์การค้าแต่ละศูนย์ ได้แก่ พันธ์ุทิพย์ บางกะปิ และ พันธ์ุทิพย์ เชียงใหม่ ทั้งนี้คาดว่าการปรับปรุงทั้ง 2 ศูนย์จะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกลางปีหน้า นอกจากนี้บริษัทยังคงใช้งบประมาณลงทุนในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ เช่น ศูนย์การค้าเกตเวย์ บางซื่อ ส่วนขยายเพิ่มเอเชีย ทีค เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ และ บ็อคซ์สเปช สรรพาวุธ โดยมีงบลงทุนรวม 2,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2560 บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,300 ล้านบาท เติบโต 15%
สำหรับในปี 2559 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เติบโต 11% เปรียบเทียบกับปี 2558 ที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 1,800 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากโครงการทั้งหมด 8 โครงการ ได้แก่ โครงการ Asiatique the Riverfront , ศูนย์การค้าพันธ์ุทิพย์ ประตูน้ำ , ศูนย์การค้าพันธ์ุทิพย์ งามวงศ์วาน , ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ เชียงใหม่ , ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยาม สแควร์ และ Box Space รัชโยธิน