นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากยอดขายโตสวนกระแส ครองอันดับหนึ่ง ในตลาดอสังหาฯ ในขณะนี้ ส่งผลบริษัทให้ต้องมีการปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นจาก 29,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ทั้งแนวราบและแนวสูงยังสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทมียอดโอนแล้ว 18,200 ล้านบาท และความมั่นใจใน Secure backlog ในมือที่จ่อคิวโอนแล้วอีก 16,200 ล้านบาท ดังนั้นเป้าหมายการโอนในปีนี้เดิม 33,000 ล้านบาทถูกปรับเป็น 39,000 ล้านบาท เท่ากับว่าบริษัทมีเป้าหมายที่ต้องโอนเพิ่มอีกเพียง 4,600 ล้านบาทเท่านั้น จึงคาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่น ในการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์แสนสิริ และตอกย้ำการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านได้เป็นอย่างดี
ในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีควบคู่กัน ภายใต้แนวคิด Made for Life…Made for Everyone โดยให้ความสำคัญกับปรับเปลี่ยนดีไซน์ ฟังก์ชั่น คุณภาพ และบริการ ขณะที่แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ยังมีความรัดกุม จากความพร้อมในการปรับเปลี่ยนตามทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,900 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ 10 โครงการ มูลค่ารวม 14,300 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท ทั้งนี้ กุญแจหลักสำคัญที่จะผลักดันแสนสิริ ให้บรรลุเป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น ดังนั้นกำไรที่เพิ่มขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง มาจากการโฟกัสโครงการแนวราบเป็น Strategic Flagship ควบคู่ไปกับการรักษายอดขายและยอดโอนโครงการคอนโดมีเนียม โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนโอนคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ อีก 4 โครงการใหม่ ได้แก่ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่, XT เอกมัย และ La Habana หัวหิน เป็นต้น
“แสนสิริมองว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยวิเคราะห์จากดีมานด์ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ และจากเทรนด์อยู่อาศัยที่คนไทยต้องการมีบ้าน 2 หลัง ทั้งคอนโดมิเนียมที่อยู่ในเมือง เพื่อการเดินทางทำงานที่สะดวก ขณะที่ยังมีความต้องการบ้านชานเมืองเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่า ยังรวมถึงการเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในรูปแบบ Work From Home ที่ทำให้ดีมานด์ของบ้านแนวราบเพิ่มสูงขึ้น จากการมองหาบ้านที่มีพื้นที่กว้างขึ้น เพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการทำงานที่บ้าน ขณะที่กลุ่มลูกค้าบางกลุ่มเริ่มมองหาบ้านหลังใหญ่ที่สามารถ Social Distancing ได้ หรือต้องการแยกครอบครัวออกจากครอบครัวใหญ่เพื่อจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ยังรวมไปถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเป็นบ้านหลังแรกเพิ่มขึ้นในปัจจุบันอีกด้วย นอกจากนี้ แสนสิริมองว่า ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดต่างชาติจะกลับมา โดยความสำเร็จในการสร้างยอดขายอันดับ 1 ในตลาดต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เรามองเห็นดีมานด์ความต้องการจากชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะมองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัยและมีระบบสาธารณสุขที่ดี ทั้งนี้ จากการรับมือที่ดีในสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทย ในการรับมือ นอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศฟื้นตัวจากโควิด-19 อันดับ 2
ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย จาก 184 ประเทศทั่วโลก จากการจัดอันดับ Global COVID-19 Index แสนสิริ จึงมุ่งเจาะกลุ่มตลาดต่างชาติที่ต้องการเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ในรูปแบบบ้านหรือทาวน์โฮมอย่างเต็มที่ พร้อมมองหาโอกาสและช่องทางการเจาะตลาดในรูปแบบอื่นๆ จากการเห็นโอกาสทางการตลาด จากความสำเร็จ
ในการขายโครงการบุราสิริ สันผีเสื้อ จ.เชียงใหม่ ในรูปแบบ Leasehold ในช่วงที่ผ่านมา จากแนวโน้มดีมานด์การเติบโต ของตลาดแนวราบ แสนสิริจึงเปิดตัว “Sansiri Housing Evolution” ที่มุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ตอบโจทย์การ
อยู่อาศัยในทุกความต้องการทุกเซกเมนต์ โดยเราวางเป้ายอดขายแนวราบในปีนี้ที่ 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะผลักดัน ให้ยอดขายของแสนสิริก้าวสู่ 1.2 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอุทัยกล่าว
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในครึ่งปีแรก โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมของแสนสิริมียอดขายเป็นอันดับ 1 โดยปิดการขายไปถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 11,600 ล้านบาท ในครึ่งปีหลัง โครงการแนวราบจะเป็น Strategic Flagship ในการรุกตลาด เราจึงได้เตรียมเปิดโครงการแนวราบ อีก 10 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ 2 โครงการ, บ้านเดี่ยวแบรนด์สราญสิริ 1 โครงการ ทาวน์โฮมและมิกซ์โปรดักส์ในเซกเมนต์ Medium และ Affordable ที่ได้รับการตอบรับสูง ในแบรนด์ อณาสิริ 4 โครงการ และสิริ เพลส 3 โครงการ”
“ในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริได้กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจโครงการแนวราบด้วยการยกระดับแนวคิด ปรับและเปลี่ยนด้วยการปฎิวัติ 5 ด้าน ภายใต้ชื่อ “Sansiri Housing Evolution” บ้านมาตรฐานใหม่ที่เข้าใจและเข้าถึงทุกคน ซึ่งจะนับเป็นอีกครั้งในการเป็นผู้นำที่ก้าวเปลี่ยนและเซ็ตมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอสังหาฯ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์โฮมภายใน 3 ปี ได้แก่
- Brand & Product แสนสิริ มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในฐานะที่เป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” เราศึกษาและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ผ่านการเลือก Strategic Location อยู่ในทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าในทุกระดับราคา
Design การปรับดีไซน์แบบบ้าน ตลอดจนปรับพื้นที่การใช้งานให้เป็นพื้นที่ Multi-Function สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น มี Functional Design ที่สามารถรองรับการใช้งานของสมาชิกในบ้านทุกเพศทุกวัยได้อย่างหลากหลาย ตามแนวคิด At Home Concept รวมถึงการให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยด้านสุขอนามัย อาทิ ติดตั้งอ่างล้างมือก่อนเข้าบ้าน จัดพื้นที่วางตู้รองเท้าหน้าบ้าน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนดีไซน์รั้วบ้านให้มีช่อง Mailbox ที่สามารถใส่กล่องพัสดุได้ เพื่อให้สอดคล้องพฤติกรรมของคนที่สั่งของออนไลน์ มากขึ้น นอกจากนี้ ภายในไตรมาสที่สาม สำหรับโครงการที่เตรียมเปิดใหม่ จะมีการพัฒนา Touchless Society เพื่อรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ให้เกิดขึ้นในวงการอสังหาฯ อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยระบบ Visitor Pass บน Sansiri Home Service Application ซึ่งจะมีการส่ง QR Code เพื่อให้ผู้มาติดต่อสามารถสแกนเข้า-ออกโครงการ ได้ด้วยตัวเองในรูปแบบ E-Stamp รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งคลับเฮาส์, ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ จะมีขนาดใหญ่ โปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก แบบ Isolation Design เพิ่มระยะห่างแต่สามารถใช้ชีวิตใกล้กัน มากขึ้น รวมถึงการติดตั้ง Automation Sensor ระบบอัตโนมัติภายในห้องน้ำ เพื่อลดและหลีกเลี่ยงการสัมผัส และเพิ่มพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง เป็นต้น
Service Intelligent แสนสิริได้วางมาตรฐานการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคตรวมกับวิถีชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งการบริการหลังการขายที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบรักษาความปลอดภัยทั้งของลูกบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การยกระดับระบบสั่งการด้วยเสียง หรือ Voice Command ด้วย AI บน 2 แพลทฟอร์มหลัก ได้แก่ Home Service Application บริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะลูกบ้านแสนสิริ และ Google Assistant ระบบผู้ช่วยของ Google ที่ให้บริการบนสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งจะเป็นสุดยอดผู้ช่วยพูดได้ ที่คอยรับคำสั่ง ด้วยเสียง และช่วยเหลือผู้ใช้งานในเรื่องต่างๆ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ในที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ (สมาร์ทโฮม) นอกจากนี้ปัจจุบัน ลูกบ้านแสนสิริ สามารถใช้บริการ Virtual Hospital ที่ร่วมกับโรงพยาบาล ผ่านทางแอปพลิเคชัน Sansiri Home Service และหลังจากนี้เตรียมยกระดับ ความอัจฉริยะให้สามารถรองรับ Tele Medicine ตอบโจทย์ด้านสุขภาพในอนาคต รวมถึงการร่วมกับผู้พัฒนาเครือข่ายเข้ามาสำรวจและติดตั้งเราท์เตอร์ (Router) และเครื่องขยายสัญญาณแบบ Mesh Wi-Fi เพื่อให้สามารถใช้ Wi-Fi ได้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ภายในบ้าน รวมทั้งยังสามารถใช้ Wi-Fi ในพื้นที่ส่วนกลางทั้ง Indoor และ Outdoor ได้เช่นกัน
- Green Living มุ่งมั่นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการส่งเสริมให้ลูกบ้านสร้างพื้นที่สีเขียว มี Green Backyard ของตัวเองที่บ้าน สนับสนุนแนวคิด Food Community โดยจัดพื้นที่ฟาร์มส่วนกลางในการสร้างองค์ความรู้และแบ่งปันอุปกรณ์ รวมไปถึงการนำเสนอการใช้พลังงานทดแทนเพื่ออนาคตด้วย Green Energy ให้แก่ โครงการแนวราบ นอกจากนี้ แสนสิริยังย้ำจุดยืนในด้านการสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยริเริ่ม
ให้ความสำคัญในด้านการจัดการขยะ (Waste Management) และมีการพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งหลังจากนี้แสนสิริจะยกระดับการสร้างพฤติกรรมใหม่ของการจัดการขยะ ด้วยวิธีการ คัด แยก จัดเก็บ ขนย้าย และนำกลับ มาใช้ใหม่ เริ่มตั้งแต่การจัดระบบการบริหารจัดการตั้งแต่การจัดเก็บขยะตั้งแต่ในบ้าน จนถึงการขนย้ายไปยังพื้นที่ Recycle Hub ในโครงการ เพื่อจัดการขยะทุกประเภทตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง แบบครบวงจร โดยยึดหลัก สะดวก สะอาด ปลอดภัย ซึ่งจะเห็นได้ในโครงการแนวราบอีกหลายโครงการหลังจากนี้ - Security System จากCustomer Insight ที่ลูกบ้านให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยไม่แพ้ การอยู่อาศัย แสนสิริจึงพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ด้วย LIV-24 เทคโนโลยีด้านการดูแล ความปลอดภัยและจัดการระบบวิศวกรรมเต็มรูปแบบแห่งแรกของอสังหาฯในไทย ที่สามารถดูแลความปลอดภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการดึงศักยภาพร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีที่ทันสมัยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และ Sansiri Security Inspection (SSI) ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่ถูกฝึกฝนมาให้มีความชำนาญการ เป็นพิเศษผ่านมาตรฐานชั้นสูงในวิชาชีพ เพื่อให้ลูกบ้านมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย 360 องศา
“Sansiri Housing Evolution ภายใต้แนวคิด Made for Life…Made for Everyone จะเริ่มเห็นในโครงการอณาสิริ ที่จะเปิด 5 โครงการ ตั้งแต่ครึ่งปีหลังนี้ และครอบคลุมในทุกโครงการตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถตอบโจทย์ พฤติกรรมและ Customer Insight ที่เปลี่ยนไปได้ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เข้าใกล้เป้ายอดขายแนวราบปีนี้ 18,000 ล้านบาท ซึ่งเหลือเป้าหมายอีกเพียง 6,400 ล้านบาทเท่านั้น ที่จะก้าวสู่ยอดขายแนวราบ 18,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายใหม่ อันจะนำไปสู่การก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์โฮมในเวลา 3 ปี” นายอาณัติ กล่าวสรุป